นางขอสมรสพระราชทานเพราะรัก แต่คืนแต่งงาน เขารังเกียจนางและทิ้งไป ห้าปีผ่านไปพระชายาที่ถูกลืม กลับเป็นสตรีที่เขาต้องตามจีบ และศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดของเขาก็คือลูกชายของตนเอง
Lihat lebih banyak“ข้าไม่ต้องการสิ่งใดแล้ว ขอเพียงได้อยู่เคียงข้างเขา ข้าก็พอใจแล้ว”
“ข้ากำลังจะแต่งงานกับเขา ข้ากำลังจะได้เป็นพระชายาขององค์ชายสาม”
สองข้างทางของถนนหลวง เต็มไปด้วยผู้คนที่มาร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีอันยิ่งใหญ่ รถม้าแกะสลักลวดลายงดงามวิจิตรตระการตา แล่นผ่านท่ามกลางเสียงโห่ร้องยินดีของประชาชน
เสียงกลองมงคลดังสนั่นกึกก้องทั่วพระราชวัง ประกาศให้ทุกผู้คนทั่วแผ่นดินรับรู้ถึงพิธีสมรสพระราชทานอันยิ่งใหญ่ ระหว่าง หลงเจิ้งหยาง องค์ชายสามแห่งแคว้นต้าเฉิน และไป๋ลี่เยว่ ธิดาของเสนาบดีไป๋
ไป๋ลี่เยว่ในอาภรณ์เจ้าสาวสีแดงสดงดงามปักลายดอกเหมย ก้าวลงจากรถม้าอย่างระมัดระวัง มือของนางเย็นเฉียบ แต่นางรู้ดีว่าไม่ใช่เพราะความหวาดกลัว แต่เป็นเพราะความตื่นเต้นยินดี ดวงตาของนางเปล่งประกายด้วยความดีใจ วันนี้ นางกำลังจะได้สมรสกับบุรุษที่เฝ้าหลงรักมาเนิ่นนาน
ตั้งแต่วันที่ช่วยชีวิตเขาไว้ วันที่หัวใจของนางตกเป็นของเขาโดยสมบูรณ์
แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าองค์ชายสามมิได้รักนาง แต่นางยังมีความหวัง นางยังเชื่อมั่นว่าสักวันหนึ่งเขาจะมองเห็นความจริงใจของนาง เมื่อนั้นนางจะสามารถอยู่เคียงข้างเขาได้อย่างแท้จริง
“เพียงแค่ได้อยู่ข้างกายท่าน ข้าก็ไม่ต้องการสิ่งใดอีก”
พระราชวังถูกประดับประดาด้วยผ้าแพรแดงสดปักลายมังกรหงส์อย่างวิจิตร กลิ่นกำยานหอมจรุงลอยคลุ้งอ้อยอิ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งสิริมงคล ทว่าท่ามกลางบรรยากาศชื่นมื่น ขุนนางและเหล่าสตรีในวังต่างมาร่วมเป็นสักขีพยาน
แต่ภายใต้ความโอ่อ่าหรูหรานี้ บรรดาแขกเหรื่อที่มาร่วมงาน ล้วนมิใช่มาเพราะความปีติยินดีเสมอไป หากแต่เป็นเพราะหลายคนอยากรู้อยากเห็น และมาด้วยความเย้ยหยัน ในวังหลวงแห่งนี้ ไม่มีผู้ใดไม่รู้ว่าการแต่งงานครั้งนี้มิใช่เพราะความรัก แต่มันคือผลลัพธ์จากการร้องขอสมรสพระราชทานของสตรีผู้หนึ่ง สตรี ที่ไม่มีผู้ใดคิดว่านางคู่ควร
“เจ้าสาวขององค์ชายสามงั้นหรือ ช่างเป็นเรื่องน่าขันนัก”
“แม้ไป๋ลี่เยว่จะมีใบหน้าที่งดงาม แต่นางก็อ้วนเกินไป เจ้าสาวที่รูปร่างเช่นนั้น คงเป็นเพียงตัวตลกในงานแต่งเท่านั้น”
“ถูกต้อง องค์ชายสามคือวีรบุรุษแห่งแผ่นดิน รูปร่างสง่างามราวกับเทพเซียน แล้วดูเจ้าสาวของพระองค์สิ ข้าละอายแทนจริงๆ”
เสียงกระซิบกระซาบดังไปทั่ว เหล่าสตรีสูงศักดิ์ในงานต่างปิดปากหัวเราะเบาๆ ซ่อนรอยยิ้มเยาะไว้ใต้แขนเสื้อ ไม่มีใครคิดว่าสตรีที่มีรูปร่างเช่นนี้จะคู่ควรกับองค์ชายสาม
“พระชายาไป๋ผู้นี้ช่างโชคดีนัก ได้สมรสพระราชทานกับองค์ชายสาม”
“โชคดีหรือ หึ ถ้านางไม่ไร้ยางอายขอสมรสพระราชทาน คนอย่างนางก็เป็นได้แค่หมูอ้วนไร้ยางอาย”
“ใช่แล้ว รูปร่างเช่นนั้นจะคู่ควรกับองค์ชายสามได้อย่างไร”
เสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นจากกลุ่มขุนนางสตรี สายตาของพวกนางเต็มไปด้วยความเหยียดหยันเจ้าสาวของงาน
“ข้าได้ยินมาว่า นางเป็นคนขอสมรสพระราชทานเองด้วยใช่หรือไม่”
“ไป๋ลี่เยว่ผู้นี้ช่างไร้ยางอายยิ่งนัก บีบบังคับให้องค์ชายต้องแต่งงานกับสตรีอัปลักษณ์ นี่มิใช่เป็นการดูหมิ่นพระองค์หรอกหรือ”
ไม่มีใครคิดว่าหญิงที่ “อ้วนและไร้เสน่ห์” เช่นไป๋ลี่เยว่ จะสามารถยืนอยู่เคียงข้างองค์ชายสามได้อย่างแท้จริง
เมื่อเสียงกลองมงคลดังขึ้น ขบวนเสด็จขององค์ชายสามเคลื่อนเข้าสู่ท้องพระโรง
องค์ชายหลงเจิ้งหยาง เจ้าบ่าวของงาน ปรากฏกายในอาภรณ์สีแดงปักดิ้นทองสง่างาม ร่างสูงสมบูรณ์แบบราวกับรูปสลัก สายตาเย็นชาราวคมดาบ แผ่รังสีของแม่ทัพผู้เกรียงไกร รัศมีของเขาเป็นบุรุษผู้ที่ไม่มีสตรีใดกล้าต้านทาน
เขาเดินเข้ามาด้วยท่วงท่าสง่างาม ใบหน้าคมคายดุดัน สายตาเย็นชา เปี่ยมไปด้วยอำนาจของแม่ทัพผู้ไร้พ่ายที่เคยผ่านสมรภูมิรบมาแล้วนับไม่ถ้วน แม้เหล่าสตรีในงานจะรู้ดีว่า เขาเย็นชาและไร้เยื่อใย แต่ไม่มีผู้ใดปฏิเสธได้ว่าเขาคือบุรุษที่น่าหลงใหลที่สุดในแผ่นดิน
“หากข้าได้เป็นเจ้าสาวของพระองค์ก็คงดี”
“น่าเสียดาย ที่เจ้าสาวของพระองค์ เป็นเพียงสตรีอ้วนที่ไม่มีผู้ใดต้องการ”
ร่างสูงยืนเด่นเป็นสง่ากลางท้องพระโรง รัศมีแห่งแม่ทัพทำให้เขาดูน่าเกรงขามราวเทพสงคราม เสียงกระซิบยังคงดังไม่หยุด แต่สิ่งที่เรียกเสียงกระซิบกระซาบได้มากกว่าคือสายตาขององค์ชายสามที่มีต่อเจ้าสาวของพระองค์ เขามองไป๋ลี่เยว่เพียงแวบเดียว ก่อนเมินหน้าหนีอย่างไม่ใยดี ราวกับว่า นางมิได้มีค่าพอให้เขาเสียเวลามอง และนี่ กลับทำให้เสียงนินทาดังขึ้นยิ่งกว่าเดิม
“ดูสิ องค์ชายสามแม้แต่มองยังไม่อยากมองเลยด้วยซ้ำ”
“ข้าล่ะอยากรู้จริงๆ ว่า คืนเข้าหอจะเป็นเช่นไร”
“สมรสพระราชทาน” หลงเจิ้งหยางแค่นเสียงในใจ สีหน้าและหัวใจของเขากลับเย็นชา องค์ชายสาม แม่ทัพผู้เกรียงไกร ผู้เป็นดั่งเสาหลักของแผ่นดินอย่างเขา กำลังเข้าพิธีสมรสกับ ไป๋ลี่เยว่ บุตรสาวขุนนางผู้มีความดีความชอบเพียงเพราะนางเคยช่วยชีวิตเขาไว้ตอนที่เขาโดนทำร้ายร่างกายจนเกือบเขาชีวิตไม่รอด ใครจะไปคิดว่านางจะถือโอกาสนี้ขอสมรสพระราชทานต่อฮ่องเต้
“ข้ามิใช่บุรุษที่จะถูกบังคับให้แต่งงานกับสตรีที่ข้ามิได้เลือก ผ่านพ้นคืนนี้ไปก่อนเถอะ”
เขามิได้หันไปมองด้วยซ้ำว่าข้างกายมีสตรีผู้หนึ่งกำลังเฝ้ามองเขาด้วยความหวัง
เขายืนอยู่ท่ามกลางเหล่าขุนนางและราชวงศ์ แต่เพียงแค่ปรายตามอง ทุกคนก็สัมผัสได้ถึงความเย็นชาที่แผ่ออกมาจากร่างของเขา
“ข้าต้องแต่งงานกับสตรีที่ข้าไม่ได้เลือก เรื่องเช่นนี้ช่างน่าขันนัก”
ใต้ผ้าคลุมหน้า ไป๋ลี่เยว่รับรู้และได้ยินทุกคำพูด แต่หัวใจของนางยังคงหนักแน่น ตั้งแต่ก้าวเข้ามาในท้องพระโรงนี้ ทุกสายตาที่จับจ้องมาที่นางล้วนเต็มไปด้วยการดูถูก
“ข้าไม่คู่ควรหรือ”
“ข้าอาจมิใช่เจ้าสาวที่ผู้คนคาดหวัง”
“แต่ข้าก็เป็นพระชายาของเขา และไม่ว่าใครจะพูดเช่นไร ข้าก็จะทำหน้าที่ของข้าให้ดีที่สุด”
“แม้ข้าจะมิใช่หญิงที่งดงามที่สุด แต่ข้าก็จะทำให้เขามองข้าให้ได้”
หัวใจของนางยังคงมีความหวัง แม้เขาจะเย็นชา แม้ผู้คนจะดูถูก แต่นางเชื่อว่าหากนางตั้งใจ เขาจะยอมรับนางเข้าสักวัน
ไป๋ลี่เยว่ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น สบตากับองค์ชายสามเพียงชั่วครู่ แต่เขากลับมิแม้แต่จะปรายตามองนาง
และพิธีสมรสพระราชทาน ก็ยังคงดำเนินต่อไป ท่ามกลางเสียงกระซิบกระซาบที่ไม่เคยหยุดลง จนกระทั่งเสียงบรรเลงขลุ่ยและพิณดังขึ้น ก้องไปทั่วพระราชวัง
“คารวะฟ้าดิน”
ไป๋ลี่เยว่คุกเข่าลงทำพิธีอย่างศรัทธา หวังว่าวันนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตคู่ที่ดี ทว่าข้างกายนาง องค์ชายสามกลับทำตามพิธีอย่างไร้หัวใจ
“คารวะบรรพบุรุษ” นางก้มศีรษะ เสียงหัวเราะเยาะรอบข้างดังขึ้น เพราะนางก้มได้เพียงเล็กน้อยจากอุปสรรครูปร่างของนาง แต่นางก็มิได้หวั่นไหว
“สามีภรรยาคารวะกัน”
ไป๋ลี่เยว่เงยหน้าขึ้น มุมปากประดับรอยยิ้มบางๆ นางมีเพียงความสุข แต่เมื่อสบตากับองค์ชายสาม นางกลับพบเพียงความเย็นชาไร้ความรู้สึกของบุรุษตรงหน้า
สิ่งที่สะท้อนอยู่ในดวงตาของเขามิใช่เพียงความเมินเฉย แต่เป็นความรังเกียจที่เด่นชัด
“…”
“ข้าทนแตะต้องนางมิได้จริงๆ”
“นี่คือผู้หญิงที่ข้าต้องแต่งงานด้วยอย่างนั้นหรือ”
แม้เขาจะมิได้พูดออกมา แต่นางก็อ่านออกได้จากสายตาของเขา
“องค์ชายสามรังเกียจนางถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
“หึ เป็นข้า ก็คงรับมิได้เช่นกัน”
เสียงกระซิบดังขึ้นอีกครั้ง แต่มันไม่สำคัญอีกต่อไป
ในขณะที่ไป๋ลี่เยว่ยินดี บุรุษที่นางรักสุดหัวใจกลับไม่มีแม้เศษเสี้ยวของความสุข เขาเพียงปรายตามองนางอย่างเย็นชา
“นางเป็นเพียงภาระ เป็นเพียงสตรีที่ข้าถูกบังคับให้แต่งด้วยเท่านั้น”
“วันนี้เป็นวันมงคล” ฮ่องเต้ตรัสขึ้นด้วยน้ำเสียงเปี่ยมด้วยพระเมตตา
“ข้าหวังว่าเจ้าทั้งสองจะครองคู่กันอย่างมีความสุข และร่วมกันดูแลแผ่นดินนี้ต่อไป”
“หลงเจิ้งหยาง เจ้าต้องปกป้องและดูแลพระชายาของเจ้าให้ดี”
หลงเจิ้งหยางคุกเข่าลงอย่างสง่างาม แม้ภายในใจจะมิได้ยินดี แต่เขาก็ไม่อาจขัดรับสั่งได้
“พ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อ”
ไป๋ลี่เยว่คุกเข่าลงตาม นางยิ้มอ่อนโยน ดวงตาส่องประกายแห่งความสุข
“หม่อมฉันจะดูแลพระสวามีอย่างดีที่สุดเพคะ”
“ดีมาก”
ฮองเฮาทรงยิ้มอ่อนโยน พระนางทอดพระเนตรไปยังไป๋ลี่เยว่ ด้วยสายพระเนตรที่เต็มไปด้วยความเอ็นดู
“ไป๋ลี่เยว่ ตั้งแต่เล็กจนโตเจ้าก็เป็นเด็กดีและเฉลียวฉลาด บัดนี้ เจ้าได้กลายเป็นพระชายาแล้ว ข้าหวังว่าเจ้าจะมีความสุขและนำพาสิ่งดีๆ มาสู่องค์ชายสาม”
ไป๋ลี่เยว่ก้มศีรษะ ซ่อนรอยยิ้มแห่งความปลาบปลื้มเอาไว้
“ขอบพระทัยเพคะ เสด็จแม่”
“เจ้ากำลังจะฆ่าข้าให้ตายทั้งเป็น”ริมฝีปากสีชาดยกยิ้มยั่วเย้า “ถ้าเช่นนั้น…ก็ยอมตายอยู่ใต้ร่างของหม่อมฉันเถิดเพคะ แล้วพระองค์จะเป็นผู้ที่ตายอย่างมีความสุขที่สุดในใต้หล้านี้”เสียงหอบหายใจถี่กระชั้นมิอาจหยุดยั้งได้อีกต่อไป ไป๋ลี่เยว่โน้มกายเร่งจังหวะรุนแรงขึ้นทุกขณะ เนื้อนวลสั่น ถันอวบเด้งขึ้นลง กลีบบุปผารัดแน่นขึ้นเป็นจังหวะถี่ขึ้น“เยว่เอ๋อร์…” หลงเจิ้งหยางกระซิบพร่าในหู มือใหญ่กำแน่นที่เอวบาง รั้งกระชับไม่ปล่อย เสียงครางต่ำพร่าดังก้องในลำคอราวสัตว์ร้ายที่ถูกปลดพันธนาการ“อ๊าาา… เยว่เอ๋อร์… เจ้าจะกดข้าให้สยบเช่นนี้หรือ” หลงเจิ้งหยางกระซิบพร่า ไป๋ลี่เยว่ปรือตาขึ้น สายตาพร่าเลือนแต่แฝงประกายท้าทาย“เช่นนั้น… ก็สยบอยู่ใต้หม่อมฉันเถิดเพคะ”“เยว่เอ๋อร์… ข้า…จะมิอาจทนได้อีกแล้ว” เสียงเขาสั่นพร่า แฝงทั้งอำนาจบังคับและการวิงวอน“เจ้า…รัดข้าแน่นเกิน อ๊าาา ขะ...ข้าปวด” เสียงทุ้มต่ำขาดห้วง ขณะที่สันกรามแข็งเกร็งด้วยความพยายามอดกลั้นทว่าท้ายที่สุด บุรุษผู้เคยยิ่งใหญ่ก็มิอาจทนอยู่นิ่งได้อีกต่อไป ร่างแกร่งพลันเกร็งกายเด้งสวนสะโพกสอบขึ้นตอบรับจังหวะของนางโดยมิอาจฝืน ดุดัน หนักแน่น ราวพยัคฆ์ที่ตื่
“เยว่เอ๋อร์…เจ้าอยากครอบครองข้าหรือไม่” เสียงทุ้มต่ำของหลงเจิ้งหยางพร่าก้องในความเงียบ ร่างสูงทอดกายลงบนแท่นบรรทม ศีรษะหนุนหมอนสูง ผมดำยาวสยายคลอเคลียบ่ากว้าง แววตาคมลึกทอประกายแห่งราคะที่ไม่อาจดับ มือใหญ่เอื้อมกระชับเอวนวล ก่อนพลิกกลับให้นางขึ้นคร่อมเหนือร่างสูงสง่าไป๋ลี่เยว่โน้มกายอรชรลง ริมฝีปากอิ่มสีชาดเม้มแน่น สายตาเอียงอายปนเร่าร้อน นางมิได้หลบเลี่ยง กลับขยับให้เรือนกายแนบชิด กุหลาบงามเคลื่อนลงโอบกลืนแท่งหยกร้อนผ่าวทีละน้อย อย่างช้าๆ จนบุรุษใต้ร่างหลับตาแน่น สูดลมหายใจหอบ พลางสั่นสะท้าน “เยว่เอ๋อร์…อ๊าา…เจ้า…อูววว” เสียงพร่าต่ำสะท้อนอยู่ในลำคอ ราวกับจะขาดใจ“หากค่ำนี้...หม่อมฉันไม่ครอบครองมังกร เกรงว่าพระองค์คงมิอาจหลับใหลได้แน่” นางเอื้อนเอ่ยเสียงพร่า อ่อนนุ่มแต่แฝงแรงห้าวหาญ ราวสตรีผู้กุมชะตาของราตรีนี้ไว้เองหลงเจิ้งหยางหัวเราะต่ำในลำคอ กายแกร่งสั่นสะท้านไปกับแรงขยับนั้น ในขณะเดียวกันใบหน้าคมก็เหยเกราวเจ็บปวด “ หึ…นับแต่ข้าเกิดมา มิเคยมีผู้ใดบังคับข้าให้อยู่ใต้อำนาจ แต่เจ้า…ซี๊ดดด….”มือใหญ่กำแน่นที่เอวบางของนาง ดึงรั้งให้กุหลาบงามกลืนลึกกดฝังแท่งหยกมิดแน่น ไป๋ลี่เยว่อดกล
“องค์ชาย… มะ…หม่อมฉัน มิอาจทนได้…” องค์ชายสาม บดกราม ฝังร่างแนบลึก “เจ้าก็มิต้องทน ปล่อยใจไปกับข้าเถิด เยว่เอ๋อร์… คืนนี้เจ้าคือสรรพสิ่งของข้า” กายหนาถาโถมเข้าครอบครองในชั่วพริบตา ไป๋ลี่เยว่สะท้านเฮือก ดวงตาเอ่อคลอด้วยน้ำใส ร่างบางถูกโอบรัดแนบแน่น สะโพกถูกยึดตรึงแล้วเคลื่อนกระแทกเป็นจังหวะหนักแน่น สลับเร็วช้าไม่ให้ทันตั้งตัว หลงเจิ้งหยางเสียงทุ้มกระชากลึก “เจ้าเป็นของข้าเพียงผู้เดียว… ไม่ว่าผู้ใดก็ห้ามแตะต้อง เข้าใจหรือไม่ชายาของข้า” ไป๋ลี่เยว่ เสียงสั่นพร่า “องค์ชาย… หม่อมฉัน… มิอาจหนีไปไหนอยู่แล้ว…” เสียงเนื้อกระทบก้องผสมกับเสียงหอบกระชั้นราวคลื่นพายุซัดฝั่ง จนกระทั่ง “เยว่เอ๋อร์…พลิกกายมาเถิด หันหลังให้ข้า” เสียงทุ้มสั่งต่ำ ดั่งประกาศิตที่มิอาจขัดขืน มือใหญ่จับร่างบางพลิกกลับอย่างอ่อนโยน ร่างบางนอนคว่ำ ดวงหน้าหวานซบหมอน ผมดำขลับสยายลงประดุจม่านราตรี ร่างอรชรโค้งรับราวคันศรต้องสาย สะโพกกลมกลึงถูกยกขึ้นเล็กน้อย เมื่อมือของเขาสอดประคองจากด้านหลัง องค์ชายกดกายเข้าหาแนบแน่นจากด้านหลัง เสียงครางสะท้านดังลอดออกมาจากลำคอไป๋ลี่เยว่ ร่างนางสั่นไหวราวกลีบเหมยต้อ
“เพคะ… หม่อมฉันยอมแล้ว ยอมทุกสิ่งให้แก่พระองค์” เสียงหวานขาดห้วงเพียงเพราะกลีบกุหลาบงามโดนรุกราน“อาา… หม่อมฉัน…เป็นของพระองค์แล้ว… ทั้งกาย ทั้งใจ…”ไป๋ลี่เยว่ครางสั่น ดวงตาฉ่ำน้ำพร่างพราว เผลอแอ่นกายเข้ารับสัมผัสให้เเนบชิด ปลายนิ้วเรียวขยุ้มผ้าปูจนยับย่น แก้มแดงจัดราวผลท้อสุก ริมฝีปากสั่นระริก ถ้อยคำยังมิทันหลุดสิ้น ริมฝีปากร้อนของบุรุษก็ครอบจุมพิตแนบแน่น สอดแทรกความหิวกระหายที่กลืนกินสติสัมปชัญญาทุกสิ่งผสานกัน ปลายนิ้วยาวที่สอดลูบไล้กลีบกุหลาบงามเบื้องล่างร่างบางสั่นสะท้านทั้งเจ็บทั้งสุข คล้ายบุปผาที่เบ่งบานรับหยาดน้ำค้างแรกแห่งรุ่งอรุณ องค์ชายถอดถอนริมฝีปากหยัก โน้มกายลงต่ำเพื่อชิมปลายถันอวบ เรียวลิ้นอุ่นตวัดเลียจนยอดถันชูชันท้าทาย ก่อนที่ริมฝีปากร้อนจะครอบครองดูดดื่มเต้าอวบราวทารกผู้หิวกระหาย แรงดูดที่ถันอวบและสัมผัสร้อนแรงที่กลีบกุหลาบงามเบื้องล่าง เร่งสร้างความปรารถนาของไป๋ลี่เยว่ให้สูงขึ้น“พระองค์… หม่อมฉันหวั่นใจนัก คืนนี้หากมิอาจห้ามท่านได้… หม่อมฉันจักได้พักกี่ยามกัน” เสียงหวานสั่นพร่า“เยว่เอ๋อร์…คืนนี้ เดี๋ยวข้าจะปลอบเจ้าเอง เจ้าแค่นอนพักเฉยๆ ที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าที่ขอ
“ช่างวางกลไกได้สวยงาม…” ไป๋ลี่เยว่กระซิบ สายตาหรี่ลงนิดหน่อย ก่อนจะถอนหายใจ“แต่คืนนี้พระองค์ควรพัก ทัพยังไม่เคลื่อน แม่ทัพก็ควรพักเอาแรงบ้าง”หลงเจิ้งหยาง โน้มใบหน้าเข้าใกล้มากขึ้น เสียงกระซิบเขาราวกับสายลมยามดึกแนบข้างหู“นี่คือการพักเอาแรงของข้า หากไม่ขอคืนแรงจากเจ้า…ข้าจะมีเรี่ยวแรงใดเผชิญศึกพรุ่งนี้ เยว่เอ๋อร์…”นางกำลังจะพูดอะไร แต่ริมฝีปากเขาแนบลงมาเสียก่อน ริมฝีปากอบอุ่นคล้ายคลื่นทะเลโถมซัดชายฝั่ง บุกล้ำช้า ๆ แต่ไม่อาจต้าน ใบหน้าของนางขึ้นสีระเรื่อ มือบางยกดันอกแกร่งเบา ๆ ก่อนจะชะงักเพราะเขาหยุด“ข้าไม่ฝืนใจเจ้า…เพียงแต่คืนนี้ หากข้าไม่ได้นอนกอดเจ้าไว้ ข้าคงนอนไม่หลับ…”“…ท่านนี่…” ไป๋ลี่เยว่ว่า แต่ไม่ได้ผลักไส“มีแผนใดต้องคิดอีกหรือไม่”หลงเจิ้งหยางยิ้ม เอานิ้วเกี่ยวผ้าคลุมของนางออกเบา ๆ“คิดอีกก็คิดได้…แต่ข้าจะคิดออก ก็ต่อเมื่อได้เห็นเรือนร่างงดงามของพระชายาในอ้อมแขน”นางย่นจมูกเบา ๆ แต่ก็ปล่อยให้เขาดึงผ้าคลุมออก ขนกายเริ่มลุกชันเมื่อสายลมกระโชกผ่าน…ริมฝีปากอุ่นขององค์ชายเลื่อนไล้จากขมับลงมาถึงซอกแก้ม ไป๋ลี่เยว่สะท้านเผลอหลับตาแน่น มือบางดันแผ่วที่อกกว้าง แต่แรงนั้นแผ่วเบาร
ณ เรือนเจาอวี้ ตำหนักหย่งอวิ๋น ตำหนักใหม่ขององค์ชายสามที่เพิ่งบูรณะเสร็จดูโอ่อ่าสมตำแหน่งพระโอรสของฮองเฮา แสงตะเกียงกระพริบวาบไหวตามลมราตรี แสงจันทร์ส่องลอดม่านโปร่งสีอ่อนที่พลิ้วไหว ตกกระทบกับพื้นหินเย็นเยียบในตำหนัก กลิ่นกำยานอ่อน ๆ ลอยคลุ้งอยู่ในห้องโถงใหญ่ บรรยากาศสงบเย็นต่างจากความวุ่นวายของงานเลี้ยงที่เพิ่งสิ้นสุดไปเมื่อไม่กี่ชั่วยามก่อน ภายในตำหนักมีเพียงเสียงลมพัดแผ่ว ผ่านม่านโปร่งหลงเจิ้งหยางวางองค์ชายน้อยที่หลับสนิทลงบนแท่นบรรทมที่อยู่มุมห้องด้วยความทะนุถนอม ก่อนพยักหน้าให้หงเหมยและนางกำนัลพี่เลี้ยงพากันดูแลต่อ จากนั้นทั้งเขาและไป๋ลี่เยว่ก็เดินกลับไปที่เรือนหลิงซือ ซึ่งเป็นเรือนหลัก “คิดอะไรอยู่..หืม ฟอดดด ข้าเห็นเจ้าเงียบตั้งแต่กลับจากงานเลี้ยงแล้ว” ผู้เป็นพระสวามีถามพลางหอมแก้มนวลเมื่อเห็นพระชายาเงียบไปไป๋ลี่เยว่ยังคงระลึกถึงภาพในงานเลี้ยง เสียงกระซิบเหล่าขุนนางที่วางแผนใส่ร้ายนาง กลลวงของพระสนมชิงอวี่ อีกทั้งสายตาเคียดแค้นของซูเหยา หากไม่ใช่เพราะฮ่องเต้ทรงยุติธรรม บางทีชื่อเสียงขององค์ชายสามกับตนคงถูกเหยียบย่ำแล้ว“หม่อมฉันนึกถึง ตอนที่ถูกครหาว่าลอบใส่ยาพิษให้พระชายาสอ
Komen