นางขอสมรสพระราชทานเพราะรัก แต่คืนแต่งงาน เขารังเกียจนางและทิ้งไป ห้าปีผ่านไปพระชายาที่ถูกลืม กลับเป็นสตรีที่เขาต้องตามจีบ และศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดของเขาก็คือลูกชายของตนเอง
ดูเพิ่มเติม“ข้าไม่ต้องการสิ่งใดแล้ว ขอเพียงได้อยู่เคียงข้างเขา ข้าก็พอใจแล้ว”
“ข้ากำลังจะแต่งงานกับเขา ข้ากำลังจะได้เป็นพระชายาขององค์ชายสาม”
สองข้างทางของถนนหลวง เต็มไปด้วยผู้คนที่มาร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีอันยิ่งใหญ่ รถม้าแกะสลักลวดลายงดงามวิจิตรตระการตา แล่นผ่านท่ามกลางเสียงโห่ร้องยินดีของประชาชน
เสียงกลองมงคลดังสนั่นกึกก้องทั่วพระราชวัง ประกาศให้ทุกผู้คนทั่วแผ่นดินรับรู้ถึงพิธีสมรสพระราชทานอันยิ่งใหญ่ ระหว่าง หลงเจิ้งหยาง องค์ชายสามแห่งแคว้นต้าเฉิน และไป๋ลี่เยว่ ธิดาของเสนาบดีไป๋
ไป๋ลี่เยว่ในอาภรณ์เจ้าสาวสีแดงสดงดงามปักลายดอกเหมย ก้าวลงจากรถม้าอย่างระมัดระวัง มือของนางเย็นเฉียบ แต่นางรู้ดีว่าไม่ใช่เพราะความหวาดกลัว แต่เป็นเพราะความตื่นเต้นยินดี ดวงตาของนางเปล่งประกายด้วยความดีใจ วันนี้ นางกำลังจะได้สมรสกับบุรุษที่เฝ้าหลงรักมาเนิ่นนาน
ตั้งแต่วันที่ช่วยชีวิตเขาไว้ วันที่หัวใจของนางตกเป็นของเขาโดยสมบูรณ์
แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าองค์ชายสามมิได้รักนาง แต่นางยังมีความหวัง นางยังเชื่อมั่นว่าสักวันหนึ่งเขาจะมองเห็นความจริงใจของนาง เมื่อนั้นนางจะสามารถอยู่เคียงข้างเขาได้อย่างแท้จริง
“เพียงแค่ได้อยู่ข้างกายท่าน ข้าก็ไม่ต้องการสิ่งใดอีก”
พระราชวังถูกประดับประดาด้วยผ้าแพรแดงสดปักลายมังกรหงส์อย่างวิจิตร กลิ่นกำยานหอมจรุงลอยคลุ้งอ้อยอิ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งสิริมงคล ทว่าท่ามกลางบรรยากาศชื่นมื่น ขุนนางและเหล่าสตรีในวังต่างมาร่วมเป็นสักขีพยาน
แต่ภายใต้ความโอ่อ่าหรูหรานี้ บรรดาแขกเหรื่อที่มาร่วมงาน ล้วนมิใช่มาเพราะความปีติยินดีเสมอไป หากแต่เป็นเพราะหลายคนอยากรู้อยากเห็น และมาด้วยความเย้ยหยัน ในวังหลวงแห่งนี้ ไม่มีผู้ใดไม่รู้ว่าการแต่งงานครั้งนี้มิใช่เพราะความรัก แต่มันคือผลลัพธ์จากการร้องขอสมรสพระราชทานของสตรีผู้หนึ่ง สตรี ที่ไม่มีผู้ใดคิดว่านางคู่ควร
“เจ้าสาวขององค์ชายสามงั้นหรือ ช่างเป็นเรื่องน่าขันนัก”
“แม้ไป๋ลี่เยว่จะมีใบหน้าที่งดงาม แต่นางก็อ้วนเกินไป เจ้าสาวที่รูปร่างเช่นนั้น คงเป็นเพียงตัวตลกในงานแต่งเท่านั้น”
“ถูกต้อง องค์ชายสามคือวีรบุรุษแห่งแผ่นดิน รูปร่างสง่างามราวกับเทพเซียน แล้วดูเจ้าสาวของพระองค์สิ ข้าละอายแทนจริงๆ”
เสียงกระซิบกระซาบดังไปทั่ว เหล่าสตรีสูงศักดิ์ในงานต่างปิดปากหัวเราะเบาๆ ซ่อนรอยยิ้มเยาะไว้ใต้แขนเสื้อ ไม่มีใครคิดว่าสตรีที่มีรูปร่างเช่นนี้จะคู่ควรกับองค์ชายสาม
“พระชายาไป๋ผู้นี้ช่างโชคดีนัก ได้สมรสพระราชทานกับองค์ชายสาม”
“โชคดีหรือ หึ ถ้านางไม่ไร้ยางอายขอสมรสพระราชทาน คนอย่างนางก็เป็นได้แค่หมูอ้วนไร้ยางอาย”
“ใช่แล้ว รูปร่างเช่นนั้นจะคู่ควรกับองค์ชายสามได้อย่างไร”
เสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นจากกลุ่มขุนนางสตรี สายตาของพวกนางเต็มไปด้วยความเหยียดหยันเจ้าสาวของงาน
“ข้าได้ยินมาว่า นางเป็นคนขอสมรสพระราชทานเองด้วยใช่หรือไม่”
“ไป๋ลี่เยว่ผู้นี้ช่างไร้ยางอายยิ่งนัก บีบบังคับให้องค์ชายต้องแต่งงานกับสตรีอัปลักษณ์ นี่มิใช่เป็นการดูหมิ่นพระองค์หรอกหรือ”
ไม่มีใครคิดว่าหญิงที่ “อ้วนและไร้เสน่ห์” เช่นไป๋ลี่เยว่ จะสามารถยืนอยู่เคียงข้างองค์ชายสามได้อย่างแท้จริง
เมื่อเสียงกลองมงคลดังขึ้น ขบวนเสด็จขององค์ชายสามเคลื่อนเข้าสู่ท้องพระโรง
องค์ชายหลงเจิ้งหยาง เจ้าบ่าวของงาน ปรากฏกายในอาภรณ์สีแดงปักดิ้นทองสง่างาม ร่างสูงสมบูรณ์แบบราวกับรูปสลัก สายตาเย็นชาราวคมดาบ แผ่รังสีของแม่ทัพผู้เกรียงไกร รัศมีของเขาเป็นบุรุษผู้ที่ไม่มีสตรีใดกล้าต้านทาน
เขาเดินเข้ามาด้วยท่วงท่าสง่างาม ใบหน้าคมคายดุดัน สายตาเย็นชา เปี่ยมไปด้วยอำนาจของแม่ทัพผู้ไร้พ่ายที่เคยผ่านสมรภูมิรบมาแล้วนับไม่ถ้วน แม้เหล่าสตรีในงานจะรู้ดีว่า เขาเย็นชาและไร้เยื่อใย แต่ไม่มีผู้ใดปฏิเสธได้ว่าเขาคือบุรุษที่น่าหลงใหลที่สุดในแผ่นดิน
“หากข้าได้เป็นเจ้าสาวของพระองค์ก็คงดี”
“น่าเสียดาย ที่เจ้าสาวของพระองค์ เป็นเพียงสตรีอ้วนที่ไม่มีผู้ใดต้องการ”
ร่างสูงยืนเด่นเป็นสง่ากลางท้องพระโรง รัศมีแห่งแม่ทัพทำให้เขาดูน่าเกรงขามราวเทพสงคราม เสียงกระซิบยังคงดังไม่หยุด แต่สิ่งที่เรียกเสียงกระซิบกระซาบได้มากกว่าคือสายตาขององค์ชายสามที่มีต่อเจ้าสาวของพระองค์ เขามองไป๋ลี่เยว่เพียงแวบเดียว ก่อนเมินหน้าหนีอย่างไม่ใยดี ราวกับว่า นางมิได้มีค่าพอให้เขาเสียเวลามอง และนี่ กลับทำให้เสียงนินทาดังขึ้นยิ่งกว่าเดิม
“ดูสิ องค์ชายสามแม้แต่มองยังไม่อยากมองเลยด้วยซ้ำ”
“ข้าล่ะอยากรู้จริงๆ ว่า คืนเข้าหอจะเป็นเช่นไร”
“สมรสพระราชทาน” หลงเจิ้งหยางแค่นเสียงในใจ สีหน้าและหัวใจของเขากลับเย็นชา องค์ชายสาม แม่ทัพผู้เกรียงไกร ผู้เป็นดั่งเสาหลักของแผ่นดินอย่างเขา กำลังเข้าพิธีสมรสกับ ไป๋ลี่เยว่ บุตรสาวขุนนางผู้มีความดีความชอบเพียงเพราะนางเคยช่วยชีวิตเขาไว้ตอนที่เขาโดนทำร้ายร่างกายจนเกือบเขาชีวิตไม่รอด ใครจะไปคิดว่านางจะถือโอกาสนี้ขอสมรสพระราชทานต่อฮ่องเต้
“ข้ามิใช่บุรุษที่จะถูกบังคับให้แต่งงานกับสตรีที่ข้ามิได้เลือก ผ่านพ้นคืนนี้ไปก่อนเถอะ”
เขามิได้หันไปมองด้วยซ้ำว่าข้างกายมีสตรีผู้หนึ่งกำลังเฝ้ามองเขาด้วยความหวัง
เขายืนอยู่ท่ามกลางเหล่าขุนนางและราชวงศ์ แต่เพียงแค่ปรายตามอง ทุกคนก็สัมผัสได้ถึงความเย็นชาที่แผ่ออกมาจากร่างของเขา
“ข้าต้องแต่งงานกับสตรีที่ข้าไม่ได้เลือก เรื่องเช่นนี้ช่างน่าขันนัก”
ใต้ผ้าคลุมหน้า ไป๋ลี่เยว่รับรู้และได้ยินทุกคำพูด แต่หัวใจของนางยังคงหนักแน่น ตั้งแต่ก้าวเข้ามาในท้องพระโรงนี้ ทุกสายตาที่จับจ้องมาที่นางล้วนเต็มไปด้วยการดูถูก
“ข้าไม่คู่ควรหรือ”
“ข้าอาจมิใช่เจ้าสาวที่ผู้คนคาดหวัง”
“แต่ข้าก็เป็นพระชายาของเขา และไม่ว่าใครจะพูดเช่นไร ข้าก็จะทำหน้าที่ของข้าให้ดีที่สุด”
“แม้ข้าจะมิใช่หญิงที่งดงามที่สุด แต่ข้าก็จะทำให้เขามองข้าให้ได้”
หัวใจของนางยังคงมีความหวัง แม้เขาจะเย็นชา แม้ผู้คนจะดูถูก แต่นางเชื่อว่าหากนางตั้งใจ เขาจะยอมรับนางเข้าสักวัน
ไป๋ลี่เยว่ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น สบตากับองค์ชายสามเพียงชั่วครู่ แต่เขากลับมิแม้แต่จะปรายตามองนาง
และพิธีสมรสพระราชทาน ก็ยังคงดำเนินต่อไป ท่ามกลางเสียงกระซิบกระซาบที่ไม่เคยหยุดลง จนกระทั่งเสียงบรรเลงขลุ่ยและพิณดังขึ้น ก้องไปทั่วพระราชวัง
“คารวะฟ้าดิน”
ไป๋ลี่เยว่คุกเข่าลงทำพิธีอย่างศรัทธา หวังว่าวันนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตคู่ที่ดี ทว่าข้างกายนาง องค์ชายสามกลับทำตามพิธีอย่างไร้หัวใจ
“คารวะบรรพบุรุษ” นางก้มศีรษะ เสียงหัวเราะเยาะรอบข้างดังขึ้น เพราะนางก้มได้เพียงเล็กน้อยจากอุปสรรครูปร่างของนาง แต่นางก็มิได้หวั่นไหว
“สามีภรรยาคารวะกัน”
ไป๋ลี่เยว่เงยหน้าขึ้น มุมปากประดับรอยยิ้มบางๆ นางมีเพียงความสุข แต่เมื่อสบตากับองค์ชายสาม นางกลับพบเพียงความเย็นชาไร้ความรู้สึกของบุรุษตรงหน้า
สิ่งที่สะท้อนอยู่ในดวงตาของเขามิใช่เพียงความเมินเฉย แต่เป็นความรังเกียจที่เด่นชัด
“…”
“ข้าทนแตะต้องนางมิได้จริงๆ”
“นี่คือผู้หญิงที่ข้าต้องแต่งงานด้วยอย่างนั้นหรือ”
แม้เขาจะมิได้พูดออกมา แต่นางก็อ่านออกได้จากสายตาของเขา
“องค์ชายสามรังเกียจนางถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
“หึ เป็นข้า ก็คงรับมิได้เช่นกัน”
เสียงกระซิบดังขึ้นอีกครั้ง แต่มันไม่สำคัญอีกต่อไป
ในขณะที่ไป๋ลี่เยว่ยินดี บุรุษที่นางรักสุดหัวใจกลับไม่มีแม้เศษเสี้ยวของความสุข เขาเพียงปรายตามองนางอย่างเย็นชา
“นางเป็นเพียงภาระ เป็นเพียงสตรีที่ข้าถูกบังคับให้แต่งด้วยเท่านั้น”
“วันนี้เป็นวันมงคล” ฮ่องเต้ตรัสขึ้นด้วยน้ำเสียงเปี่ยมด้วยพระเมตตา
“ข้าหวังว่าเจ้าทั้งสองจะครองคู่กันอย่างมีความสุข และร่วมกันดูแลแผ่นดินนี้ต่อไป”
“หลงเจิ้งหยาง เจ้าต้องปกป้องและดูแลพระชายาของเจ้าให้ดี”
หลงเจิ้งหยางคุกเข่าลงอย่างสง่างาม แม้ภายในใจจะมิได้ยินดี แต่เขาก็ไม่อาจขัดรับสั่งได้
“พ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อ”
ไป๋ลี่เยว่คุกเข่าลงตาม นางยิ้มอ่อนโยน ดวงตาส่องประกายแห่งความสุข
“หม่อมฉันจะดูแลพระสวามีอย่างดีที่สุดเพคะ”
“ดีมาก”
ฮองเฮาทรงยิ้มอ่อนโยน พระนางทอดพระเนตรไปยังไป๋ลี่เยว่ ด้วยสายพระเนตรที่เต็มไปด้วยความเอ็นดู
“ไป๋ลี่เยว่ ตั้งแต่เล็กจนโตเจ้าก็เป็นเด็กดีและเฉลียวฉลาด บัดนี้ เจ้าได้กลายเป็นพระชายาแล้ว ข้าหวังว่าเจ้าจะมีความสุขและนำพาสิ่งดีๆ มาสู่องค์ชายสาม”
ไป๋ลี่เยว่ก้มศีรษะ ซ่อนรอยยิ้มแห่งความปลาบปลื้มเอาไว้
“ขอบพระทัยเพคะ เสด็จแม่”
หอพระโรงชุมนุมขุนนาง – รุ่งเช้าหลังหิมะตกหนักหิมะบางยังเกาะตามชายอาภรณ์ของขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่ทยอยเข้าสู่หอชุมนุมอย่างเคร่งขรึม เสียงรองเท้าหนังสัตว์กระทบบนพื้นศิลาหินก้องสะท้อนภายใต้เพดานสูง เสาหินแกะลวดลายมังกรโบราณเงียบงัน ทว่าเหมือนจ้องมองมนุษย์อย่างลึกลับจากเบื้องบนฮ่องเต้ประทับเหนือบัลลังก์มังกรในฉลองพระองค์คลุมขนจิ้งจอกสีดำ สายพระเนตรทอดนิ่งราวหยั่งจิต ขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและบู๊ที่ทยอยค้อมกายถวายบังคมอย่างพร้อมเพรียงเสียงขันทีหลวงประกาศราชกิจขึ้นอย่างกังวาน“ขอถวายรายนามราชทูตแคว้นต้าเหยียน จะเดินทางถึงเมืองหลวงภายในห้าวัน ขอฝ่าบาททรงพระเมตตาแต่งตั้งผู้รับรองทูตเพื่อเป็นตัวแทนพระองค์โดยด่วนพ่ะย่ะค่ะ”สิ้นเสียงขันทีประกาศสงบลงบรรยากาศยังเงียบขรึม ขุนนางผู้หนึ่งก้าวออกจากแถวมาคำนับ และกล่าวทูลเสียงดังขึ้นแทบจะทันที“กระหม่อม เวินซื่อเจี้ยน เสนาบดีฝ่ายธรรมบัญญัติ ขอเสนอให้องค์ชายสอง หลงเหวินหยาง ทรงเป็นผู้รับหน้าที่เจรจาครานี้พ่ะย่ะค่ะ เพราะองค์ชายสองเหมาะสมที่สุด พระองค์ทรงเปี่ยมวาทศิลป์ เป็นผู้มีความสามารถศาสตร์ด้านการเจรจา เข้าใจระเบียบธรรมเนียมการทูตมากกว่าผู้ใด และเป็นผู้มีค
เรือนรองในตำหนักชิงอวิ๋น ยามสายของยามเฉิน หิมะบางเบาโปรยปรายลงบนยอดไม้ด้านนอก ต้นเหมยใต้เฉลียงยังคงผลิบานพลิ้วไหวท้าลมหนาวอย่างสง่างาม กลีบดอกสีแดงชาดแต้มอยู่กลางสีขาวโพลนของหิมะบริสุทธิ์งดงามราวภาพวาด ม่านบางพลิ้วไหวกระพือเบาตามลม กลิ่นชาอู่หลงหอมกรุ่นลอยอวลเจืออยู่ในอากาศ อบอุ่นเพียงพอจะกลบความหนาวเย็นของยามเช้าได้อย่างอ่อนโยน หงเหมยรินถวายถ้วยชา ก่อนจะก้มตัวถอยออกไปเงียบงัน อย่างรู้หน้าที่ปล่อยให้ความสงบกลับคืนสู่เรือนรอง ภายในห้องเหลือเพียง ฮองเฮาที่ประทับนั่งอยู่ด้านหน้าในอาภรณ์ขนจิ้งจอกสีเงินอ่อน แววตาแน่นิ่งแต่เปี่ยมด้วยความคิดลึกซึ้ง ขณะเดียวกัน ไป๋ลี่เยว่นั่งที่ตั่งเล็กอย่างนอบน้อมและสำรวมด้วยความเคารพ ทั้งคู่เผชิญหน้ากันด้วยรอยยิ้มละมุน แววตาทั้งสองประสานกันอย่างสงบ แต่ลึกซึ้งคล้ายอาวุธที่ซ่อนปลายไว้ในปลอกไหม“เจิ้งหยางพาจิ่นอวิ๋นไปดูลูกม้าตัวใหม่ในคอกแล้ว… เด็กน้อยคงวิ่งตามหลังบิดาจนหิมะเกาะชายอาภรณ์หมดแล้วเป็นแน่… น่าเอ็นดูเสียจริง” เสียงหัวเราะเบา ๆ ของฮองเฮาเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบ“ข้าจึงถือโอกาสนี้…พูดในสิ่งที่ควรพูดเสียที” ฮองเฮาเอ่ยเสียงนุ่มแต่ แววตาส่งมาที่ไป๋ลี่
“องค์ชายน้อย…โปรดใจเย็นเถิดพ่ะย่ะค่ะ”ภายนอกห้องบรรทม แสงอรุณแรกยังมิทันแตะปลายยอดหลิว เสียงเล็กแหลมขององค์ชายตัวน้อยกลับดังก้องกับเสียงซูเหวินองครักษ์คนสนิท ที่ยังคงยืนสงบเสงี่ยมเบื้องหน้าประตูใหญ่ แม้นใบหน้าจะไม่ไหวติง ทว่าเสียงที่เปล่งออกกลับอบอุ่นมั่นคง มือทั้งสองพยายามใช้กันร่างเล็กที่พยายามเบียดเข้าไปอย่างมุ่งมั่น“ไม่! ... ข้าจะเข้าไปเดี๋ยวนี้ ซูเหวินเจ้าพูดไม่รู้เรื่อง เปิดประตูให้ข้าเดี๋ยวนี้ ข้าจะเข้าไปดูน้องของข้า หวงไหน่ไหน่บอกว่า...หากเมื่อคืนข้านอนกับหวงไหน่ไหน่ ท่านพ่อกับท่านแม่จะทำน้องให้ข้า”ภายในห้องบรรทม กลิ่นหอมอ่อนของกำยานจันทน์ยังคงคลุ้งอบอวลจางๆ ร่างสองร่างที่แนบชิดใต้ผ้าห่มสีอ่อนบนเตียงขยับไหวเล็กน้อยไป๋ลี่เยว่ค่อยๆ ลืมตาขึ้นด้วยความอ่อนเพลีย นางรู้สึกเหมือนตัวเองแทบไม่มีแรงจะลุกจากเตียง หากคนที่เป็นต้นเหตุของเรื่องนี้… กำลังนอนหลับอย่างสบายใจอยู่ข้างๆ ร่างบางของนางผวาน้อย ๆ กับเสียงด้านนอก ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อได้ยินชัดเจนขึ้น นางพยายามขยับตัว แต่แรงอ่อนราวไม่มีแม้กระดูก ร่างกายยังอ่อนระโหยจากบทรักอันยาวนาน วงแขนแกร่งของหลงเจิ้งหยางยังโอบรัดเอวคอดไว้แน่นไม่ย
แสงเหมาสือชูทาบผ่านม่านแพรสีชมพูอ่อน กลิ่นกำยานไม้กฤษณาจากเตาเล็กผสมกับน้ำมันจันทน์จากเส้นผมที่ฟูกระจายบนหมอนผ้าไหมไป๋ลี่เยว่ลืมตาช้า ๆ ด้วยความรู้สึกถึงอ้อมแขนอุ่นที่โอบแนบแผ่นหลังนางไว้แน่น…เอวคอดของนางถูกวงแขนอันแข็งแรงโอบไว้อย่างแนบชิด เสียงหายใจสม่ำเสมอของบุรุษผู้อยู่ด้านหลังดังแผ่วมาที่ข้างหู ขณะที่ถันอวบถูกมือหนาของเขากุมไว้ราวหวงแหนนัก สองร่างเปลือยเปล่านอนหลับร่วมกันอยู่ใต้ผ้าห่มขนห่านปักลายหงส์คู่ไป๋ลี่เยว่เอื้อมมือจับอุ้งมือหนาที่กอบกุมเต้านางออก แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล เจ้าของมือดูเหมือนรำคาญที่โดนกวน มือนั้นกลับยิ่งลูบไล้บีบเคล้นทรวงอวบหนักขึ้นราวไม่ตั้งใจ แต่มันสร้างความรัญจวนให้นาง ทันใดนั้นก็รู้สึกถึงความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นบริเวณประตูหยิน...“อ๋ายย…” นางเผลอส่งเสียงเล็กๆ เมื่อสัมผัสถึงเครื่องเพศบุรุษอันอุดมที่ยังไม่ยอมลดราวี ที่ตอนแรกนอนสงบนิ่งถึงแม้จะเสียบสอดอยู่ในถ้ำนาง บัดนี้เริ่มแข็งและพองตัวขึ้นร่างหนาที่ซ้อนอยู่ด้านหลัง รู้สึกตัวตื่นเมื่อคนในอ้อมกอดขยับตัว ทว่าเขายังแสร้งหลับต่อ รอดูว่านางจะทำเช่นไรต่อ เขาเพิ่งจะปล่อยให้นางได้นอนพักเมื่อตอนปลายห้าเพ็ง เขาแส
“อ้าาา ซี๊ดดด มะ...หม่อมฉันเจ็บ องค์ชาย อ๋ายยย ท่านเบาก่อน” “ประตูหยินของเจ้า รัดข้าแน่นดีเหลือเกิน อ๊าาาา เยว่เอ๋อร์ เจ้าค่อยยังชั่วบ้างหรือยัง ก่อนที่ข้าจะทนแรงบีบรัดของเจ้าไม่ไหว” แม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่อดทนต่อคมดาบมามาก แต่กลับแทบทนไม่ได้ต่อแรงบีบรัดที่ได้รับจากพระชายา ก่อนที่เขาจะได้ขายหน้า ใบหน้าสวยของพระชายาก็พยักหน้าเชิงอนุญาต หลังจากใช้เวลาปรับตัวกับความคับแน่น ไม่นานก็สามารถปรับลมหายใจเข้าออกได้ เขาเริ่มเคลื่อนสะโพกช้าๆ ก่อนจะเพิ่มความเร็วขึ้นด้วยความกระหาย จนร่างกายของทั้งสองสั่นคลอนเป็นจังหวะ มือเรียวของนางยื่นไปรั้งลำคอแกร่ง สายตาเว้าวอนให้เขามอบจูบให้ ตลอดเวลาที่ทั้งสองมอบความสุขให้กับริมฝีปากของพวกเขาประกบกันแน่นไม่เว้นห่าง พร้อมกับที่สะโพกนางยกร่อนตอบรับการกระแทกลำเอ็นของเขาด้วยความกระสัน ไม่ต่างจากบุรุษตรงหน้า อื้อออ จ๊วบ จ๊วบ จ๊วบ ตั่บ ตั่บ ตั่บ ตั่บ ตั่บ ตั่บ ตั่บ ตั่บ เสียงเนื้อกระทบเนื้อยามร่างแนบกัน ทำให้สติของทั้งสองพร่าเลือนในวังวนของเพลิงรัก “ไม่ไหวแล้ว เยว่เอ๋อร์... ข้าจะทนไม่ไหวอีกแล้ว...ข้าต้องการพ่นพิษใส่เจ้าแล้ว อ๊าาา” ร่างหนาจะกระแทก
“เยว่เอ๋อร์ คืนนี้เจ้าจะไม่ได้นอน ข้าจะมอบจูบให้เจ้าทั้งคืน”พูดจบ ใบหน้าคมเคลื่อนเข้ามาหานางอย่างไม่ลังเล ริมฝีปากของทั้งสองประกบกันนิ่งไม่ขยับ ก่อนที่หลงเจิ้งหยางจะกระชับมือตัวเองประคองศีรษะนางไว้ ริมฝีปากหยักบดริมฝีปากอวบอิ่มของนางอย่างดุดันด้วยฤทธิ์ยาและฤทธิ์เสน่หา ไป๋ลี่เยว่ก็ตอบรับด้วยการเผยอปาก รับเอาลิ้นร้อนที่เต็มไปด้วยความกระหายเข้ามาในโพรงปาก ทั้งสองมอบจูบดื่มด่ำดูดดื่มเต็มไปด้วยความกระหายให้แก่กัน ใบหน้าหวานผละออกมาจ้องใบหน้าคมที่ห่างเพียงฝ่ามือ“องค์ชาย หม่อมฉันอยากได้มากกว่าจูบ ที่ท่านมอบให้ได้หรือไม่” เขาจ้องใบหน้างามและเหลือบมองด้วยสายตาตกตะลึงพร้อมกับพยายามกวาดมองเพื่อจะหาท่าทางล้อเล่น แต่ก็ไม่ว่าจะมองอย่างไรเค้าก็ไม่พบท่าทางเหล่านั้นในดวงตาของนางเลย“นี่จะ…เจ้าพูดจริง หรือเพียงเพราะชาถ้วยเดียวของฮองเฮา”“ไม่ใช่เพราะชา... แต่เพราะท่าน” นางเอ่ยเบา ราวจะกล่าวโทษเขาทั้งที่ใจรู้สึกวูบหวามหลงเจิ้งหยางเลื่อนใบหน้าลงซบไหล่บาง กดจูบแผ่วเบาที่ซอกคอพลางกระซิบเสียงสั่นข้างหู “เยว่เอ๋อร์... คืนนี้ หากเจ้าห้าม ข้าจะหยุด” คำพูดนั้นแฝงไว้ด้วยความเคารพการตัดสินใจ แต่ร่างกายของเข
ความคิดเห็น