’มู่หนิงชิง‘จารชนระดับเพชรและนักจารกรรมมือฉกาจ มีความสามารถพิเศษตั้งแต่เกิด ที่บังเอิญได้หยกโบราณอายุนับพันปีมาครอบครอง ตื่นมาก็พบว่าตนทะลุมิติมาอยู่ในร่างเด็กสาวที่ครอบครัวอัตคัดขัดสน น้องทั้งสองคนผอมโซจนน่าสงสาร ขณะกำลังทำงานสร้างตัว จู่ๆก็มีท่านอ๋องจอมกวนเข้ามาพัวพันในชีวิต ตามติดนางหนึบ แถมร่างนี้ยังมีความลับซ่อนไว้! ปริศนาที่ต้องหาคำตอบรอนางอยู่!
View Moreบทที่ 1 มู่หนิงชิงทะลุมิติ
“ท่านแม่ เมื่อไหร่พี่ใหญ่จะตื่นหรือเจ้าคะ ฮึก อันเอ๋อร์เป็นห่วงพี่ใหญ่เจ้าค่ะ พี่ใหญ่หลับไปสองวันแล้วนะเจ้าคะ ฮืออ” "เดี๋ยวพี่ใหญ่ก็ตื่น หยุดร้องไห้เถิดนะเด็กดี แม่จะไปตักน้ำเสียหน่อย ลูกอยู่เฝ้าพี่ใหญ่ดีๆ นะ" เสียงสะอึกสะอื้นของเด็กผู้หญิง และเสียงตอบรับจากผู้เป็นมารดา ปลุกให้มู่หนิงชิงตื่นจากห้วงนิทราแสนหวาน เธอจำได้ว่าไม่ได้เปิดทีวีหรือคอมพิวเตอร์ทิ้งไว้ก่อนเข้านอน แล้วเสียงเด็กมาจากไหนกัน หรือว่าแม่บ้านของเธอแอบพาหลานมาด้วยเพราะคิดว่าเธอไม่อยู่ห้องวันนี้ ใช้ไม่ได้จริงๆ เห็นทีต้องคุยกับป้าฮงให้รู้เรื่อง มู่หนิงชิงมุ่นคิ้วอย่างหงุดหงิด เพราะถูกรบกวนจนตื่นก่อนเสียงนาฬิกาปลุก เธอต้องการจะลืมตา ทว่ากลับเปิดเปลือกตาไม่ขึ้น จู่ๆ อาการปวดศีรษะรุนแรงจนแทบหมดสติเข้าจู่โจมในฉับพลัน ภาพความทรงจำของหญิงสาวอายุราวสิบห้าปีปรากฏขึ้นในหัว เรื่องราวและเหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิตหลั่งไหลต่อเนื่องยาวนาน เปรียบได้ดั่งซีรีส์เรื่องหนึ่ง การถ่ายทอดเรื่องราวและอาการปวดศีรษะของมู่หนิงชิง กินเวลากว่าสองชั่วโมง ท้ายที่สุดความรู้สึกทรมานแสนสาหัสก็หยุดลง มู่หนิงชิงหอบหายใจถี่ เหงื่อเม็ดเล็กผุดพราวทั่วกรอบหน้า เธอสามารถลืมตาขึ้นได้ในที่สุด ภาพแรกที่เห็น คือหลังคาเก่าทรุดโทรม คานของเพดานทำขึ้นจากไม้และมีหญ้าแห้งมุงทับไว้ สภาพคล้ายจะพังมิพังแหล่ เรียวคิ้วงามมุ่นเข้าหากัน ความรู้สึกเจ็บปลาบเด่นชัดที่ท้ายทอย พิสูจน์ให้เธอรู้ว่านี่ไม่ใช่ความฝัน มู่หนิงชิงยกมือขึ้นมาสัมผัสท้ายทอยด้านซ้ายที่กำลังปวดตุบๆ ปลายนิ้วคลำเจอก้อนบวมขนาดไข่ไก่เบอร์หนึ่ง “อ๊ะ เจ็บชะมัด!” “พี่ใหญ่ตื่นแล้ว! “เสียงเล็กตื่นเต้นของเด็กผู้หญิงดังขึ้นข้างหู มู่หนิงชิงรีบหันไปมอง สายตาสบเข้ากับใบหน้าเล็กเท่าฝ่ามือกอบ ซึ่งเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาของเด็กหญิงคนหนึ่ง ครั้นดวงตาสองคู่สบประสาน อาการหวาดผวาพลันเกิดขึ้นกับมู่หนิงชิง “กรี๊ดด ผะ ผีหลอก ผีเด็กหลอก! ฉันกลัวผี อย่ามาหลอกมาหลอนกันเลย! แล้วจะทำบุญกรวดน้ำไปให้” มู่หนิงชิงกรีดร้องสุดเสียง ลุกพรวดขึ้นมานั่ง ขยับถอยกรูดจนแผ่นหลังติดข้างฝา สีหน้าท่าทางตื่นตระหนกสุดชีวิต "กรี๊ดดดดดด" เจ้าตัวเล็กเองก็ตกใจเสียงกรี๊ดของพี่สาว นางเลยกรี๊ดตามผงะถอยหลังก้นจ้ำเบ้า ทว่าก็ได้สติกลับคืนมาอย่างรวดเร็ว “ท่านแม่ พี่ใหญ่ฟื้นแล้วเจ้าค่าาา” เด็กหญิงตัวน้อยที่ถูกเข้าใจว่าเป็นผี ขยับปากส่งเสียงเรียกมารดาด้วยความดีใจ ใบหน้าเล็กหันมาหามู่หนิงชิงที่นั่งชันเข่าขดตัวหลังชนฝา กลอกตาไปมาสำรวจสภาพแวดล้อมรอบกาย “พี่ใหญ่พูดจาแปลกประหลาดจริงๆ ด้วย กลางวันแสกๆ จะมีผีได้อย่างไร ต้องรอให้มืดก่อนเจ้าค่ะ พี่ใหญ่ยังเจ็บตรงไหนอยู่รึเปล่า อันเอ๋อร์จะได้ไปบอกท่านแม่ให้ เสียงท่านแหบมากเลย เดี๋ยวอันเอ๋อร์ไปรินน้ำมาให้นะเจ้าคะ” เจ้าตัวน้อยดีอกดีใจที่ในที่สุดพี่สาวก็ตื่นขึ้น ริมฝีปากจิ้มลิ้มเอ่ยวาจาฉะฉานเป็นชุด เดินไปรินน้ำจากกาใส่ถ้วยดินเผาที่วางอยู่บนโต๊ะไม้เก่าๆ ใกล้หน้าต่าง และนำมายื่นให้พี่สาวด้วยรอยยิ้มน่ารัก ความจริงปีนี้มู่หนิงอันอายุหกหนาวแล้ว เพียงแต่ร่างกายของเด็กหญิงแคระแกร็นกว่าปกติเพราะขาดสารอาหาร ทว่าเจ้าตัวน้อยกลับรู้ความนัก ทั้งมีความจำดีมาก นางยังคงจดจำเรื่องที่ท่านหมอหูบอกกับบิดามารดาว่า “หากชิงเอ๋อร์ฟื้นขึ้นมาแล้วมีอาการสับสน หรือจำอะไรไม่ได้ก็อย่าพึ่งตื่นตกใจไป นี่เป็นอาการซึ่งพบได้บ่อย ในคนที่ได้รับความกระทบกระเทือนบริเวณศีรษะอย่างรุนแรง” มู่หนิงชิงที่เวลานี้ใจเย็นลง เพราะเริ่มตระหนักถึงสภาพการณ์ตรงหน้า เธอมองชามใส่น้ำในมือเด็กหญิงอย่างกระหาย พลันตัดสินใจทดลองบางสิ่งด้วยการเอ่ยเรียกชื่ออีกฝ่ายก่อนรับน้ำมาดื่ม “น้องชื่อมู่หนิงอัน?” เสียงแหบแห้งแตกระแหงมิต่างจากเป็ดเทศเอ่ยถามเด็กหญิง มู่หนิงอัน เป็นชื่อที่ปรากฏอยู่ในภาพความทรงจำที่ได้เห็นเมื่อสักครู่ก่อนจะสติแตก “เจ้าค่ะ ชื่อของอันเอ๋อร์คือ มู่หนิงอัน ส่วนพี่ใหญ่ชื่อมู่หนิงชิง พี่รองชื่อมู่หนิงเฉิง” เด็กหญิงตอบกลับอย่างฉะฉาน คำตอบจากปากเด็กน้อยตรงหน้า ช่วยไขข้อข้องใจของมู่หนิงชิงให้กระจ่างชัด เธอตบเข่าฉาดสีหน้ามั่นอกมั่นใจ นั่นปะไร! เป็นอย่างที่สงสัยจริงๆ ตัวเธอทะลุมิติมาเหมือนอย่างในนิยายหลายเรื่องที่เคยอ่าน! แม่เจ้า! นี่มันออกจะเหลือเชื่อเกินไปแล้ว! ปาฏิหาริย์จากจินตนาการของนักเขียนนิยายมีอยู่จริง อะเมซิ่งสุดๆ!! มือผอมบางยกขึ้นมาทาบอกด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ พลันฉุกคิดบางสิ่งขึ้นมาได้ หรือว่าเป็นเพราะอิทธิฤทธิ์จากจี้หยกเหอเถียนสีแดง อายุเป็นพันปีที่ใส่นอนเพราะความเห่อชิ้นนั้น อย่าบอกนะว่าเธอเจอเข้ากับอภินิหารจากของโบราณ! หากเป็นอย่างที่คาดจริงก็เรียกว่าเจอแจ็คพ็อตเลยนะเนี่ย! มิน่าในตำราเก่าๆ ถึงมีคำกล่าวเตือนว่า ‘วัตถุโบราณยิ่งเก่ายิ่งลึกลับ บางชิ้นอาจมีคำสาปหรืออาถรรพ์ติดมา ขอให้ระวังเอาไว้' นี่แหละหนาที่เขาว่า ไม่เชื่อแต่อย่าลบหลู่ มู่หนิงชิงคิดเองตอบเองอยู่ในใจ เมื่อตั้งสมมุติฐานขึ้นมาได้ สีหน้าเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นครุ่นคิด ตกลงว่าตัวเธอทะลุมิติมาเฉยๆ หรือว่าตายไปแล้วเลยทะลุมิติมากันล่ะเนี่ย?! เมื่อคืนนี้ก่อนนอนก็ไม่ได้อ่านนิยายซักหน้า แล้วเธอทะลุมิติมาอยู่ในนิยายเรื่องไหนกัน หลายปีที่ผ่านมาอ่านไปหลายสิบเรื่องซะด้วย แล้วใครมันจะไปจดจำเนื้อหาของนิยายทุกเรื่องได้หมดกันเล่า เล่นอ่านไปซะหลายเรื่อง หลายแนวขนาดนั้น... แล้วถ้าเกิดว่าเธอไม่ได้อยู่ในนิยายล่ะ?? โอ้ย! สับสนมึนงง คิดไม่ออก…ฮืออ เวรกรรมของคนสวยจริงๆ!! อยู่ดีๆ ก็งานเข้าแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย เพราะถูกความสับสนที่หาคำตอบไม่ได้ถาโถมความคิด มู่หนิงชิงเลยเริ่มทึ้งหัวตนเอง มู่หนิงอันนั่งอ้าปากหวอ เอียงคอมองพี่สาวที่บ่นพึมพำอยู่คนเดียวก่อนหน้านี้ และเปลี่ยนมาทึ้งหัวตัวเองตาปริบๆ หัวคิ้วเล็กของเด็กหญิงเริ่มมุ่นเข้ากันบ้าง “ท่านแม่เจ้าคะ…พี่ใหญ่ปวดหัวเจ้าค่าาา ดึงผมตัวเองใหญ่แล้ว” ร่างเล็กวางชามใส่น้ำลงกับเตียง ตะโกนเสียงดังขณะวิ่งดุ๊กดิ๊กออกไปตามมารดา “…” มู่หนิงชิง “เด็กคนนี้ท่าทางฉลาดใช้ได้เลยนะเนี่ย” เธอหยุดทึ้งหัวตัวเองเพราะเริ่มรู้สึกเจ็บหนังหัว เอื้อมมือไปหยิบชามใส่น้ำมาดื่มด้วยความกระหาย "อึ้ก อึ้ก อ้าว หมดซะล่ะยังดื่มไม่พอเลย" เธอขยับตัวเพื่อจะลุกไปรินน้ำมาดื่มเพิ่ม ทว่าร่างกายเกิดโงนเงนจนต้องลงไปนั่งบนเตียงอีกรอบ "โอ้ย ไม่มีแรง ทำไมขาแข้งอ่อนแบบนี้" เธอรีบก้มสำรวจร่างกายตนเอง จึงเห็นว่าแขนขาเล็กมาก ผอมจนแทบเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูก "โอ้โห ผอมมาก ผอมยังกับตะเกียบแน่ะ เฮ้อ! ทะลุมิติมารับบทชีวิตรันทดสินะ ชิงชิง”บทที่ 81 สิ้นสุดความแค้น (ตอนปลาย) ร่างบางในชุดดำแสยะยิ้มร้ายอย่างสาแก่ใจ เอ่ยประโยคต่อไปด้วยน้ำเสียงยียวน "อ้อ ข้าลืมไป ยังมีอีกคนที่ตายแล้วเหมือนกัน เพิ่งตายไปสดๆร้อนๆศพยังคงอุ่นอยู่เลย เจ้าลองทายดูสิว่าใคร ฮ่าๆๆ" สีหน้าของหลินเจาถิงดูสับสน นางไม่เข้าใจว่าหญิงสาวเบื้องหน้า ที่อ้างว่าตนคือธิดาของเฉินชิงเหอกำลังพูดถึงเรื่องอะไร "คะ ใครตาย เจ้าพูดเรื่องอะไร ปล่อยข้าไปเดี๋ยวนี้นะ ทหา…" ส่งเสียงได้เพียงเท่านั้นก็มิอาจร้องขอความช่วยเหลือได้อีก ร่างของหลินเจาถิงถูกโอบล้อมด้วยหมอกสีดำหนาวเยือก แรงกดทับหนักหน่วงจนแทบหายใจไม่ออก ดวงตาสีแดงของปีศาจวาวโรจน์อยู่ในความืดมิด เสียงเย็นยะเยือกแว่วขึ้นข้างหู "ข้าจะช่วยบอกให้เจ้ารู้ก็ได้ คนที่ตายในคืนนี้ก็คือลูกชายสุดที่รักของเจ้าอย่างไรเล่า ตายด้วยน้ำมือองค์ชายห้า แถมไปตายอยู่นอกตำหนักด้วยนะ อีกไม่นานพี่ชายและคนตระกูลหลินของเจ้าก็จะตายตามไป ทำความผิดใดไว้ ข้าคงไม่ต้องบอกกระมัง ฝ่าบาทคงไม่พระทัยดีปล่อยพวกเขาไปแน่" คนฟังน้ำตาไหลพราก เจ็บปลาบในทรวงอกราวถูกกระชากหัวใจ ยามได้ยินว่าโอรสของตนตายแล้ว ร่างผอมบางพยายามดิ้นรน แต่มิอาจหลุดพ้นจากพลานุภาพข
บทที่ 81 สิ้นสุดความแค้น (ตอนต้น) รายงานเรื่ององค์รัชทายาทและพระชายาถูกลอบปลงพระชนม์ ถูกนำขึ้นถวายฮ่องเต้ในเวลาต่อจากนั้นไม่นาน บรรยากาศในห้องบรรทมเงียบงันและตึงเครียดอย่างถึงที่สุด แม้แต่มหาขันทีอย่างหวายกงกงยังแทบหายไม่ออก ผ่านไปครู่ใหญ่ ในที่สุดโอรสสวรรค์ก็ขยับพระวรกายก้าวลงจากลงแท่นบรรทม ทรงก้าวไปเปิดบานหน้าต่างออกด้วยองค์เอง พระหทัยวูบโหวงอย่างแปลกประหลาด ซวินเทียนอวิ๋นก็เป็นโอรสองค์หนึ่งของเขา แม้นไม่ได้ทรงโปรดปรานเท่าซวินเหิงเยว่ ทว่าก็ทรงอุ้มชูมาตั้งแต่เล็ก "เขาตายได้อย่างไร" พระเนตรเหม่อมองไปไกลยามรับสั่งถาม สุ้มเสียงสั่นเครืออยู่ชั่วอึดใจ "ถูกมือสังหารขององค์ชายห้าลอบปลงพระชนม์พะย่ะค่ะ" หวายกงกงทูลตอบทั้งที่ยังก้มหน้า หลังได้รับแจ้งเรื่อง หวายกงกงจึงส่งคนของตนไปรีดเค้นเอาความจริง จากปากนักฆ่าทั้งสามที่ถูกควบคุมตัวมาได้ หนึ่งในนั้นยอมสารภาพออกมา เพราะถูกข่มขู่ว่าจะจับตอนและนำส่วนที่เฉือนออกมาไปโยนให้สุนัขกิน มหาขันทีคาดไม่ถึงว่าองค์ชายห้าจะไร้หัวใจ ส่งนักฆ่าไปสังหารพระเชษฐาได้อย่างเลือดเย็น เรื่องที่ว่านซูเฟยถูกจับได้ว่าลอบวางยาพิษฮ่องเต้ยังไม่แพร่ออกไป องค์ชายห้า
บทที่ 80 จัดการคนร้าย (ตอนปลาย) พรืดดดด ซวินเหิงเยว่หลุดขำ ส่วนคนอื่นๆก็กำลังกลั้นเสียงหัวเราะกันจนไหล่สั่น ท่านหญิงเฉินเล่อชิงช่างมีความคิดสร้างสรรค์เป็นเลิศ หลังสรุปข้ออ้างถึงสาเหตุที่ทำให้ว่านซูเฟยหน้าแหกได้ เซียวหนิงชิงจึงป้อนยาเพื่อทำให้นางฟื้น ฮ่องเต้และหวายกงกงรีบเล่นงิ้วตามบททันที หัวหน้าหมอหลวงฟ่งซึ่งถูกขันทีหน้าใหม่เรียกมา เวลานี้ยืนเกาหัวแกรกๆ ยามได้ยินสาเหตุอาการบาดเจ็บของซูเฟย 'พระสนม เดินสะดุดพรมล้มหน้าฟาดขอบแท่นบรรทม จากนั้นกระเด้งไปฟาดกับเสา แล้วไถลร่วงไปฟาดกับกระโถนเนี่ยนะ?!' เมื่อยามรัตติกาลมาเยือน คืนนี้เป็นอีกหนึ่งคืน ที่ซวินเทียนอวิ๋นลอบพาชายาเอกออกมานอกตำหนักบูรพา รถม้ากลางเก่ากลางใหม่ไร้ซึ่งสัญลักษณ์และจุดเด่น กำลังวิ่งตรงไปยังถนนที่ตั้งของหออ้ายเสิน ระหว่างที่ต้องขับผ่านตรอกเปลี่ยว ชายชุดดำราวสิบนายปรากฏตัวขึ้นขวางทางรถม้าเอาไว้ พวกมันเข้าจู่โจมเต็มกำลังทันที องครักษ์สองคนที่นั่งอยู่หน้ารถม้าและที่นั่งอยู่ด้านหลังอีกสองคน รีบชักดาบคู่ใจขึ้นมาต่อกร ครั้นผู้ที่อยู่ภายในรถม้ารับรู้ว่าตนเกิดเรื่อง อาการหวาดผวาระคนตื่นตระหนกเข้าครอบงำทั้งคู่ทันที "
บทที่ 80 จัดการคนร้าย (ตอนต้น) เซียวหนิงชิงนั่งอยู่บนตั่งในห้องอุ่น โดยมีวรกายสูงสง่าของอ๋องหนุ่มนอนหนุนตัก เขากอบกุมมือบางของนางมาแนบแก้ม รับสั่งถึงที่เรื่องตนต้องแอบเข้าวัง เพื่อเยี่ยมอาการฮ่องเต้และสืบข่าวเรื่องของว่านซูเฟย "ข้ามีความคิดดีๆเจ้าค่ะ เพียงแต่ต้องขอความร่วมมือจากหวายกงกง ล่อนางมาตำหนักของฝ่าบาท จากนั้นก็ให้ข้าและพี่หลี่โหยวจับง้างปากล้วงเอาความจริงออกมา ถ้านางทำจริงจะได้จัดการเสียตรงนั้นเลย" เซียวหนิงชิงเสนอความคิด อันที่จริงนางคนเดียวก็สามารถล้วงความลับได้เหมือนกัน ไม่มีใครต้านทานพลานุภาพของหมอกปีศาจได้ โดนมันโอบล้อมเมื่อใดรับรองว่าคายความลับออกมาหมด "ชิงเอ๋อร์ยอมเข้าวังกับข้าหรือ" ซวินเหิงเยว่หยัดวรกายขึ้นมานั่ง รับสั่งถามคนรักอย่างกระตือรือร้น "ถ้าคนในวังอนุญาตเจ้าค่ะ" นางแค่ถามพอเป็นพิธีไปอย่างนั้นเอง เพราะรู้อยู่แล้วว่าคนรักต้องหาทางหนีบนางพาเข้าวังไปด้วยแน่นอน "หากเป็นเรื่องนี้ย่อมไม่มีปัญหา" สองวันถัดมา พระราชวังหลวง ในช่วงสายของวัน หวายกงกงไปเชิญว่านซูเฟย มาเยี่ยมพระอาการประชวรของฮ่องเต้ซวินเสวียนคงถึงตำหนักด้วยตนเอง โดยอ้างว่าฝ่าบาทมีเรื่องสำคั
บทที่ 79 ปลาฮุบเหยื่อ (ตอนปลาย) หญิงสาวปรือตาฉ่ำน้ำตอบรับเขาอย่างลืมตัว "เจ้าเก่งเหลือเกิน อื้ออ ถูกใจข้ายิ่งนัก แรงอีกหน่อย อ๊าา ข้าเกือบถึงอีกแล้ว" เสียงครวญครางด้วยความสุขสมของหญิงสาว ดังเข้าหูชายหนุ่มอีกคนที่นั่งรออยู่ข้างห้อง มือแกร่งกำเข้ากันแน่นจนข้อนิ้วลั่น ถอนหายใจออกมาหนักหน่วง ก่อนยกจอกสุราขึ้นกระดกจนหมดในรวดเดียว ผู้ติดตามที่มาด้วยยืนก้มหลุบตาต่ำ ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง ผ่านไปแล้วสามเค่อ การเคลื่อนไหวในห้องข้างๆ ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง อีกทั้งเสียงเนื้อกระทบกันเคล้าเสียงครวญครางด้วยความเมามันกลับดังขึ้นเรื่อยๆ ช่างเสียดแทงหูของผู้ได้ยินยิ่งนัก ปัง! "มันจะทำกันนานเกินไปแล้วนะ!" เขาตบโต๊ะด้วยความขุ่นเคือง เค้นเสียงเอ่ยลอดไรฟัน ใบหน้าหล่อเหลาดำทะมึนอย่างหงุดหงิด ผู้ติดตามยังคงเงียบงันไร้ซึ่งวาจา ทว่าต่างแอบคิดเหมือนกันไม่มีผิด 'ดูท่าเจ้าหนุ่มนั่นคงมีฝีไม้ลายมือเรื่องอย่างว่าน่าดู นางถึงได้ครางเสียงหลงขนาดนี้…' ราวสองเค่อต่อมาเสียงการเคลื่อนไหวก็เงียบลง ร่างกายเปลือยเปล่าขาวผ่องของหญิงสาว นอนทับอกแกร่งของชายหนุ่มด้วยรอยยิ้มอิ่มเอม นางหอบหายใจจากความเหนื่อยอ่อนทว่าสุข
บทที่ 79 ปลาฮุบเหยื่อ (ตอนต้น) "หัวหน้าหมอหลวงฟ่งปรุงยาถอนพิษได้หรือไม่" สุรเสียงของซวินเหิงเยว่เต็มไปด้วยความกังวลขณะรับสั่งถาม หวายกงกงส่ายหน้า “ท่านหมอฟ่งกำลังตรวจสอบหาที่มาของพิษอยู่พะย่ะค่ะ หากไม่ทราบว่าเป็นพิษชนิดใด ก็มิอาจปรุงยาถอนได้ ระหว่างนี้จึงได้ทำการฝังเข็มเพื่อชะลอการแพร่กระจายของพิษไว้ก่อน“ "กงกงโปรดรออยู่ที่นี่สักครู่" รับสั่งเสร็จก็เดินหายไปยังห้องนอน และกลับออกมาพร้อมกล่องใบเล็กในมือ ก้มลงกระซิบบางอย่างกับหวายกงกง วันรุ่งขึ้นข่าวเรื่องฮ่องเต้ประชวรได้ถูกแจ้งแก่ขุนนางที่มารอประชุมเช้า ราชกิจทั้งหลายถูกโอนไปให้องค์รัชทายาทรับผิดชอบแทนชั่วคราว ตำหนักหวงหยาง องค์ชายห้าซวินเหอเยี่ยนสีหน้าเต็มไปด้วยคำถาม หลังจากกลับออกมาจากวังหลวง ทั้งที่ปกติพระบิดาของเขามีพระวรกายแข็งแรงมาตลอด นานๆครั้งถึงจะเป็นหวัดเพราะต้องลมเย็นสักครา ทว่าจู่ๆกลับทรงประชวรหนักจนถึงขั้นมิอาจเข้าประชุมเช้า ครั้นจะขอเข้าเยี่ยมพระอาการ กลับถูกหวายกงกงห้ามไว้ โดยอ้างว่าที่ฝ่าบาทประชวร เป็นเพราะทรงเสียพระทัยเรื่องการสิ้นพระชนม์ของไทเฮา รวมทั้งเรื่องของฮองเฮาและตระกูลหลิน หัวหน้าหมอหลวงฟ่งกำชับให้
Comments