จากนักฆ่าผู้เคยไร้หัวใจ กลับต้องแสร้งเป็นคุณหนูผู้อ่อนแอ อวี้หลัน หรือที่วงการนักฆ่ารู้จักกันดีในนาม "เงาสีชาด" นักฆ่าอันดับหนึ่ง ผู้ที่ลงมือเมื่อใด ไม่มีเป้าหมายใดรอดชีวิต กลับพบว่าตัวเองฟื้นขึ้นมาในยุคโบราณ และยังอยู่ในร่างของเด็กสาวอ่อนแอชื่อแซ่เดียวกันที่ถูกวางยาพิษจนตาย การใช้ชีวิตในยุคที่เต็มไปด้วยเล่ห์เพทุบาย ผู้หญิงคือเครื่องมือทางการเมือง บุตรีขุนนางคือหมากตัวหนึ่งในกระดานอำนาจ และตอนนี้ อวี้หลัน อดีตหญิงสาวยุคใหม่ที่เคยใช้ชีวิตอย่างมีเหตุผลและวิทยาศาสตร์ ต้องเผชิญกับโลกที่คำว่า "อำนาจ" สำคัญยิ่งกว่าความถูกต้อง ด้วยสติปัญญาและมุมมองจากยุคปัจจุบัน นางพยายามเอาชีวิตรอดในโลกที่เต็มไปด้วยเล่ห์กล แบ่งฝักแบ่งฝ่าย ในขณะเดียวกัน นางก็ต้องเลือกว่าจะเล่นตามเกมของผู้อื่น หรือจะวางเกมของตนเอง
Voir plusในค่ำคืนที่ฝนกระหน่ำ ตกลงมาอย่างไม่หยุดยั้ง ใต้เงามืดของตึกสูง หญิงสาวร่างบางในชุดแนบเนื้อสีดำสนิทกลมกลืนไปกับความมืด เคลื่อนไหวอย่างเงียบกริบ ฝีเท้าเบาราวกับแมว เธอย่างเท้าผ่านตึกสูงกลางเมืองเหมือนสายลม
ในมือถือปืนเก็บเสียงกระบอกเล็กเรียบลื่นมันวาว ที่ยังคงอุ่นจากการลั่นไกเมื่อไม่กี่นาทีก่อน กระสุนนัดเดียว ปิดฉากชีวิตของเป้าหมายอย่างแม่นยำ เงียบสนิทเหมือนฝันร้ายที่ไม่มีใครได้ยิน
ก่อนที่หญิงสาวจะหายลับไปท่ามกลางสายฝน ราวกับไม่เคยมีตัวตนอยู่ในค่ำคืนนี้...
เธอคือ อวี้หลัน หรือที่วงการนักฆ่ารู้จักกันดีในนาม "เงาสีชาด" นักฆ่าอันดับหนึ่ง ผู้ที่ลงมือเมื่อใด ไม่มีเป้าหมายใดรอดชีวิต
แต่ก่อนจะกลายเป็นเงามรณะในโลกมืด เธอเคยเป็นเพียงเด็กหญิงตัวเล็กๆ อายุแค่เก้าขวบ มีพ่อขี้ยาที่นิสัยโหดร้าย ชอบทำร้ายร่างกายแม่กับเธออย่างทารุณเป็นประจำ
จนกระทั่งคืนหนึ่งเกิดเรื่องที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตของเธอ เมื่อคนเป็นพ่อบังคับให้แม่ขายตัวแลกยา
แม่ของเธอถูกกรอกยา ทำร้ายร่างกายจนตายในคืนนั้น
เด็กหญิงที่ถูกความโกรธ ความเกลียด ครอบงำจนขาดสติ แทงมีดใส่คนเป็นพ่อจนทะลุอก
เธอ...ไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าเขา แต่ก็ไม่มีทางย้อนคืน
อวี้หลันหนีออกจากบ้านมาเพราะความตกใจกลัว วิ่งหนีออกมาจากบ้านที่ไม่เคยเป็นบ้านในสภาพสั่นเทา เนื้อตัวเปื้อนเลือด กลายเป็นเด็กไร้บ้าน คนไร้ชื่อ และไม่มีใครเหลียวแล นั่งตัวสั่นอยู่ข้างถังขยะกลางฤดูหนาว
เธอหนาวจนชาไปหมดทั้งตัว และในหัวใจของเธอก็ด้านชาจนไร้ความรู้สึกเช่นกัน
และก่อนที่เธอจะหนาวตาย เธอก็ถูกหิ้วจากกองขยะโดยองค์กรนักฆ่าใต้ดิน ตั้งแต่ตอนนั้นเธอก็ถูกฝึกให้เป็นนักฆ่า มีเพียงเสียงปืนและการฝึกฝนที่ไม่รู้จบ
พวกมันป้อนข้าวแลกเลือด สอนให้ฆ่าแทนคำกล่อมนอน และลบคำว่า "ร้องไห้" ออกจากพจนานุกรมของเธอ
สิบปีผ่านไป เด็กข้างถังขยะคนนั้น กลายเป็น เงาสีชาด นักฆ่าอันดับหนึ่ง ทุกครั้งที่เธอลงมือ เป้าหมายไม่เคยมีโอกาสรอดชีวิต
เร็ว เงียบ แม่นยำ เธอคือนิยามของความตายที่ไม่มีเสียง ในเวลาเพียงไม่กี่ปี เธอฆ่าคนไปมากมายราวใบไม้ร่วง แต่คนที่เธอฆ่าก็ไม่ใช่คนดีเด่อะไรนัก
แต่โลกนี้ไม่มีที่ว่างให้เงาหลบซ่อนตลอดไป เมื่อรัฐบาลเปิดยุทธการกวาดล้างองค์กรใต้ดิน อวี้หลันเกือบเอาชีวิตไม่รอด แต่เธอก็รอดมาได้ด้วยโชคและฝีมือ ในที่สุดก็หลุดออกจากโลกมืดที่เธอเติบโตมา
อวี้หลันเปลี่ยนตัวตนใหม่ กลายเป็นบอดี้การ์ดรับจ้างให้กับคนใหญ่คนโตในสังคม ไม่มีใครรู้ว่าเธอเคยเป็น "เงาสีชาด" อดีตนักฆ่าระดับตำนาน
ทุกอย่างดูเหมือนจะสงบ แต่ไม่นานนัก เธอก็ได้รู้ว่า บางครั้ง ชีวิตธรรมดา ก็วุ่นวายยิ่งกว่าสมรภูมิ
ปัญหาโลกแตกที่เธอไม่คาดคิด และไม่เคยพบเจอ
เพราะเป็นคนที่หน้าตาดีเกินไป นายจ้างหลายคนจึงเริ่มเกาะแกะ พูดจาแทะโลม จนโดนหึงหวงจากภรรยาของพวกเขาแบบไม่มีเหตุผล จากที่ควรปกป้อง กลายเป็นต้องป้องกันตัวเองจากคนที่ควรเป็น "ลูกค้า"
สุดท้ายเธอทนไม่ไหว และก่อนที่จะพลั้งมือฆ่าใครตาย จึงเลือกหันหลังให้โลกที่เต็มไปด้วยความโสมมและซับซ้อน แล้วหันหน้าเข้าสู่วงการใหม่
สแตนด์อินฉากแอคชั่น
อาชีพที่ต้องใช้ร่างกายเข้าแลก ทั้งต้องพุ่งตัวจากดาดฟ้า กระโดดหนีออกจากรถที่กำลังจะระเบิด กลิ้งตัวหลบการโจมตี หรือพุ่งชนกระจกจนแตกกระจาย เรียกได้ว่าทุกฉากที่เป็นฉากเสี่ยงตาย ล้วนเป็นเธอที่ต้องแสดงแทน
สำหรับใครหลายคนมันอาจฟังดูบ้าระห่ำ หรืออันตรายเกินไป แต่สำหรับอวี้หลัน มันคืออาชีพที่ซื่อสัตย์ที่สุดที่เธอเคยทำมาในชีวิต เจ็บจริง ล้มจริง แลกค่าตัวจริง และที่สำคัญ ไม่มีใครต้องตาย
อวี้หลันคิดว่า เธอไปได้สวยกับเส้นทางนี้ มันเหมาะกับเธอมากกว่าที่คิด เธอได้ใช้ทักษะทั้งหมดที่มี โดยไม่ต้องเอาชีวิตใครเป็นเดิมพัน
แต่แล้วความสวยและความสามารถของเธอก็ดันไปเข้าตาผู้กำกับเข้าอีกจนได้
ผู้กำกับหนุ่มที่เธอไม่แม้แต่จะสนใจว่าอีกฝ่ายชื่อแซ่อะไร ว่ากันว่าเขาเป็นชายหนุ่มผู้โด่งดังในวงการบันเทิง ผู้พาภาพยนตร์ทำรายได้ทะลุพันล้านติดกันห้าปีซ้อน เขาเป็นคนมีพรสวรรค์ และมีสายตาเฉียบคมในการมอง "ดาว"
วันนั้น เขาเพียงแค่เดินผ่านฉากฝึกดาบ แต่ภาพหญิงสาวในชุดนักแสดงบู๊ที่เหวี่ยงดาบด้วยสายตาเย็นชา ท่าทางคล่องแคล่วเหมือนเกิดมาเพื่อฆ่า ก็ทำให้เขาหยุดชะงักทันที
"คนนั้น...ชื่ออะไร"
ชายหนุ่มถามผู้ช่วยโดยไม่ละสายตาจากใบหน้าของหญิงสาวที่กำลังเช็ดเหงื่อ
และเพียงไม่นาน เขาก็เดินเข้าไปหาเธอ พร้อมยื่นข้อเสนอที่ใครหลายคนต่างใฝ่ฝัน
"ผมต้องการปั้นคุณให้เป็นนางเอก"
อวี้หลันเงยหน้ามองเขานิ่งๆ ก่อนจะตอบสั้นๆ อย่างไม่ต้องคิด
"ขอบคุณ แต่ฉันไม่สนใจ"
แต่อีกฝ่ายกลับไม่ยอมล้มเลิกง่ายๆ เขาตื๊อเธอทุกทาง ตื๊อเธอไม่หยุด ยอมเสนอให้แม้กระทั่งค่าตอบแทนล่วงหน้าที่สูงลิบ ซึ่งอวี้หลันก็ยืนยันที่จะปฏิเสธทุกทางเช่นกัน แต่อีกฝ่ายกลับยังคงตามตื้อ วุ่นวายจนน่ารำคาญ
ชายหนุ่มเหมือนนักล่าที่ไม่ยอมปล่อยเหยื่อที่ตัวเองหมายตา
ในขณะที่อวี้หลันแค่อยากใช้ชีวิตเงียบๆ ในมุมที่ไม่มีใครสนใจเธอ
อวี้หลันคิดว่าแค่ไม่สนใจก็พอ เดี๋ยวอีกฝ่ายก็คงเหนื่อยและเบื่อไปเอง
แต่เธอคิดผิด...
เพราะการที่เขาเอาแต่สนใจเธอ กลับสร้างความไม่พอใจและความเกลียดชังให้กับผู้หญิงอีกคน
เธอยังไม่ทันจะได้ย่างเท้าก้าวขึ้นสู่จุดสว่างในวงการบันเทิงเลยด้วยซ้ำ กลับถูกกำจัด
อวี้หลันคิดว่าตัวเองหนีจากความตายได้แล้วแท้ๆ แต่กลับต้องมาตายง่ายๆ เพราะพิษของความหึงหวงและอิจฉาริษยาของสตรีด้วยกันเอง
เธอถูกนางเอกที่กำลังเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงและคงจะเป็นคู่ขาของเจ้าผู้กำกับเฮงซวยนั่น วางยานอนหลับในน้ำดื่ม ทำให้เธอหมดสติกลางฉากใต้น้ำ
เสียงสุดท้ายที่ได้ยินคือเสียงน้ำทะลักเข้าปากและจมูก ภาพสุดท้ายที่เห็นคือภาพฟองอากาศแตกกระจาย และความรู้สึกสุดท้ายคือ...
ความคับแค้นใจที่มีต่อผู้กำกับเฮงซวยนั่น
และเธอคงแค้นเขามาก กระทั่งในวินาทีสุดท้าย เธอยังเห็นใบหน้าของเขากำลังใกล้เข้ามา ก่อนที่ความมืดจะกลืนกินทุกอย่าง
"ยินดีที่ได้พบกัน... คุณหนูรอง" หลี่เหวินหลงเอ่ยขึ้น น้ำเสียงราบเรียบทุ้มต่ำ ขณะสายพระเนตรยังคงทอดมองอวี้หลันอย่างไม่ลดละ เขาเอียงศีรษะเล็กน้อย พลางกระตุกยิ้มบางมุมปาก"ไม่ทราบว่าเรา...เคยพบกันมาก่อนหรือไม่"พระสุรเสียงนั้นไม่ได้ดังนัก ทว่าแฝงด้วยโทนเสียงเชื่องช้าและนุ่มลึกอย่างประหลาด แต่กลับชวนให้ใจคนฟังเต้นแรงกว่าเดิมคำถามของเขาดูเหมือนจะธรรมดา แต่สายพระเนตรที่ทอดมองมามีบางอย่างเจืออยู่ คล้ายจับผิด คล้ายแกล้งหยอกเย้า และคล้ายว่ากำลังเพลิดเพลินกับการเห็นนางเก็บอาการไม่อยู่อวี้หลันเม้มปากเล็กน้อย เริ่มไม่มั่นใจว่าเขาจดจำนางได้หรือไม่ หญิงสาวยังไม่ทันได้เอ่ยตอบ เสียงทุ้มหนักของรองเสนาบดีอวี้จิ้งก็ดังขึ้นเสียก่อน ตัดขาดการสนทนาระหว่างบุตรสาวกับบุรุษผู้สูงศักดิ์ตรงหน้า"หลันเอ๋อร์ร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เด็ก จึงมักจะเก็บตัวอยู่เพียงในเรือน คงยากที่จะเคยพบเจอองค์ชายใหญ่พ่ะย่ะค่ะ"เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าแฝงความหมายชัดเจนอยู่ในทุกถ้อยคำ อวี้จิ้งหยุดชั่วครู่ ก่อนเสริมด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบแต่ฟังดูหนักแน่นขึ้น"อีกทั้งพระองค์เพิ่งจะกลับมา ยิ่งไม่มีโอกาสพบเจอกันพ่ะย่ะค่ะ"ทุกถ้อยค
หลี่เหวินหลงหยัดยิ้มมุมปาก รอยยิ้มบางเฉียบที่ไม่อาจอ่านได้ว่ากำลังดูแคลน หรือเพียงเพลิดเพลินไปกับการจับตามองผู้อื่นดิ้นพล่านในสายตาของเขา เซิ่งซื่อก็ไม่ต่างจากแมลงตัวหนึ่งที่กำลังพยายามปีนป่ายหลีกหนีเปลวเพลิงที่ลุกลามใกล้ตัว ยิ่งดิ้นรน...ยิ่งเผยจุดอ่อนดวงเนตรคมกริบใต้คิ้วคมเข้ม ทอดมองสตรีที่พยายามคลี่ยิ้มอ่อนโยนกลบเกลื่อนความหวาดหวั่น ท่าทางเสแสร้งนั้นไม่ต่างจากฉากละครตื้นเขินที่เขาเคยเห็นมานับครั้งไม่ถ้วนจากมารดาเลี้ยงของตนเขาถึงว่ากันว่าคนประเภทเดียวกันจึงมักจะอยู่ร่วมกันได้สายตาของเขาจึงมองเซิ่งซื่อไม่ต่างจากมองซากเนื้อชิ้นหนึ่งที่ยังมีลมหายใจ เขาไม่เร่งเวลาชำระแค้น เพราะรู้ดีว่า… การให้อีกฝ่ายได้ยินเสียงฝีเท้าแห่งหายนะคืบคลานทีละก้าวนั้นทรมานยิ่งกว่าความตาย จากนั้นเขาจะโยนพวกมันลงหลุมในคราวเดียวหลี่เหวินหลงกระตุกยิ้มอีกครั้ง ก่อนจะเบือนหน้าจากภาพเหล่านั้นอย่างไม่ไยดี เขาไม่ได้ให้ความสนใจสตรีตรงหน้าอีกว่านางจะเสแสร้งต่อไปอย่างไรเพราะทันทีที่สัมผัสได้ถึงเสียงฝีเท้าเร่งร้อนที่กำลังมุ่งตรงมาทางนี้ สายพระเนตรคมกริบก็เบนจากทุกคนในห้อง ไปยังบานประตูห้องโถงโดยฉับพลันแผ่นหลังกว้างขอ
แสงแดดอ่อนยามสายสาดส่องลอดผ่านม่านโปร่งบางลงมาแตะต้องพื้นหินเย็นเฉียบ เสียงนกร้องไกลๆ คล้ายขับกล่อมให้บรรยากาศยิ่งแจ่มใสยิ่งขึ้น แต่ภายในใจของอวี้หลันกลับคล้ายมีบางสิ่งกำลังคุกรุ่นอยู่เงียบๆ นางนั่งอยู่ยังโต๊ะเตี้ยในศาลากลางน้ำ มือเรียวบางค่อยๆ พลิกหน้าตำราเล่มหนึ่งอย่างช้าๆ แม้แววตาดูสงบนิ่ง ทว่าในห้วงลึกของจิตใจกลับเต็มไปด้วยความคิดมากมาย เสียงฝีเท้าเร่งร้อนดังใกล้เข้ามา ก่อนที่ฉิงหว่านจะโผล่พ้นแนวพุ่มดอกเหมยแล้วรีบพุ่งตรงมาหาผู้เป็นนาย ใบหน้าของนางเปื้อนเหงื่อ สองแก้มแดงระเรื่อจากการวิ่งสุดฝีเท้า น้ำเสียงตื่นเต้นจนแทบจะกลั้นไม่อยู่"คุณหนู! คุณหนูเจ้าคะ!"อวี้หลันละสายตาจากตำรา เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย เอ่ยถามน้ำเสียงราบเรียบเกียจคร้าน"หวานหว่าน มีอะไรหรือ"ฉิงหว่านหอบหายใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบเอ่ยออกมาเสียงสั่นอย่างไม่อาจระงับความตื่นเต้นไว้ได้"คุณชายกลับมาแล้วเจ้าค่ะ! คุณชายใหญ่อวี้เฉิน... กลับมาที่จวนแล้ว!"คำพูดนั้นเหมือนสายฟ้าฟาดลงกลางใจของอวี้หลัน นางนิ่งงันไปชั่วอึดใจราวกับตั้งตัวไม่ทัน นิ้วมือที่กำลังจะเปิดหน้าตำราชะงัก ความเงียบคล้ายจะปกคลุมไปทั่วศาลา ดวงตาสะท้อนแววตื่นตะ
อวี้จิ้งยืนอยู่หน้าประตูจวน เงยหน้าขึ้นมองขบวนผู้มาเยือน สายตาทอดมองร่างสูงสง่าบนหลังม้าศึกสีดำทะมึน ก่อนสายตาจะเลื่อนมาหยุดอยู่ที่เด็กหนุ่มอีกผู้หนึ่ง ผู้ที่เขาไม่ได้พบหน้ามานานถึงแปดปี แต่กลับจำอีกฝ่ายได้อย่างแม่นยำเด็กหนุ่มผู้มีใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงเขาอยู่หลายส่วน ส่วนดวงตาคู่นั้นช่างเหมือนกับดวงตาของมารดาไม่มีผิดเพี้ยน อวี้เฉินของเขา เติบโตขึ้นแล้วไม่ใช่เด็กน้อยที่เคยวิ่งตามเขาไปทั่วจวนอีกต่อไป แต่กำลังเติบโตเป็นชายหนุ่มผู้เปี่ยมไปด้วยความสง่างามและความมั่นใจ แววตามั่นคง ท่วงท่าดูสุขุมเหมาะสมกับวัยและสถานะรองเสนาบดีอวี้จิ้งมองบุตรชายของตนเนิ่นนาน แววตาที่เคยสงบนิ่งกลับคล้ายแดงเรื่อขึ้นวูบหนึ่ง ก่อนจะกลบซ่อนไว้อย่างแนบเนียนด้วยท่าทีสุขุมตามเคยเมื่ออวี้เฉินกระโดดลงจากหลังม้า เขาก็ก้าวเข้ามาตรงหน้า แล้วคุกเข่าคำนับบิดาอย่างนอบน้อม"ท่านพ่อ"เสียงเรียกนั้นนุ่มลึก ไม่ดังนัก แต่กลับชัดเจนในความรู้สึก คำเรียกเพียงสั้นๆ กลับแทนความรู้สึกมากมายที่เก็บไว้ตลอดหลายปีความคิดถึง ความเคารพ และความเข้าใจที่ไม่ต้องอธิบายด้วยคำพูดเมื่อมองใบหน้าของบุตรชาย ใจของอวี้จิ้งคล้ายจะอบอุ่นขึ้นมาอย่าง
ในที่สุด...ขบวนทัพจากแดนเหนือก็เดินทางมาถึงเมืองหลวงบรรยากาศภายในเมืองคึกคักราวกับวันมหามงคล เสียงฆ้องแห่งความยินดีดังก้องสะท้อนไปทั่วทุกตรอกซอกซอย เพื่อประกาศการกลับมาขององค์ชายใหญ่ หลี่เหวินหลง และเหล่าทหารกล้าขุนนางฝ่ายที่ภักดีต่อพระองค์ต่างพากันออกมาต้อนรับอย่างพร้อมเพรียง หลายคนถึงกับน้ำตาคลอ ด้วยความโล่งใจปนปลื้มปิติบนถนนสายหลัก ประชาชนต่างแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีสดใส พากันโปรยกลีบดอกไม้ตลอดสองข้างทาง ราวกับหลอมรวมกันเป็นพรมดอกไม้เพื่อต้อนรับวีรบุรุษของแผ่นดินเสียงหัวเราะของเด็กเล็กดังกังวาน แม่ค้าพากันเปิดแผง แจกจ่ายขนมแก่ผู้คนโดยไม่เรียกร้องสิ่งใดตอบแทนผู้คนทั้งเมืองต่างพากันเอ่ยถึงเพียงชื่อเดียว องค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลง ขุนพลผู้เกรียงไกร ที่นำทัพกลับมาพร้อมชัยชนะ บุรุษผู้เป็นที่รักของประชาชน และเป็นความภาคภูมิใจของแผ่นดินแม้พระองค์จะห่างหายจากเมืองหลวงไปนานหลายปี ทว่า...พระองค์กลับไม่เคยหายไปจากหัวใจของผู้คนเลยแม้แต่น้อยทุกสายตาล้วนจับจ้องไปยังปลายถนน รอคอยแค่เพียงเงาร่างของผู้ที่เปรียบดั่งตะวันยามรุ่งอรุณของชาติบ้านเมืองเสียงฆ้องกลองยังคงดังกระหึ่มเป็นจังหวะต่อเนื่อง ก้อ
นับว่าฉิงสือตัดสินใจได้ถูกต้องยิ่งนักที่ลงมืออย่างรวดเร็ว...เพราะหากเขาช้าไปเพียงก้าวเดียว ข่าวสำคัญที่เพิ่งถูกค้นพบอาจหลุดลอยไปอย่างน่าเสียดายเพียงแค่เขาลอบเข้าไปในจวนสกุลเซิ่ง ก็พบกับความเคลื่อนไหวบางอย่างที่ไม่ธรรมดาองครักษ์เซิ่งหม่าถง พี่ชายแท้ๆ ของเซิ่งซื่อ กำลังเร่งรีบออกจากจวนทันทีหลังจากได้รับสารลับฉบับหนึ่ง สีหน้าเคร่งเครียด ประหนึ่งว่ากำลังแบกภาระอันหนักอึ้งฉิงสือไม่รอช้า รีบสะกดรอยตามไปอย่างเงียบเชียบ พบว่าอีกฝ่ายกำลังมุ่งหน้าเข้าสู่วังหลวงอย่างร้อนรนผิดวิสัย แม้จะไม่สามารถล่วงล้ำเข้าไปถึงพระราชวังชั้นในได้ แต่ก็พอจะจับทิศทางของเซิ่งหม่าถงได้ชัดเจนเซิ่งหม่าถงมุ่งหน้าเข้าสู่ตำหนักจิ้งเหอ ตำหนักที่ประทับของฮองเฮาไม่ผิดแน่ฉิงสือเฝ้าสังเกตอยู่อย่างเงียบงัน รอจนกระทั่งเซิ่งหม่าถงกลับออกมา แล้วมุ่งหน้ากลับจวน เขาลอบตามไปอย่างเงียบๆ จนแน่ใจว่าอีกฝ่ายกลับเข้าจวนโดยไม่มีความเคลื่อนไหวหรือการส่งสารใดต่ออีก จึงรีบเร่งกลับไปรายงานนายของตน รายงานสำคัญในมือของเขา ต้องส่งถึงผู้เป็นนายโดยเร็วที่สุดยามเมื่อความมืดมาเยือน ความเงียบคลี่คลุมทั่วทั้งจวนรองเสนาบดี ราตรียังไม่ทันล่วงเลยไปม
Commentaires