เข้าสู่ระบบแฟนคลับตายตามพระเอกแค่นี้ก็ว่าเว่อร์แล้ว ยังจะทะลุมิติมาเจอกันใหม่อีก พระเอกกลายเป็นเจ้าเมืองสุดหล่อ เธอกลายเป็นลูกสาวร้านซาลาเปาสุดเปิ่น ชาตินี้สวรรค์จะเปิดทางให้แฟนคลับอย่างเธอหรือไม่ ต้องรอลุ้นกันแล้ว
ดูเพิ่มเติมเสียงเคาะกระทะ เสียงฟู่จากเตาแก๊สและเสียงจัดเรียงจานชามต่าง ๆ ดังอึงอลไปทั้งครัว ร้านอาหารขึ้นชื่อของเมืองปักกิ่งยามนี้กำลังวุ่นวายอยู่กับการทำอาหารให้ทันกับจำนวนออร์เดอร์ที่ลูกค้าสั่งเข้ามา เนื่องจากเป็นช่วงที่ผู้คนออกมารับประทานอาหารเย็นกันพอดีร้านแห่งนี้จึงต้องเร่งมือทำอาหารออกมาเยอะเป็นพิเศษ
ร้านนี้ขายดีแบบนี้เสมอแต่เจ้าของร้านกลับขี้เหนียวจ้างเชฟมาเพียงแค่สองคนเท่านั้นแล้วก็มีลูกมืออีกสองสามคน ซูเฟยเป็นหัวหน้าเชฟที่นี่และเธอมักจะทำงานอยู่ที่ร้านจนเลยเวลาเพราะไม่อยากให้เพื่อนที่รับงานต่อจากเธอทำงานหนักเกินไป วันนี้ก็เช่นกัน แต่เมื่อออร์เดอร์เริ่มเบาบางแล้วเพื่อนของเธอก็บอกให้เธอกลับบ้าน
"พี่ซูเฟย เหลือออร์เดอร์ไม่เยอะแล้ว เดี๋ยวฉันทำเอง พี่กลับไปพักผ่อนเถอะ" เสียงของเสี่ยวปิงเชฟอีกคนตะโกนบอกซูเฟยในขณะที่เธอกำลังจะเตรียมวัตถุดิบสำหรับทำอาหาร
ซูเฟยรีบหยิบวัตถุดิบเตรียบใส่ใว้ในชามเพื่อที่จะให้เสี่ยวปิงที่มารับช่วงต่อทำงานได้อย่างสะดวกก่อนจะตะโกนกลับไป "ได้ ถ้างั้นฝากเธอด้วยนะ พี่จะกลับก่อนจะรีบไปกดบัตรละครเวทีของหยางจื้อเจ๋อ"
"อะไรๆ ก็หยางจื้อเจ๋อ เป็นเพราะคลั่งหยางจื้อเจ๋อมากเกินไปหรือเปล่าพี่สาวของฉันเลยไม่ยอมมีแฟนกับเขาสักที" เสี่ยวปิงพูดแซว
"ไม่รู้สิ ฉันก็อยากมีแฟนแบบหยางจื้อเจ๋อนะแต่ก็รู้ว่าคงเป็นไปไม่ได้หรอก แต่อย่างน้อยขอให้มีบางอย่างใกล้เคียงกันสักหน่อยก็ดี" ซูเฟยตอบ
"ไปเถอะ เดี๋ยวกดบัตรไม่ทันนะ" เสี่ยวปิงพูดแล้วก้มมองกระทะผัดอาหารต่อ
"ฉันไปก่อนนะ เธอเองก็อย่ากลับดึกมากล่ะ" ซูเฟยบอกจากนั้นจึงมองดูความเรียบร้อยภายในครัวอีกครั้งแล้วค่อยเดินออกมา
ซูเฟยเป็นหญิงสาววัยทำงานอายุสามสิบหกปี เป็นหัวหน้าเชฟของร้านอาหารแห่งนี้ เธอชื่นชอบการทำอาหารเป็นชีวิตจิตใจ เข้าแข่งขันการทำอาหารคว้ารางวัลมาแล้วมากมาย หากจะพูดกันในวงการอาหารไม่มีใครไม่รู้จักเธอ เธอเป็นต้นตำรับของเมนูกุ้งมังกรดองบ๊วยและน้ำจิ้มสุดแซ่บที่รายการทำอาหารรายการหนึ่งถึงกับเอาเมนูนี้ไปเป็นโจทย์ให้ผู้เข้าแข่งขันทำตามเลยทีเดียว แต่ที่เธอเลือกที่จะมาทำงานในร้านอาหารที่ไม่ใหญ่นักก็เพราะว่าเธอไม่ชอบระบบเส้นสายที่วุ่นวายของภัตาคารใหญ่หรือว่าโรงแรมหรู การอยู่ร้านเล็ก ๆ ถึงแม้จะเงินเดือนน้อยแต่ก็สบายใจกว่า และที่สำคัญตอนนี้เธอทำให้ร้านเล็ก ๆ แห่งนี้เป็นที่นิยมในเมืองปักกิ่งไปแล้ว
เดิมทีเธอเป็นเด็กกำพร้า ตั้งแต่เด็กเธอก็มีชีวิตอยู่ในสถานสงเคราะห์แล้ว ตอนนั้นจำได้คร่าว ๆ ว่าตัวเองน่าจะอายุประมาณหกขวบอาศัยอยู่กับพ่อแม่ที่บ้านบนชั้นห้าของตึกแห่งหนึ่ง แต่แล้วอยู่ ๆ ก็เกิดไฟไหม้ตึกนั้น พ่อกับแม่ของเธออยู่ข้างในไม่สามารถหนีออกมาได้ ไฟลุกลามอย่างรวดเร็วซูเฟยได้แต่ยืนดูเหตุการณ์และร้องไห้อย่างโศกเศร้า โชคดีที่วันนั้นเธอลงมาเล่นกับเพื่อนที่ข้างล่างตึกก็เลยรอดตายมาได้
หลังจากนั้นก็ย้ายมาอยู่ที่สถานสงเคราะห์ สถานสงเคราะห์ติดต่อญาติของเธอหลายครั้งแต่ว่าไม่มีใครสนใจที่จะมารับเธอไปดูแลเลย ทุกคนให้เหตุผลว่ายากจนไม่กำลังทรัพย์พอที่จะเลี้ยงหลานอีกคนได้ ดังนั้นซูเฟยจึงได้มีชีวิตอยู่ในสถานสงเคราะห์จนเรียนจบชั้นมัธยมปลาย
เมื่อจบชั้นมัธยมปลายแล้วก็สอบเกาเข่าได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในปักกิ่งสาขาที่เกี่ยวข้องกับด้านอาหาร ตั้งแต่เข้าเรียนมหาวิทยาลัยก็เริ่มทำงานหาเงินและดูแลตัวเองมาตลอด ถึงแม้ว่าจะออกจากสถานสงเคราะห์มาแล้วแต่เธอก็ยังกลับไปเยี่ยมที่นั่นอยู่เป็นประจำ เอาเงินบางส่วนไปบริจาคให้เพราะคิดอยู่เสมอว่าหากไม่มีสถานสงเคราะห์ชีวิตของเธอก็คงไม่มีวันนี้
ซูเฟยมีศิลปินที่ชื่นชอบอยู่คนหนึ่ง เขาชื่อหยางจื้อเจ๋อ อายุสามสิบสองปี เข้าวงการด้วยการเดบิ๊วต์เป็นนักร้องของวง wishing star แต่ตอนนี้ได้ผันตัวมาเป็นนักแสดงเต็มตัวแล้ว เธอชื่นชอบเขามากถึงขั้นเอาเขาเป็นต้นแบบในการดำเนินชีวิตเลยทีเดียว ดังนั้นไม่ว่าเขาจะมีผลงานอะไรซูเฟยก็จะติดตามตลอด
วันนี้เป็นวันเงินเดือนออก ซูเฟยตั้งใจจะเก็บส่วนหนึ่งไว้เพื่อซื้อบัตรละครเวทีเรื่องที่หยางจื้อเจ๋อแสดง ถึงแม้ว่าบัตรจะไม่ได้ราคาสูงมากแต่ว่าระดับความแข่งขันที่จะได้บัตรมานั้นยากเหลือเกิน เพราะยังมีแฟนคลับของหยางจื้อเจ๋ออีกมากมายที่ต้องการบัตรละครเวทีเรื่องนี้ สิ่งสำคัญก็คือต้องกดบัตรให้ได้
เวลาที่เปิดให้กดบัตรคือเที่ยงคืนของวันนี้ดังนั้นจึงมีเวลาเหลืออยู่เพราะตอนนี้ก็เพิ่งจะสามทุ่มกว่า ซูเฟยจึงแวะร้านสะดวกซื้อนิดหน่อยเพื่อซื้อของเข้าบ้าน ปกติแล้วก็จะซื้อเดือนละครั้ง ด้วยความที่เป็นผู้หญิงอยู่ตัวคนเดียวเลยไม่มีของมากเท่าไร ส่วนมากก็จะซื้อพวกอาหารแห้งกับของใช้ส่วนตัวไปเก็บไว้เท่านั้น ซื้อของเสร็จแล้วก็ไปขึ้นรถไฟฟ้ากลับบ้านตามปกติ
เมื่อถึงห้องสิ่งแรกที่ทำก็คือเปิดคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ้ตขึ้นมาจากนั้นก็เข้าเว็บไซต์สำหรับซื้อตั๋วละครเวทีไว้ แล้วค่อยไปจัดการกับตัวเองให้เรียบร้อยก่อนจะมานั่งรอกดบัตร
แต่ยังไม่ทันไปอาบน้ำเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นมาเสียก่อน เป็นสายเข้าจากเสี่ยวปิงนั่นเอง
("ฮัลโหลเสี่ยวปิง มีอะไรเหรอ")
("พี่ซูเฟย วันนี้ฉันไปนอนห้องพี่ได้ไหมคะ ที่ห้องน้ำไม่ไหลเลยฉันสอบถามนิติบุคคลแล้วเขาบอกว่าระบบส่งน้ำมีปัญหา")
("ได้สิ ถ้ามาถึงแล้วโทรบอกนะพี่กำลังจะอาบน้ำเหมือนกัน")
("โอเคค่ะ ฉันจะออกไปเดี๋ยวนี้)
วางสายแล้วซูเฟยก็เดินเข้าห้องน้ำไป เป็นเรื่องปกติที่เสี่ยวปิงมานอนห้องของเธอบ่อย ๆ เพราะว่าทั้งสองคนสนิทกันมาก เรียกได้ว่าสนิทเป็นพี่สาวกับน้องสาวกันเลย พวกเธอทำงานที่ร้านอาหารแห่งนี้ด้วยกันมาห้าปีแล้วโดยที่ซูเฟยเป็นคนคัดเลือกเสี่ยวปิงเข้ามาเอง เสี่ยงปิงเป็นเด็กดี ขยัน ตั้งใจทำงานแล้วก็เป็นคนที่ใจดีห่วงใยผู้อื่นด้วย จึงทำให้ซูเฟยเอ็นดูเธอเป็นพิเศษ
เวลาเกือบเที่ยงคืนเสี่ยวปิงก็มา เธอไม่ได้มามือเปล่าแต่ว่ายังมีเครื่องดื่มกับขนมติดไม้ติดมือมาด้วย
"พี่ซูเฟย กินเบียร์กัน" เสี่ยวปิงบอกพลางยกถุงของที่ถืออยู่ขึ้นมาให้ซูเฟยดู
"กินเบียร์เหรอ พี่ลืมไปเลยว่าวันนี้เงินเดือนออก ปกติแล้วพวกเราต้องฉลองกันนี่น่า" ซูเฟยพูด เธอลืมเรื่องนี้ไปแล้วจริง ๆ เพราะใจของเธอมัวแต่จดจ่ออยู่กับการจะต้องกดบัตรละครเวทีให้ได้
"ว่าแต่ถึงเวลากดบัตรแล้วไม่ใช่เหรอ รอพี่กดบัตรก่อนแล้วค่อยเปิดเบียร์ก็แล้วกัน" เสี่ยวปิงบอก เธอมานั่งกินขนมรอที่โซฟาแล้วปล่อยให้ซูเฟยนั่งใจจดใจจ่ออยู่หน้าคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ้คต่อไป
"เย้! ได้แล้ว ได้โซนวีไอพีที่ด้านหน้าด้วย คราวนี้เขาจะต้องมองเห็นพี่แน่ ๆ" ซูเฟยพูดออกมาอย่างดีใจพลางทำหน้าตาตื่นเต้นไปทางเสี่ยวปิง
"ฉันดีใจกับพี่ด้วยนะ คราวนี้คงได้เห็นเขาใกล้ ๆ สักที พี่ก็อย่าลืมส่งยิ้มให้เขาด้วยล่ะ" เสี่ยวปิงบอก น้ำเสียงหยอกแซวเล็กน้อย
"เอาเถอะมากินเบียร์กัน ภารกิจสำเร็จแล้ว" ซูเฟยเดินไปในนั่งที่โซฟากับเสี่ยวปิงก่อนจะหยิบเบียร์ขวดหนึ่งมาเปิดฝาแล้วดื่มอึก ๆ กันอย่างสบายใจ
"ว่าแต่พี่ไม่คิดที่จะมีแฟนจริง ๆ เหรอ นี่ก็สามสิบหกแล้วนะ แก่แล้ว เดี๋ยวมดลูกใช้การไม่ได้ก่อน" เสี่ยงปิงพูด ถ้อยคำเหมือนจะหยอกล้อก็จริงแต่ว่าเธอกลับจริงจังมาก เพราะว่าในสังคนจีนแล้วผู้หญิงมักจะแต่งงานเร็วแค่ยี่สิบกว่าก็แต่งงานมีลูกมีครอบครัวกันแล้ว แต่พี่สาวคนนี้กลับเลยวัยมาตั้งนานถือว่าแก่แล้วเสียด้วยซ้ำ
"พูดอะไรของเธอ ผู้หญิงเราสมัยนี้ดูแลตัวเองได้กันหมดแล้ว ถ้าพี่ไม่เจอคนที่ชอบจริง ๆ พี่ก็ไม่มีแผนจะแต่งง่าย ๆ หรอก" ซูเฟยตอบ นี่คือทัศนคติของเธออย่างแท้จริง อาจจะเป็นเพราะเธอเองยืนหยัดด้วยตนเองมาตั้งแต่เด็ก สามารถต่อสู้กับความเหงาและความทุกข์มาได้โดยที่ไม่เคยพึ่งพาใคร ดังนั้นการจะมีแฟนหรือว่าไม่มีจึงไม่ใช่ปัญหา
"พี่ยึดติดกับสเป็คของตัวเองมากไปหรือเปล่า " เสี่ยงปิงพูดพร้อมถอนหายใจออกมาหนึ่งที
ซูเฟยส่งสายตาให้เสี่ยวปิงอย่างจริงจังก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังกว่า "สำหรับพี่นะ พี่ไม่ได้คาดหวังอะไรจากการคนที่เป็นคนรักของพี่มากนักหรอก ขอเพียงแค่เข้ากันได้แล้วอยู่ด้วยกันอย่างสบายใจก็พอ แต่ว่าพี่ยังไม่เจอคนคนนั้นน่ะสิ"
"ฉันว่าพี่ไม่หามากกว่าน่ะสิ อย่างเถ้าแก่เจียงเจ้าของร้านก็มองพี่มาตั้งนานแล้ว ฉันดูออกนะ" เสี่ยวปิงพูด
ซูเฟยนิ่วหน้าพลางเปลี่ยนเรื่องคุย“พี่ว่าพวกเราเลิกพูดเรื่องนี้กันได้แล้วน่า กินเบียร์กันเถอะ"
สองสาวนั่งดื่มเบียร์ไปคุยกันไปเรื่อยจนเวลาล่วงเลยมาก็ดึกแล้ว จากนั้นจึงได้แยกย้ายกันนอน บ้านของซูเฟยมีสองห้องนอนพอดีก็เลยไม่ค่อยเบียดเสียดกันเท่าไร เธอเคยบอกให้เสี่ยวปิงย้ายมาอยู่กับเธอหลายครั้งแล้วจะได้ไม่ต้องเสียเงินเช่าห้องแต่ว่าเสี่ยงปิงเองก็เกรงใจ ถึงแม้ว่าจะสนิทกันมากก็จริงแต่ก็คิดว่าสักวันหนึ่งไม่ใครคนดีคนหนึ่งก็ต้องมีชีวิตเป็นของตัวเอง จะอยู่ตัวติดกันแบบนี้ตลอดไปคงไม่ได้หรอก
บทที่ 50 บิดามารดามาเยี่ยม ตั้งแต่ที่ฟางหนิงฮวามาที่เมืองเสวี่ยคังนี่ก็เป็นเป็นเวลากว่าห้าเดือนแล้ว นางยังไม่ได้กลับบ้านเสียที มีแต่เขียนจดหมายไปบอกบิดามารดาเท่านั้น ฟางตวนกับนิ่งหรงพอเห็นว่าบุตรสาวไม่กลับบ้านก็คิดถึงและเป็นห่วงจึงได้คิดที่จะไปเยี่ยมนาง พวกเขาเริ่มออกเดินทางส่วนร้านซาลาเปานั้นก็ฝากไว้กับอารอง “ท่านพี่ เตรียมตัวพร้อมแล้วหรือยัง” นิ่งหรงเอ่ยถามสามีที่กำลังจัดของของตัวเองใส่ห่อผ้าอยู่ เขาเอาสิ่งนั้นเข้าสิ่งนี้ออกอยู่หลายครั้งจนนางรำคาญ “ใกล้จะเสร็จแล้วล่ะ แต่ขอข้าคิดก่อนว่าควรจะเอาเนื้อกวางแห้งนี่ไปฝากหนิงฮวาดีหรือไม่” ฟางตวนพูดพลางหยิบเนื้อกวางแห้งนั่นใส่เข้าไปในห่อผ้าอีกครั้ง “ท่านไม่ต้องเอาอะไรไปฝากนางทั้งนั้นแหละ
บทที่ 49 ดวลสุรา เป็นเพราะว่าเห็นคุณชายผู้นี้พูดคุยกับฟางหนิงฮวาทำให้เซียวป๋อเหวินอดไม่ได้ที่จะหึงขึ้นมา เขาตัดสินใจนั่งร่วมโต๊ะกับเหยียนจื่อจิง ทั้งนี้ก็เพื่อจะเอาตัวเองขวางกั้นไม่ให้เหยียนจื่อจิงได้สนทนากับฟางหนิงฮวาได้สะดวก “ถ้าเช่นนั้นทั้งสองท่านรอสักครู่นะเจ้าคะ เดี๋ยวข้าจะให้พ่อครัวจัดอาหารมาให้” ฟางหนิงฮวาพูด “อ้อ...ท่านแม่ทัพอยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือไม่เจ้าคะ ข้าจะได้ทำให้” “แล้วแต่เจ้าเถิด แต่ว่า...ข้าขอสุรามากหน่อย วันนี้รู้สึกอยากดื่มสุรา” เซียวป๋อเหวินพูด หลังจากที่ฟางหนิงฮวาหายเข้าไปในครัวแล้วบรรยากาศในร้านก็เปลี่ยนไป เซียวป๋อเหวินที่แย้มยิ้มเมื่อสักครู่บัดนี้เปลี่ยนเป็นสายตามาดร้ายจ้องไปที่เหยียนจื่อจิงอย่างไม่วางตา
บทที่ 48 ตุ๊กตาหมี เวลาผ่านไปความสัมพันธ์ของฟางหนิงฮวากับเซียวป๋อเหวินก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งใกล้ชิดสนิทสนมกันมากขึ้นจนเหล่าทหารทั้งกองทัพต่างก็มองว่าทั้งสองเป็นคู่รักกันไปแล้ว ฟางหนิงฮวามักจะเอาอาหารไปให้เขาที่ค่าย ส่วนเขาก็มักจะทำอะไรให้นางประหลาดใจอยู่บ่อย ๆ วันนี้ที่ร้านยุ่งมากจนฟางหนิงฮวาไม่สามารถปลีกตัวออกจากร้านได้ เดิมทีนางคิดว่าจะทำไก่ผัดพริกเสฉวนไปให้เขากินที่ค่ายแต่ว่าทำเสร็จนานจนอาหารเย็นชืดก็ยังไม่ได้ไป กว่าลูกค้าจะออกจากร้านหมดก็ปาเข้าไปปลายยามเซินแล้ว ฟางหนิงฮวากลับมาที่จวน นางถือกล่องอาหารมาด้วยและก็พบเข้ากับเซียวป๋อเหวินที่กลับมาพอดี “ไก่ผัดพริกเสฉวนนี่เย็นชืดหมดแล้ว เดี๋ยวข้าจะเข้าครัวไปอุ่นให้ท่านใหม่นะ” “ไม่เป็นไรหรอก ให้สาว
บทที่ 47 ร้านอาหารเสฉวนแห่งเมืองเสวี่ยคัง หนึ่งเดือนต่อมาร้านอาหารก็เปิด ฟางหนนิงฮวาเปิดร้านอาหารรูปแบบของเสฉวน เน้นอาหารรสชาติเผ็ดร้อนที่เซียวป๋อเหวินชอบ แถมยังมีหม้อไฟหม่าล่าซึ่งเป็นสิ่งแปลกใหม่ของที่นี่อีกด้วย สร้างความฮือฮาในหมู่ชาวเมืองเสวี่ยคังเป็นอย่างอยิ่ง เมื่อได้ยินว่ามีร้านอาหารมาเปิดใหม่ผู้คนต่างก็อยากรู้อยากเห็น พากันแวะเวียนมาเดินผ่านหน้าร้านกันแต่ว่าก็ยังไม่มีใครกล้ามาลองกินดูสักคน จนเมื่อฟางหนิงฮวาเปิดหม้อน้ำแกงหม่าล่าออกก็ถึงกลับทำให้คนที่เดินไปมาอยู่หน้าร้านถึงกลับชงัก กลิ่นของน้ำแกงนั้นหอมเตะจมูกเป็นอย่างยิ่ง มีทั้งกลิ่นที่กลมกล่อมของมันวัวและกลิ่นเครื่องเทศที่หอมฟุ้ง ชาวเมืองที่อยู่แถวนั้นต่างก็กลืนน้ำลายกันเป็นแถว “นี่มันอาหารอะไรเนี่ย ข้าไม่เคยได้กลิ่นอะไรที่หอมเช่นนี้มาก่อนเลย” ชายวันกล
บทที่ 46 เริ่มต้นกิจการ “นี่...หัวหน้าองครักษ์กู้ ช่วงนี้ท่านแม่ทัพกำลังยุ่งอยู่หรือไม่” ฟางหนิงฮวาถาม นางมาดักรอหัวหน้าองครักษ์ที่ทางเดินไปห้องหนังสือของเซียวป๋อเหวิน “ช่วงนี้ท่านแม่ทัพค่อนข้างยุ่งน่ะ ต้องเตรียมเรื่องการฝึกทหาร ยิ่งตอนนี้มีการรับทหารใหม่เข้ามา งานก็เลยล้นมือ” หัวหน้าองครักษ์กู้ตอบ “เหตุใดเจ้าไม่ไปถามกับท่านแม่ทัพเอาเล่าหนิงฮวา” “ข้าไม่อยากรบกวนเขาน่ะ และข้าก็รู้ว่าท่านต้องตอบข้าทุกอย่างอยู่แล้ว” ฟางหนิงฮวายิ้มน้อย ๆ “เจ้านี่ฉลาดเอาเรื่อง ว่าแต่ถามหาท่านแม่ทัพมีธุระอันใดหรือ” หัวหน้าองครักษ์กู้ถาม “ข้าเพียงแต่อยากรู้ว่าช่วงที่ข้า
บทที่ 45 หุบเขาวัดเสวียนคงและสวนต้นกุ้ยฮวา หลังจากการศึกจบลง บ้านเมืองสงบเซียวป๋อเหวินได้มีเวลาของตัวเอง วันนี้เข้าจะพาฟางหนิงฮวาออกไปเที่ยวนอกเมืองสักหน่อย เขาเองก็ได้ยินชื่อเสียงเรื่องความงามของธรรมชาตินอกเมืองมานานแล้ว แต่ด้วยความที่ต้องยุ่งอยู่กับการศึกจึงไม่ได้มีเวลาออกไป วันนี้ว่างแล้วจึงเป็นเวลาที่เหมาสมพอดี เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นสองสามครั้งตั้งแต่เช้าตรู่ ฟางหนิงฮวาที่เพิ่งตื่นขึ้นมาได้ไม่นานกำลังนั่งแต่งตัวจัดเครื่องประดับอยู่ที่หน้ากระจกทองเหลืองเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตูก็รีบออกมาเปิดทันที เมื่อเห็นว่าเป็นเซียวป๋อเหวินก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เพราะปกติแล้วเช้าตรู่เช่นนี้เขาจะอยู่ที่ห้องหนังสือมิใช่หรือ “ท่านแม่ทัพ มาหาข้าแต่เช้ามีเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ” หญิงสาวถาม&nb






ความคิดเห็น