เฉินโม่หราน นักธรกิจสาวต้องทะลุมิติเข้ามาในนิยาย แถมยังเป็นนางร้ายที่เข้าฉากไม่กี่ตอนก็ต้องตาย บ้านใหญ่ก็ยังเห็นแก่ตัวแทบจะหาดีไม่ได้ แบบนี้เธอไม่มีทางยอมหรอกนะ เอาสิ ตายเป็นตาย!!
ดูเพิ่มเติมหมู่บ้านหนานอี้ เมืองโจวหมิง ปี 1979
ก๊อก ๆ ๆ เสียงเคาะประตูดังลั่น แต่อย่าเรียกว่าเคาะเลยต้องเรียกว่าทุบดีกว่า
“ไม่คิดจะหุงหาอาหารหรืออย่างไร นี่ก็สว่างแล้วนะ”
เสียงเรียกของฟางอี้เหนียงหรือสะใภ้ใหญ่ของบ้านเฉินร้องเรียกอยู่หน้าห้องของบ้านรอง
“หรือว่ายังไม่มีใครตื่นคะแม่ เมื่อวานย่าตีนังโม่หรานหนักขนาดนั้น วันนี้บ้านรองคงไม่อยากออกมาทำงานหรือเปล่าคะ
ห้องนี้เงียบเชียว” เฉินเม่ยเม่ยจีบปากจีบคอพูดกับแม่ของตัวเองอย่างไม่พอใจส่วนภายในห้องเวลานี้หญิงสาวที่นอนอยู่กำลังรู้สึกตัว
ทว่าเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมากลับพบว่าเธอนั้นไม่ได้อยู่ที่ห้องตัวเอง“ที่นี่คือที่ไหน” หญิงสาวสะบัดศรีษะเล็กน้อยเพื่อให้สมองคลายความมึนงง แต่เมื่อเธอมองรอบห้อง กลับต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เพราะห้องนี้ไม่ใช่ห้องนอนของเธอ
“อะไรนะ!! นี่มันปี 1979”
ขณะที่กำลังตกใจอยู่นั้น ภาพความทรงจำต่าง ๆ ก็หลั่งไหลเข้ามาในหัว ทำให้รู้ว่าเธอนั้นได้ทะลุมิติเข้ามาในนิยายที่เพิ่งอ่านไป
‘ฉันคือเฉินโม่หราน นางร้ายที่ออกมาไม่กี่ฉากก็ต้องตาย’
เธอได้แต่คิดในใจ เท่าที่จำได้ ในนิยายบอกว่าเฉินโม่หรานตายไปตอนที่ถูกย่าบังคับให้แต่งงานแทนหลานสาวสุดที่รัก
แล้วที่สำคัญคนที่เธอต้องแต่งงานด้วยนั้น เบื้องหน้าคือพรานป่า แต่เบื้องหลังคือเจ้าพ่อดี ๆ นี่เอง
‘ถ้าอย่างนั้นฉันจะแต่งงานแทนเอง ฉันจะไม่ตัดวาสนาการเป็นคุณนายไปหรอก แต่กว่าจะได้เป็นคุณนายนี่สิ จะต้องเจอกับอะไรบ้างนะ เมื่อถึงตอนนั้นเส้นเรื่องทั้งหมดคงได้เปลี่ยนไปแล้ว’
ปัง ๆ ๆ เสียงทุบประตูดังหนักขึ้นจนทำให้เฉินโม่หรานสะดุ้ง ใบหน้าของหญิงสาวฉายแววโมโหอย่างไม่ปิดบัง ก่อนจะรีบเดินมาเปิดประตู
“มีใครตายหรือไงถึงทุบประตูดังขนาดนี้”
สองแม่ลูกมือค้าง มองคนตรงหน้าด้วยความตกใจ
นั่นเพราะว่าไม่เคยเจอแบบนี้มาก่อน กว่าจะเรียกสติกลับมาได้ก็กินเวลาไปหลายนวินาที“จะบ้าหรือไง หล่อนเป็นบ้าอะไรถึงได้มาตวาดฉันที่เป็น
ป้าสะใภ้ของหล่อน” ฟางอี้เหนียงตวาดกลับอย่างไม่พอใจ แต่กลับมีความตกใจที่เห็นหลานสาวจากบ้านรองมีท่าทีเปลี่ยนไปจากเดิม“นั่นสิ หล่อนบ้าไปแล้วหรือไงถึงกล้าตวาดแม่ฉัน”
คราวนี้เป็นเฉินเม่ยเม่ยที่พูด เธอเองตกใจยิ่งกว่าเห็นผีเสียอีกเพราะที่ผ่านมา เฉินโม่หรานไม่ค่อยมีปากเสียงสักเท่าไร
ส่วนเฉินโม่หรานคนใหม่ไม่ได้สนใจหรอกว่า สองคนตรงหน้าจะสงสัยไหมว่าเธอนั้นไม่ใช่เฉินโม่หรานตัวจริง แต่ตามความทรงจำแล้ว คนบ้านเฉินหาดีไม่ได้เลย แถมใช้งานบ้านรองอย่างกับทาสในเรือน
คราวนี้คงถึงเวลาที่จะต้องลุกขึ้นสู้เสียแล้ว!
“แล้วอย่างไร ป้าก็แค่สะใภ้บ้านโม่ เมียของลุงใหญ่ไม่ใช่
พ่อแม่ฉันเสียหน่อย ป้าเองก็ไม่เคยมองฉันดีสักครั้ง มีแค่ด่าและ ข่มเหง แล้วทำไมฉันต้องยอมเหมือนเดิม” เธอสวนกลับ ก่อนจะพูดประโยคต่อมาเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายอ้าปากค้างไปแล้ว“ว่าแต่มาที่นี่มีเรื่องอะไร หากเป็นเรื่องอาหารก็ไปทำเอง ฉันป่วย เมื่อวานนี้ทุกคนเห็นกันทั้งหมดแล้วนี่ว่าฉันโดนย่าตี
แถมยังไม่ให้เงินไปซื้อยา จบนะ”ปัง!! เสียงปิดประตูดังขึ้นทันทีเมื่อเฉินโม่หรานพูดจบ
นี่จึงทำให้สองแม่ลูกจากบ้านใหญ่ได้สติกลับมา
“แม่ นังโม่หรานมันผีเข้าหรือเปล่า ทำไมนิสัยของมันถึงเปลี่ยนไปแบบนี้ล่ะ” เฉินเม่ยเม่ยพูดเสียงเบาจนแทบจะเป็นการกระซิบ
นี่จึงทำให้คนเป็นแม่พยักหน้ารับกับคำพูดของลูกสาว
“แม่เห็นด้วย อย่างไรต้องบอกย่าของแกในเรื่องนี้ ต่อให้มันผีเข้าก็ไม่ควรกำแหงกับฉัน” ฟางอี้เหนียงโกรธจัดและคิดว่าเรื่องนี้ต้องคาบข่าวไปบอกแม่สามีมาให้จัดการหลานสาวจากบ้านรอง
“แล้วถ้ามันผีเข้าจริง ๆ จะทำอย่างไรล่ะแม่ มันไม่แค้นเรื่องในอดีตที่เราเคยทำกับมันหรือคะ”
“ต่อให้มันผีเข้า แต่มันจะทำอะไรเราได้ มันกลัวย่าของแกจะตาย บ้านรองกล้ามีเรื่องหรือ”
สองแม่ลูกต่างก็พูดกันไปมา ไม่นานก็เดินกลับไปยังบ้านใหหญ่ ทว่าเสียงของทั้งสองคนนั้นกลัลเล็ดลอดเข้ามาในห้องที่
เฉินโม่หรานอยู่ หญิงสาวจึงแสยะยิ้มออกมา“นี่เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น ต่อไปนี้ต่อให้ใครจะมาหาเรื่อง
หรือจิกหัวใช้ ฉันจะโต้กลับร้อยเท่าพันเท่า จนกว่าจะได้แยกบ้านออกไป”เฉินโม่หรานความจริงแล้วคือนักธุรกิจหญิงในยุคปัจจุบัน แต่ต้องเข้ามาอยู่ในนิยายที่เพิ่งอ่านไป แล้วนางร้ายตัวประกอบเรื่องนี้ต้องตายเพียงไม่กี่ตอน
หญิงสาวพยายามนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนที่นางร้ายตัวประกอบคนนี้จะตาย และพยายามหาเหตุผลว่าทำไมเธอถึงเข้ามาอยู่ในที่แห่งนี้ จะเป็นเพราะชื่อเหมือนกันก็ไม่น่าใช่
แต่ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็หาเหตุผลนั้นไม่ได้สักที
ส่วนทางด้านของเฉินคังและภรรยารวมถึงลูกชายคนโต ทั้งสามคนขึ้นเขามาเพื่อเก็บสมุนไพรไปต้มให้เฉินโม่หรานกิน
โดยที่ไม่รู้เลยว่าเวลานี้ลูกและน้องสาวของพวกเขาได้ตายไปแล้ว แต่กลับมีหญิงสาวที่ชื่อแซ่เดียวกันมาอยู่แทน“เท่านี้คงจะพอต้มให้กินเพื่อดูอาการแล้วล่ะ ส่วนนี้ก็เอาไปประคบบาดแผล”
เฉินคังพ่อของเฉินโม่หรานพูดพร้อมกับพยักหน้าอย่าง
พึงพอใจที่ได้สมุนไพรตามต้องการ“เช่นนั้นเรารีบกลับกันเถอะครับพ่อ แม่ เดี๋ยวน้อง
ตื่นมาแล้วไม่เห็นพวกเราจะขวัญเสีย แล้วถ้าเกิดบ้านใหญ่มาก่อกวน น้องจะโดนทำร้ายเอาอีกนะครับ”เฉินหลงเปียวพี่ชายของเฉินโม่หรานเห็นว่าได้สมุนไพรตามต้องการแล้ว ก็รีบชวนพ่อกับแม่กลับบ้าน ใจก็ห่วงน้อง อีกใจกลัวว่าจะไม่ทันทำงานที่บ้านเสร็จก่อนไปทำงานในทุ่ง
“นั่นสิ อย่างนั้นพวกเรากลับบ้านกันเถอะ”
จากนั้นทั้งสามคนจึงได้สะพายตะกร้าขึ้นหลังเดินลงเขาเพื่อกลับบ้านเฉิน
ภายในห้องโถงของบ้านใหญ่ เวลานี้ฟางอี้เหนียงกับเฉินเม่ยเม่ยเล่าถึงเรื่องราวที่พบเจอให้ฟัง พยายามย้ำว่าเฉินโม่หรานนั้นคงโดนผีเข้า เพราะไม่อย่างนั้นจะเปลี่ยนไปราวกับคนละคนได้อย่างไรกัน
“มันจะเป็นไปได้หรือ เรื่องผีสางยุคสมัยนี้มันมีด้วยหรือไง” เฉินควนนั่งฟังก็ไม่ค่อยอยากจะเชื่อ แต่ก็ไม่พอใจที่หลานสาวทำกิริยาอย่างนี้กับภรรยาและลูกตนเอง
“หากไม่โดนผีเข้า แล้วทำไมมันถึงกล้ากับแม่ล่ะ ก่อนหน้านี้แทบจะไม่สบตาพวกเราด้วยซ้ำ” เฉินเม่ยเม่ยยังเชื่อตามความคิดของตนเองที่มองว่า เฉินโม่หรานนั้นมีความผิดปกติและน่าจะถูก
ผีเข้า“ไหน ฉันจะไปดูกับตาว่ามันเป็นอย่างที่พวกเธอพูดหรือเปล่า สงสัยเมื่อวานยังไม่เข็ด อยากเจ็บตัวมากกว่านี้”
ย่าเฉินหญิงชราของบ้านเฉินพูดอย่างไม่พอใจและคิดว่าหลานสาวจากบ้านรองนั้นเสแสร้งเพื่อไม่ต้องทำงาน
จากนั้นก็ไม่รอช้ารีบเดินออกไปแล้วตรงไปยังหลังบ้านที่ครอบครัวบ้านรองอาศัยอยู่
บทส่งท้าย ครอบครัวสมบูรณ์ ภายในบ้านของจ้าวหนิงเฉิง เมื่อทุกคนเข้ามาแล้ว เฉินคังและกุ้ยเจินสลับกับเราเรื่องราวที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านให้ฟังอย่างไม่ปิดบัง แม้ว่าเฉินหลงเปียวจะโทรหาบ่อยครั้งแต่ก็จะคุยเรื่องงานและถามความเป็นอยู่มากกว่าเมื่อรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นจากบ้านใหญ่ ก็ไม่คิดว่าเฉินอี้โจวจะหลงผิดถึงขั้นเปลี่ยนตัวเองเป็นหัวขโมย“เพราะเรื่องนี้ด้วยไหมคะพ่อถึงยอมไปปักกิ่งกับฉัน”“ส่วนหนึ่งเท่านั้นแหละลูก พ่อไม่อยากให้ทุกคนแยกจากกัน อีกทั้งพ่อไม่ได้มีห่วงที่นี่อีกแล้ว” เขาตอบตามความเป็นจริง “ตอนนี้ตัวตนของพี่เฉิงคงกระจายทั่วแล้ว เดี๋ยวบ้านใหญ่คงรู้เรื่อง พ่อไม่กลัวว่าย่าจะมาหาเรื่องหรือขอค่าเลี้ยงดูเหรอ”เฉินโม่หรานไม่เชื่อว่าย่าของเธอจะยอมง่าย ๆ ในเรื่องนี้ และยังมีเฉินเม่ยเม่ยอีก ฝ่ายนั้นคงแค้นแทบกระอักเลือดเมื่อพรานป่าที่ปฏิเสธกลายเป็นคนร่ำรวยและมีอิทธิพลมาก“ต่อให้ย่าของลูกมาจริงอย่างที่ลูกบอก พ่อก็ไม่ให้หรอกนะ เพราะตลอดชีวิตพ่อที่ผ่านมา พ่อทำดีที่สุดแล้ว และให้ไปมากพอแล้ว ต่อจากนี้ครอบครัวของพี่ใหญ่ต้องจัดการดูแลแม่เอง”เมื่อทุกคนได้ยินต่างก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจที่เฉินคังมีความเ
บทที่ 35 เริ่มต้นใหม่ในตระกูลจ้าวยังไม่ทันที่จ้าวต้าเค่อได้ตอบคำถามของพ่อตนเอง กลับมีเสียงของหญิงสาวคนหนึ่งพูดออกมาอย่างเคียดแค้น“เรื่องในอดีตเราสองคนสามีภรรยาไม่ได้สนใจอะไรมากมาย วันนี้ที่มาเปิดเผยตัวเพราะต้องการนำตราประจำตระกูลส่งมอบให้คนที่เหมาะสม แต่ไม่คิดว่าจุดจบของสามีฉันคือความตาย เช่นนั้นก็อย่าหวังว่าจะได้ในสิ่งที่ต้องการเลย”เฉินโม่หรานสบตากับจ้าวหมิงยังไม่เกรงกลัว ก่อนจะพูดประโยคต่อมา “ถึงแม้ว่าตอนนี้สามีฉันจะไม่อยู่แล้ว แต่ฉันคือภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของเขา คุณก็อย่าหวังเลยว่าจะได้ทุกสิ่งทุกอย่างไปเพราะฉันไม่มีทางยอม!!”เสียงประกาศของหญิงสาวดังขึ้นมาอย่างชัดเจนและ เธอไม่มีท่าทีผู้หญิงอ่อนแอเลยแม้แต่น้อย แม้ใบหน้าสวยหวานจะมีน้ำตาไหลอาบแก้มก็ตามนายท่านสวี่ได้ยินก็รีบพูดสนับสนุนทันที “ฉันจะสนับสนุนเธอเอง อย่างไรเธอก็คือภรรยาของจ้าวหนิงเฉิงอย่างถูกกฎหมาย นับว่าเธอคือทายาทของเขา”“ได้อย่างไร ในเมื่อฉันคือจ้าวหมิง คนที่ดูแลตระกูลจ้าวมานับสิบปี จะให้คนนอกมากุมอำนาจได้อย่างไร ฉันยังอยู่ทั้งคนไม่ยอมให้ใครมาแย่งชิงสิ่งที่ควรเป็นของฉันไปหรอกนะ อย่างไรตระกูลจ้าวก็ต้องเป็นของฉันเท
บทที่ 34 ทายาทตัวจริงปรากฎคฤหาสน์ตระกูลจ้าวเวลานี้เต็มไปด้วยผู้ทรงอิทธิพลที่มาร่วมงานกันอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นคนในเมืองหลวงหรือต่างเมืองต่างก็มาแสดงความยินดีให้กับจ้าวหมิงทุกคนต่างก็เห็นกันว่าตลอดสิบปีที่ผ่านมา เขาได้พาตระกูลจ้าวให้มาอยู่ในจุดนี้โดยไม่รู้เลยว่าแท้จริงแล้วกิจการที่เจริญรุ่งเรืองขึ้นมานั้นเป็นเพราะลูกชายของเขาต่างหากล่ะ ผู้คนที่มากันอย่างมากมายมีทั้งดีใจด้วยและภาวนาให้คุณชายใหญ่ปรากฏตัวในวันนี้ เพราะนั่นคือทายาทที่แท้จริงของตระกูลจ้าวจะว่าไปแล้วก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่คิดว่าจ้าวหมิงต้องการแย่งตำแหน่งของพี่ชาย จึงได้ส่งคนมาจัดการ แต่ก็นั่นแหละเพราะไม่มีหลักฐานเลยทำอะไรกันไม่ได้ จึงได้แต่ภาวนาให้ทายาทตัวจริงปรากฏ“ดีใจด้วยนะนายท่านรอง ไม่ใช่สิ ต้องเรียกว่านายท่านจ้าว ฮ่า ๆ ๆ ในที่สุดวันที่รอคอยก็มาถึงแล้ว” ชายสูงวัยคนหนึ่งหัวเราะขึ้นมา พร้อมกับชูแก้วให้อีกฝ่ายคล้ายกับแสดงความดีใจด้วย“ความจริงแล้วผมก็อยากจะรอหลานชายเพียงคนเดียวนั่นแหละ แต่ไม่ว่าจะส่งคนหาไปเท่าไหร่ก็ไม่มีข่าวคราวเลย ผมเองก็จนปัญญา แต่ตระกูลต้องมีผู้นำ”เขาพูดตอบกลับมาด้วยคำพูดที่แฝงไปด้วยความเศร้าเล็กน้
บทที่ 33 จับโจรได้แล้วหลายวันต่อมา...ทุกอย่างเป็นไปอย่างที่เฉินหลงเปียวคาดการณ์ไว้ นั่นเพราะเฉินอี้โจวกลับมาที่หมู่บ้านอีกครั้ง ทันทีที่หัวหน้าหมู่บ้านและหัวหน้าชุยรับรู้ก็เริ่มจับตามองหลานชายบ้านเฉินทันที โดยที่เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ มีเพียงคนสนิทและไว้ใจได้เท่านั้นที่ทั้งสองบอกและให้รับหน้าที่จับตาดูส่วนเฉินเม่ยเม่ยเองก็เริ่มสงสัยว่าทำไมดี๋ยวนี้พี่ชายของเธอถึงได้กลับบ้านบ่อยนัก เลยถามออกมา “นี่กลับมาอีกทำไม ไม่ใช่ถูกโรงงานไล่ออกแล้วเหรอ แล้วมีเงินกลับมาบ้างไหมตอนนี้บ้านของเราไม่เหลือเงินแล้วนะ”พอได้ยินน้องสาวพูดแบบนั้นก็แสร้งทำสีหน้าตกใจ แล้วรีบถามออกมา “เกิดเรื่องอะไรเหรอ อย่าบอกนะว่าบ้านเราโดนหัวขโมยขึ้นบ้านเหมือนคนอื่นในหมู่บ้าน”“ก็ใช่นะสิ ย่านี่ด่าไม่หยุดเลยแถมยังสาปแช่งที่กล้ามาขโมยเงินของย่าไป แล้วที่ถามนี่มีเงินไหมขอเงินหน่อยสิ” หญิงสาวแบมือรอรับเงินจากพี่ชาย เธอตั้งใจจะเข้าเมืองสักหน่อย“ฉันไม่มีหรอก นี่กว่าเงินเดือนของโรงงานจะออกก็อีกตั้งหลายวัน ที่ฉันกลับมาบ้านเพราะที่ผ่านมาไม่เคยหยุดหรือลาเลยอย่างไรล่ะ ทำให้มีวันหยุดเยอะ เธอก็เลิกถามเถอะ ฉันเหนื่อยจะเข้าไปนอนส
บทที่ 32 ผู้ต้องสงสัยหลักสองย่าหลานได้ยินอย่างนั้นก็หันมาสบตากันทันที พยายามนึกว่าเธอลืมลงกลอนประตูและหน้าต่างหรือเปล่า“ไม่นะย่า อย่ามองฉันอย่างนั้น ฉันไม่มีทางลืมใส่กลอนประตูแน่นอน นอกเสียจากว่าพี่ใหญ่กับพ่อจะออกไปไหนตอนกลางคืนแล้วลืมใส่กลอนประตูจนทำให้หัวขโมยมันเข้ามาในบ้านโดยที่เราไม่รู้ตัว” เฉินเม่ยเม่ยรีบปฎิเสธ“ส่วนฉันจะต้องไปแจ้งเจ้าหน้าที่เรื่องนี้ ฉันไม่ยอมสูญเสียเงินไปแน่นอน จะต้องตามจับหัวขโมยชั่วนั่นมาให้ได้” หญิงชราประกาศกร้าว สีหน้าและท่าทางดูแค้นเคืองเจ้าหัวขโมยนั้นเหมือนอยากจะฆ่าให้อีกฝ่ายตายคามือ โดยที่ไม่รู้เลยว่าหัวขโมยชั่วที่ย่าเฉินทั้งด่าทั้งแช่งนั้นคือหลานชายตัวเอง และเป็นหลานชายสุดที่รักอีกต่างหากเมื่อเห็นว่าย่าเฉินฟื้นแล้วและดูเหมือนจะไม่เป็นอะไร ชาวบ้านที่เข้ามาช่วยเลยเข้ามาดูก็ทยอยกันออกมา แต่ก็คิดว่าเรื่องนี้มันแปลกเกินไป บ้านอื่นประตูบ้านและหน้าต่างถูกงัดแงะแต่บ้านเฉินกลับไม่มีร่องรอยอะไรเลย ดูเหมือนจะเป็นการกระทำของคนในบ้านเสียมากกว่า ทว่ากลับไม่มีใครพูดอะไรออกมา เพราะกลัวปากของย่าเฉินเรื่องบ้านใหญ่เฉินตอนนี้กระจายไปทั่วหมู่บ้านแล้วทุกคนรู้ว่าบ้านหลัง
บทที่ 31 บ้านใหญ่ถูกปล้นเหมือนกันเมื่อทางหมู่บ้านมีการเดินเวรยามเพื่อหาวิธีจับหัวขโมยที่ขโมยเงินของชาวบ้าน ก็ทำให้โจรตัวจริงอย่างเฉินอี้โจวเริ่มกระวนกระวายใจนั่นก็เพราะว่าเงินที่หามาได้ยังไม่ครบตามจำนวนที่ต้องไปใช้หนี้ให้กับบ่อนการพนัน และยังไม่พอให้เขาต่อยอดได้แก้มือ แต่เมื่อเห็นน้องสาวขอเงินย่า ก็เริ่มมีความคิดที่จะขโมยเงินของบ้านตนเอง“ย่าตอนนี้ของกินของใช้อะไรหมดแล้วนะ ขอเงินไปซื้อหน่อยสิ” เฉินเม่ยเม่ยแบมือขอเงินคนเป็นย่า เพราะตอนนี้ของใช้ในบ้านนั้นหมดแล้ว“จะซื้ออะไรนักหนา ของกินก็หาเก็บในป่าสิ มันก็กินได้เหมือนกันนั่นแหละ ตอนนี้อี้โจวก็กลับมาอยู่บ้านไปช่วยหาสัตว์ป่าสักหน่อยก็ได้ บ้านเราก็ไม่ได้กินเนื้อสัตว์นานแล้วนะ”หญิงชราไม่ค่อยอยากจะควักเงินออกจากกระเป๋า ตั้งแต่บ้านรองแยกบ้านออกไป ก็แทบจะไม่มีรายรับเข้ามาเลย มีแต่รายจ่ายอย่างเดียว หากยังเป็นอย่างนี้ สักวันเงินก็คงจะหมด“ก็หลานชายสุดที่รักของย่าน่ะสิ วัน ๆ เอาแต่นอนไม่รู้ไปทำอะไรมานักหนา ถ้าเกิดย่าอยากกินเนื้อแล้วไม่จ่ายเงินก็ให้หลานชายไปหาเอาก็แล้วกัน แต่ตอนนี้แป้งและข้าวสารหมดแล้ว ถ้าไม่ให้เงินไปซื้อ เย็นนี้จะกินอะไร” หญิ
ความคิดเห็น