สำหรับบางคนการแต่งงานอาจเป็นบทสรุปที่หวานชื่น แต่สำหรับเยี่ยนเยว่ฉีการแต่งงานกับมู่เลี่ยงหรงเป็นจุดเริ่มต้นเท่านั้น เยี่ยนเยว่ฉีต้องออกจากอ้อมอกบิดามารดามาใช้ชีวิตของตนเอง ทว่าการได้รับตำแหน่งชายาเอกฉินอ๋องไม่ได้เรียบง่าย นางต้องพบเจอกับแรงกดดันในฐานะสะใภ้หลวงจากไทเฮา ซึ่งบางเรื่องพี่ชายแสนดีทั้งสองไม่อาจยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือโดยตรงได้ นางจึงต้องงัดทุกสิ่งทุกอย่างที่มารดาได้สั่งสอนอบอรมมาทั้งชีวิตมาใช้เพื่อที่จะยืนอยู่บนตำแหน่งสูงสุดนี้อย่างมั่นคง แต่ยิ่งสูงยิ่งหนาว ผู้ใดจะรู้เล่าว่าภายใต้รอยยิ้มของสตรีมากมายในเรือนหลังจะมีคมมีดซ่อนอยู่หรือไม่ แล้วมู่เลี่ยงหรงจะมีเพียงนางเป็นยอดดวงใจไปถึงเมื่อไร และสุดท้ายนางจะทนใช้บุรุษร่วมกับสตรีนับสิบได้จริงๆ หรือ
View Moreวันนี้ชิงหรูเป็นเวรดูแลฉินอ๋องกับหวางเฟย ซูจิ้งจึงมีเวลาออกมาเดินสำรวจจวน นางพยายามจำว่าสถานที่ใดอยู่ตรงไหน ด้วยที่นี่ค่อนข้างกว้างขวางและตนก็เพิ่งจะมาใหม่จึงยังไม่คุ้นชินกับเส้นทาง ในที่สุดนางก็เดินหลงไปยังสวนด้านหลัง แม้จะมีแสงจากคบไฟอยู่บ้าง แต่ตรงนี้ค่อนข้างมืดจนอดเสียวสันหลังไม่ได้
ซิ่นเฉิงที่กำลังตรวจตราเวรยามและความเรียบร้อยระแคะระคายว่ามีใครแอบเข้ามาในสวนซึ่งเป็นบริเวณส่วนต้องห้ามนี้ พอแลเห็นสตรีรูปร่างเล็กเดินเหลียวซ้ายแลขวาอยู่ แสงจากคบไฟส่องกระทบบนดวงหน้าสะท้อนให้เห็นเค้าโครงของผู้ที่ล่วงล้ำ
เขาพอจะเดาออกแล้วว่าเป็นผู้ใด
‘ซูจิ้งรึ’
ในอกบังเกิดอาการร้อนรุ่ม ด้วยตนกำลังคิดหาทางพูดคุยกับนางอยู่พอดี คิดไม่ถึงว่าสวรรค์จะประทานโอกาสมาให้ตั้งแต่ตอนนี้
“ซูจิ้งเจ้ามาทำอะไรที่นี่”
เสียงคุ้นหูลอยเข้าโสตสาวน้อยที่กำลังหลงทาง นางรีบหันไปทางต้นเสียง แต่ด้วยฝีเท้าเบาว่องไวดุจนักล่ายามราตรี บุรุษในชุดสีเทาก็อยู่ตรงหน้าตนเองเรียบร้อยแล้ว ดรุณีน้อยนิ่งงันไป
“ว่าอย่างไร”
“ผู้น้อยกำลังสำรวจจวน จะได้จำได้ว่าอะไรอยู่ตรงไหน” นางอธิบายให้องครักษ์หนุ่มเข้าใจ แต่ก็ไม่กล้าบอกออกไปว่าตนเองหลงทางอยู่
“บริเวณนี้ห้ามผู้ใดเข้ามาสุ่มสี่สุ่มห้า” ซิ่นเฉิงบอกกับนางด้วยสีหน้าจริงจัง เพราะหากสาวน้อยเดินไปอีกไม่ไกลก็จะเข้าเขตต้องห้ามของจวนฉินอ๋องแล้ว
“เช่นนั้นผู้น้อยไปก็ได้เจ้าค่ะ” ซูจิ้งเข้าใจว่าอีกฝ่ายไม่พอใจจึงคิดหลีกเลี่ยง ความจริงตนเพียงหลงทางเข้ามาเท่านั้น เขาไม่น่าจะต้องทำหน้าบอกบุญไม่รับถึงเพียงนี้
เมื่อเห็นสาวใช้ตัวน้อยจะจากไป ซิ่นเฉิงจึงปราดเข้าไปขวางเพื่อขอให้นางรั้งอยู่ต่อ “เดี๋ยวก่อนซูจิ้ง ข้ามีเรื่องอยากจะถามเจ้ามานานแล้ว”
ซูจิ้งพลันหยุดเดิน แต่ยังคงไม่เงยศีรษะขึ้นมาเผชิญหน้ากับเขา “ท่านองครักษ์ซิ่นมีอันใดก็ถามมาได้ หากข้ารู้ก็จะตอบท่าน”
ซิ่นเฉิงพยายามเค้นคำถามออกจากปาก เขารู้สึกหวาดกลัวกับคำตอบอย่างบอกไม่ถูก ซูจิ้งเห็นเขาเอาแต่นิ่ง จึงคิดจะจากไปอีกครา
“หากไม่มีอะไร ผู้น้อยขอตัวก่อน”
“จะ...เจ้าเป็นอนุบ่าวของท่านกุนซือเยี่ยนหรือ”
ซูจิ้งเงยหน้าขึ้นมองเขาทันที
“ท่านว่าเยี่ยงไรนะ! ไม่มีทาง ข้าไม่เคยนึกมาก่อนว่าองครักษ์ซิ่นจะคิดอะไรชั่วช้าเช่นนี้ได้” นางจ้องซิ่นเฉิงด้วยความกราดเกรี้ยว
“ซูจิ้งเจ้าอย่าเพิ่งมีโทสะ เรื่องนี้ข้าไม่ได้คิดเอาเองสักหน่อย เป็นคุณชายรองสกุลเยี่ยนประกาศชัดว่าเจ้าเป็นของเขา หนำซ้ำยังห้ามไม่ให้ข้ายุ่งเกี่ยวกับเจ้าอีกด้วย” ชายหนุ่มรีบชี้แจง
ซูจิ้งเข้าใจเหตุการณ์ในทันที มิน่าเล่า องครักษ์ซิ่นจึงไม่เข้าใกล้นางอีกเลยหลังจากนั้น
“ผู้น้อยขอบอกตามตรง ความจริงแล้วคุณชายรองนึกว่าท่านรังแกข้าจึงพูดออกมาเช่นนั้นเพื่อช่วยปกป้อง และแม้ข้าจะเป็นเพียงแค่บ่าว ก็มิได้หมายจะปีนขึ้นเตียงของเจ้านาย” ซูจิ้งอธิบายด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง
“เจ้าไม่ได้หลอกข้านะ” ซิ่นเฉิงถอนหายใจเสมือนได้ยกภูเขาออกจากอก หากซูจิ้งไม่เกี่ยวข้องกับเยี่ยนจิ้นหลิง เช่นนั้นตนย่อมมีสิทธิที่จะผูกสัมพันธ์กับนาง
“หากองครักษ์ซิ่นไม่มีอะไรข้องใจแล้ว ข้าขอลา” ซูจิ้งไม่ได้ต่อบทสนทนา ทำท่ารีบจะจากไป แต่กลับรู้สึกโล่งใจอย่างประหลาด อย่างน้อยองครักษ์ซิ่นก็ไม่ได้เข้าใจนางกับคุณชายรองผิดอีกต่อไปแล้ว หญิงสาวแอบยิ้มที่มุมปากน้อยๆ
ซิ่นเฉิงที่ทนอัดอั้นตันใจมาหลายเดือนไม่สามารถต้านทานความรู้สึกของตนได้อีกต่อไป จึงคว้ามือนางแล้วดึงเข้าไปในความมืด ซูจิ้งตกใจร้องเสียงดัง แต่ซิ่นเฉิงก็ยังคงลากนางต่อไป สาวน้อยพยายามสะบัดแขนออก ทว่ามือแข็งแรงนั้นบีบแขนนางแน่นราวกับคีมเหล็กก็ไม่ปาน จึงจำต้องเดินตามเขาไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ จนกระทั่งองครักษ์หนุ่มก็ปล่อยมือ สาวใช้ตัวน้อยจึงเลิกร้องโวยวาย
ซูจิ่งลูบแขนตัวเองเบาๆ พลางมองไปรอบๆ นางพบว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ในศาลาขนาดย่อมหลังหนึ่งในสวน
“ทำเจ้าตกใจแล้ว” ซิ่นเฉิงเอ่ยเป็นเชิงขออภัย
“ท่านมีเรื่องอันใดก็รีบพูดมาเถิด หากมีผู้ใดมาเห็นเข้าคงไม่ดีแน่” ซูจิ้งตอบอย่างระมัดระวัง นางไม่กล้ายั่วยุโทสะเขาเหมือนตอนพบกันในวังหลวง เพราะกลัวเขาจะทำอย่างเดิมอีก แต่ถึงกระนั้น การที่ชายหญิงมาพูดคุยกันในที่ลับตา หากมีผู้ใดมาพบเห็นเข้าย่อมเกิดเรื่องเสื่อมเสีย หากลำพังตนเองคงไม่เท่าไร แต่พระชายาเอกจะพลอยอับอายไปด้วย
“คือ...ข้า...ข้าอยากขอโทษที่เคยล่วงเกินเจ้า” ซิ่นเฉิงเอ่ยเสียงเบา
“ถ้าเป็นเรื่องนั้น ช่างมันเถิดเจ้าค่ะ” สาวน้อยรีบตอบ ไม่มองหน้าชายหนุ่มสักนิด
“ข้าทำกับเจ้าขนาดนั้นจะช่างมันได้อย่างไร”
“ผู้น้อยลืมไปหมดแล้ว ขอท่านองครักษ์อย่าได้พูดถึงเรื่องนี้อีกเลย” ซูจิ้งทำท่าจะหันหลังเดินหนีอีกรอบ
“เจ้าอาจจะลืมไปแล้วจริงๆ แต่ข้าไม่อาจสงบใจได้เลยหลังจากวันนั้น ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาราวกับข้ากำลังตกนรกทั้งเป็น นอกจากรู้สึกผิดที่ล่วงเกิน ข้ายังสับสนเรื่องของเจ้ากับท่านกุนซืออีกด้วย” ซิ่นเฉิงปราดเข้ามาใกล้นาง แล้วเปิดเผยความในใจที่อัดอั้นมาแสนนาน
แม้คำพูดของซิ่นเฉิงจะก่อระลอกคลื่นในใจหญิงสาว แต่ซูจิ้งก็ไม่วายคิดถึงคำขู่ของเยี่ยนจิ้นหลิง หากยังมัวเท้าความกับองครักษ์หนุ่มต่อไปเช่นนี้ก็เกรงว่าจะไม่สามารถหลอกตัวเองได้อีกต่อไป นางจึงเอาแต่ก้มหน้าก้มตา เค้นคำพูดทุกอย่างออกไปด้วยไม่ต้องการให้คุณชายรองมาหาเรื่องซิ่นเฉิงอีก
“องครักษ์ซิ่นไม่ต้องกังวล ให้ถือเสียว่าทุกอย่างเป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิดเถิด อีกอย่าง ซูจิ้งลืมไปหมดแล้วจริงๆ เจ้าค่ะ”
“เจ้าลืมข้าได้จริงหรือ” พอนางตอกย้ำว่าลืมทุกอย่างสิ้น ซิ่นเฉิงพลันรู้สึกหน่วงในหัวใจ
“ผะ...ผู้น้อยเพียงไม่อยากเท้าความอะไรอีกแล้ว” นางตอบเสียงเบา รู้สึกวูบโหวงในอกอย่างประหลาด
“แต่ข้าไม่อาจลืมเจ้าได้เลย ข้าเฝ้าคิดถึงเจ้าทุกวันทุกคืน” ซิ่นเฉิงดึงมือนุ่มเล็กไปกอบกุมเอาไว้ ดวงตาสาดประกายบางอย่างมายังซูจิ้ง
“อะ...องครักษ์ซิ่น ปล่อยนะเจ้าคะ” สาวน้อยละล่ำละลัก พยายามดึงมือของตนให้หลุดออกจากพันธนาการ
“เจ้าไม่คิดถึงข้าสักนิดเลยหรือ แต่เหตุใดยามเจ้ามองมาทุกครั้ง ข้ากลับรู้สึกเหมือนเจ้ากำลังเรียกหาข้าอยู่ เช่นนั้นจงบอกมาสักคำเถิดว่าข้าเพียงคิดไปเอง รับรองว่าครานี้ซิ่นเฉิงจะตัดใจ”
เยี่ยนเยว่ฉีพยักหน้าในที่สุด นางเองก็ไม่ต้องการเจ็บป่วยแล้วเป็นสาเหตุให้นางกำนัลข้างกายต้องลำบากนางกำนัลทั้งสามกลับมาเก็บสัมภาระของนายหญิงต่อ ในขณะที่เยี่ยนเยว่ฉียังนั่งมองประตูห้องบรรทมอยู่บนคั่งโดยไม่ยอมกินอะไร ซูจิ้งเริ่มเป็นห่วงจึงเข้ามาชวนพูดคุยหมายให้นายหญิงคลายกังวล“หวางเฟยกินอะไรสักนิดเถิด ซูจิ้งเป็นห่วงท่านจริงๆ นะ”“ขอบใจนะซูจิ้ง แต่ข้าไม่ได้อยากกินของพวกนี้” เยี่ยนเยว่ฉีมองผลไม้ด้วยสายตาเบื่อหน่าย“หรือว่าท่านจะเบื่ออาหารอีกแล้ว”“อืม ความจริงข้าอยากกินเต้าหู้ขนมากๆ เลย” เยี่ยนเยว่ฉีดวงตาเป็นประกาย “เอามาทอดแล้วราดซีอิ๊วให้ชุ่มฉ่ำ”“ของหายากเช่นนั้น ในตำหนักไม่น่าจะมีได้”“ข้าจำได้ว่าตอนไปเที่ยวในเมืองเห็นร้านขายเต้าหู้ รีบสั่งให้คนไปซื้อมาเร็วเข้า”“ตอนนี้หิมะกำลังตก ท่านรออีกสักพักได้หรือไม่”“เจ้าถามเองว่าข้าอยากกินอะไร แต่พอบอกออกไปกลับให้รอเสียอย่างนั้น นี่คิดจะฆ่ากันใช่หรือไม่” เยี่ยนเยว่ฉีเริ่มเกรี้ยวกราด เมื่อคิดว่าต้องรอคอยเต้าหู้ขนอย่างไม่มีจุดหมาย ก็แทบคลุ้มคลั่งถึงกับปัดชามใส่ผลไม้ทิ้ง ซูจิ้งตกใจมากเพราะปกตินายหญิงโมโหขนาดไหนก็ไม่เคยทำลายข้าวของ“หม่อมฉันจะรีบ
เปาะ! เสียงพู่กันขนจิ้งจอกในมือหักเป็นสองท่อน นัยน์ตาสีนิลเหลือบมองไปทางชิงหรูคราหนึ่ง นางก็รีบยื่นด้ามใหม่ให้ทันที จากนั้นก็รีบเก็บซากพู่กันอันที่ห้าทิ้งไปเสียอ๋องหนุ่มรวบรวมสมาธิใหม่อีกครั้ง พยายามสงบนิ่งและใจเย็น แต่แล้วก็ตัดสินใจวางพู่กันกลับลงไปบนโต๊ะ ขยุ้มภาพวาดอันยุ่งเหยิงตรงหน้าแล้วเขวี้ยงทิ้งไปอีกทางอย่างไม่ไยดี กระดาษยับยู่ยี่ลอยคว้างไปตกตรงหน้าผู้มาถึงพอดิบพอดี“เป็นการต้อนรับที่วิเศษมาก” เยี่ยนเยว่ฉีเอ่ยทักทาย นางหยุดยืนอยู่ตรงนั้น ด้วยไม่แน่ใจในสถานการณ์เท่าใดนัก นัยน์ตาดอกท้อกวาดไปรอบๆ เห็นซิ่นเฉิงยืนนิ่งเป็นรูปปั้นหินเฝ้าเขาอยู่ ส่วนชิงหรูก้มหน้าเกร็งกายอยู่อีกทาง นางก็รู้ได้ทันทีว่าบุรุษที่นั่งหันหลังคงกำลังทำหน้าตาน่ากลัวอยู่เป็นแน่มู่เลี่ยงหรงยังคงนั่งนิ่ง เขาไม่อยากเจอเยี่ยนเยว่ฉีในตอนนี้ แต่นางกลับโผล่มา ครั้นจะเอ่ยปากไล่ตรงๆ ก็ดูจะใจร้ายเกินไป แต่จะให้พูดคุยตอนอารมณ์ไม่มั่นคงก็ไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก เสี่ยงมีปากเสียงกันอีกเมื่อทบทวนเหตุการณ์ที่ผ่านมา มู่เลี่ยงหรงรู้สึกว่าตนพะเน้าพะนอเยี่ยนเยว่ฉียิ่งกว่าผู้ใด ตามใจทุกสิ่ง ไม่เคยขัดข้องหากนางร้องขอสิ่งใด แม้แต่เวลา
“พ่ะย่ะค่ะ / เพคะ”“เอาล่ะ ไสหัวไปให้พ้นๆ หน้าเปิ่นหวางกันได้แล้ว”ซิ่นเฉิงประคองซูจิ้งออกจากห้องไปโดยไม่แม้แต่จะเหลือบแลชิงหรู ชายหนุ่มพาคนรักไปยังห้องพักส่วนตัวของตนเอง นางร้องประท้วงว่าไม่เหมาะสมที่จะอยู่ห้องเดียวกันก่อนแต่งงาน“ข้าไม่ไว้ใจให้เจ้าอยู่ใกล้ชิงหรูอีก หากแม้กลัวคำครหา ข้าจะขอให้มี่มี่มาอยู่เป็นเพื่อนเจ้า ส่วนข้านั้นจะไปนอนกับลูกน้องแทน”“ข้าสงสารพี่ชิงหรูนัก นางแค่มีใจให้ท่านแล้วทำการโดยไม่ยั้งคิด เหตุใดจึงผลักไสให้นางไปเป็นภรรยาคนเลี้ยงม้าหรือทหารชั้นเลวเล่า”“ความจริง ท่านอ๋องคงจะยกนางให้จิวจื่ออยู่ดี”“ทำไมพี่เฉิงถึงคิดเช่นนั้น”“ท่านอ๋องเพียงต้องการสั่งสอนนาง มิได้หมายจะทำลายชีวิตที่เหลือ อีกอย่าง แม้ชิงหรูจะก่อเรื่อง แต่ก็ยังเป็นคนโปรดของท่านอ๋องอยู่ดี ที่สำคัญนางยังเป็นสาวบริสุทธิ์ไร้ราคี หากจิวจื่อชอบนางอย่างจริงใจย่อมไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว”“ค่อยยังชั่ว เพราะไม่ว่าจะอย่างไร ตลอดเวลาที่ผ่านมาพี่ชิงหรูก็ดีกับข้ามากจริงๆ” รอยยิ้มอารีปรากฏที่มุมปาก“ระหว่างนี้ข้าหวังว่าชิงหรูจะคิดได้ แล้วเลิกยุ่งกับเราสองคนเสียที”“พี่เฉิง ข้าขอโทษที่ไม่เชื่อท่าน แล้วก็ตบนั่นด้วย” มือนุ
เยี่ยนเยว่ฉีฟังจบก็ทำได้เพียงยิ้มเย็น นี่สามีของนางกำลังจะไกล่เกลี่ยหรือสร้างเรื่องเพิ่มกันแน่ แต่ก็ยังคงรักษาท่าทีสงบนิ่งเอาไว้ก่อน“หม่อมฉันจำต้องทิ้งศักดิ์ศรี เพราะบุรุษที่กุมหัวใจหม่อมฉันเลือกสตรีอื่นเป็นภรรยาเอกเพคะ”“อืม น่าเห็นใจยิ่งนัก” มู่เลี่ยงหรงพยักหน้าติดๆ กัน แล้วเหลือบไปมองซิ่นเฉิงที่นั่งกำหมัดแน่น “ว่าอย่างไรเล่าองครักษ์ของข้า สตรีที่เคยปฏิเสธเปิ่นหวางเลือกเจ้าเป็นสามีเชียวนะ”“กระหม่อมไม่อาจรับสตรีที่กล่าวคำโป้ปดหน้าตาเฉยเข้าตระกูลได้พ่ะย่ะค่ะ” ซิ่นเฉิงส่งสายตารังเกียจไปยังชิงหรูอย่างไม่ปิดบัง“เกิดมาเป็นบุรุษ หากจะมีสามภรรยาสี่อนุก็ไม่ใช่เรื่องน่าอาย หรือว่าเจ้ากลัวซูจิ้งจะโกรธเคือง เช่นนั้นเราจะกล่อมนางให้ยอมรับชิงหรูเป็นอนุให้ อย่างไรเจ้าก็เป็นถึงบุตรชายผู้ตรวจการ จะมีอนุเพิ่มสักคนสองคนหาใช่เรื่องใหญ่อันใด เพียงเท่านี้ก็คงหมดเรื่องแล้วกระมัง”“ท่านอ๋องได้โปรดเมตตาด้วย หากกระหม่อมรับนางงูพิษนี้เป็นอนุคงมีแต่ทุกข์ใจ” ก่อนหน้านั้นเขายังรู้สึกผิดอยู่บ้างที่ผลักไสชิงหรู แต่ตอนนี้กลับคิดว่าตนเองทำถูกต้องแล้ว“หากรังเกียจขนาดนั้น แล้วเจ้าไปข้องแวะกับนางตั้งแต่แรกทำไมเล่า”
“งั้นรึ ท่านกล้าสาบานหรือไม่เล่าว่าไม่เคยนอนกับนางเลยสักครั้ง”“ข้า...คือว่า...” เขาอึกอัก เพราะเรื่องในวันเก่ายังที่ยังค้างคาใจอยู่ เพราะตนเองก็จำไม่ได้“แสดงว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรก” นัยน์ตาของนางหม่นแสงลง หยาดน้ำตาไหลรินพลั่กๆ “ท่านมันเลว ข้าควรจะเชื่อคุณชายรองตั้งแต่แรก ไม่น่าดื้อดึงจนต้อง...มีสภาพเช่นนี้”“ไม่ใช่อย่างนั้น เพียงแต่ว่าข้าเองก็ไม่แน่ใจ”“ไม่แน่ใจหรือ!”“ชิงหรูบอกว่าเจ้ากับเยี่ยนจิ้นหลิงเป็นคนรักกัน วันนั้นเจ้าพลอดรักอยู่กับเขาที่ห้องรับรองแล้วเดินทางกลับจวนกั๋วกงไป ข้าเสียใจจึงดื่มจนเมามายไม่ได้สติ พอตื่นขึ้นมาก็...”“พอแล้ว” ซูจิ้งตวาดลั่น “พี่เฉิงกำลังจะบอกว่าไม่ได้ตั้งใจ ที่ทำลงไปเป็นเพราะสุราหรือ”“ต่อให้เมา ข้าย่อมต้องจำอะไรได้บ้าง แต่ไม่เลย พอมาวันนี้ข้ายิ่งซึ้งใจ นางมากเล่ห์เพทุบายพยายามทำลายความรักของเรา เจ้าต้องเชื่อข้า” ซิ่นเฉิงปราดเข้าไปหาซูจิ้งพยายามคว้าร่างบางเข้ามากอดเพี้ยะ! เสียงฝ่ามือกระทบบนใบหน้าคมสันดังสนั่น จากนั้นร่างบางก็ทรุดลงกับพื้น ซูจิ้งหมดแรง น้ำตาไหลอาบแก้ม แต่ใจแข็งกลั้นสะอื้นเอาไว้ ไม่คิดว่าบุรุษที่นางหลงใหลจะเลวร้ายได้ถึงเพียงนี้ ทำผิดไม่ย
ชายหนุ่มกลั้วหัวเราะ แม่ซาลาเปาน้อยช่างขี้เล่นเสียจริง“จิ้งเอ๋อร์ ข้าจะร่วมสนุกกับเจ้า” เขาพูดพลางหยิบผ้าสีดำที่วางอยู่ขึ้นมาปิดดวงตาเอาไว้ แล้วหย่อนกายนั่งลงตรงขอบเตียงด้วยความตื่นเต้นเมื่อดวงตาถูกปิด ประสาทรับรู้ส่วนอื่นกลับทำงานได้อย่างดีเยี่ยม เสียงฝีเท้าเปล่าเปลือยดังมาจากด้านซ้าย เยื้องกรายเข้ามาทีละนิด การรอคอยอันน่าตื่นเต้นทำให้หัวใจเต้นถี่รัว อกแกร่งกระเพื่อมขึ้นลงจากการหอบหายใจ เขาอยากซุกไซ้นางจนเหลือทน สาบานเลยว่าตนจะพรมจูบร่างนุ่มนิ่มนั่นจนถ้วนทั่ว จากนั้นค่อยจับนางกอดกดเอาไว้ใต้ร่าง...‘มาเลยสาวน้อยเจ้าจะเล่นอะไรกับข้า’ ชายหนุ่มได้กลิ่นน้ำมันหอมอันคุ้นเคยจึงมั่นใจว่าผู้มาคือซูจิ้งมือนุ่มนิ่มผลักที่อกบุรุษ ชายหนุ่มแสร้งหมดแรงล้มลงนอน ร่างอรชรพลันเคลื่อนขึ้นทาบทับร่างกำยำ ริมฝีปากอิ่มจุมพิตซอกคอแกร่งชวนให้บุรุษหวามไหว ซิ่นเฉิงคำราม ขนลุกชันไปทั้งกาย ลมหายใจหอบถี่ขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็อดทนไว้ ตั้งใจว่าจะปล่อยให้นางทำตามใจไปก่อนร่างนุ่มยังคงเสียดสีไปมาปลุกไฟปรารถนาให้โชติช่วง เขาปวดหน่วงที่กลางกายด้วยความเป็นชายแข็งขึงดุนดันใต้อาภรณ์ชายหนุ่มคิดว่าตนเองแกล้งนอนนิ่งให้นางรังแกม
Comments