เธอคือสายลับยอดฝีมือที่ถูกยมทูตพาวิญญาณไปผิดคน เพื่อชดเชยความผิดพลาด พวกเขามอบโอกาสให้เธอกลับไป… แต่ดันไม่ใช่ร่างเดิม!
더 보기ความเงียบแปลกประหลาดโรยตัวลงมา มันเป็นความเงียบที่ฉันไม่เคยสัมผัสมาก่อน...เงียบจนฉันไม่ได้ยินแม้แต่เสียงหัวใจเต้นของตัวเอง
ฉันจำได้ว่า... ภารกิจครั้งนี้ควรจะเป็นแค่การล่าพ่อค้าอาวุธเถื่อน เป็นอีกหนึ่งภารกิจที่เสี่ยงตายตามปกติของฉันและทีม ฉันเคยผ่านการปะทะที่อันตรายกว่านี้มานับไม่ถ้วน เคยโดนยิงเฉียดหัว เฉียดหัวใจมาแล้วแต่ก็รอดทุกครั้ง
แต่ครั้งนี้… ฉันไม่แน่ใจว่าตัวเองรอดไหม
เสียงปืนยังดังก้องอยู่ในหู ฉันจำได้ว่ากระสุนพุ่งตรงมาที่ฉัน มันแหวกอากาศมาก่อนที่ฉันจะทันได้ขยับตัวเสียอีก ความร้อนแล่นผ่านผิวหนัง พร้อมกับแรงปะทะที่ทำให้ร่างทั้งร่างกระเด็นก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบลง
แล้วฉันก็ตื่นขึ้นมา… ที่ไหนสักแห่ง
ที่นี่เงียบจนน่าขนลุก ทุกอย่างเป็นสีขาวโพลน แต่ไม่ใช่แสงสว่างของโรงพยาบาล หรือห้องทดลองที่ฉันเคยเจอ แต่เป็นแสงที่ดูเหมือนจะมาจากทุกทิศทาง ราวกับไม่มีต้นกำเนิดของมัน
“อลิสา...อายุ 28 ปี เสียชีวิตจากบาดแผลกระสุนปืน ถูกต้อง…หืม?” เสียงเย็นๆจากชายคนหนึ่งในชุดผ้าคลุมสีดำดึงฉันให้หันไปมอง เขามีใบหน้าขาวซีด ดวงตาไร้อารมณ บรรยากาศรอบข้างเต็มไปด้วยหมอกบาง ๆ ชายคนนั้นยกกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมาดู พึมพำกับตัวเองเบา ๆ
ฉันชะงัก เสียชีวิต?
ฉันก้มลงมองตัวเอง อ้าปากพะงาบ ๆ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองชายคนเดิมที่ยืนอยู่ตรงหน้า หมายความว่า ฉันตายแล้วจริง ๆ งั้นเหรอ? ฉันในวัย 28 ปี ยังไม่เคยมีแฟน ไม่เคยมีชีวิตของตัวเองจริงๆด้วยซ้ำ ต้องจากไปอย่างน่าอนาถแบบนี้เหรอเนี่ย
“ตามข้ามา” ชายคนนั้นกล่าวอีกครั้ง ฉันที่ไม่รู้จะทำยังไง ได้แต่จำใจเดินตามเขาไป นี่เรากำลังเดินไปปรโลกกันสินะ
ไหนๆฉันก็ตายแล้ว ขอเล่าประวัติของตัวเองหน่อยแล้วกัน ฉันเติบโตมาในสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า ชีวิตไม่ได้มีอะไรหวือหวา จนกระทั่งวันหนึ่งตอนอายุ 10 ขวบ ฉันซัดเด็กอันธพาลรุ่นพี่จนหมอบ หลังจากพวกมันพยายามขโมยข้าวของของเด็กที่อ่อนแอกว่า เรื่องนี้ไปเข้าตาหัวหน้าหน่วยพิเศษลับ ซึ่งบังเอิญมาเยี่ยมสถานรับเลี้ยงในวันนั้น คนที่ฉันเรียกว่า ‘พ่อ’ ในเวลาต่อมา
พ่อคงเห็นแววของฉัน
วันนั้น เขายื่นข้อเสนอให้ฉัน "อยากมีชีวิตที่ดีกว่านี้ไหม?"
เด็กหญิงอลิสายังไม่รู้ว่าการตอบตกลงในวันนั้นจะเปลี่ยนทั้งชีวิตของฉันไปตลอดกาล
ฉันไม่ได้เติบโตมาในแบบที่เด็กคนทั่วไปควรจะเป็น
ไม่มีโรงเรียนรัฐบาลหรือเอกชน ไม่มีเพื่อนร่วมห้อง ไม่มีการวิ่งเล่นในสนาม ตั้งแต่จำความได้ ชีวิตของฉันก็ถูกกำหนดไว้แล้ว ว่าต้องถูกฝึกให้เป็น "อาวุธ"เมื่ออายุถึงเกณฑ์ที่เด็กปกติอาจเริ่มฝึกเปียโนหรือเรียนพิเศษภาษาอังกฤษ ฉันกลับถูกส่งเข้าหลักสูตรฝึกสายลับ
ทุกวันคือการฝึกทั้งร่างกายและจิตใจอย่างเข้มงวด ฉันต้องตื่นก่อนฟ้าโผล่ ทำสมาธิ ควบคุมลมหายใจ ฝึกความอึด และตามมาด้วยตารางฝึกศิลปะการต่อสู้ทุกรูปแบบ ตั้งแต่มวยไทย ยูโด ไอกิโด ไปจนถึงการใช้อาวุธมีดและปืน ฉันถูกสอนยุทธวิธีทางทหาร การวิเคราะห์สถานการณ์แบบฉับไว การเอาตัวรอดในสถานการณ์วิกฤต แม้กระทั่งเรื่องที่ดูเล็กน้อยที่สุด อย่างการอ่านริมฝีปาก หรือแยกแยะพิษในของกิน... ทุกสิ่งล้วนถูกออกแบบให้ฉัน “อยู่รอด” และ “ล่องหน” ได้ในทุกสถานการณ์แต่ถึงอย่างนั้น...
ชีวิตของฉันก็ไม่ได้ขาดทุกอย่างไปเสียทีเดียวฉันมีห้องนอนของตัวเองในบ้านหลังใหญ่ อบอุ่น สะอาดสะอ้าน ข้าวของเครื่องใช้ที่ฉันได้ใช้ล้วนเป็นของดีที่สุดในรุ่น
ของเล่นที่เด็กคนอื่นได้อ้อนขอ ฉันแค่คิด...ก็มีคนจัดมาให้แล้ว หนังสือนิทาน หนังสือเรียน ภาพยนตร์ เสียงดนตรีคลาสสิก ทุกอย่างล้วนถูกจัดวางไว้ในปริมาณพอเหมาะ เพื่อรักษา “ความเป็นมนุษย์” เอาไว้นั่นแหละ...
ฉันไม่ได้ถูกเลี้ยงมาเป็น “เด็ก” แต่ถูกปั้นมาให้เป็น “เครื่องมือ”พ่อเลี้ยงฉันมาแบบนั้น ไม่เคยพูดคำหวาน ไม่มีคำปลอบใจ มีแต่วินัย ความเข้มงวด และคำสอนที่ว่า
"เราเกิดมาเพื่อปกป้อง ไม่ใช่เพื่อใช้ชีวิตตามใจตัวเอง"
แม้ลึกๆฉันจะโหยหาความอิสระเหมือนคนธรรมดา แต่ก็รู้ว่าตัวเองไม่มีทางเลือกอื่น
เมื่ออายุครบ 18 ฉันก็เข้าสู่สนามรบจริง ได้รับภารกิจแรก และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของ "หมาป่าเงา" โค้ดเนมของฉันในหน่วย
ฉันไต่ระดับขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ด้วยฝีมือที่เก่งกว่าคนที่ฝึกมาหลายปี ใจเด็ด กล้าหาญและเยือกเย็น ทุกคนในหน่วยรู้ว่า "ถ้าหมาป่าเงาอยู่ตรงนั้น พวกเขาจะรอด" และนั่นทำให้พ่อภูมิใจมาก
ในวัย 27 ฉันกลายเป็นหัวหน้าทีมจู่โจมของหน่วย พาทีมบุกโจมตีเป้าหมายสำคัญหลายครั้ง ไม่มีพลาด ไม่มีลังเล
แต่แม้จะเป็นนักรบที่เก่งกาจแค่ไหน ฉันก็ยังเป็นแค่คนธรรมดา
ในค่ำคืนหนึ่ง หลังจบภารกิจ ฉันเคยยืนมองท้องฟ้าแล้วพูดกับตัวเองว่า
"ถ้าเลือกได้ ฉันก็อยากมีชีวิตธรรมดาเหมือนคนอื่นนะ..."
แต่ฉันยังไม่ทันมีชีวิตที่ว่านั่นเลย
ฉันโดนยิงตายโดยพ่อค้าอาวุธเถื่อน
บทจะจบ ก็จบง่าย ๆ แบบนี้
ฉันเดินตามชายในชุดผ้าคลุมดำ เขาน่าจะเป็นยมทูตนะ ฉันเดินตามยมทูตไปเรื่อย ๆ โดยที่รอบ ๆ มีแต่ความว่างเปล่าและไอหมอกบาง ๆ ไม่รู้วัน ไม่รู้เวลา ไม่รู้ว่าพวกเราเดินมาไกลแค่ไหน
จนกระทั่งพวกเรามาหยุดที่หน้าโต๊ะสีน้ำตาลแดงขนาดใหญ่ มันเป็นโต๊ะที่อยู่สูงกว่าฉัน คล้าย ๆ กับที่นั่งผู้พิพากษา แต่มีแค่ที่นั่งเดียว และที่นั่งนั้นมีชายในชุดคลุมสีดำเหมือนกับยมทูตที่พาฉันมา ทว่าลวดลายของผ้าดูวิจิตรมากกว่า เขาอาจจะเป็นระดับหัวหน้ายมทูต
ยมทูตที่พาฉันมาเดินขึ้นไปยังที่นั่งของหัวหน้าของเขาก่อนจะยื่นแฟ้มหนังสีดำให้ หัวหน้าของเขารับแฟ้มไปและตรวจตราข้อมูล เวลาผ่านไปสักพัก สีหน้าของทั้งสองเริ่มซีดเผือดขึ้นจากที่ซีดอยู่แล้ว สีหน้าของพวกเขาเหมือนเห็นปัญหาใหญ่ ดวงตาสีเทาจ้องฉันอย่างไม่เชื่อสายตา ยมทูตทั้งสองหันไปซุบซิบอะไรบางอย่างไม่ให้ฉันได้ยิน ก่อนที่ยมทูตที่เป็นลูกน้องจะก้มหัวและคุกเข่าเอาหัวกระแทกพื้นราวกับจะขอความเมตตา ฉันเริ่มรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล ก่อนที่ยมทูตตนนั้นจะลุกขึ้นและค่อย ๆ หันมาทางฉัน
"วิญญาณของเจ้าถูกนำมาด้วยข้อมูลที่คลาดเคลื่อน"
ฉันกระพริบตาปริบ ๆ “อะไรนะ?”
"หมายความว่า..." อีกเสียงหนึ่งดังขึ้น หัวหน้ายมทูตที่ยืนอยู่ข้างหลังหมอนี่ไอแห้ง ๆ ดูท่าจะรู้ว่าเรื่องมันชักจะไปกันใหญ่
"เรา… เอ่อ… พาวิญญาณของเจ้ามาผิด"
"ผิด!?" ฉันเม้มปากแน่น ความโกรธพวยพุ่งขึ้นมาทันที "ฉันตายฟรีเพราะพวกแกหยิบชื่อผิด!?"
“สามหาว! เป็นแค่มนุษย์บังอาจขึ้นเสียงกับยมทูตได้อย่างไร! อีกอย่าง เจ้านี่ยังเป็นเด็กฝึกงาน จะพลาดบ้างก็เป็นธรรมดา” หัวหน้ายมทูตตะโกนเสียงดังก่อนรีบแก้ตัว
“หนอย! นี่มันชีวิตฉันทั้งชีวิตเลยนะ! อธิบายมาเดี๋ยวนี้เลย!”
"เป็นข้อผิดพลาดทางเอกสารเล็กน้อย! รายชื่อที่ต้องตายวันนี้ดันมีคนชื่อและรูปร่างคล้ายกัน พวกเราก็เลย..."
"เล็กน้อย! พวกแก...พวกท่านบ้าไปแล้วเหรอ!?" ฉันตะคอกลั่น "แล้วจะคืนร่างฉันได้ยังไง!?"
ยมทูตฝึกงานตัวแข็งไปแวบหนึ่ง หัวหน้ายมทูตหัวเราะแห้ง ๆ ก่อนพูดเสียงเบาลง "เรื่องนั้น… ทำไม่ได้แล้ว"
ฉันเริ่มใจไม่ดี "เดี๋ยวนะ หมายความว่าไง ‘ทำไม่ได้แล้ว’?"
"คือว่า..." หัวหน้ายมทูตเกาหัว ดูไม่สมกับเป็นสิ่งมีชีวิตจากปรโลกเลยสักนิด "เวลาของที่นี่กับโลกมนุษย์เดินไม่เท่ากัน ที่นี่ผ่านมาแค่ไม่กี่นาที แต่โลกมนุษย์... มันผ่านไปแล้ว... หนึ่งเดือน"
ฉันนิ่งไป "แล้วไงต่อ?"
"ญาติของเจ้าก็จัดการเรื่องทุกอย่างไปแล้ว…"
"...จัดการเรื่องทุกอย่าง?"
"เอ่อ... เผาแล้ว"
ฉันนิ่งค้าง สมองประมวลผลช้าไปสามวินาที ก่อนจะคำรามออกมา "เผาแล้ว!?"
"...ใช่"
"เผาร่างฉันไปแล้ว!?"
"เอ่อ... ก็เผาศพไง..."
ฉันกำหมัดแน่นแทบพุ่งเข้าไปบวก ดีที่ยังมีเศษสำนึกเหลือพอจะไม่ไล่ต่อยยมทูตให้เป็นผง ฉันสูดลมหายใจเข้าลึกสุดปอดก่อนตะคอกออกไปอีกครั้ง
"แล้วจะรับผิดชอบยังไง!?"
หัวหน้ายมทูตหน้าซีดกว่าเดิม เขากระแอมอีกครั้งแล้วหยิบแฟ้มเอกสารสีดำขึ้นมาดู
"อืม... ตามกฎแล้ว เราทำอะไรไม่ได้หรอก เจ้าน่าจะต้องเร่ร่อนอยู่ประมาณ..." ฉันเตรียมอ้าปากจะด่ายมทูตที่พูดจาปัดความรับผิดชอบ
"หัวหน้า นี่มันแปลกมาก" ยมทูตฝึกงานที่พาฉันมาผิดเริ่มเปิดแฟ้มอีกเล่ม แล้วก็ขมวดคิ้วแปลก ๆ
"อะไร?"
"ดูประวัติของนางสิ" เขาพลิกเอกสารมาให้หัวหน้าอ่าน "ดวงแข็งมาก เฉียดตายเป็นสิบ ๆ ครั้งแต่ก็ไม่เคยตาย"
"หา?" หัวหน้ายมทูตเลิกคิ้ว "แบบนี้ต้องเช็คว่าใครเป็นผู้ดูแลดวงชะตาของนาง"
เหล่ายมทูตไม่ได้สนใจฉันอีกต่อไป พวกเขากวาดนิ้วไปบนแฟ้มเอกสาร เหมือนกำลังค้นหาข้อมูลอะไรบางอย่าง แล้วจู่ ๆ ยมทูตฝึกงานก็นิ่งไป
หัวหน้ายมทูตที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ชะโงกหน้ามาดูด้วย แล้วก็นิ่งไปเหมือนกัน สีหน้าของทั้งคู่เปลี่ยนจากตกใจเป็นช็อกสุดขีด ก่อนที่สีหน้าจะซีดเผือดราวกับเพิ่งรู้ว่าเผลอล่วงเกินใครสักคนที่ไม่ควรแตะต้อง
"...เฮ้ย"
ฉันมองสลับกันไปมาระหว่างยมทูตสองตน "อะไร? มีอะไร?"
พวกเขาหันมามองหน้าฉันพร้อมกัน ฉันสังเกตเห็นเหงื่อซึมที่ขมับของหัวหน้ายมทูต เดี๋ยวนะ? ยมทูตมีเหงื่อออกได้ด้วยเหรอ?
"เอ่อ..." หัวหน้ายมทูตทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็กลืนน้ำลายลงคอแล้วหันไปพูดกับลูกน้องตัวเอง
"เราต้องชดเชยให้นางอย่างดีที่สุด เข้าใจไหม? ถ้าท่านรู้ละก็พวกเราได้ตายอีกรอบแน่"
"เข้าใจครับหัวหน้า"
"ดี งั้นย้ายเธอเข้าร่างใหม่เดี๋ยวนี้"
"เดี๋ยว ๆ! ร่างใหม่อะไร!? ฉันเลือกได้ไหมว่าฉันจะไปอยู่ในร่างใคร?"
"...ไม่"
"ไอ้พวก—!"
ไม่ทันแล้ว ฉันรู้สึกถึงแรงดึงดูดมหาศาลพุ่งเข้าหาตัว แสงสว่างสีขาวโพลนกลืนกินทุกสิ่ง ฉันยังอ้าปากค้างกับความไร้ความรับผิดชอบของยมทูตพวกนี้อยู่เลย แต่พริบตาต่อมา ฉันก็รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังร่วงดิ่ง ก่อนที่ร่างกายจะถูกดูดด้วยแรงมหาศาลที่มองไม่เห็น
ผ่านไปหลายชั่วโมง ฉันยื่นแฟ้มงานที่ตรวจสอบเรียบร้อยให้กับชายหนุ่มที่นั่งอยู่หลังโต๊ะทำงาน“เสร็จแล้วค่ะ”ภูริเงยหน้าขึ้นจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ ก่อนจะรับแฟ้มจากมือฉันไปเปิดดูทีละหน้า ฉันยืนรออย่างเกร็ง ๆ แม้จะมั่นใจว่าเช็กทุกอย่างอย่างละเอียดแล้ว แต่เมื่อเขาเป็นคนตรวจ…ฉันก็อดประหม่าไม่ได้ เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง เขาปิดแฟ้มลงและพยักหน้าเบา ๆ“เรียบร้อยดีครับ ถูกต้องหมด”แค่ประโยคสั้น ๆ ก็ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนได้ถอนหายใจลึก ๆ เป็นครั้งแรกของวัน“ตั้งแต่พรุ่งนี้ คุณไปเรียนรู้ระบบงานกับแต่ละแผนกครับ”ภูริพูดเรียบ ๆ ระหว่างส่งแฟ้มงานให้ฉัน“ให้ครบทุกแผนก ฝ่ายละหนึ่งวัน จะได้เห็นภาพรวมว่าบริษัททำงานยังไง ตั้งแต่ระดับปฏิบัติการจนถึงการตัดสินใจระดับบริหาร”ฉันรับคำโดยไม่ลังเล ไม่ใช่เพราะกลัว...แต่เพราะรู้อยู่เต็มอกว่านี่คือโอกาสทอง ที่จะได้เก็บเกี่ยวให้มากที่สุดหนึ่งสัปดาห์ต่อมา ฉันวนไปเรียนรู้งานกับทุกแผนกจริง ๆ ทั้งบัญชี การตลาด บุคคล ฝ่ายก่อสร้าง ฝ่ายจัดซื้อ และแม้กระทั่งทีมคอล เซ็นเตอร์ ที่ต้องรับมือกับลูกค้าทุกระดับ จดทุกอย่างลงสม
เช้าวันจันทร์ ฉันมายืนรอที่ล็อบบี้ของตึกสำนักงานสูงระฟ้าซึ่งมีโลโก้ของบริษัท TP พรอพเพอร์ตี้ ชื่อดังติดเด่นเป็นสง่าบริษัทหลักที่ภูริดูแลอยู่ นี่มันห่างไกลจาก ‘โรงสี’ ของบ้านฉันเกินไปหรือเปล่านะ? ฉันคิดในใจอย่างเหนื่อยใจนิด ๆอสังหา...มันจะไปเกี่ยวอะไรกับข้าวสารในกระสอบที่เราขายกันได้ล่ะ?แต่ก็นั่นแหละ โอกาสในการได้เรียนรู้จากคนเก่งอย่างภูริ...มันไม่ได้มีมาง่าย ๆ ฉันไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ และเอาเข้าจริง...ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าคนอย่างเขาบริหารบริษัทระดับนี้ได้ยังไงเสียงประตูลิฟต์ดังขึ้นพร้อมกับชายหนุ่มในสูทเทาเข้มก้าวออกมาด้วยท่วงท่าสงบ เยือกเย็น และดูดีจนสาว ๆ แถวนั้นแทบจะหายใจไม่ทั่วท้อง“มาแต่เช้าเลยนะครับ” ภูริพูดเรียบ ๆ ขณะเดินเข้ามาใกล้ “พร้อมหรือยัง?”“พร้อมค่ะ...แต่ขออย่างหนึ่ง” ฉันรีบเอ่ยก่อนจะเดินตามเขาไป “คุณอย่าบอกใครได้ไหมคะ...เรื่องที่ฉันเป็นคู่หมั้นของคุณ”เขาหยุดเดิน มองฉันนิ่ง ๆ ไม่พูดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง“ทำไมครับ?”&
คืนนั้นฉันนอนไม่หลับ...ความคิดวนเวียนซ้ำไปซ้ำมา ทั้งภาพเหตุการณ์เมื่อวาน สีหน้าของภูริ คนร้ายที่พุ่งเข้าใส่เขา และความจริงที่ว่าศัตรูของเขา…อาจเป็นใครก็ได้และเมื่อฉันแต่งงานกับเขา…ไม่ว่าอยากหรือไม่ เราก็จะมีศัตรูคนเดียวกันโดยปริยายแค่คิดถึงสิ่งที่อาจรออยู่ข้างหน้า ก็เหมือนจะรู้สึกได้ถึงอายุขัยที่สั้นลงทีละวันแต่ตอนนี้ มีบางอย่างสำคัญกว่าให้ต้องจัดการสัญญาของคุณพิชิต…ฉันตัดสินใจเดินไปหาเขาในเช้าวันนั้น บรรยากาศในห้องทำงานของชายวัยกลางคนยังคงเงียบเชียบเหมือนเดิม เขานั่งอยู่ที่เก้าอี้ทำงานตัวเดิม ผมเริ่มแซมสีดอกเลาเป็นการบ่งบอกว่าอายุของเขาเพิ่มมากขึ้นแล้ว“ดิฉันอยากพูดเรื่องที่คุณรับปากไว้ค่ะ เรื่องการเปิดตัวในฐานะผู้บริหาร และฐานะลูกสาว”เขาเงยหน้าขึ้นจากเอกสารช้าๆ สีหน้าไม่แสดงอารมณ์อะไร“หึ...ดูรีบร้อนเสียจริงนะ”“ดิฉันทำหน้าที่ของดิฉันแล้วค่ะ” ฉันตอบกลับด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ “หรือคุณชายจะเปลี่ยนใจ?”คุณพิชิตมอ
เสียงฝีเท้าเร่งรีบดังขึ้นท่ามกลางความโกลาหลของเหตุการณ์เมื่อครู่ ฉันหันกลับไปทันทีที่เห็นร่างของอาทิตย์เดินตรงมา พร้อมถุงกระดาษอาร์ตทอยในมือ “วี! เกิดอะไรขึ้นน่ะ?” เขาถาม สีหน้าเต็มไปด้วยความตกใจ “มีอุบัติเหตุน่ะ กล่องอะไรสักอย่างตกลงมา” ฉันตอบพลางชี้ไปยังพื้นที่ที่เจ้าหน้าที่กำลังเก็บกวาด เขาขมวดคิ้วก่อนจะหันไปมองชายข้างกายฉันที่ยังยืนมองอยู่ใกล้ ๆ ด้วยท่าทางนิ่งขรึม “ไม่ทราบว่าคุณคือ...?” ภูริถามฉันด้วยเสียงเรียบ แต่ดวงตาคมจับจ้องอาทิตย์อย่างไม่ละสายตา “อ้อ…คุณภูริ นี่อาทิตย์ค่ะ” ฉันตอบพลางชี้แนะนำกลับไปอีกฝั่ง “อาทิตย์ นี่คุณภูริ” “สวัสดีครับ ผมเป็นเพื่อนของวี” อาทิตย์เอ่ยก่อน ยิ้มสุภาพ ภูริยกคิ้วเล็กน้อย “ครับ…ผมเป็นคู่หมั้นของเธอ” ฉันกะพริบตาช้า ๆ สังเกตบรรยากาศรอบตัวที่ดูอึดอัดขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว อากาศเย็นในห้างก็เหมือนจะร้อนขึ้นฉับพลัน ตาสองคู่นั้นสบกันแบบนิ่ง ๆ นานเกินควร และถึงแม้จะไม่มีคำพูดหยาบ ไม่มีท่าทางก้าวร้าว แต่...ฉันสัมผัสได้ถึงแรงต้านบางอย่างที่มองไม่เห็น อาทิตย์เม้มปากแน่นเล็กน้อย ส่วนภูริก็ทำเพียงแค่ยิ้มบาง ๆ อย่างไม่ใส่ใจ ฉันถอนหายใจในใจเบ
ฉันมองลอดม่านหน้าต่างของห้องตัวเองในเช้าวันถัดมา แสงแดดอ่อนๆ ย้อมท้องฟ้าเป็นสีส้มอุ่น แต่ในใจกลับไม่ได้อบอุ่นตามเมื่อคืน... ฉันมั่นใจว่าเห็นเงาคนในมุมมืดตรงระเบียงหลังบ้าน สายตานั้นจ้องมาทางฉัน…จ้องแบบไม่ใช่แค่บังเอิญเดินผ่าน ฉันเคยผ่านการฝึกจับสังเกต เปรียบการเคลื่อนไหวได้แม่นยำเกินกว่าที่จะคิดไปเองและนั่นยิ่งทำให้ฉันมั่นใจว่าคนที่พยายามฆ่าวราลี ยังอยู่ไม่ไกลนัก บางที…อาจอยู่ในบ้านหลังนี้ก็ได้ฉันสะบัดหัวไล่ความคิดก่อนจะเริ่มต้นกิจวัตรประจำวันทุกเช้าอย่างที่เคยทำทุกวันหลังจากวิ่งและฝึกร่างกายเสร็จ ฉันยังไม่ทันได้จิบกาแฟคำแรกด้วยซ้ำ เสียงตะโกนแหลมของป้าแป้นก็ดังขึ้นจากหน้าบ้าน“หนูวีเอ้ย! ลงมานี่หน่อยสิ ไปซื้อของให้ป้าหน่อย!”ฉันวางแก้วลงอย่างจำยอม เดินมาหาป้าแป้นท่าทางเรียบเฉย ไม่แสดงความหงุดหงิดแม้ในใจจะอยากกรอกกาแฟลงคอรวดเดียวแล้ววิ่งหนีออกจากบ้านไปให้รู้แล้วรู้รอด“วันนี้ไปตลาดให้ป้าทีนะ ยังเจ็บขาอยู่เลยเนี่ย รายการอยู่ในกระดาษนี่ ส่วนคุณหนูพลอยไพลินเธอฝากซื้อของที่ห้าง ตามที่เขียนในใบนี้เลย อย่าลืมเอาใบเสร็จมาด้วยล่ะ” ป้าแป้นยื่นกระดาษโน้ต กับเงินปึกหนึ่งใส่มือฉันโดยไม่ถามฉ
ว่ากันว่า...รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้งแต่ถ้าไม่รู้เขา...แล้วยังไม่รู้เราอีกแค่จะเสมอ...ยังยาก“เมื่อก่อนเรียกผมว่า ‘พี่ภู’ ไม่ใช่เหรอ...น้องวี?”ฉันยิ้มบาง ๆ พยายามเก็บอาการ หลังจากได้ยินคำว่า ‘น้องวี’ ที่เขาพูดออกมาราวกับรู้จักฉันดีแต่นั่นแหละ...ปัญหาคือ ฉันไม่รู้จักเขาเลยไม่เหมือนตอนที่เจอพลอยไพลิน หรือรู้เรื่องที่ตัวเองเป็นที่ปรึกษาลับให้คุณพิชิต ความทรงจำใด ๆ เกี่ยวกับชายตรงหน้ากลับว่างเปล่าเอาเถอะ…ลองแถไปก่อนละกัน“แหม...เราเองก็ไม่เจอกันตั้งหลายปี จะให้อยู่ ๆ กลับมาเรียกพี่ภู...ก็รู้สึกไม่คุ้นชินน่ะค่ะ”“อืม...ก็จริงครับ เราไม่เจอกันหลายปีจริง ๆ งั้น...วันนี้ถือ
댓글