นางผ่านชีวิตมาแล้วถึงสองชาติสองภพคิดว่าจะได้หลุดพ้น ทว่าสวรรค์กลับส่งนางให้หวนคืนกลับมาอีกครั้งในชาติที่สาม ชาตินี้นางจึงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้หลุดพ้นจากความตาย และเขาคือผู้ที่นางเลือก!
View Moreบทที่ 1
ชะตาอัปมงคล
สายลมพัดโบกสะบัดพัดไปมาจนกิ่งไม้ลู่เอนไปตามแรงลม กลีบดอกเหมยที่อยู่บนต้นจึงได้หลุดร่วงลงมาตกลงสู่ผืนดินกว้างที่ปกคลุมไปด้วยต้นหญ้าสีเขียวอ่อน กลีบดอกเหมยบางส่วนได้ปลิวลงมาตกลงข้างตัวของสตรีนางหนึ่งที่มีเรือนร่างบอบบาง นางกำลังนอนแผ่หราอยู่บนพื้นหญ้าอย่างคนคิดหนัก ดวงตาคู่สวยหลับตาพริ้มก่อนจะค่อย ๆ ลืมขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงเรียกจากทางด้านหลัง แต่กระนั้นนางก็ยังคงนอนอยู่เช่นนั้นหาได้อาทรร้อนใจไม่
"คุณหนู! คุณหนูใหญ่เจ้าคะ ฮูหยินเรียกหาคุณหนูเจ้าค่ะ"
สาวใช้ตัวน้อยผู้เป็นบ่าวรับใช้ข้างกายรีบเร่งมาด้วยความร้อนใจ ยิ่งนางได้เห็นสีหน้าของฮูหยินไม่สู้ดีนักก็ยิ่งเป็นกังวลแทนเจ้านายสาว
"ท่านแม่มีเรื่องใดอีกเล่าจื่อลู่"
สตรีผู้ถูกเรียกว่าคุณหนูใหญ่หยัดกายลุกขึ้นนั่ง นางเอียงคอมองมาทางจื่อลู่ด้วยความสงสัย จะมีวันใดบ้างหนอที่ท่านแม่ไม่สั่งให้คนมาเรียกหานาง ไม่ว่าเรื่องใดล้วนเป็นความผิดของนางทั้งสิ้น ทั้งที่นางก็หารู้เรื่องไม่นี่คงเป็นเพราะนางคือบุตรสาวที่น่าเกลียดชังเช่นนั้นหรือ
"ครานี้น่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับตระกูลหวังเจ้าค่ะ บ่าวเห็นท่านพ่อบ้านตระกูลหวังเดินทางมาพร้อมกับถือสัญญาหมั้นหมายของคุณหนูด้วยเจ้าค่ะ มิรู้ว่าทางตระกูลหวังส่งพ่อบ้านมายกเลิกการหมั้นหมายนี้หรือไม่"
จื่อลู่เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงไม่ดีนัก สีหน้าของนางฉายชัดถึงความทุกข์ใจแทนเจ้านายสาว ทั้งที่การหมั้นหมายครั้งนี้เพิ่งผ่านมาแค่หนึ่งเดือนเท่านั้นเอง คราแรกคุณหนูของนางก็ปฏิเสธไปแล้ว แต่ฮูหยินกลับเห็นดีเห็นงามด้วย การหมั้นหมายครั้งนี้จึงได้เกิดขึ้นโดยที่คุณหนูของนางหาพึงพอใจไม่
"ท่านแม่อยู่ที่ใด?"
"เรือนหลักเจ้าค่ะคุณหนู"
หญิงสาวหูผึ่งทันทีด้วยความยินดี นางรีบหยัดกายลุกขึ้นยืนแล้วเดินตรงไปยังเรือนหลักด้วยความรีบร้อน นางคิดไว้อยู่แล้วว่า 'หวังหมิง' ผู้เป็นคู่หมั้นของนางจะต้องมาถอนหมั้นนางเป็นแน่ แต่ไม่คิดว่าจะรวดเร็วเช่นนี้ ทั้งที่เขาน่าจะยังไม่กลับมาจากเมืองอู่เฉิงมิใช่หรือ หรือว่าจะมีเรื่องใดอีก นางจะต้องรีบไปดูให้แน่ชัดว่าพ่อบ้านของจวนตระกูลหวังมาที่จวนของนางทำไมกัน
'จางเสี่ยวมี่' สตรีผู้เป็นเจ้าของดวงหน้างดงามหมดจด เรือนร่างบอบบางน่าทะนุถนอมรีบสาวเท้าเข้ามาที่เรือนหลัก อันเป็นที่พำนักของมารดาผู้เป็นฮูหยินเพียงหนึ่งเดียวของท่านเสนาบดีกรมคลัง สตรีผู้เป็นใหญ่ในเรือนหลังมีอำนาจสิทธิ์ขาดในการตัดสินชะตาชีวิตของบุตรสาวและทุกคนที่นี่
"มาแล้วหรือ"
น้ำเสียงห้วนสั้นติดเย็นชาดังขึ้นมาจากทางด้านหน้า เพียงแค่ได้ยินเสียงฝีเท้าของบุตรสาวเดินเข้ามาในห้องโถง 'มู่ฟาง' ก็ตวัดสายตาเย็นชามองบุตรสาวด้วยความกรุ่นโกรธทันที
"ท่านแม่เรียกหาข้าหรือเจ้าคะ"
จางเสี่ยวมี่คารวะผู้เป็นมารดาตามธรรมเนียม นางยืนนิ่งอยู่ตรงกลางห้องโถงโดยหาได้สนใจสีหน้าที่แสนเย็นชาของมารดาไม่ เพราะนางนั้นชินชากับการปฏิบัติของมารดาเสียแล้ว
"ใช่! เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่าตอนนี้ชื่อเสียงของตระกูลจางได้ถึงคราวเหม็นโฉ่ไปทั่วแคว้นอวี้แล้ว มันเป็นเพราะเจ้าคนเดียวที่ทำให้ตระกูลจางต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงเช่นนี้ ข้าไม่น่าให้กำเนิดบุตรสาวเช่นเจ้าออกเลย!"
มู่ฟางชี้นิ้วด่าทอบุตรสาวอย่างไม่ไว้หน้า นางนั้นแสนจะชิงชังบุตรสาวผู้นี้นัก
"ท่านแม่ยังไม่ได้บอกข้าว่าเกิดสิ่งใดขึ้น พอข้ามาถึงท่านแม่ก็ต่อว่าข้าเช่นนี้เลยหรือเจ้าคะ"
"เจ้าก็ดูเสียให้เต็มตา!"
มู่ฟางโยนหนังสือสัญญาถอนหมั้นใส่หน้าบุตรสาวเต็มแรง แต่จางเสี่ยวมี่ที่ระวังตัวอยู่แล้วจึงถอยหลังหลบได้ทัน นางก้มหน้าลงไปหยิบหนังสือฉบับนั้นขึ้นมาอ่าน ก่อนจะเบิกตากว้างด้วยความตกใจกับรายละเอียดที่เขียนเอาไว้
"เห็นหรือยังว่าเจ้ามันคือตัวอัปมงคล เจ้ามันคือหญิงกาลกินี คุณชายใหญ่ตระกูลหวังเพิ่งหมั้นหมายกับเจ้าไม่ทันไร เขาก็ต้องมาประสบกับเคราะห์กรรมจนต้องจบชีวิตลงเช่นนี้ ทั้งหมดนี้มันก็เป็นเพราะเจ้าคนเดียวเท่านั้น เพราะเจ้ามันเป็นคนดวงซวยอย่างไรเล่า! ผู้ใดที่อยู่ใกล้เจ้าก็ต้องมีอันเป็นไป ดูอย่างข้าสิที่ต้องทนทุกข์กับโรคร้ายก็เพราะให้กำเนิดเจ้าออกมาอย่างไรเล่า ยังดีนะที่สวรรค์ยังเห็นใจข้าอยู่บ้างจึงได้ส่งอาหย่งมาให้แก่ข้า มิเช่นนั้นตระกูลจางคงต้องได้สิ้นสุดลงเพียงเท่านี้"
สตรีผู้เป็นฮูหยินใหญ่พ่นคำด่าทอออกมายาวเหยียด นางตวัดสายตาเย็นชามองบุตรสาวด้วยความเกลียดชัง หากแม้นว่านางไม่ได้ให้กำเนิดบุตรชายคนเล็กออกมา ป่านนี้นางคงต้องได้ทุกข์ใจตายเพราะต้องกล้ำกลืนฝืนทนให้สามีรับสตรีอื่นเข้ามา และต้องมาทนมองดูสตรีผู้นั้นให้กำเนิดบุตรชายเพื่อเป็นประมุขตระกูลสืบต่อไปเป็นแน่
ช่างโชคดีเหลือเกินที่สวรรค์ยังไม่ทอดทิ้งนาง มิเช่นนั้นนางคงได้ตรอมใจตายไปแล้ว!
ตอนพิเศษ 7 ความจริงใจของสุ่ยเหอหมิง คล้อยหลังจากที่สุ่ยเหอหมิงจากไปไกลแล้ว อวี้เซียวจ้านที่เห็นและได้ยินบทสนทนาระหว่างทั้งสองจึงได้เดินออกมาจากที่ซ่อน เขาเดินเข้ามานั่งข้างจางเสี่ยวมี่แล้วกอดนางเอาไว้แนบอก หัวใจของผู้เป็นพ่ออดจะรู้สึกวูบโหวงขึ้นมาเสียไม่ได้ มันเป็นความรู้สึกที่ทั้งยินดีและรู้สึกใจหาย ราวกับหัวใจได้ถูกฉุดกระชากของไปจากมือที่มองไม่เห็น "น้องหญิง พี่ทำดีแล้วใช่หรือไม่" "เจ้าค่ะ ท่านพี่ทำดีที่สุดแล้ว เจียวเอ๋อร์เราโตเป็นผู้ใหญ่ที่พร้อมจะมีครอบครัวเป็นของตัวเองแล้ว เราเป็นพ่อเป็นแม่ก็ทำได้เพียงแค่เฝ้าดู และพร้อมจะยืนอยู่เคียงข้างนางเจ้าค่ะ" "เฮ้อ...พี่รู้สึกปวดใจนักที่อาจจะต้องสูญเสียเจียวเอ๋อร์ไป พี่ยังรู้สึกว่านางยังเด็กเกินไปเลย" ผู้เป็นฮ่องเต้งอแงกับความจริงในข้อนี้ หรือเขาควรจะกีดกันสุ่ยเหอหมิงดี "ท่านพี่...ลูกโตแล้วนะเจ้าคะ ลูกควรจะเลือกเส้นทางชีวิตของตัวเอง ท่านพี่รู้ใช่หรือไม่ว่าชีวิตก่อนของเจียวเอ๋อร์นั้นมันสาหัสเพียงใดสำหรับนาง" "พี่รู้ดี พี่ถึงอยากให้เจียวเอ๋อร์มีความสุขอย่างไรเล่า" อวี้เซียวจ้านเอ่ยเสียงอ่อนลง เขายอมจำนนแล้ว ที่เหลือก็คงอยู่ที่ความสามาร
ตอนพิเศษ 6ฝ่าด่านจากเหล่าบุรุษตระกูลอวี้มื้อเย็นวันนี้ที่ตำหนักคุนหนิงล้วนอบอวลไปด้วยความรักและเสียงหัวเราะ อวี้เซียวจ้านคอยคีบอาหารให้กับจางเสี่ยวมี่ตลอดเวลา ทางด้านสององค์ชายก็คอยเอาอกเอาใจเสด็จพี่หญิงของตนด้วยกันทั้งคู่ จางเสี่ยวมี่ที่นั่งทานอาหารอยู่นั้นพลางจับสังเกตสีหน้าของอวี้หนิงเจียวได้ แม้ว่านางจะพยายามพูดคุยหัวเราะกับอวี้หนิงเฉิงและอวี้หนิงหวง แต่ในแววตาคู่นั้นกลับฉาบด้วยความสับสนและครุ่นคิดตลอดเวลา"เจียวเอ๋อร์มีสิ่งใดหรือไม่ แม่รู้สึกว่าเจียวเอ๋อร์ดูกังวลใจตลอดเวลา หรือว่าอาการขององค์รัชทายาทไม่ค่อยสู้ดีนัก"ทุกคนที่นั่งล้อมรอบต่างวางตะเกียบแล้วหันมามองอวี้หนิงเจียวเป็นตาเดียว คิ้วกระบี่สามคู่ขมวดมุ่นขึ้นมาอย่างฉับพลัน"เอ่อ...อาการขององค์รัชทายาททรงดีขึ้นมากแล้วเพคะ รักษาตัวอีกไม่นานก็จะกลับมาหายเป็นปกติแล้วเพคะ""เช่นนั้นลูกกังวลสิ่งใดเล่า"อวี้เซียวจ้านเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง เขาเองก็สังเกตได้ว่าสีหน้าของอวี้หนิงเจียวนั้นราวกับคนที่มีเรื่องให้ครุ่นคิดตลอดเวลา"หรือว่าองค์รัชทายาทนั่นทำสิ่งใดให้เสด็จพี่หญิงไม่พอพระทัยกันพ่ะย่ะค่ะ" อวี้หนิงหวงโผงขึ้นมาบ้าง"เอ่อ...คือ
ตอนพิเศษ 5เกี้ยวดวงใจของแคว้นอวี้อวี้หนิงหวงมองดูพี่สาวด้วยความรู้สึกโล่งอก เขากับพี่ชายอาจจะคิดมากเกินไปก็เป็นได้ อีกไม่นานหลังจากองค์รัชทายาทผู้นี้รักษาตัวหายดีแล้ว เขาก็ต้องกลับไปยังแคว้นสุ่ย เมื่อถึงตอนนั้นทั้งสองก็ไม่ได้พบเจอกันอีก เสด็จพี่หญิงใหญ่ก็ไม่ได้มีท่าทีที่สนใจในตัวองค์รัชทายาทผู้หล่อเหลาสง่างามผู้นี้เลยแม้แต่น้อย ยิ่งได้ยินว่านางไม่เคยคิดถึงเรื่องแต่งงานมาก่อน เขาก็พลอยรู้สึกสบายใจขึ้นมาก ท่าทีของเขาจึงผ่อนคลายลงไปด้วย"วางใจแล้วใช่หรือไม่ เช่นนั้นก็ออกไปได้แล้ว""พ่ะย่ะค่ะเสด็จพี่หญิง เช่นนั้นข้าจะออกไปรอข้างนอก มื้อเย็นวันนี้เราจะได้ไปร่วมโต๊ะเสวยกับเสด็จแม่ด้วยดีหรือไม่ เสด็จแม่ทรงบ่นหาเสด็จพี่หญิงใหญ่นานหลายวันแล้วพ่ะย่ะค่ะ""เข้าใจแล้ว"อวี้หนิงเจียวอมยิ้มน้อย ๆ กับความเจ้ากี้เจ้าการของน้องชายคนเล็ก ก่อนที่นางจะหันมาสนใจคนเจ็บที่นอนนิ่งอยู่บนเตียง มองเผิน ๆ คงคิดว่าเขายังคงหลับไม่ได้สติ แต่นางที่มีความรู้เรื่องการแพทย์ย่อมมองออกว่าเขารู้สึกตัวแล้ว"จะทรงแอบฟังอีกนานหรือไม่เพคะ องค์รัชทายาทสุ่ยเหอหมิง"เปลือกตาของบุรุษค่อย ๆ ขยับลืมขึ้นมา เผยให้เห็นดวงตาสีนิลดั่งพ
ตอนพิเศษ 4องค์หญิงใหญ่ผู้เข้มงวดสิบห้าปีผ่านไปวันเวลาหมุนผ่านไปอย่างรวดเร็ว จากเด็กน้อยที่ไม่รู้ความเติบใหญ่กลายเป็นองค์หญิงใหญ่ที่มากความสามารถ รอบรู้ในศาสตร์แห่งสตรี เก่งกาจเรื่องสมุนไพร สามารถวินิจฉัยร่วมกับท่านหมอหลวงรักษาอาการของผู้คนได้ ใบหน้าส่อเค้าความงามอย่างโดดเด่นเฉกเช่นฮองเฮา แต่แววตากลับทอประกายแห่งความสุขุมเงียบขรึมเฉกเช่นฮ่องเต้ ผู้ได้ชื่อว่าเป็นฮ่องเต้ที่เย็นชาโหดเหี้ยมหาผู้ใดเทียบเทียม ทว่าจะมีเพียงฮองเฮาอันเป็นที่รักยิ่ง องค์หญิงใหญ่ องค์ชายใหญ่ และองค์ชายรองเท่านั้นที่จะได้รับความอ่อนโยนจากฮ่องเต้ทุกคนในแคว้นอวี้ต่างรู้กันดีว่าถ้าไม่อยากตายอย่างทุกข์ทรมาน ก็อย่าได้แตะต้องไข่มุกล้ำค่าบนพระหัตถ์ของฮ่องเต้อวี้เซียวจ้าน!นับจากวันที่องค์ชายทั้งสองพระองค์ได้ถือกำเนิด องค์หญิงใหญ่ก็เกาะติดองค์ชายทั้งสองไม่ยอมห่างกายไปไหน กลายเป็นพี่เลี้ยงที่มีทั้งความอ่อนโยน และความเข้มงวดในตอนที่องค์ชายทั้งสองซุกซนเกินไป องค์ชายทั้งสองเชื่อฟังเสด็จพี่หญิงใหญ่ผู้นี้มากกว่าผู้ใด มากเสียยิ่งกว่าเสด็จพ่อและเสด็จแม่เสียอีก และไม่มีผู้ใดที่จะปราบพยศความซุกซนขององค์ชายทั้งสองพระองค์ได้ นอกจ
ตอนพิเศษ 3กำเนิดองค์ชายนับตั้งแต่อวี้เซียวจ้านพาอวี้หนิงเจียวมาออกว่าราชการด้วยกันกว่าครึ่งปี องค์หญิงก็ได้เป็นที่รักของเหล่าขุนนางไปด้วย มีขุนนางไม่น้อยที่เอ็นดูองค์หญิงผู้นี้ยิ่งนัก บางคนก็นึกอยากจะให้บุตรชายของตนได้หมั้นหมายเกี่ยวดองกับองค์หญิงผู้เป็นที่รักของฮ่องเต้ แต่ช่างน่าเสียดายที่ไม่มีผู้ใดกล้าท้าทายอำนาจของอวี้เซียวจ้าน"ทูลฝ่าบาท เมืองฝางในแดนใต้ได้เกิดโรคระบาดขึ้นพ่ะย่ะค่ะ ตอนนี้ยังไม่ทราบที่มาของการเกิดโรค แต่กระหม่อมได้ส่งท่านหมอเข้าไปในพื้นที่แล้วพ่ะย่ะค่ะ""สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง" บรรยากาศในท้องพระโรงพลันเคร่งเครียดขึ้นเมื่อเกิดเรื่องร้ายที่แดนใต้ เรื่องโรคระบาดนี้หากป้องกันไม่ดีจะเกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวงได้"มีชาวบ้านกว่าหนึ่งร้อยคนที่ติดโรคระบาดพ่ะย่ะค่ะ มีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ อาการคือท้องเสีย ปวดท้อง ตัวเหลือง อ่อนแรง มีไข้ เล็บเปลี่ยนเป็นสีม่วง แต่ยังโชคดีที่ยังไม่มีใครตายพ่ะย่ะค่ะ""หืม...ว่านราตรีม่วง"น้ำเสียงเล็กจากคนตัวเล็กที่อยู่ในอ้อมกอดของฮ่องเต้ได้เรียกความสนใจจากทุกคน"อะไรคือว่านราตรีม่วงหรือเจียวเอ๋อร์""ก็อาการที่บอกไงเพคะ เหมือนคนถูกพิษว่านรา
ตอนพิเศษ 2หนิงเจียวสร้างเรื่องบุตรสาวของเสนาบดีกรมโยธามีนามว่าโจวหลี่น่า นางได้มาเยือนวังหลังตามรับสั่งของฮ่องเต้ ทันทีที่นางเห็นองค์หญิงอวี้หนิงเจียวก็ได้มีความคิดชั่วร้ายออกมา หากนางสามารถเอาชนะใจองค์หญิงได้ ในวันข้างหน้านางก็จะต้องมีโอกาสอยู่ในสายพระเนตรของฝ่าบาทอย่างแน่นอน แต่นางคงจะคิดไม่ถึงว่าองค์หญิงผู้นี้จะฉลาดกว่าที่นางคิดไว้มาก และยังทำกับนางอย่างเจ็บแสบเสียด้วยอวี้หนิงเจียวมองดูผู้มาใหม่ที่จะมาเป็นเพื่อนเล่นให้กับนางด้วยความสงสัย ศีรษะเล็กเอียงคอมองก่อนจะเอ่ยถามออกมา"พี่สาวจะมาเล่นกับเจียวเอ๋อร์หรือ""ใช่แล้วเพคะ ฝ่าบาทเป็นผู้ส่งหม่อมฉันให้มาเป็นเพื่อนเล่นกับองค์หญิงเพคะ""ทำไมล่ะ"จื่อลู่ที่คอยดูแลข้างกายไม่ห่างรู้สึกไม่ดีนัก นางมองดูสตรีผู้นี้ด้วยความไม่ไว้วางใจ แต่ฮองเฮาบอกกับนางแล้วว่าไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น เพียงมองดูอยู่เฉย ๆ ก็พอแล้ว"ก็เพราะฝ่าบาททรงไว้วางพระทัยในตัวหม่อมฉันอย่างไรเล่าเพคะ""อ้อ...ดี ๆ งั้นพี่สาวมาเล่นวิ่งไล่จับกับเจียวเอ๋อร์นะ""เพคะ"โจวหลี่น่าแย้มยิ้มกว้างด้วยความยินดี ก็แค่เล่นกับองค์หญิงที่ยังเยาว์วัย ไม่เห็นมีสิ่งใดที่ต้องน่าน่าหนักใจเลย องค
Comments