บุปผาสวรรค์ล่องลมข้ามภพ ผันบรรจบรักเหนือกาลผ่านสมัย หนึ่งบุปผาเบ่งบานกลางหทัย ท่ามตำนานบูรพาตราตรึงเอย
View Moreเดือนห้า รัชศกเทียนเหอปีที่เจ็ดสิบหก¹
ยามรัตติกาลล่วงเลย อากาศเย็นเยียบจับขั้วหัวใจ ดุจไอเหมันต์แผ่ปกคลุมไปทั่วสารทิศ
แม้จันทราจะทอแสงนวลผ่อง แต่ก็มิอาจขับไล่ความมืดมิดที่เข้าปกคลุมดวงจิตของ ตู้เยี่ยนอวี่ ไปได้เลย เธอนอนแน่นิ่งอยู่บนผืนเตียงไม้แข็งกระด้าง ไม่อาจขยับเขยื้อนกาย ดุจท่อนไม้ที่ถูกทอดทิ้งริมธาร ใบหน้าซีดขาวดุจกระดาษ แสงเทียนริบหรี่ในมุมห้องส่องกระทบใบหน้าของเธอ เผยให้เห็นเค้าโครงอ่อนเยาว์ที่ไม่คุ้นตา
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน” เสียงกระซิบแผ่วเบาเล็ดลอดจากลำคอแห้งผาก ราวกับไม่ใช่เสียงของตนเอง สองตาเบิกโพลง พยายามปรับโฟกัสกับภาพที่เห็นตรงหน้า
ภาพจำสุดท้ายของตู้เยี่ยนอวี่ในวัยยี่สิบสี่ปี ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์แผนปัจจุบันนั้น คือแสงไฟสว่างจ้าจากรถยนต์ที่กำลังพุ่งเข้าใส่ เสียงยางบดถนน และความเจ็บปวดเสียดแทงไปทั่วร่าง
ทว่า…
บัดนี้ความรู้สึกเหล่านั้นกลับเลือนหายไปสิ้น มีเพียงความมึนงงและอาการปวดร้าวบริเวณศีรษะที่หลงเหลืออยู่
“นี่ฉันยังไม่ตายเหรอเนี่ย ?” เธอพยายามขยับนิ้วมืออย่างเชื่องช้า ความรู้สึกแปลกประหลาดไหลเวียนไปทั่วฝ่ามือ ดุจกระแสธารวารีที่ไหลวนในเส้นเลือด นิ้วมือที่เคยเรียวยาวแข็งแกร่งจากการจับเข็มฉีดยา บัดนี้กลับดูบอบบางและเล็กจ้อยยิ่งนัก
“คุณหนูฟื้นแล้ว !”
เสียงอุทานปนความยินดีของหญิงสาววัยสิบเจ็ดสิบแปดปี ผู้มีใบหน้ากลมมนน่าเอ็นดู ดวงตากลมโตเป็นประกาย นางรีบก้าวเข้ามาใกล้เตียง พลางใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดหน้าผากของเยี่ยนอวี่อย่างเบามือ
“เธอเป็นใคร ?” เยี่ยนอวี่พยายามเปล่งเสียงอีกครา แต่กลับแหบพร่าจนแทบไม่ได้ยิน
หญิงสาวผู้นั้นนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ ดวงตาฉายแววกังวล
“คุณหนูจำบ่าวไม่ได้หรือเจ้าคะ บ่าวชื่อ เสี่ยวจู เป็นบ่าวรับใช้ของคุณหนูมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยเลยนะเจ้าคะ”
เยี่ยนอวี่ขมวดคิ้วแน่น
คำว่าคุณหนู และบ่าวดังก้องอยู่ในโสตประสาท ดุจระฆังยามเช้าที่ดังสนั่น ภาพในห้วงความคิดของเธอฉายซ้ำราวกับม้วนภาพยนตร์เก่า ๆ ห้องพักที่เรียบง่ายในอพาร์ตเมนต์ กลิ่นยาฆ่าเชื้อในโรงพยาบาล เสียงอึกทึกครึกโครมของมหานคร สิ่งเหล่านี้กลับกลายเป็นความทรงจำอันเลือนรางไปเสียแล้ว
“ที่นี่ที่ไหน ?” เธอถามเสียงแผ่วอีกครั้ง พร้อมกวาดสายตามองไปรอบห้องที่ประดับประดาด้วยข้าวของเครื่องใช้แบบโบราณ ราวกับหลุดมาจากภาพวาดในพิพิธภัณฑ์ ผ้าห่มผืนหนาที่คลุมกายอยู่เป็นผ้าทอหยาบ ๆ เตียงนอนทำจากไม้เนื้อแข็ง หน้าต่างไม้ที่ปิดสนิท และแสงเทียนที่ให้ความสว่างเพียงน้อยนิด ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่คุ้นเคยแม้แต่น้อย
เสี่ยวจูถอนหายใจเฮือกใหญ่ คล้ายความกังวลถาโถมเข้ามาอีกครา
“คุณหนูคงจะทรงไข้หนักจนหลงลืมไปชั่วขณะนะเจ้าคะ นี่คือเรือนเล็กของสกุลตู้ในหมู่บ้านซีหลินเจ้าค่ะ”
หมู่บ้านซีหลิน ? สกุลตู้ ?
คำตอบเหล่านี้ยิ่งทำให้ตู้เยี่ยนอวี่สับสนงุนงงดุจอยู่ในเขาวงกต เธอพยายามนึกย้อนถึงญาติมิตร หรือแม้แต่ชื่อสกุลที่คุ้นเคย แต่ก็ไม่มีใครปรากฏขึ้นในห้วงความคิดของเธอเลย
“ฉั- ขะ ข้าชื่อตู้เยี่ยนอวี่หรือ ?” เธอลองเอ่ยชื่อที่ได้ยินออกมาอย่างตะกุกตะกัก พยายามเป็นอย่างมากที่จะไม่ให้หลุดคำพูดแปลก ๆ
เสี่ยวจูพยักหน้าหงึกหงัก “ใช่เจ้าค่ะ คุณหนูตู้เยี่ยนอวี่ สตรีที่ใคร ๆ ก็ต่างบอกว่าเพียบพร้อม” นางยิ้มอย่างโล่งใจเล็กน้อย “ดูท่าคุณหนูจะดีขึ้นแล้ว บ่าวจะรีบไปแจ้งฮูหยินและท่านผู้เฒ่าเจ้าค่ะ”
กล่าวจบเสี่ยวจูก็รีบร้อนวิ่งออกไปจากห้อง ทิ้งให้ตู้เยี่ยนอวี่จมอยู่กับความคิดอันวุ่นวายดุจเส้นด้ายที่พันกันยุ่งเหยิง
“ตู้เยี่ยนอวี่ ชื่อนี้ไม่คุ้นหูเลยแม้แต่น้อย” เธอพึมพำกับตนเอง พลางยกมือขึ้นลูบใบหน้าบอบบางของตนเอง สัมผัสที่รับรู้คือผิวที่เนียนนุ่มดุจไข่มุก และโครงหน้าที่เล็กกว่าที่เคยเป็น
“นี่ไม่ใช่ร่างของข้า” ความคิดนี้ผุดขึ้นในสมอง ดุจฟ้าผ่าลงกลางใจ “นี่ฉันทะลุมิติมาหรือนี่ ? เรื่องแบบนี้มีจริงในโลกใบนี้ด้วยหรือไงกัน ?”
ความจริงอันน่าตกใจนี้ทำให้หัวใจของตู้เยี่ยนอวี่เต้นระรัว ดุจกลองศึกที่รัวขึ้นในยามสงคราม เธอพยายามรวบรวมสติ ค่อย ๆ ทบทวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด ตั้งแต่จุดจบในโลกเดิม จนกระทั่งฟื้นขึ้นมาในร่างใหม่นี้
“ตอนนี้ฉันอยู่ในร่างของเด็กสาววัยสิบสี่ปีสินะ” เธอทอดถอนใจยาว พลางมองสำรวจร่างกายของตนเองใต้ผ้าห่มผืนหนา “แต่ก่อนฉันเคยเป็นถึงแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ แต่ทำไมตอนนี้ถึงกลายเป็นเด็กน้อยไปเสียได้”
ความรู้สึกอ้างว้างและโดดเดี่ยวเข้าครอบงำจิตใจ ดุจนกน้อยที่พลัดหลงจากรัง
ไม่มีที่พึ่งพิง สิ่งที่เคยเป็นความจริงในชีวิตของเธอตอนนี้ได้แปรเปลี่ยนไปสิ้นเชิง ทว่าในความสิ้นหวังนั้น แววตาของนางก็ฉายประกายแห่งความมุ่งมั่น ดุจแสงหิ่งห้อยที่ยังคงส่องสว่างในความมืดมิด
“จะร้องไห้คร่ำครวญไปก็ไม่ได้ช่วยอะไร” เธอกล่าวกับตนเองอย่างเด็ดเดี่ยว “ในเมื่อฟ้าดินลิขิตให้ฉันมาอยู่ในร่างนี้แล้ว ก็ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ได้ !”
ครู่หนึ่ง เสียงฝีเท้าก็ดังใกล้เข้ามา พร้อมกับเสียงพูดคุยแผ่วเบา
ประตูห้องเปิดออกเผยให้เห็นหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่ง สวมอาภรณ์เรียบง่ายแต่ดูสะอาดสะอ้าน ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม ดวงตาฉายแววห่วงใย นางเดินตรงเข้ามาที่เตียง พลางจับมือของเยี่ยนอวี่อย่างอ่อนโยน
“อวี่เอ๋อร์ เจ้าฟื้นแล้วหรือลูก ? รู้หรือไม่ว่าเจ้าทำให้แม่ใจหายใจคว่ำไปหมด”
ตู้เยี่ยนอวี่มองสตรีผู้นั้นด้วยความรู้สึกแปลกแยก แม้จะมิเคยพบพานมาก่อน แต่แววตาและสัมผัสที่อบอุ่นของนางก็ทำให้หัวใจที่เย็นชาของเยี่ยนอวี่อบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย
“ท่านเป็นมารดาของข้าหรือเจ้าคะ ?” เยี่ยนอวี่ถามออกไปตรง ๆ
สตรีผู้นั้นหัวเราะเบา ๆ “บุตรสาวข้าช่างพูดจาแปลกไปเสียจริง ป่วยหนักจนจำมารดาไม่ได้เชียวหรือนี่ ?”
นางหันไปสบตากับชายสูงวัยผู้หนึ่งที่เดินตามเข้ามา ใบหน้ามีรอยเหี่ยวย่น แต่ดวงตาเปี่ยมไปด้วยความปรานี
“นายท่านผู้เฒ่า ฮูหยิน คุณหนูอวี่เอ๋อร์ก็จำข้าไม่ได้เช่นกันเจ้าค่ะ” เสี่ยวจูกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก
ชายสูงวัยผู้นั้นมีหนวดเครายาวสีขาวประปราย ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความสงบดุจพระสงฆ์ในวิหาร เดินเข้ามาใกล้เตียง พลางวางมือลงบนศีรษะของเยี่ยนอวี่อย่างแผ่วเบา
“มิเป็นไรหรอกลูกรัก เพียงป่วยหนักจนความจำเลอะเลือนไปชั่วขณะเท่านั้น พักผ่อนให้มาก แล้วทุกอย่างก็จะดีขึ้นเอง” เขาพูดด้วยน้ำเสียงปลอบโยน
ตู้เยี่ยนอวี่มองบุคคลทั้งสามตรงหน้า แม้จะมิใช่ครอบครัวที่แท้จริงของเธอ แต่ความห่วงใยที่พวกเขามอบให้ก็สัมผัสได้ถึงจิตใจอย่างลึกซึ้ง
“ข้าปวดหัวเจ้าค่ะ” เธอกล่าว เพื่อหลีกเลี่ยงการตอบคำถามที่อาจทำให้ความลับของเธอถูกเปิดเผย
“เช่นนั้นก็พักผ่อนเถิดลูกรัก” มารดาของร่างนี้กล่าว พลางใช้มือลูบผมของเธออย่างแผ่วเบา “เสี่ยวจู เจ้าคอยดูแลคุณหนูให้ดี”
“เจ้าค่ะฮูหยิน” เสี่ยวจูรับคำอย่างนอบน้อม
เมื่อบุคคลทั้งสองเดินออกไปจากห้อง เหลือเพียงตู้เยี่ยนอวี่กับเสี่ยวจู ความเงียบก็เข้าปกคลุมอีกครา
“เสี่ยวจู เจ้าเล่าเรื่องราวของข้าให้ฟังได้หรือไม่ ?” ตู้เยี่ยนอวี่ตัดสินใจใช้โอกาสนี้ในการรวบรวมข้อมูล
เสี่ยวจูยิ้มกว้างออกมาทันทีที่ได้ยิน ก่อนจะค่อย ๆ เอ่ยเล่าเรื่องราวต่าง ๆ
“ได้เจ้าค่ะ คุณหนูเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวของท่านผู้เฒ่าตู้และฮูหยิน ท่านผู้เฒ่าเป็นบัณฑิตผู้คงแก่เรียน มีความรู้ความสามารถ แต่ไม่ชอบความวุ่นวาย จึงเลือกมาใช้ชีวิตอย่างสงบในหมู่บ้านซีหลินแห่งนี้ ส่วนฮูหยินก็เป็นแม่ศรีเรือนที่ดี มีฝีมือในการเย็บปักถักร้อยและทำอาหารเลิศรส”
เสี่ยวจูเล่าเรื่องราวของตระกูลตู้ให้ฟังอย่างละเอียด ตั้งแต่ประวัติความเป็นมาของท่านผู้เฒ่าตู้ การใช้ชีวิตที่เรียบง่ายในหมู่บ้าน ไปจนถึงเหตุการณ์ที่ตู้เยี่ยนอวี่ล้มป่วยด้วยไข้หนักและสลบไปหลายวัน
“คุณหนูเพิ่งอายุสิบสี่ปีเจ้าค่ะ” เสี่ยวจูกล่าวสรุป “แต่คุณหนูเป็นเด็กที่ฉลาดเฉลียว เรียนรู้เร็ว ทั้งยังมีความเมตตาต่อผู้คน ยามว่างมักจะไปช่วยบ่าวรับใช้ทำงานบ้าน หรืออ่านตำราต่าง ๆ ในห้องสมุด”
ตู้เยี่ยนอวี่รับฟังเรื่องราวเหล่านั้นอย่างตั้งใจ
สิ่งที่เสี่ยวจูเล่ามานั้นช่างแตกต่างจากชีวิตเดิมของเธอลิบลับ แต่ก็ทำให้ฉุกคิดได้ว่าอย่างน้อยร่างนี้ก็มีครอบครัวที่อบอุ่นและมีพื้นเพที่ดี
“ข้าเข้าใจแล้ว” เธอตอบสั้น ๆ พลางหลับตาลงช้า ๆ พยายามประมวลข้อมูลทั้งหมดที่ได้รับ
ในความมืดมิดของเปลือกตา ตู้เยี่ยนอวี่เห็นภาพของโลกเดิมเลือนลางลงไปทุกที โดยที่มีความทรงจำใหม่เริ่มเข้ามาแทนที่ทีละน้อย
“ไม่ว่าโลกนี้จะเป็นยังไง ฉันก็จะใช้ชีวิตให้ดีที่สุด” เธอปวารณาในใจ ดุจนักรบที่ตั้งมั่นในคำปฏิญาณ “ในเมื่อฟ้าส่งฉันมาแล้ว ฉันก็จะไม่ยอมให้ตัวเองต้องจมปลักอยู่กับความทุกข์ระทม”
————————
¹รัชศกเทียนเหอปีที่เจ็ดสิบหก (天和七十六年 – เทียนเหอ ชี่สือลิ่วเหนียน) เป็นการระบุปีตามแบบจีนโบราณ
เทียนเหอ (天和) แปลว่าฟ้าสัมพันธ์ หรือสันติแห่งสวรรค์ เป็นชื่อรัชศก (年号 – เนี่ยนฮ่าว) ซึ่งเป็นชื่อยุคสมัยที่จักรพรรดิทรงตั้งขึ้นเพื่อใช้เรียกปีในรัชสมัยของพระองค์ ส่วนปีที่เจ็ดสิบหก (七十六年) หมายถึง ปีที่ 76 ในรัชศกนั้น
ช่วงเวลาหลายสัปดาห์ต่อมา บรรยากาศในวังหลวงสงบสุขลงอย่างเห็นได้ชัด ถุงหอมหนิงอันของตู้เยี่ยนอวี่ดูเหมือนจะได้ผลชะงัด เหล่าขุนนางและเชื้อพระวงศ์มีท่าทีที่ผ่อนคลายและจิตใจที่แจ่มใสขึ้น ความขัดแย้งเล็ก ๆ น้อย ๆ ลดลงจนแทบไม่ปรากฏกู้เหยียนหลงเองก็ประสบความสำเร็จในการปรับเปลี่ยนกำลังพล เขาสามารถโยกย้ายคนของรองแม่ทัพจ้าวคุนออกไปจากตำแหน่งสำคัญ และแทนที่ด้วยนายทหารรุ่นใหม่ที่มีความสามารถและภักดีได้อย่างราบรื่นดูเหมือนว่าฝ่ายของพวกเขาจะกุมชัยชนะและควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ทั้งหมด ทว่า นี่เป็นเพียงความสงบก่อนพายุจะโหมกระหน่ำอย่างแท้จริงหอเหมยแดงยังคงเปิดให้บริการตามปกติ ภายใต้เสียงดนตรีอันไพเราะและกลิ่นกำยานหอมกรุ่น นักดนตรีขลุ่ยมายาในม่านลูกปัดกำลังสนทนากับนักปลอมแปลงเอกสารมือหนึ่งของยุทธภพ“ข้าต้องการสาส์นลับฉบับหนึ่ง ที่มีลายมือของจางอู๋จี แต่เนื้อความต้องเป็นบทเพลงที่พวกเราบรรเลง” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เยียบเย็นแผนการหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งความระแวงได้เริ่มต้นขึ้นแล้วอย่างเงียบงัน///ณ กระทรวงกลาโหมหลายวันต่อมา…
ในห้องประชุมลับใต้ดิน บรรยากาศเงียบสงัดจนได้ยินเสียงเปลวเทียนสั่นไหว ใบหน้าของกู้เหยียนหลงและจางอู๋จีเคร่งขรึมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หลังจากที่ตู้เยี่ยนอวี่ได้เปิดเผยความจริงอันน่าสะพรึงกลัวเกี่ยวกับเครื่องหอมในหอเหมยแดง“พวกมันมิได้ต้องการแค่ราชบัลลังก์ แต่ต้องการควบคุมวิญญาณของขุนนางทั้งแผ่นดิน” จางอู๋จีกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่า “นี่คือแผนการที่ชั่วร้ายและทะเยอทะยานเกินกว่าที่ผู้ใดจะคาดคิด”“การบุกทำลายหอเหมยแดงในยามนี้เป็นไปไม่ได้” กู้เหยียนหลงวิเคราะห์ “นั่นเท่ากับเป็นการเปิดศึกโดยตรง และจะทำให้องค์ชายจ้าวเฟิงมีข้ออ้างในการเคลื่อนไหวทางการทหารทันที”“ถูกต้องเจ้าค่ะ” ตู้เยี่ยนอวี่กล่าวขึ้น ดวงตาของนางสงบนิ่งดุจน้ำในบ่อลึก แต่กลับฉายประกายแห่งความเด็ดเดี่ยว “ในเมื่อพิษเข้าทางลมหายใจ ยาแก้ก็ต้องออกฤทธิ์ผ่านลมหายใจเช่นกัน”นางได้เสนอแผนการที่แยบยลและเหนือความคาดหมาย นั่นคือการสร้างยาถอนพิษที่มองไม่เห็นขึ้นมาต่อกรตู้เยี่ยนอวี่ใช้เวลาหลายวันขลุกตัวอยู่แต่ในห้องปรุงยา นางศึกษ
เงาจันทร์ทาบทาลงบนตรอกซอกซอยอันมืดมิดของเมืองหลวง ตู้เยี่ยนอวี่และกู้เหยียนหลงเร้นกายออกจากหอเหมยแดงอย่างเงียบเชียบ บรรยากาศที่เคยหรูหราฟู่ฟ่า บัดนี้กลับให้ความรู้สึกน่าขยะแขยงราวกับสุสานที่ประดับประดาอย่างงดงามแต่ซ่อนเร้นไว้ด้วยซากศพและความเน่าเฟะทั้งสองมิได้เอ่ยวาจาใด ๆ ตลอดทาง แต่ในใจกลับปั่นป่วนดุจพายุคลั่ง ภาพของรองแม่ทัพจ้าวคุนที่หายลับเข้าไปในประตูทางลับนั้น ยังคงติดตาตรึงใจราวกับถูกเหล็กร้อนนาบ///ณ ที่พำนักลับของจางอู๋จีบรรยากาศในห้องประชุมใต้ดินนั้นหนักอึ้งและเยียบเย็นยิ่งกว่าค่ำคืนในฤดูเหมันต์“รองแม่ทัพแห่งต้าเฉิน คือหนอนบ่อนไส้” กู้เหยียนหลงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่กดต่ำจนน่ากลัว กำปั้นของเขากำแน่นจนเส้นเลือดปูดโปน ในฐานะแม่ทัพใหญ่ การมีผู้ทรยศอยู่ในตำแหน่งสูงถึงเพียงนี้ ถือเป็นความล้มเหลวและความอัปยศอดสูอย่างใหญ่หลวงจางอู๋จีถอนหายใจยาว“ข้าเคยสงสัยในตัวจ้าวคุนมานานแล้ว” เขากล่าว “ฐานะทางการเงินของเขาเติบโตขึ้นอย่างผิดปกติในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ข้ามิเคยมีหลักฐานมัดตัวเขาได้เลยแม้แต่ชิ้นเดียว จนกระทั่งวัน
ณ ที่พำนักลับของจางอู๋จีแผนที่ขนาดใหญ่ของเมืองหลวงถูกกางออกเต็มโต๊ะ“หอชาด” จางอู๋จีลูบเคราครุ่นคิด “ในเมืองหลวงแห่งนี้ มีสถานที่ที่ใช้ชื่อนี้อยู่สามแห่ง หนึ่งคือหอตำราเก่าแก่ สองคือร้านจำหน่ายผ้าไหม และสาม...” เขาหยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะใช้นิ้วชี้ไปยังจุดหนึ่งในย่านบันเทิงที่หรูหราและพลุกพล่านที่สุดของเมืองหลวง “คือโรงละครและหอคณิกาที่ชื่อเสียงโด่งดังที่สุด มีนามว่าหอเหมยแดง เป็นสถานที่พบปะสังสรรค์ของเหล่าขุนนางและคหบดีผู้มั่งคั่ง เจ้าของของมันเป็นปริศนา และเป็นสถานที่ที่สายของข้ามิอาจแทรกซึมเข้าไปได้ง่ายนัก”“สถานที่ที่ลึกลับและมีอำนาจคุ้มครอง ย่อมเป็นแหล่งซ่องสุมที่ยอดเยี่ยมที่สุด” กู้เหยียนหลงกล่าว แววตาคมกริบดุจเหยี่ยว “เป้าหมายของเราคือที่นั่น”การจะบุกเข้าไปโดยตรงย่อมเป็นการตีหญ้าให้งูตื่น พวกเขาจำเป็นต้องปลอมตัวเพื่อเข้าไปสืบหาความจริงค่ำคืนนั้น ตู้เยี่ยนอวี่และกู้เหยียนหลงได้แปลงโฉมเป็นคุณชายเจ้าสำราญและภรรยาคนงามผู้ติดตาม กู้เหยียนหลงในอาภรณ์ผ้าไหมเนื้อดี ดูสง่างามและแฝงไว้ด้วยความหยิ่งผยองของทายาทคหบดี ส่วนตู้เยี่ยนอวี่ในชุดสีอ่อนหวานขับเน้นให้ใบหน้างดงามของนางดูบอบบางน่าทะ
ค่ำคืนนั้น วังหลวงตกอยู่ในความโกลาหลวุ่นวายการลอบปลงพระชนม์องค์หญิงถือเป็นเรื่องสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน ฝ่าบาททรงพระพิโรธดั่งพายุคลั่ง มีราชโองการให้ปิดประตูวังและสืบสวนเรื่องนี้อย่างเข้มงวดที่สุดองค์หญิงลี่หัวปลอดภัยดีภายใต้การอารักขาอย่างแน่นหนา แม้พระวรกายจะมิได้รับบาดเจ็บ แต่พระทัยกลับตื่นตระหนกอย่างยิ่ง เหตุการณ์ในครั้งนี้ได้สลักลึกลงไปในใจของนาง และทำให้นางยิ่งเชื่อมั่นในตัวตู้เยี่ยนอวี่และกู้เหยียนหลงมากขึ้นเป็นทวีคูณองค์ชายจ้าวเฟิงแสดงละครฉากใหญ่ได้อย่างแนบเนียน เขาทูลแสดงความขุ่นเคืองและห่วงใยต่อเบื้องพระพักตร์ฝ่าบาท พร้อมทั้งเสนอที่จะให้ความร่วมมือในการสอบสวนอย่างเต็มที่“การกระทำอันอุกอาจของคนชั่วเหล่านี้ ถือเป็นการหยามเกียรติทั้งสองแคว้น กระหม่อมจะขออยู่ช่วยสืบหาความจริงให้ถึงที่สุด เพื่อนำตัวผู้บงการมาลงโทษให้จงได้ !”วาจาของเขานั้นเปี่ยมด้วยความจริงใจจอมปลอม แต่ก็ทำให้ผู้ที่มิรู้ความนัยต่างเชื่อสนิทใจ มีเพียงตู้เยี่ยนอวี่และกู้เหยียนหลงเท่านั้นที่รู้ว่า พยัคฆ์ร้ายตัวนี้กำลังแสร้งทำเป็นสุนัขรับใช้ผู้ภักดีณ คุกใต้ดินของสำนักข่าวกรองลับนักฆ่าพรรคเมฆาโลหิตที่ถูกจับเป็นได้
หลายวันผ่านไป ข่าวลือเรื่ององค์หญิงลี่หัวผู้บกพร่องทั้งรูปจริยาและปัญญาได้กลายเป็นหัวข้อสนทนาอันน่าขบขันไปทั่วทั้งวังหลวง องค์ชายจ้าวเฟิงตกเป็นเป้าสายตาเวทนาและเย้ยหยันอย่างเงียบ ๆเขายังคงสงบนิ่งและเข้าร่วมงานสังคมต่าง ๆ ด้วยรอยยิ้มที่มิเปลี่ยนแปลง แต่ตู้เยี่ยนอวี่และกู้เหยียนหลงกลับรู้สึกได้ถึงไอสังหารที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความสงบนั้น“พยัคฆ์ที่เงียบงัน คือพยัคฆ์ที่กำลังจะกระโจน” กู้เหยียนหลงกล่าวกับตู้เยี่ยนอวี่ด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เขาถูกเราต้อนจนมุมแล้ว ย่อมต้องหาทางทำลายกระดานหมากนี้ทิ้งเป็นแน่”ด้วยความไม่ไว้วางใจ กู้เหยียนหลงจึงได้แอบส่งหน่วยองครักษ์เงา ซึ่งเป็นทหารฝีมือเยี่ยมและภักดีที่สุดของเขา ให้คอยอารักขาองค์หญิงลี่หัวอย่างลับ ๆ ตลอดเวลาในขณะเดียวกัน มิตรภาพระหว่างตู้เยี่ยนอวี่และองค์หญิงลี่หัวกลับเบ่งบานขึ้นอย่างแท้จริง ทั้งสองมักจะใช้เวลาสนทนากันในตำหนักขององค์หญิง ตู้เยี่ยนอวี่ได้เห็นถึงความเฉลียวฉลาดและความใฝ่รู้ในตัวองค์หญิงที่ซ่อนอยู่ภายใต้บทบาทองค์หญิงเอาแต่ใจที่นางต้องแสดง“หากข้ามิได้เกิดเป็นองค์หญิง ข้าคงอยากเป็นช่างฝีมือผู้สร้างสรรค์กลไกอันน่าทึ่ง” องค์หญิงลี่หัวก
Comments