หลิวหลงผิง แพทย์สาวจากยุคศตวรรษที่ 21 ทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างของสตรีที่มีชื่อแซ่เดียวกันและจำเป็นต้องแกล้งบ้าเพื่อความอยู่รอดของตน กับ จวิ้นอ๋อง องค์ชายสี่ที่ชีวิตเหมือนถูกสาปต้องสวมหน้ากากครึ่งซีกตั้งแต่ยังเยาว์ ภายใต้หน้ากากที่ไม่ได้แค่ปกปิดความน่ากลัวของบาดแผลเท่านั้นแต่มีบางอย่างที่ลึกลับชวนให้นางต้องค้นพบคำตอบนั้นให้จงได้ หนึ่งคนดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดแต่อีกคนดั่งมัจจุราชที่คอยตามติดเหมือนเงา นางจะรอดพ้นจากเงื้อมมือของเขาไปได้อย่างไร เมื่อปากบอกว่าเกลียดชังแต่ไม่ยอมให้นางห่างจากตัวเลยแม้เพียงก้าวเดียว - - - - - - - - - - - "ไม่ว่าเจ้าจะหนีข้าไปไกลมากเพียงใดข้าก็ตามเจ้ากลับมาได้เช่นเดิม เพราะชีวิตของเจ้าเป็นของข้า" "ท่านเป็นบ่อเงินบ่อทองของข้าเลยนะ ข้าต้องโง่เพียงใดถึงต้องหนีท่านไป" "เจ้าว่าอะไรนะ?"
ดูเพิ่มเติมแสงสลัวสาดส่องเข้ามาในห้องหอที่ถูกประดับตกแต่งอย่างงดงาม เมื่อยามสายวาโยพัดโชยมานำพาเอากลิ่นดอกหอมหมื่นลี้ลอยละล่องเข้ามาภายในห้องที่เงียบงัน ผ้าม่านสีแดงสลับทองปลิวสยายไปตามแรงลม
แสงเทียนไหวเอนไปมาสะท้อนให้เห็นเงาของคนคู่หนึ่งสาดฉายเต็มทั่วทั้งผนังห้อง เป็นเวลาเนิ่นนานเทียนสีแดงที่ตั้งตระหง่านบนตะเกียงน้ำมันก็เผาไหม้ตัวเองจนดับมอดไปเกือบทุกเล่ม ห้องทั้งห้องจึงตกอยู่ในความมืด
หลิวหรงผิงนั่งอยู่บนเตียงนอนใบหน้าของนางเต็มไปด้วยหยาดน้ำตาอาบแก้ม นางเงยหน้าขึ้นจ้องมองบุรุษรูปร่างสูงโปร่งที่กำลังสวมใส่เสื้อผ้าด้วยความรวดเร็วไม่มีแม้แต่จะหันหลังกลับมาดูนางเลยแม้เพียงนิด
“หะ…เหตุใดท่านถึงใจร้ายกับข้านักเล่าเพคะ”
“หุบปาก! ข้าหาใช่คนที่เจ้าบังอาจมาตั้งคำถามด้วยไม่"
เขาชายตามามองนางเพียงเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยต่อไปว่า
"ใครอยู่ข้างนอกเข้ามาให้หมด!”
สิ้นคำบอกกล่าวก็มีเสียงเปิดประตูจากด้านนอก เสียงฝีเท้าของคนจำนวนหนึ่งที่ลนลานเข้ามาก่อนจะรีบคุกเข่าลงอย่างร้อนรน
“เอายานั่นให้นางกิน หากว่านางตั้งครรภ์ขึ้นมาพวกเจ้าทั้งหมดได้หัวหลุดจากบ่าอย่างแน่นอน”
เสียงเย็นชาเยือกเย็นนั้นทำให้หลิวหรงผิงตัวสั่นสะท้านด้วยความเสียใจระคนอับอายกับสิ่งที่ได้รับ
จวิ้นอ๋อง องค์ชายสี่แคว้นต้าหยวน บุรุษที่นางเพิ่งแต่งงานด้วยยังไม่ทันถึงข้ามคืนเมื่อได้เข้าหอสมใจปรารถนาของนางแล้ว เขาก็จัดการสั่งให้นางกินยาระงับการตั้งครรภ์ทันที
หมอหลวงที่อยู่คอยรับคำสั่งนั้นรีบยกถ้วยกระเบื้องเคลือบที่มียาระงับการตั้งครรภ์นองเต็มถ้วยในนั้น
มือที่สั่นเทากำลังจะเอื้อมหยิบจอกยาให้หลิวหรงผิงชายาเอกของจวิ้นอ๋อง แต่เพราะความหวาดกลัวและความรู้สึกผิดทำให้มืออวบอ้วนนั้นชะงักค้างไป
จนองค์รักษ์คนสนิทของจวิ้นอ๋องที่เห็นท่าไม่ดีจึงรีบเดินเข้ามาแล้วหยิบเอาถ้วยยานั้นส่งไปให้หลิวหรงผิงแทน
นางนั่งอยู่บนเตียงนอนน้ำตาที่ไหลอาบแก้มไม่ได้ทำให้จวิ้นอ๋องสงสารเลยแม้เพียงนิดกลับกันนั่นยิ่งทำให้เขารู้สึกเกลียดชังความเสแสร้งของนางมากขึ้น
“พระชายา”
องค์รักษ์ผู้นั้นเอ่ยเรียกนางอย่างจนใจเขารู้สึกเวทนาในชะตากรรมของนางไม่ต่างกับคนอื่นๆ แต่มิอาจเอื้อนเอ่ยสิ่งใดออกมาได้เพราะผู้เป็นนายอย่างจวิ้นอ๋องนั้นเกลียดชังนางเป็นอย่างมากนั่นเอง
หลิวหรงผิงเงยหน้าขึ้นมองไปยังร่างสูงที่ยืนหันข้างให้นาง แม้ใบหน้าครึ่งซีกจะถูกปกปิดด้วยหน้ากากสีทองน่าเกรงขามนั้นแต่กลับไม่ได้ทำให้ความหล่อเหลาของเขาน้อยลงเลยสักเพียงนิด
เขามองไปเบื้องหน้าไม่มีแม้แต่จะหันกลับมามองนางเลยแม้เพียงเสี้ยวนาทีเดียว น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าร่วงโรยลงมาดูน่าสงสารจับใจ
“แม้เจ้าจะแต่งงานกับข้าสมใจแล้วแต่จะให้มีสายเลือดของข้าปะปนกับคนตระกูลหลิวเช่นเจ้าไม่ได้! กินให้หมดมิเช่นนั้นข้าจะเป็นคนกรอกยานั่นใส่ปากของเจ้าเอง!”
“และนับจากคืนนี้เป็นต้นไปก็อย่าหวังว่าข้าจะแตะต้องเจ้าอีกแม้เพียงปลายนิ้วสตรีน่ารังเกียจเช่นเจ้าไม่คู่ควรกับข้า!”
หลิวหรงผิงที่ช้ำใจอย่างหนักกลั้นใจยกถ้วยยาขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมดแม้ความขมของยาก็ไม่อาจทำให้นางรู้สึกขมขื่นได้เท่าหัวใจของนางในเวลานี้
เมื่อทุกอย่างสงบลงแล้วเรือนเฟิ่งอวี้ที่ไร้เงาของผู้คนก็กลับมาเงียบสงบและดูเหมือนจะค่อนข้างวังเวงในเวลากลางดึกเช่นนี้ยิ่งนัก
เสียงฝนตกกระทบหลังคาที่ดังสนั่นก็ไม่อาจทำให้ความเงียบเหงานั้นคลายลงไปได้
หลิวหรงผิงนั่งกอดเข่าหยาดน้ำตาร่วงรินลงมาเป็นทาง สตรีที่เคยเพียบพร้อมเป็นที่ต้องการของเหล่าบุรุษทั้งเมืองแต่เวลานี้กลับถูกทอดทิ้งให้อยู่อย่างเดียวดายในเรือนท้ายจวนแห่งนี้
นางลุกขึ้นจากเตียงนอนที่มีแต่ร่องรอยความบอบช้ำนั้นก่อนจะก้าวเท้าออกไปที่สวนดอกไม้หน้าเรือนรับเอาความเย็นชุ่มช่ำจากสายฝนที่ตกโปรยปรายลงมาไม่มีหยุดหย่อน ก่อนร่างบอบบางจะเริ่มร่ายรำพลางส่งเสียงหัวเราะปะปนกับเสียงร้องไห้ดังก้องกังวานไปทั่วทั้งเรือน
เสียงๆ นั้นดังแว่วออกไปจนถึงเรือนใหญ่คล้ายเสียงคร่ำครวญของภูตผีจนบ่าวในจวนไม่มีใครกล้าออกมาดูเลยสักคน
สาวใช้คนสนิทของนางที่ได้ยินเสียงนั้นก็รีบวิ่งเข้าไปพยายามดึงร่างของผู้เป็นนายสาวให้กลับเข้าไปในเรือน
“เจ้ามาเล่นกับข้าแล้วหรือ มาสิๆ ข้าเหงามาเล่นกันนะ”
น้ำเสียงที่ไร้เดียงสาเอื้อนเอ่ยออกมาท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมาหนักขึ้นเรื่อยๆ สาวใช้ทั้งสองได้แต่มองหน้ากันอย่างจนใจ
‘พระชายาผู้สง่างามของพวกนางกลายเป็นคนเช่นนี้ไปได้อย่างไรกัน เพราะความรักทำลายนางได้เพียงนี้เลยกระนั้นหรือ’
เพียงชั่วข้ามคืนหลิวหรงผิงก็กลายเป็นหญิงสติฟั่นเฟือน เรื่องนี้แพร่งพรายออกไปจนรู้กันหนาหูว่าพระชายาจวิ้นอ๋องน่าจะตื่นตกใจที่ได้เห็นใบหน้าของผู้เป็นสามีจนสติฟั่นเฟือน จากสตรีที่งามล่มเมืองกลายเป็นคนบ้าพูดจาไม่รู้เรื่องช่างน่าสงสารจับใจ
จวิ้นอ๋องไม่มีแม้แต่จะแก้ตัวใดๆ เขาสั่งกักขังนางเอาไว้ที่เรือนท้ายจวนแห่งนั้นและไม่อนุญาตให้นางก้าวเท้าออกมาข้างนอกอีกเลย
เป็นเวลาร่วมเดือนแล้วที่หลิวหรงผิงถูกกักขังเอาไว้ในเรือนเฟิ่งอวี้ กลางดึกคืนหนึ่งพายุฝนก็ตกกระหน่ำลงมาเฉกเช่นทุกๆ คืน
นางนั่งกอดเข่าอยู่หน้าเรือนพลันสายตาก็มองเห็นคนผู้หนึ่งที่กำลังเดินผ่าสายฝนเข้ามาหานาง
ร่างที่ลางเลือนเดินเข้ามาเรื่อยๆ มือเรียวบางนั้นยื่นออกมาหมายจะชักชวนให้นางเดินเข้าไปหา หลิวหรงผิงก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยสติอันเลื่อนลอย
นางเดินไปเรื่อยๆ จนถึงบ่อน้ำไม่ไกลจากสวนดอกไม้ เสียงวิ่งดังตึกตักมาทางด้านหลังพร้อมทั้งเสียงตะโกนร้องเรียกของหญิงสาวสองคนที่ดังขึ้นประสานเสียงกันว่า
“พระชายาระวังเพคะ!”
เมื่อเห็นท่าไม่ดีสาวใช้ทั้งสองจึงรีบวิ่งเข้าไปหมายจะดึงตัวของนางออกมาให้ห่างจากขอบบ่อนั้นแต่ดูเหมือนจะไม่ทันเสียแล้ว
หลิวหรงผิงหันไปมองทั้งคู่ที่กำลังวิ่งตรงมาหานาง สาวใช้ที่อยู่ด้วยกันมาตั้งแต่ยังเล็กและแล้วภาพที่นางเอาแต่ทุบตีด่าว่าคนทั้งคู่นั้นก็ผุดขึ้นมาในหัวไม่รู้จบ นางยิ้มก่อนจะพึมพำออกมาเบาๆ ว่า
“ข้าขอโทษนะ”
เท้าที่เปล่าเปลือยเหยียบย่ำไปบนขอบตลิ่งที่อ่อนตัวเพราะโอบอุ้มน้ำจากฝนที่ตกลงมาไม่ได้แล้ว พลันร่างทั้งร่างก็พลัดตกลงไปในสระน้ำที่ทั้งลึกและกว้างใหญ่
“พระชายา!"
ความเงียบสงัดก่อนหน้านี้ชะงักไปชั่วขณะก่อนจะถูกแทนที่ด้วยเสียงหัวเราะของหลิวหรงผิงดังก้องกังวานไปทั่วทั้งป่า ตามมาด้วยเสียงกระพือปีกนับร้อยนับพันของฝูงนกที่ตกใจตื่นเสียงของพวกมันดังระงมราวกับพายุที่โหมกระหน่ำอยู่บนยอดไม้ก่อนจะพุ่งพรวดขึ้นสู่ท้องฟ้าสีดำสนิทพร้อมกันในฉับพลันตัวของพวกมันมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าแต่เสียงโฉบเฉี่ยวและการเคลื่อนไหวอันวุ่นวายทำให้รู้ว่าพวกมันกำลังโบยบินอย่างตื่นตระหนกอยู่เบื้องบนราวกับมีใครสาดความกลัวเข้าไปกลางอากาศอย่างไรอย่างนั้นจวิ้นอ๋องยืนจังก้าใบหน้าบึ้งตึงสายตาเย็นยะเยือกที่แผ่ออกมาในเวลานี้ทำเอาเหล่าทหารของเขานั่งกันไม่ติดแล้ว“ไปจับนางกลับมา”สิ้นเสียงเย็นชาพร้อมแววตาคมกริบก็จ้องมองไปยังสตรีบ้าที่เอาแต่วิ่งพล่านไปทั่วนั้นก่อนจะพ่นลมหายใจออกมาเสียงดัง สององค์รักษ์คนสนิทก็เอาแต่มองหน้ากันพร้อมกับเกี่ยงกันไปมา‘หากพวกเขาแตะต้องตัวของพระชายามือน้อยๆ คู่นี้จะยังมีไว้จับตะเกียบกินข้าวอยู่หรือไม่ แต่หากไม่ทำตามคำสั่งของท่านอ๋องแล้วเงาหัวของพวกเขาเองก็คงจะไม่มีให้เห็นเช่นกันกระมัง’
“ข้าน้อยไม่ได้หมายความเช่นนั้น”“ช่างเถอะ ว่าแต่ท่านเถอะเหตุใดถึงมาอยู่ที่ขบวนของจวิ้นอ๋องได้ล่ะ”“ข้าน้อยได้รับมอบหมายให้ติดตามดูแลท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”“ติดตามดูแลทุกเรื่องเลยอย่างนั้นหรือ”“ก็อาจจะใช่พ่ะย่ะค่ะ”“รวมถึงเรื่องที่เขาได้รับพิษด้วยหรือไม่”“เอ่อเรื่องนี้”“พูดมาเถอะน่า หลายคืนก่อนข้าได้ยินเสียงร้องด้วยความทรมานของเขานั่นเป็นเพราะพิษในร่างกายของเขากำเริบขึ้นมาใช่หรือไม่”“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ พิษที่สะสมในร่างกายของท่านอ๋องมิอาจคลายออกได้หมดอีกทั้งยังลุกลามมาที่ใบหน้าแต่ก็แปลกที่ไม่ลา
ร่างสูงเดินฝ่าความมืดกลับไปยังค่ายพักแรมที่ตั้งอยู่ไม่ไกลกันนัก เสียงฝีเท้าที่เดินมาทำให้เหล่าทหารที่กำลังพักผ่อนรีบแหวกทางให้ผู้เป็นนายด้วยความว่องไวสายตาหลายๆ คู่มองเห็นคนในอ้อมแขนแกร่งของผู้เป็นนายที่ทั้งชีวิตไม่เคยโอบอุ้มผู้ใดเลย เวลานี้กลับอุ้มร่างบอบบางของสตรีที่เขาเกลียดชังนักหนาเสียอย่างนั้นหลิวหรงผิงไม่สนใจสีหน้าบึ้งตึงของชายหนุ่มนางหันมองไปรอบๆ ที่เวลานี้เริ่มพบเห็นเหล่าทหารกล้าที่ติดตามมากับขบวนของเขาแล้ว ไม่ไกลกันนักดูเหมือนจะมีอารามเก่าแก่อยู่แห่งหนึ่งที่น่าจะถูกทิ้งไว้จนรกร้างไปแล้ว“นี่ท่านตั้งค่ายพักแรมที่วัดร้างกระนั้นหรือ”“มีที่ดีกว่านี้แล้วอย่างนั้นหรือ”“ที่อื่นมีเยอะแยะหรือไม่เล่า วะ…วัดร้างมันย่อมมี”“อะไร”“ผีอย่างไรเล่า&r
การเดินทางจากเมืองหลวงไปยังเมืองลี่หนานนั้นต้องใช้เวลาในการเดินทางแปดถึงสิบวันได้ นับตั้งแต่ออกเดินทางมาจนถึงวันนี้ก็ย่างเข้าสู่วันที่เจ็ดแล้วท้องฟ้าเวลานี้เริ่มเปลี่ยนจากสีดำสนิทเป็นสีเทาอ่อนก่อนที่แสงแรกของดวงอาทิตย์จะแตะขอบฟ้า ค่อย ๆ ไล่โทนเป็นสีส้มอ่อนและสีชมพูระเรื่อราวกับหญิงสาวที่กำลังแต่งแต้มใบหน้าให้สดใสรับเช้าวันใหม่นกน้อยเริ่มส่งเสียงร้องเจื้อยแจ้วปลุกให้เหล่าทหารตื่นจากนิทรา หมอกบางเบาเริ่มจางหายไปเผยให้เห็นยอดเขาที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้าน้ำค้างที่เกาะอยู่บนใบไม้พลันเปล่งประกายระยิบระยับเมื่อต้องแสงอาทิตย์อ่อน ๆ สายลมเย็นพัดเอื่อย ๆ ผ่านผิวหน้าทำให้หลิวหรงผิงที่เวลานี้กำลังชะโงกหน้าออกมารับแสงแดดยามเช้านอกตัวรถม้านั้นรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาจนอยากจะสูดลมหายใจเข้าไปให้เต็มปอดการเดินทางรอนแรมในป่ามานานนับเจ็ดวันถนนหนทางยากลำบากไม่น้อย แม้รถม้าที่นางนั่งจะถูกปูไปด้วยเบาะที่หนานุ่มพิเศษแล้วแต่ก็ยังทำให้ก้นของหญิงสาวระบมไปไม่น้อยเลย“ให้ตายสิเมื่อไหร่จะถึงกันนะ”“พระชายาอดทนหน่อยนะเพคะบ่าวว่าอีกไม่นานก็คงจะถึงแล้ว”“เจ้าแน่ใจหรือข้าว่าตาอ๋องบ้านั่นคงตั้งใจกลั่นแกล้งข
“ท่านอ๋อง”“เจ้าเรียกข้ามามีอะไรงั้นหรือ”“ข้าคิดถึงท่านอ๋องมากนะเพคะ”เว่ยอวิ๋นเซียนกำลังจะเข้าไปสวมกอดเขาแต่จวิ้นอ๋องกลับถอยหลังออกไป“ท่านอ๋อง” เว่ยอวิ๋นเซียนเรียกเขาด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือ“เวลานี้เจ้าคือว่าที่พระชายาขององค์ชายเจ็ดแล้ว ควรเว้นระยะห่างกับข้าจะดีที่สุด”“แต่ว่าในใจของข้านั้น”“ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ต้องสำรวมมากกว่านี้”“ท่านอ๋องแต่ในใจของอวิ๋นเซียนมีเพียงท่านเสมอมานะเพคะ”“แล้วเหตุใดถึงยินยอมรับการแต่งงานกับน้องเจ็ดกันล่ะ”“ท่านก็รู้ว่าหากท่านพ่อของข้าต้องการสิ่งใดคนเช่นข้ามีหรือจะต่อต้านเขาได้โปรดท่านอ๋องเห็นใจด้วย”“เช่นนั้นก็ทำตามที่บิดาของเจ้าต้องการ กลับไปหาน้องเจ็ดเสียเถอะข้าเองก็มีสิ่งที่ต้องทำเช่นกัน”“แต่ว่าท่านอ๋อง”เว่ยอวิ๋นเซียนพยายามบีบน้ำตาออกมาอีกครั้งหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะช่วยให้เขาเห็นใจนางขึ้นมาบ้าง แต่จวิ้นอ๋องกับเอาแต่ยืนนิ่งไม่พูดไม่จาไม่เหมือนจวิ้นอ๋องคนที่นางเคยรู้จักผู้นั้นอีกเลย‘ที่แท้เสียงขลุ่ยนั่นก็คือสัญลักษณ์ของคนทั้งคู่นี่เอง มิน่าล่ะเขาถึงได้ดูร้อนรนแปลกๆ ที่แท้ก็รีบออกมาหานางนี่เอง’หลิวหรงผิงยืนพิงต้นไม้ใหญ่ด้านข้างตำหนักที่ทั้งสองแอบน
เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วยาม[1] หลิวหรงผิงที่ถูกส่งเข้ามาพักในตำหนักไม่ไกลกันนั้นก่อนหน้านี้ก็เอาแต่กินอาหารทั้งคาวและหวานไม่มีหยุดทั้งเนื้อแพะย่างสมุนไพร ซุปหูฉลาม ขาหมูตุ๋นน้ำแดงและเป็ดหมักน้ำปรุงที่มีเนื้อนุ่มละมุนลิ้นรสอร่อยยิ่งนัก ถึงกลับต้องคลายผ้าคาดเอวออกเพราะท้องน้อยๆ ของนางเวลานี้นั้นเริ่มขยายขึ้นจนรู้สึกแน่นไปหมดแล้ว'มิน่าเล่าในยุคที่จากมาคนส่วนใหญ่ถึงหันไปทำช่องอาหารกัน เพราะได้กินของอร่อยแล้วมันมีความสุขแบบนี้นี่เอง''จะว่าไปอยู่แบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะกินแล้วก็นอนช่างสุขสบายเสียจริง หากไม่นับเรื่องที่ถูกกลั่นแกล้งก็ถือว่าการเกิดใหม่ครั้งนี้ของนางคุ้มค่าที่สุดแล้ว'เมื่อกินอิ่มหนังตาก็จะปิดลงเสียอย่างนั้นหญิงสาวหันมองไปโดยรอบก็เห็นเตียงนอนที่ตั้งอยู่ไม่ไกลกันนักก่อนจะย้ายร่างบอบบางนั้นไปนอนแผ่หลาบนเตียงแทน'ได้ยินว่าการเข้าวังนั้นต้องทำตามธรรมเนียมและกฎเกณฑ์ในวังต่างๆ มากมายที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด แต่เหตุไฉนข้าถึงได้รู้สึกว่ามันก็ไม่ได้น่ากลัวอะไรถึงเพียงนั้นกันนะหรือเพราะว่าข้าเป็นคนบ้าในสายตาของคนอื่นกระนั้นหรือถึงไม่มีใครคิดจะใส่ใจเลยสักคน'ในหัวที่ครุ่นคิดเรื่องต่างๆ อ
ความคิดเห็น