LOGINจากนักฆ่าผู้เคยไร้หัวใจ กลับต้องแสร้งเป็นคุณหนูผู้อ่อนแอ อวี้หลัน หรือที่วงการนักฆ่ารู้จักกันดีในนาม "เงาสีชาด" นักฆ่าอันดับหนึ่ง ผู้ที่ลงมือเมื่อใด ไม่มีเป้าหมายใดรอดชีวิต กลับพบว่าตัวเองฟื้นขึ้นมาในยุคโบราณ และยังอยู่ในร่างของเด็กสาวอ่อนแอชื่อแซ่เดียวกันที่ถูกวางยาพิษจนตาย การใช้ชีวิตในยุคที่เต็มไปด้วยเล่ห์เพทุบาย ผู้หญิงคือเครื่องมือทางการเมือง บุตรีขุนนางคือหมากตัวหนึ่งในกระดานอำนาจ และตอนนี้ อวี้หลัน อดีตหญิงสาวยุคใหม่ที่เคยใช้ชีวิตอย่างมีเหตุผลและวิทยาศาสตร์ ต้องเผชิญกับโลกที่คำว่า "อำนาจ" สำคัญยิ่งกว่าความถูกต้อง ด้วยสติปัญญาและมุมมองจากยุคปัจจุบัน นางพยายามเอาชีวิตรอดในโลกที่เต็มไปด้วยเล่ห์กล แบ่งฝักแบ่งฝ่าย ในขณะเดียวกัน นางก็ต้องเลือกว่าจะเล่นตามเกมของผู้อื่น หรือจะวางเกมของตนเอง
View Moreในค่ำคืนที่ฝนกระหน่ำ ตกลงมาอย่างไม่หยุดยั้ง ใต้เงามืดของตึกสูง หญิงสาวร่างบางในชุดแนบเนื้อสีดำสนิทกลมกลืนไปกับความมืด เคลื่อนไหวอย่างเงียบกริบ ฝีเท้าเบาราวกับแมว เธอย่างเท้าผ่านตึกสูงกลางเมืองเหมือนสายลม
ในมือถือปืนเก็บเสียงกระบอกเล็กเรียบลื่นมันวาว ที่ยังคงอุ่นจากการลั่นไกเมื่อไม่กี่นาทีก่อน กระสุนนัดเดียว ปิดฉากชีวิตของเป้าหมายอย่างแม่นยำ เงียบสนิทเหมือนฝันร้ายที่ไม่มีใครได้ยิน
ก่อนที่หญิงสาวจะหายลับไปท่ามกลางสายฝน ราวกับไม่เคยมีตัวตนอยู่ในค่ำคืนนี้...
เธอคือ อวี้หลัน หรือที่วงการนักฆ่ารู้จักกันดีในนาม "เงาสีชาด" นักฆ่าอันดับหนึ่ง ผู้ที่ลงมือเมื่อใด ไม่มีเป้าหมายใดรอดชีวิต
แต่ก่อนจะกลายเป็นเงามรณะในโลกมืด เธอเคยเป็นเพียงเด็กหญิงตัวเล็กๆ อายุแค่เก้าขวบ มีพ่อขี้ยาที่นิสัยโหดร้าย ชอบทำร้ายร่างกายแม่กับเธออย่างทารุณเป็นประจำ
จนกระทั่งคืนหนึ่งเกิดเรื่องที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตของเธอ เมื่อคนเป็นพ่อบังคับให้แม่ขายตัวแลกยา
แม่ของเธอถูกกรอกยา ทำร้ายร่างกายจนตายในคืนนั้น
เด็กหญิงที่ถูกความโกรธ ความเกลียด ครอบงำจนขาดสติ แทงมีดใส่คนเป็นพ่อจนทะลุอก
เธอ...ไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าเขา แต่ก็ไม่มีทางย้อนคืน
อวี้หลันหนีออกจากบ้านมาเพราะความตกใจกลัว วิ่งหนีออกมาจากบ้านที่ไม่เคยเป็นบ้านในสภาพสั่นเทา เนื้อตัวเปื้อนเลือด กลายเป็นเด็กไร้บ้าน คนไร้ชื่อ และไม่มีใครเหลียวแล นั่งตัวสั่นอยู่ข้างถังขยะกลางฤดูหนาว
เธอหนาวจนชาไปหมดทั้งตัว และในหัวใจของเธอก็ด้านชาจนไร้ความรู้สึกเช่นกัน
และก่อนที่เธอจะหนาวตาย เธอก็ถูกหิ้วจากกองขยะโดยองค์กรนักฆ่าใต้ดิน ตั้งแต่ตอนนั้นเธอก็ถูกฝึกให้เป็นนักฆ่า มีเพียงเสียงปืนและการฝึกฝนที่ไม่รู้จบ
พวกมันป้อนข้าวแลกเลือด สอนให้ฆ่าแทนคำกล่อมนอน และลบคำว่า "ร้องไห้" ออกจากพจนานุกรมของเธอ
สิบปีผ่านไป เด็กข้างถังขยะคนนั้น กลายเป็น เงาสีชาด นักฆ่าอันดับหนึ่ง ทุกครั้งที่เธอลงมือ เป้าหมายไม่เคยมีโอกาสรอดชีวิต
เร็ว เงียบ แม่นยำ เธอคือนิยามของความตายที่ไม่มีเสียง ในเวลาเพียงไม่กี่ปี เธอฆ่าคนไปมากมายราวใบไม้ร่วง แต่คนที่เธอฆ่าก็ไม่ใช่คนดีเด่อะไรนัก
แต่โลกนี้ไม่มีที่ว่างให้เงาหลบซ่อนตลอดไป เมื่อรัฐบาลเปิดยุทธการกวาดล้างองค์กรใต้ดิน อวี้หลันเกือบเอาชีวิตไม่รอด แต่เธอก็รอดมาได้ด้วยโชคและฝีมือ ในที่สุดก็หลุดออกจากโลกมืดที่เธอเติบโตมา
อวี้หลันเปลี่ยนตัวตนใหม่ กลายเป็นบอดี้การ์ดรับจ้างให้กับคนใหญ่คนโตในสังคม ไม่มีใครรู้ว่าเธอเคยเป็น "เงาสีชาด" อดีตนักฆ่าระดับตำนาน
ทุกอย่างดูเหมือนจะสงบ แต่ไม่นานนัก เธอก็ได้รู้ว่า บางครั้ง ชีวิตธรรมดา ก็วุ่นวายยิ่งกว่าสมรภูมิ
ปัญหาโลกแตกที่เธอไม่คาดคิด และไม่เคยพบเจอ
เพราะเป็นคนที่หน้าตาดีเกินไป นายจ้างหลายคนจึงเริ่มเกาะแกะ พูดจาแทะโลม จนโดนหึงหวงจากภรรยาของพวกเขาแบบไม่มีเหตุผล จากที่ควรปกป้อง กลายเป็นต้องป้องกันตัวเองจากคนที่ควรเป็น "ลูกค้า"
สุดท้ายเธอทนไม่ไหว และก่อนที่จะพลั้งมือฆ่าใครตาย จึงเลือกหันหลังให้โลกที่เต็มไปด้วยความโสมมและซับซ้อน แล้วหันหน้าเข้าสู่วงการใหม่
สแตนด์อินฉากแอคชั่น
อาชีพที่ต้องใช้ร่างกายเข้าแลก ทั้งต้องพุ่งตัวจากดาดฟ้า กระโดดหนีออกจากรถที่กำลังจะระเบิด กลิ้งตัวหลบการโจมตี หรือพุ่งชนกระจกจนแตกกระจาย เรียกได้ว่าทุกฉากที่เป็นฉากเสี่ยงตาย ล้วนเป็นเธอที่ต้องแสดงแทน
สำหรับใครหลายคนมันอาจฟังดูบ้าระห่ำ หรืออันตรายเกินไป แต่สำหรับอวี้หลัน มันคืออาชีพที่ซื่อสัตย์ที่สุดที่เธอเคยทำมาในชีวิต เจ็บจริง ล้มจริง แลกค่าตัวจริง และที่สำคัญ ไม่มีใครต้องตาย
อวี้หลันคิดว่า เธอไปได้สวยกับเส้นทางนี้ มันเหมาะกับเธอมากกว่าที่คิด เธอได้ใช้ทักษะทั้งหมดที่มี โดยไม่ต้องเอาชีวิตใครเป็นเดิมพัน
แต่แล้วความสวยและความสามารถของเธอก็ดันไปเข้าตาผู้กำกับเข้าอีกจนได้
ผู้กำกับหนุ่มที่เธอไม่แม้แต่จะสนใจว่าอีกฝ่ายชื่อแซ่อะไร ว่ากันว่าเขาเป็นชายหนุ่มผู้โด่งดังในวงการบันเทิง ผู้พาภาพยนตร์ทำรายได้ทะลุพันล้านติดกันห้าปีซ้อน เขาเป็นคนมีพรสวรรค์ และมีสายตาเฉียบคมในการมอง "ดาว"
วันนั้น เขาเพียงแค่เดินผ่านฉากฝึกดาบ แต่ภาพหญิงสาวในชุดนักแสดงบู๊ที่เหวี่ยงดาบด้วยสายตาเย็นชา ท่าทางคล่องแคล่วเหมือนเกิดมาเพื่อฆ่า ก็ทำให้เขาหยุดชะงักทันที
"คนนั้น...ชื่ออะไร"
ชายหนุ่มถามผู้ช่วยโดยไม่ละสายตาจากใบหน้าของหญิงสาวที่กำลังเช็ดเหงื่อ
และเพียงไม่นาน เขาก็เดินเข้าไปหาเธอ พร้อมยื่นข้อเสนอที่ใครหลายคนต่างใฝ่ฝัน
"ผมต้องการปั้นคุณให้เป็นนางเอก"
อวี้หลันเงยหน้ามองเขานิ่งๆ ก่อนจะตอบสั้นๆ อย่างไม่ต้องคิด
"ขอบคุณ แต่ฉันไม่สนใจ"
แต่อีกฝ่ายกลับไม่ยอมล้มเลิกง่ายๆ เขาตื๊อเธอทุกทาง ตื๊อเธอไม่หยุด ยอมเสนอให้แม้กระทั่งค่าตอบแทนล่วงหน้าที่สูงลิบ ซึ่งอวี้หลันก็ยืนยันที่จะปฏิเสธทุกทางเช่นกัน แต่อีกฝ่ายกลับยังคงตามตื้อ วุ่นวายจนน่ารำคาญ
ชายหนุ่มเหมือนนักล่าที่ไม่ยอมปล่อยเหยื่อที่ตัวเองหมายตา
ในขณะที่อวี้หลันแค่อยากใช้ชีวิตเงียบๆ ในมุมที่ไม่มีใครสนใจเธอ
อวี้หลันคิดว่าแค่ไม่สนใจก็พอ เดี๋ยวอีกฝ่ายก็คงเหนื่อยและเบื่อไปเอง
แต่เธอคิดผิด...
เพราะการที่เขาเอาแต่สนใจเธอ กลับสร้างความไม่พอใจและความเกลียดชังให้กับผู้หญิงอีกคน
เธอยังไม่ทันจะได้ย่างเท้าก้าวขึ้นสู่จุดสว่างในวงการบันเทิงเลยด้วยซ้ำ กลับถูกกำจัด
อวี้หลันคิดว่าตัวเองหนีจากความตายได้แล้วแท้ๆ แต่กลับต้องมาตายง่ายๆ เพราะพิษของความหึงหวงและอิจฉาริษยาของสตรีด้วยกันเอง
เธอถูกนางเอกที่กำลังเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงและคงจะเป็นคู่ขาของเจ้าผู้กำกับเฮงซวยนั่น วางยานอนหลับในน้ำดื่ม ทำให้เธอหมดสติกลางฉากใต้น้ำ
เสียงสุดท้ายที่ได้ยินคือเสียงน้ำทะลักเข้าปากและจมูก ภาพสุดท้ายที่เห็นคือภาพฟองอากาศแตกกระจาย และความรู้สึกสุดท้ายคือ...
ความคับแค้นใจที่มีต่อผู้กำกับเฮงซวยนั่น
และเธอคงแค้นเขามาก กระทั่งในวินาทีสุดท้าย เธอยังเห็นใบหน้าของเขากำลังใกล้เข้ามา ก่อนที่ความมืดจะกลืนกินทุกอย่าง
เสียงกลองชัยดังก้องสะท้อนทั่วเมือง เมื่อขบวนทัพขององค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงก้าวเข้าสู่เมืองหลวง ธงสีชาดสะบัดพลิ้วเหนือกำแพงเมือง แสงอาทิตย์อาบเมืองหลวงเปล่งประกายดุจทองคำ ประชาชนต่างออกมายืนเรียงรายสองฝั่งถนนเพื่อรอต้อนรับ เสียงโห่ร้องด้วยความยินดีดังกึกก้อง ดอกไม้หลากสีถูกโปรยปรายทั่วทางเดินที่ทอดยาวสู่ประตูวังหลวง"ถวายพระพรองค์ชายใหญ่! ทรงพระเจริญ!"ผู้คนทั้งแผ่นดินเปล่งเสียงสรรเสริญชัยชนะธงสีชาดสะบัดพลิ้วกลางสายลม ขบวนทหารเคลื่อนเข้าสู่เมืองอย่างองอาจ แววตาส่องประกายด้วยความภาคภูมิองค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงทรงม้านำขบวน ท่วงท่าของพระองค์สง่างามดังวีรบุรุษ ดวงตาคมทอดมองไปยังประตูวังหลวงซึ่งเปิดต้อนรับ ข้างกายของพระองค์คือสตรีในชุดพิชัยศึกสีขาวเงินสะอาด นางมิได้แต่งกายงดงามหรูหราเช่นสตรีในเมืองหลวง แต่สง่างามในแบบนักรบผู้เคียงบ่าเคียงไหล่ดวงอาทิตย์ส่องกระทบเกราะโลหะของทั้งคู่จนวาววับราวกับเปลวเพลิง ทหารที่เดินตามหลังใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม ภาพนั้นกลายเป็นขบวนแห่งเกียรติภูมิของแผ่นดินหลังจากองค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงเดินทางกลับเมืองหลวงมิทันข้ามวัน ก็มีราชโองการปลดเสิ่นฮองเฮาออกจากตำแหน่งและ
บรรยากาศหลังศึกใหญ่ยังคงอบอวลไปด้วยกลิ่นควันไฟและกลิ่นคาวเลือดเสียงกลองศึกสุดท้ายหยุดลงพร้อมกับเปลวเพลิงแห่งสงครามที่ค่อยๆ มอดดับ เหลือเพียงเสียงลมหอบของม้าและเสียงโห่ร้องแห่งชัยชนะที่ดังขึ้นทั่วสนามรบแสงแรกแห่งอรุณฉาบลงบนผืนดินที่เพิ่งหลั่งเลือด เปล่งประกายเหนือซากศพและธงศัตรูที่ถูกเหยียบย่ำจนแหลกลาญ เหล่าทหารยกอาวุธขึ้นเหนือศีรษะ โบกสะบัดธงสีชาดแห่งแคว้นเป่ยอย่างภาคภูมิ ชายแดนใต้กลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง กองทัพศัตรูถูกขับไล่ออกนอกเขตแดนอย่างสิ้นเชิงกลางลานศึกที่ยังมีกลิ่นคาวเลือด องค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงยืนเด่นอยู่ท่ามกลางแสงรุ่งอรุณแรกหลังสงคราม ชุดเกราะของเขาเปรอะไปด้วยคราบฝุ่นและเลือด แต่ดวงตาคมยังคงเปล่งประกายเยือกเย็น เปี่ยมด้วยอำนาจและความสงบแห่งผู้ชนะเขาเงยหน้ามองขอบฟ้า สีทองของรุ่งอรุณสะท้อนในดวงตา แสงนั้นไม่เพียงล้างคราบควันไฟ หากยังปลุกความหวังของดินแดนกลับคืนมาอีกครั้งชายหนุ่มหันไปมองสตรีข้างกาย อวี้หลันในชุดเกราะสีเงินที่สะท้อนแสงทองระยับ แม้เปื้อนฝุ่นและเลือดเล็กน้อย แต่กลับงดงามดุจเทพธิดาผู้ลงมาจากสรวงสวรรค์ นางกำลังมองทิวเขาเบื้องหน้า ดวงตาของนางนิ่งสงบ หากลึกซึ
แสงอรุณแรกของวันค่อยๆ สาดต้องปลายยอดเขา หมอกบางคลอเคลียยอดหญ้าเหนือทุ่งรบอันกว้างไกล เสียงแตรศึกดังสะท้อนก้องไปทั่วค่ายทัพ ปลุกเหล่าทหารให้ตื่นจากความเงียบงันเข้าสู่เช้าวันใหม่ ธงทัพสีชาดปลิวสะบัดกลางสายลมเช้า แผ่นผ้าขนาดมหึมามีอักษรคำว่า เป่ย ปักด้วยด้ายทองแวววาวราวเปลวเพลิงบนท้องฟ้าองค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงประทับหลังอาชาเบื้องหน้าแถวทหาร ใต้เกราะศึกสีดำสนิทที่สะท้อนแสงอาทิตย์แรก เขากวาดตามองเหล่าทหารกล้าผู้พร้อมพลีชีพเพื่อแผ่นดิน ก่อนจะควบอาชาสีดำสนิทขึ้นไปยังเนินสูง"เหล่าทหารแห่งแคว้นเป่ย!""เราทุกคนต่างมีเลือด มีชีวิต มีครอบครัวอยู่เบื้องหลัง!""พวกมันย่ำยีผืนดินของเรา ฆ่าผู้บริสุทธิ์ เหยียบเกียรติของแผ่นดินของเรา!"เสียงของเขาดังก้องราวสายฟ้าฟาดกลางเวหา"วันนี้! เราจะสู้...เพื่อทวงคืนทุกสิ่งกลับคืนมา!""บดขยี้ทัพศัตรูให้สิ้น! ถึงเวลาให้มันรู้ว่าผู้ใดคือเจ้าของแผ่นดินนี้!""ถวายชีวิตเพื่อแผ่นดิน! ถวายชีวิตเพื่อองค์ชายใหญ่!"เสียงกู่ร้องคำรามตอบกลับดังก้องภูผา"เพื่อแผ่นดิน! เพื่อแผ่นดิน!"เสียงทหารนับหมื่นตะโกนพร้อมกัน โห่ร้องก้องสะเทือนฟ้าดินองค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงยกดาบคู่กายขึ
ชายแดนใต้ยามนี้ไฟสงครามยังคงปะทุไม่สิ้นสุด ท้องฟ้าเหนือเขตแดนยังคงถูกปกคลุมด้วยเมฆครึ้มหนาทึบ กลิ่นดินชื้นผสมกลิ่นคาวเลือดและควันไฟลอยอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศ เหล่าทหารในชุดเกราะสีนิลเดินลาดตระเวนอย่างขยันขันแข็งไม่มีผู้ใดกล้าหย่อนยานในหน้าที่แม้แต่น้อยสามเดือนแล้วที่กองทัพขององค์ชายใหญ่หลี่เหวินหลงเดินทางมาถึงชายแดนใต้ ดินแดนที่ครั้งหนึ่งเคยอุดมสมบูรณ์ บัดนี้กลับกลายเป็นทะเลเพลิงที่ย้อมไปด้วยเลือดหลี่เหวินหลงมองไปยังเส้นขอบฟ้าที่พร่ามัวด้วยหมอกควัน แม้สายลมอุ่นจะพัดแรงจนเส้นผมปลิว แต่เขากลับยังคงยืนนิ่ง นึกย้อนไปถึงเมื่อครั้งที่เหยียบเท้าเข้าสู่ชายแดนใต้วันแรกทันทีที่กองทัพของเขาก้าวเข้าสู่เขตชายแดนใต้ สิ่งที่รอต้อนรับเขาคือลูกธนูของมือสังหารที่พุ่งทะลวงหมายปลิดชีพ นับแต่นั้น การเดินทางล้วนเต็มไปด้วยเงามืดของมือสังหารคอยซุ่มโจมตีตลอดทางและผู้อยู่เบื้องหลังก็หาใช่ใครอื่น เซิ่งเจี้ยน แม่ทัพผู้ซึ่งเคยเป็นกำลังสำคัญของแผ่นดิน แต่กลับขายเกียรติของตนเข้าร่วมกับศัตรูเพื่อผลประโยชน์ในจวนของแม่ทัพเซิ่ง ค้นพบเอกสารลับหลายฉบับ เอกสารเหล่านั้นคือหลักฐานของการทรยศที่อีกฝ่ายสมคบคิดกับศัตรู รวมทั้
หลังบ้านเมืองกลับสู่ความสงบ จวนอัครเสนาบดีก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เสียงหัวเราะของเหล่าคนสนิทของคุณหนูรองของจวนและผู้มาเยือนดังแว่วอยู่ในลานฝึกด้านหลังในลานฝึก สตรีผู้หนึ่งในชุดสีเข้มทะมัดทะแมงกำลังเหวี่ยงกระบี่ด้วยท่วงท่าลื่นไหล งดงามจนคนมองแทบลืมหายใจ"พี่สะใภ้"เสียงทุ้มขององค์ชายสามหลี่เหวินหวายดังขึ้น ตอนนี้เขากลายเป็นแขกประจำของจวนนี้ไปเสียแล้ว"ฝีมือการต่อสู้ของท่านสุดยอดถึงเพียงนี้... ท่านยังจะอยากฝึกกำลังภายในอีกหรือ"เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงทั้งชื่นชมทั้งเหลือเชื่อ เมื่อนางแสดงเจตนารมณ์ว่าอยากฝึกเดินลมปราณและกำลังภายในในการต่อสู้สตรีที่ถูกเรียกว่าพี่สะใภ้เพียงชำเลืองตามอง ดวงตาเป็นประกาย"ข้าก็อยากเหาะเหินเดินอากาศ สะกิดเบาๆ ก็ทำให้คู่ต่อสู้ตัวปลิวกระเด็นไปได้ดูบ้าง"การต่อสู้ทุกอย่างนางเคยฝึกมาหมดแล้ว การใช้กำลังภายในเหมือนในหนังนางก็อยากจะลองดูสักครั้งคำตอบนั้นทำให้องค์ชายหนุ่มถึงกับหัวเราะพรืด "พี่สะใภ้ เรื่องเช่นนั้นมันจะไปมีได้อย่างไร หากท่านทำได้จริง พวกข้าทุกคนคงต้องหลีกทางให้ท่านเป็นจอมยุทธ์อันดับหนึ่งแห่งยุทธภพเสียแล้ว"อวี้หลันเก็บกระบี่เข้าฝักอย่างสง่างาม มุม
บรรยากาศในเมืองหลวงหลังศึกกบฏสิ้นสุดลงกลับเข้าสู่ความสงบอีกครั้ง แต่ความสงบนั้นถูกปกคลุมอยู่เหนือซากความสูญเสียและกลิ่นคาวเลือดที่ยังไม่ทันจางไปจากผืนแผ่นดินธงหลวงโบกสะบัดเหนือกำแพงเมือง ด้านนอกมีเสียงทหารเคลื่อนย้ายศพและผู้บาดเจ็บ ส่วนด้านในวังหลวง ทุกตำหนักกลับเงียบงันราวกับวิญญาณทั้งวังได้หลบซ่อนตัวภายในตำหนักจิ้งเหออันโอ่อ่าซึ่งเป็นที่ประทับของฮองเฮา บัดนี้ถูกใช้เป็นที่กักบริเวณ เสียงลมพัดผ่านม่านแพรเบาๆ กลืนเสียงสนทนาและเสียงฝีเท้าที่ค่อยๆ ดังใกล้เข้ามาอวี้หลันในชุดผ้าคลุมสีอ่อนก้าวเข้ามาช้าๆ เสียงฝีเท้าแผ่วเบาแต่มั่นคงสะท้อนก้องอยู่ในห้องที่เงียบงัน กลิ่นยาจางๆ ลอยอบอวลในอากาศ เสียงลมหายใจแผ่วของสตรีบนตั่งไม้แกะสลักเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ขยับไหวในความเงียบ ด้านข้างมีนางกำนัลเพียงไม่กี่คนเฝ้าดูแลอยู่ นางหยุดยืนอยู่หน้าตั่ง ดวงตาคมกริบมองสตรีสูงศักดิ์ผู้เคยน่าเกรงขามในอดีต บัดนี้เหลือเพียงเงาของคนที่เคยอยู่เหนือสตรีทั้งแผ่นดิน เสิ่นฮองเฮายังคงงามสง่าดังเช่นเคย แม้สีหน้าจะซีดเผือดราวกระดาษ"ทรงพระสำราญดีหรือไม่เพคะ...หม่อมฉันมาเยี่ยม"เสียงของอวี้หลันนุ่มนวล ทว่าแต่ละคำชัดเจนและ












Comments