เข้าสู่ระบบปานประดับไม่คิดไม่ฝันว่าราคาที่เธอต้องจ่ายนั้นแพงกว่ามูลค่าที่แท้จริงของนาฬิกาไปมากโข จิรัติกรเป็นนักธุรกิจหน้าเลือดที่ไม่ยอมเสียเปรียบขาดทุน แถมยังเจ้าเล่ห์มากแผนการ สุดท้ายแผนการนั้นกลับย้อนคืนสนองเจ้าตัวเสียเอง สวัสดีค่ะกลับมาพบกันอีกครั้งในงานเขียนชายหญิง [เซตเกี่ยวรัก] เซตนี้ประกอบด้วยนิยาย 2 เรื่อง 1.โตเกียว…เกี่ยวรัก (จบ) 2. จิรัติพันประดับ เป็นเซตสุดท้ายของเรื่องนี้ (กำลังออนแอร์) มาลุ้นไปด้วยกันว่าความรักของพวกเขาจะลงเอยอย่างไร และหวังว่าจะมีเพื่อนร่วมเดินทางไปจนกว่านิยายเรื่องจะจบลง นิยายเรื่องนี้ไม่เน้นเลิฟไลน์ เน้นการเติบโตของตัวละคร ความสัมพันธ์ระหว่างตัวละคร ดรามาสะท้อนสังคมเป็นส่วนใหญ่ ผู้อ่านควรมีวิจารณญาณในการอ่าน นิยายเรื่องนี้เป็นเพียงจินตนาการของผู้เขียนไม่ได้พาดพึงถึงสถานที่หรือบุคคลใดบุคคลหนึ่ง คำเตือน -มีการกล่าวถึงการข่มขืนที่ไม่ใช่ตัวละครหลัก -การใช้ยาเสพติดรวมไปถึงการค้าและการเสพ -มีการกล่าวถึงการฆาตรกรรมอำพราง ตัวละครมีความบิดเบี้ยวสภาพจิตใจไม่ปกติไม่ใช่ตัวละครหลัก 🍀 ขอบคุณทุกการสนับสนุนค่ะ หากอยากให้กำลังใจสามารถคอมเมนท์ กดใจให้กันได้นะคะ 🍀
ดูเพิ่มเติมจิรัติกรมางานแต่งเพื่อนชาวญี่ปุ่นด้วยความไม่คาดคิด ไม่คาดคิดว่าเพื่อนเขาจะสละโสดเร็วกว่าใคร ๆ ในรุ่น ก็แหงล่ะ…เจ้าชู้ประตูดินเสียขนาดนั้น แต่พอมาเจอเจ้าสาวในวันนี้ เขายังรับรู้ได้เลยว่าเพื่อนรักของเขามีความสุขในการแต่งงานครั้งนี้จริง ๆ แถมลูกชายยังน่ารักน่าชัง อ้วนท้วนสมบูรณ์เชียว
นึกถึงตอนที่ริวอิจิมาขอให้ช่วยรวบหัวรวบหางผู้หญิงคนหนึ่งแล้วก็อดขำไม่ได้ เพื่อนเขาถึงต้องลงทุนมากมายเพื่อทะเบียนสมรสฉบับเดียว แทนที่จะเป็นผู้หญิงคนนั้นที่ต้องอ้อนวอนขอทะเบียนสมรสจากริวอิจิน่ะ
ส่งเพื่อนเข้าประตูวิวาห์พลันอดที่จะคิดถึงตัวเองไม่ได้…แล้วชีวิตคู่ของเขาจะเป็นแบบไหน เจ้าสาวจะเป็นใคร แม้ว่าไม่เคยฉุกคิดเรื่องนี้ในหัวมาก่อนเลยก็ตาม ความคิดในหัวแตกกระเจิงเมื่อเห็นใครบางคนในครรลองสายตา คนคนนั้นที่ติดอยู่ในหัวของเขา
แมวขโมย!
สองแขนของปานประดับถูกกระชากอย่างแรงหลังจากที่เธอเพิ่งจะเรียงจานชามบนโต๊ะในงานเลี้ยงฉลองสมรสได้ไม่นาน
“อะ” หญิงสาวร้องเสียงหลง แถมยังต้องตกใจจนหน้าขาวซีดเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
โลกมันจะกลมเกินไปแล้ว อีกอย่างเธอเองก็คอยระมัดระวังตัวตลอด…
“ไง” จิรัติกรถามด้วยใบหน้าราบเรียบแต่แววตากลับวาวโรจน์
“คะ” ปานประดับตีเนียน แต่มือไม้เย็นและอ่อนแรงจนเกือบจะถือถาดในมือไว้ไม่อยู่
“ยัยหัวขโมย”
“คะ คุณจำคนผิดแล้ว” เธอพยายามข่มเสียงสั่น ๆ ตอบกลับให้เป็นปกติมากที่สุด
“ปานประดับ! ใช่เธอหรือเปล่า” ปานประดับหน้าซีดเผือดส่ายหน้าระรัว
“มะ ไม่ใช่นะคะ” เขาลากเธอมาหลังร้าน โดยที่แขกเหรื่อภายในงานต่างก็มุ่งความสนใจไปยังตรงหน้าเวทีที่พิธีกรกำลังเอ่ยต้อนรับบ่าวสาวให้ขึ้นมาบนเวที จังหวะนรกมาก ปานประดับถูกเขาฉุดกระชากลากถูอย่างแรงจนมาถึงหลังร้านที่ติดกับแม่น้ำ ก่อนจะปล่อยข้อมือที่แดงเถือกนั้นให้เป็นอิสระ
“ไง ยังจะปากแข็งอีกไหม” พอไม่มีคนอื่น เธอก็ยืนประจันหน้ากับเขา ไม่ต้องรักษาท่าทีระหว่างแขกกับบริกรอีก
“อะไรคะ”
“อะไรงั้นเหรอ นาฬิกาฉันที่เธอขโมยไป” นาฬิกาเรือนนั้นเขาถอดให้เธอเองแท้ ๆ จะว่าไปก็คนเมาคนหนึ่ง อีกอย่างเธอผิดเองที่ไม่คืนให้เขา แต่นาฬิกาเรือนนั้นก็ช่วยแม่บังเกิดเกล้าเอาไว้จวบจนวินาทีสุดท้าย…
ปานประดับก้มหน้า หลุบตาจ้องมองพื้น ภายในหัวสมองก็พยายามสรรหาคำพูดต่างๆ นานา เพื่อหาทางเอาตัวรอดไปก่อน เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว อีกอย่างเธอเองก็เหลือเงินติดบัญชีไม่กี่พันที่จะไถ่นาฬิกาเรือนนั้นออกมาจากโรงจำนำ
“ฉัน…ฉันขอเวลาอีกหน่อย”
“หมายความว่าไง?” เขากอดอกถามเสียงเข้ม เขารวยออกขนาดนั้นกะอีแค่นาฬิกาเรือนเดียว
“เธอรู้หรือเปล่าว่าราคามันเท่าไหร่?” ปานประดับรู้ว่ามันคงราคาแพงมากจึงทำได้แค่ก้มหน้าหลุบตามองพื้น แม้จะเห็นราคาในอินเทอร์เน็ตมาบ้าง แต่ก็อดที่จะเชื่อไม่ได้อยู่ดี นาฬิกาอะไรจะแพงขนาดนั้น แพงยิ่งกว่าบ้านในตัวเมืองเสียอีก
“ไม่รู้สิท่า…ฉันจะบอกให้ เป็นราคาที่ต่อให้เธอทำงานทั้งชาติก็ชดใช้ไม่หมด”
“แล้วยังไงคะ” ถึงเธอจะจนก็ใช่ว่าจะยอมให้เขามายืนด่าปาว ๆ อยู่อย่างนี้
“นาฬิกาฉันอยู่ไหน”
“ฉันไม่ได้เอาไป”
“อย่ามาเฉไฉ”
“ฉันไม่ได้เฉไฉ” พอเห็นสีหน้าของเขาปานประดับถึงเพิ่งรู้ตัวว่ากำลังยั่วโมโหเขาเข้าให้แล้ว ดีไม่ดีถ้าเธอเป็นผู้ชายเขาคงไม่มายืนข่มอารมณ์ถามอยู่แบบนี้ อาจจะถามด้วยหน้าแข้ง เธอกลืนน้ำลายเหนียว ๆ ลงคอ
“งั้นฉันจะลากเธอไปหาตำรวจ” ไม่พูดเปล่ายังพยายามที่จับข้อมือเล็กนั้นอีกครั้ง แต่คราวนี้เธอไม่ยอมให้เขาได้แตะต้องตัวอีกง่าย ๆ อีกเป็นอันขาด หากเขาจับเธอได้ หมดกัน…สองขาไวกว่าความคิด พอเขาก้าวเท้าหนึ่งจังหวะ เธอก็ขยับตัวหนีตามหนึ่งจังหวะ เราต่างเล่นเกมจ้องตากันอย่างนั้นไม่มีใครยอมใคร
“ฉันไม่ได้เอาไป คุณอย่ามากล่าวหากันลอย ๆ”
“งั้นก็ไปโรงพักกับฉันจะได้รู้ว่าใครกันแน่ที่พูดปด”
“คุณรวยขนาดนั้นแค่นาฬิกาเรือนเดียว”
“คนอย่างฉันถ้าไม่เอ่ยปากว่าจะให้ แค่ห้าสิบสตางค์ก็ไม่กระเด็นง่าย ๆ” ปานประดับกัดริมฝีปากแน่น หากไม่ยอมปริปากพูดกับเขาไปตรง ๆ เห็นทีว่างานแต่งจบตัวเธอเองอาจยังไม่ได้กลับบ้าน ดูท่าเขาจะมีเวลามากพอที่จะมานั่งเฝ้าเสียด้วย
“ค่ะ ค่ะ” เธอยอกย้อน
“เธอยอกย้อน?”
“คุณต้องรับปากว่าจะคุยกับฉันดี ๆ ใจเย็น ๆ ฉันถึงจะยอมบอก”
“หัวขโมยอย่างเธอมีสิทธิ์มาต่อรองตั้งแต่เมื่อไหร่”
“งั้น…” ในเมื่อเขาไม่เปิดโอกาสให้เธอได้พูดก็ต้องโกยสิ รอวันไหนหากไถ่มาได้ ค่อยหาวิธีคืนเขา
“งั้นอะไร”
“คุณเอาเบอร์โทรมาให้ฉันก็ได้ วันหน้าฉันจะติดต่อไป”
“อย่าบอกว่าเธอเอามันไปขายน่ะ” จิรัติกรเท้าสะเอวลิ้นดุนกระพุ้งแก้มอย่างหัวเสีย ใบหน้าถมึงทึง ปานประดับคิดในใจเขาคงไม่สาวหมัดอัดผู้หญิงบอบบางอย่างเธอที่นี่หรอกใช่ไหม จึงอดที่จะกวาดสายตามองหาทางหนีที่ไล่อย่างลวก ๆ ไม่ได้
“ฉันเปล่าขาย…”
“แล้วมันอยู่ที่ไหนล่ะ”
“เอาเบอร์ติดต่อคุณมาก่อนสิ ฉันไม่เบี้ยวหรอกน่า”
“หัวขโมยอย่างเธอมีสิทธิ์พูดคำนี้ด้วยหรือไง”
“นั่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่เอา คุณจะเอายังไงกันแน่!!”
“เธอนี่มัน…” เขาก้าวสามขุมมาหาหญิงสาวตรงหน้าด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ ปานประดับถอยหลังโกยสุดกำลังโดยไม่รู้เลยว่ากระเป๋าสตางค์ของตัวเองที่เหน็บไว้ตรงกระเป๋ากางเกงด้านหลังได้ตกหล่นขณะที่กำลังวิ่งหนีเอาตัวรอด ดีที่งานเสิร์ฟจ่ายล่วงหน้ามาแล้ว
พอวิ่งมาได้สักระยะก็ยืนหอบหายใจหลังเสาไฟฟ้า โดยไม่รู้เลยว่าชีวิตของตัวเองจะยุ่งเหยิงขนาดไหนเมื่อได้พบเจอกับเจ้าของนาฬิกาเรือนนั้น แถมยังพัวพันถึงเหตุการณ์วินาศสันตะโรที่ไม่นึกไม่ฝันมาก่อนอีกด้วย
“แล้วเราขอพี่หรือยัง” จินส่ายหน้า“แต่จินเป็นน้อง” จิรภีมม์แฝดน้องว่าพลางชี้นิ้วชี้เข้าหาตัว สามขวบแต่ช่างเจรจาและไม่ยอมเสียเปรียบใครหน้าไหนทั้งนั้น นายท่านจริญนั่งยอง ๆ พลางจ้องเข้าไปในดวงตาเด็กน้อยพูดด้วยน้ำเสียงปกติ“จินเราเป็นน้องก็จริง แต่พี่เขาไม่ได้มีหน้าที่ที่จะต้องยอมเราตลอดเวลาเพราะว่าเราเป็นน้องหรอกนะ” นายท่านจริญว่าพลางชี้นิ้วไปยังจินตะ“ถ้าอยากเล่นก็ต้องขอพี่เขาก่อน ถ้าพี่เขาไม่อนุญาตเราต้องรอ เข้าใจไหมครับเด็กดีของปู่” จิรภีมม์กอดอกพลางหันหลังให้ นายท่านจริญถอนหายใจพลางจับตัวเด็กน้อยให้หันหน้ามาประจันกันเหมือนเดิม“ขอโทษพี่เขา”“ไม่ จินไม่ผิด”“ไม่ผิดก็ไม่ต้องเล่น จนกว่าเราจะสำนึกค่อยไปเล่นกับพี่เขา” นายท่านจริญหันไปสั่งบรรพต “พาเด็กทั้งสองคนไปเล่นฝั่งโน้นก่อนไป”“ครับ” บรรพตรับคำ ก่อนจะพาเด็กทั้งสองไปเล่นอีกทาง“ถ้าจินว่าจินไม่ผิดก็ยืนอยู่กับปู่ที่นี่แหละ ปู่มีเวลาให้จินสำนึกผิดอีกนาน” นายท่านจริญว่าพลางยืนถือไม้เท้ายืนขึ้น รอให้หลานน้อยมีท่าทีสงบ พอได้ยินเสียงพี่ ๆ เล่นกันอย่างสนุกสนานก็อยากจะไปเล่นด้วยบ้าง จิรภีมม์ยืนอยู่อย่างนั้นสักครู่ก่อนจะจับขากางเกงคุณปู่เขย่ายิก
“ขอบคุณนะครับคุณปู่”“ขอบคุณมาก ๆ ค่ะ”“แล้วแกจะมีข้ออ้างอะไรอีก อายุอานามเท่าไหร่แล้วเพิ่งจะมีลูกคนเดียว”“มีน้อยแต่โตมาอย่างมีคุณภาพ” เจอคำตอบนี้ไปจริญถึงกับจุกไปไม่ถูก ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องเฉไฉ“ระบบกงสียังอยู่ ใครมีลูกเล็กเด็กแดงฉันจะส่งเสียจนกว่าจะเรียนจนพอใจ” ก่อนจะเชิดหน้า“ข้าวของเครื่องใช้ก็เบิกกับบริษัท รวมทั้งค่าใช้จ่ายรายเดือน รวมถึงพี่เลี้ยงพอใจหรือยัง?”“อ่า…ผมขอคิดดูก่อนละกันครับ” นายท่านจริญกัดฟันกรอด จิรัติกรเคาะหน้าปัดนาฬิกาบอกความนัย“อาทิตย์ละวัน ตามนี้นะครับ”“แก!”“ก็ต้องดูพฤติกรรมคุณปู่ประกอบว่าพูดจริงทำจริงหรือเปล่า อาจจะเพิ่มเป็นสองถึงสามวัน พาไปกินข้าวที่ห้างได้บ้างอะไรบ้าง”“บรรพต! จัดการให้เรียบร้อยและเร็วที่สุด”“ได้ครับ!”คล้อยหลังปานประดับที่เดินกอดแขนสามีเอ่ยถามพลางทำสีหน้าเห็นใจ“ฉันรู้ว่าเธอจะพูดอะไร ไม้อ่อนดัดง่าย ไม้แก่ดัดยาก ตาแก่นั่นต้องโดนซะบ้าง เธอก็เห็นผลลัพธ์ในการเลี้ยงลูกของเขาแล้วนี่”“จะว่าไปก็น่าเศร้านะคะ ท่านเลยตั้งความหวังไว้กับจินตะเอาไว้มากเลยทีเดียว” ปานประดับลูบหัวลูกน้อยด้วยความเห็นใจ“แล้วใครใช้ให้เลี้ยงลูกหลานแบบนั้นล่ะ” จิรัติกรตอบ
“คุณจะไม่ลงไปเจอหน่อยเหรอคะ”“ไม่ล่ะ…ชั่วโมงเดียว”“เอาอย่างนั้นก็ได้ค่ะ” ปานประดับอุ้มลูกน้อยแนบอกโดยมีบอดีการ์ดเดินตามเป็นพรวน ลงไปหาคุณปู่ด้านล่าง นายท่านจริญที่ดูแก่ชราแต่ยังคงเหลือมาดท่านเจ้าสัว ยังคงความน่าเกรงขามแม้จะนั่งรอที่ห้องรับแขกด้านล่าง แต่สีหน้าเก็บซ่อนความกระวนกระวายไม่มิดชะเง้อมองหาหลานน้อยไม่วางตา“เดี๋ยวก็มาครับ” บรรพตที่ตามมารับใช้เอ่ยเตือน “นั่นไงครับ มาแล้ว”“ไหน ๆ”“สวัสดีค่ะ” ปานประดับยกมือไหว้พร้อมกับอุ้มจินตะที่หันหน้าออก“ขอฉันอุ้มหน่อย” ปานประดับให้อุ้มแต่โดยดีเพราะสงสารคนแก่ตรงหน้า ว่ากันว่าปู่ย่าสมัยที่เป็นพ่อแม่มักจะเข้มงวดกับลูก แต่กับหลานจะสปอยนั้นเป็นความจริง นายท่านจริญอุ้มจินตะโยกไปมาอย่างมีความสุขก่อนจะโบกมือน้อย ๆ บรรพตที่ถือหูกระเป๋าพลาสติกสีดำดูมีน้ำหนักเลื่อนมาทางปานประดับ“อะไรคะ”“ของรับขวัญหลาน” นายท่านจริญพูดโดยไม่เงยหน้ามามองปานประดับ พูดอ้อมแอ้มในคอ“ฉันเตรียมไว้นานแล้ว”“ขอบคุณค่ะ”“ของหลานไม่ใช่ของเธอ”“ดิฉันทราบค่ะ ไหน ๆ ก็มาแล้วไปเล่นกันที่สวนด้านหลังดีไหมคะ อากาศเย็นกำลังดี”“เธอนำไปสิ”“ได้ค่ะ”สักพักก็มีเสียงโวยวายเมื่อนายท่านจริญ
“ไอ้จิเมื่อไหร่แกจะเอาหลานมาให้ฉันอุ้ม” จิรัติกรยกโทรศัพท์ออกห่างจากหู ก่อนจะวางไว้บนโต๊ะทำงานไม่สนใจเสียงก่นด่าของนายท่านจริญที่ดังลอดออกมาตามสาย แม้ว่าการให้กำเนิดทายาทของผู้บริหารยักษ์ใหญ่ JK1 GROUP ไม่ได้เป็นความลับแต่ก็ไม่เคยปรากฏบนสื่อที่ไหนมาก่อน อีกทั้งปานประดับเองก็อยากจะให้ลูกชายเติบโตมาอย่างอิสระ ไม่มีพันธะกับ JK1 GROUP ที่ต้องแบกภาระเอาไว้บนบ่าตั้งแต่ลืมตาดูโลกเพราะคำว่าทายาท เธอยากให้โอกาสลูกชายได้เลือกทางเดินเอง และเด็กชายจินตะเองก็ไม่เคยพบเจอญาติฝั่งเอกาฤกษ์ยกเว้นฝั่งแม่อย่างอารยาที่มาหา ช่วยเลี้ยงหลานอาทิตย์ละสามสี่วัน“นายท่านจริญมีหลานตั้งแต่เมื่อไหร่”“แก แกอยากเห็นฉันอกแตกตายใช่ไหม”“ก็แล้วแต่จะคิดครับ”“ฉันเป็นพ่อแก”“แล้ว?”“เมื่อไหร่แกจะยกโทษให้ฉัน”“แล้วต้องยกโทษให้ด้วยเหรอครับ”“ฉันสูญเสียลูกเต้าไปตั้งหลายคน ฉัน…ไม่อยากเสียแกไปอีกคน มีทางไหนที่พอจะให้ฉันแก้ไข แกบอกมาฉันจะทำ”“ขอคิดดูก่อนละกันนะครับ” จิรัติกรกดวางสายพร้อมกับเมินสายเรียกเข้าที่สั่นครืดคราดต่อเนื่องไม่มีทีท่าว่าจะหยุดจนต้องกดปิดสั่นแล้ววางไว้ในลิ้นชัก ปานประดับที่อุ้มลูกน้อยวัยหกเดือนที่กำลังฝึกน
“ไม่เคยได้ยินหรือคะ รักใครให้ดื่มนม นี่แหละค่ามัดจำของญ่า” เชาวน์ชลิตได้แต่เลยตามเลย เพราะเขาเองก็ยอมที่จะให้ชัญญ่ามัดมือชกในวิธีการของเธอเอง เอวบางเริ่มบดเบียดแนบชิดส่วนล่าง กระโปรงบางของชุดนอนที่เป็นปราการสุดท้ายปกปิดของสงวน ชัญญ่าเองก็ขุดหลุมรอเหยื่อเข้ามาติดกับอย่างแยบยลเช่นกัน พี่น้องคู่นี่แสบพอ ๆ กัน“ญ่า” เชาวน์ชลิตครางเสียงกระเส่าเมื่อกางเกงชุดนอนถูกถอดออกพร้อมกับส่วนชื้นแฉะที่ถูไถขึ้นลงหยอกล้อกับความเป็นชายให้ค่อย ๆ ผงาด“เป็นของญ่า แล้วญ่าจะไม่ทำให้พี่เชาวน์เสียใจ” คำนี้เขาเองต้องเป็นฝ่ายพูดไม่ใช่เหรอไง เชาวน์ชลิตที่กำลังจะอ้าปากแย้งริมฝีปากบางก็งับลงมาดูดดึงอย่างมันเขี้ยวเสียก่อน สายตาและท่าทางของชัญญ่าในตอนนี้เหมือนนางแมวยั่วสวาท ไม่เหลือเค้าชัญญ่าที่ขี้อายก่อนหน้าเลยแม้แต่น้อย“ญ่า เดี๋ยวจะเจ็บเอา” เมื่ออีกฝ่ายพยายามใช้ความเปียกปอนของเธอถูไถกับหัวบากนั้นช้า ๆ เหมือนจะเข้าแต่ก็ไม่เข้า เชาวน์ชลิตได้แต่ข่มความอึดอัดเอาไว้ไม่อยากจะกระแทกสวนขึ้นไปแรง ๆ เขาอยากจะทะนุถนอมคนตรงหน้าให้เหมาะสมกับที่ชัญญ่าคอยดูแลเขาเสมอมา ชัญญ่าก้มลงไปจูบตรงซอกคอไล่ลงมายังหน้าอกขาวที่เหมือนจะซูบผอมล
“ขอบคุณนะคะ” เชาวน์ชลิตที่หลังจากฟังคำตัดสินก็โล่งใจและกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง และความกะล่อนก็เริ่มมีให้เห็น“ญ่ารับคำขอบคุณไว้ก็ได้ค่ะ แต่ว่าพี่เชาวน์ต้องกลับไปนอนที่ห้องตัวเอง”“นี่คอนโดพี่”“งั้นญ่ากลับเอง” เรื่องอะไรเธอจะยอมให้เขากินฟรี แม้ว่าเธออยากจะกินเขาจนตัวสั่น ทำทีสงวนตัวเล็กน้อยแต่พองามย่อมเรียกคะแนนความน่ารักน่าเอ็นดูเพิ่มขึ้นเป็นกองข้อมือขาวถูกจับไว้หลวม ๆ พร้อมกับวางทาบไว้ที่หน้าอกซ้าย“พี่เพิ่งผ่านเหตุการณ์หน้าเสียวหน้าขวานมา ญ่านอนเป็นเพื่อนพี่ได้หรือเปล่า”“อ้อนวอนหรือคะ”“ใช่”“แล้วให้ญ่านอนในฐานะอะไร”“แล้วญ่าอยากได้ฐานะอะไรล่ะ” ชัญญ่าทำสีหน้าครุ่นคิด“ขอคิดดูก่อนละกัน”“อย่าคิดนานพี่แก่แล้ว”“เหอ ๆ ญ่าไม่ใช่ของตายนะคะ”“พี่ไม่เคยเห็นญ่าเป็นของตาย เพียงแต่เมื่อก่อน…” เชาวน์ชลิตหลุบตา“เราอายุห่างกันมากขนาดนั้น” ชัญญ่ายักไหล่“ก็จริง…อีกอย่างเด็กหนุ่มมหาลัยกับเด็กสาวม.ต้นก็ยังไง ๆ อยู่”“ไม่ใช่แค่นั้นหรอก อีกอย่างเรามีศักดิ์เป็นน้องไอ้จิด้วย เอาน้องเพื่อนเป็นแฟนก็ยังไงอยู่ ตอนนั้นพี่เองไม่มีความคิดจะหยุดที่ใคร”“เหรอคะ…ตอนนี้ล่ะ”“พี่ว่าตอนนี้ถูกที่ถูกเวลา และพี่
ความคิดเห็น