หลังตกน้ำไปครั้งนั้น นางตื่นจากฝันหวาน เห็นธาตุแท้พวกคนเลว ทั้งยังจำอดีตชาติและมีความสามารถติดตัว มองเห็นความชอบของคนอื่นที่มีต่อนาง นาง ซูเหยา! จะไม่สร้างภาพเป็นคนดี พี่น้องรักใคร่ ครอบครัวปรองดองอีก!
View Moreหญิงสาวนางหนึ่งนั่งพิงหัวเตียงไม้สลักอันประณีต ถอนหายใจหนักหน่วงด้วยความปลงอนิจจัง ใบหน้างดงามขาวซีดไร้สีเลือด ผมยาวดำขลับแผ่สลายลงตามลำตัว ริมฝีปากบางเม้มแน่น ดวงตารีเรียวทั้งสองข้างเหม่อมองไปยังเบื้องหน้าด้วยสายตาว่างเปล่าเจือความเปล่าเปลี่ยว ในใจไม่รู้กำลังคิดอันใดอยู่
แว่วเสียงด้านนอกพลันมีเสียงเดินกดฝีเท้าตามจังหวะหนักเบาทว่ารีบเร่งก่อนจะค่อยๆ ผ่อนฝีเท้าลงเมื่อถึงหน้าประตูไม้บานหนึ่ง เสียงเคาะเบาๆ ดังขึ้นสามครั้ง เนิ่นนาน ทว่าไม่มีเสียงตอบรับใดจากด้านใน เมิ่งจูมองชามยาในมือเริ่มเย็นลงด้วยแววตาเศร้าหมอง นางลังเลอยู่นาน สุดท้ายเอ่ยเสียงเรียกหาคนอีกฟากฝั่งอย่างแผ่วเบา “คุณหนู” นับตั้งแต่คุณหนูฟื้นขึ้นมา เมิ่งจูรู้สึกราวกับคุณหนูผู้สดใส ร่าเริง เปิดเผยที่นางรู้จักกลายเป็นคนเงียบขรึมเยือกเย็น ไร้ชีวิตชีวาไม่เหมือนกาลก่อน นางยิ้มขมด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจแทนเจ้านายของตน เหตุตกน้ำครานั้นเกือบคร่าชีวิตคนงามที่เป็นดั่งพระโพธิสัตว์ในใจของนางไปเสียแล้ว นับว่าฟ้ามีตา สวรรค์คุ้มครอง จับไข้ร่วมสิบวัน หลับใหลติดต่อกันอีกสามวันสามคืน จากเหตุการณ์วันนั้นก็ผ่านมาราวๆ ครึ่งเดือน ร่างกายอ่อนแอบอบบางพักฟื้นอยู่ในเรือนทว่ายังไม่มีวี่แววจะดีขึ้น เป็นเพราะมีเรื่องที่คิดไม่ตก ในใจคุณหนูจึงหม่นหมองเช่นนั้นหรือ คุณหนูที่เป็นเช่นนี้เมิ่งจูเคยเห็นเป็นครั้งที่สอง ส่วนครั้งแรกน่ะหรือ อืม...เนิ่นนานมาแล้วจนนางเองก็จำได้ไม่ชัดแจ้ง “เข้ามาเถิด” ความคิดที่กำลังล่องลอยของเมิ่งจูวกกลับมารวมกันอีกครั้งเมื่อเสียงอ่อนระโหยโรยแรงดังแว่วออกมา นางรีบเปิดประตูก้าวเข้าไปภายในห้องที่ฟุ้งไปด้วยกลิ่นฉุนของสมุนไพร หญิงสาวใบหน้าซีดเซียวบนเตียงนอนจ้องมองผู้เข้ามาใหม่ สายตาที่เหม่อลอยเมื่อสักครู่พลันเจือรอยยิ้มบางเบาออกมา วันนี้เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งแล้ว ซูเหยามองตัวเลขสีแดงบนศีรษะของเมิ่งจู เมื่อวานขึ้นเลขหกสิบ วันนี้หยุดที่หกสิบเอ็ด นางยื่นมือเรียวออกไปรับถ้วยยาขึ้นมาดื่มอย่างรู้หน้าที่ ดื่มทั้งหมดรวดเดียว รสขมฝาดยังติดอยู่บนปลายลิ้นไม่จางหาย หากเป็นเมื่อก่อนนางคงอิดออดไม่ยอมดื่มง่ายๆ แต่หลายวันมานี้กลับทำราวกับน้ำดำเหล่านี้เป็นเพียงน้ำเปล่าที่ไร้รสชาติ ช่วงแรกๆเมิ่งจูยังยื่นน้ำตาลก้อนให้นางหลังจากดื่มยาเสร็จ ทว่านางส่ายหน้าปฏิเสธด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก ขมสิดี จะได้จำ! เตือนตัวเองไว้ อย่าให้โลกยิ้มเยาะเจ้าได้ ซูเหยา สตรีสองภพชาติอย่างนางทระนงตนมาตลอด คิดไปเองว่าตนเก่งกาจ ฉลาดกว่าใคร เห็นโลกมามาก จะใช้ชีวิตที่สองให้ดีนั้นมีอะไรยากกัน อาศัยความอวดฉลาดของนางทั้งหมดสิบหกปีเข้าร่วมแสดงละครฉากหนึ่ง ขนาดตัวนางเองยังไม่รู้เลยว่าจะได้รับเกียรติอันสูงส่งให้เป็นตัวเอกภายในเรื่อง แต่ถึงอย่างนั้นมันยังไม่น่าเศร้าเท่าไหร่นัก หากบทนักแสดงหลักฝ่ายหญิงที่นางได้รับนั้นเป็นบทนางเอก แน่นอนสตรีนามเหยา แซ่ซู อย่างนางจะโชคดีอย่างนั้นคงเป็นไปไม่ได้ นางไม่ใช่ผู้กำกับ ไม่ใช่ลูกรัก บทนางร้ายเท่านั้นแหละที่นางคู่ควร! เรื่องราวตลกขบขันทั้งหมดทั้งมวลก็เป็นเช่นนี้ พระเจ้าไหนเลยจะเมตตานางปานนั้น ชาติก่อนก็เท่านั้น ชาตินี้จะนับเป็นอะไรได้ แต่อันที่จริงให้นางมีชีวิตที่ยืนยาวมาสองชาติก็นับว่าคุ้มค่าที่สุดแล้ว ยังจะมีใครได้รับสิทธิพิเศษนี้บ้าง นางหลงคิดไปว่าชีวิตใหม่เหมาะแก่การเริ่มต้นใหม่ ดวงวิญญาณจากโลกปัจจุบันถูกส่งมาอยู่ในร่างแบเบาะของทารกในยุคโบราณที่ไม่ปรากฏในประวัติศาสตร์ของจีนหน้าไหนเลยนี้ แผ่นดินต้าเว่ยกว้างใหญ่ไพศาล บ้านเมืองสงบสุข การค้ามั่งคั่ง ชาวประชาเป็นหนึ่งเดียว มุมหนึ่งในเมืองหลวงมีเด็กทารกน้อยเติบโตอย่างสมบูรณ์พร้อมสุข บิดามารดาเอาใจใส่ พี่น้องรักใคร่ในจวนหย่งอันโหวแห่งนี้ หลังจากที่หลับใหลอยู่เป็นเวลานาน วันนี้ถึงได้ตื่นรู้ ละครที่ร่วมกันแสดงมานานนับสิบหกปี ควรปิดฉากลงได้แล้ว “ท่านพ่อท่านแม่กลับมาหรือยัง” ซูเหยาขยับแขนขาที่เริ่มมีเรี่ยวแรงเล็กน้อย หันหน้าซีดขาวมองออกไปนอกหน้าต่างผ่านม่านขาวโปร่งบางที่ขยับไปตามแรงลมเบาๆ สายตานิ่งเรียบเปลี่ยนเป็นลุ่มลึก “นายท่านกับฮูหยิน ยังมีฮูหยินผู้เฒ่า คุณหนูใหญ่ และทุกคนกำลังรอต้อนรับซื่อจื่อ*กลับจวนอยู่ที่เรือนหลักเจ้าค่ะ” เมิ่งจูตอบเสียงเบาด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล ทุกครั้งที่คุณชายใหญ่กลับจวนมักทำตัวห่างเหินกับคุณหนู ไม่ว่าคุณหนูจะพยายามเข้าหามากเพียงใดก็ตาม เมิ่งจูกลัวว่าคุณหนูจะรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจจึงรีบกล่าวอย่างตื่นเต้น “ต้องเป็นเพราะซื่อจื่อได้ข่าวว่าคุณหนูป่วยจับไข้หลายวันแล้วยังไม่ดีขึ้น เป็นห่วงถึงได้กลับจวนกลับมาเยี่ยม จะว่าไปแล้ว เพลานี้สำนักศึกษายังไม่ปิดภาคการศึกษาเลยนะเจ้าคะ” “อ้อ” รอยยิ้มบางเบาประทับอยู่บนมุมปากของซูเหยา ดวงตาเรียวละสายตากลับมา หลุบลงมองมือผอมแห้งทั้งสองข้างที่กุมกันอยู่ นอกจากขนตางอนยาวเป็นแพนั้นแล้วก็ไม่เห็นสิ่งอื่นใดอีก “พี่ใหญ่ห่วงกังวลถึงสุขภาพของข้านับเป็นเรื่องปกติ ยามนี้ข้าผู้เป็นน้องสาวดีขึ้นมากแล้ว ไม่ควรให้ซื่อจื่อกระวนกระวายใจจนเสียการเรียนเช่นนี้ ไป ช่วยข้าแต่งตัว ไปหาพี่ใหญ่ที่เรือนหลักกัน” น้ำเสียงของนางไม่ปกติราวกับมีบางสิ่งแฝงอยู่ในนั้นมากมาย ไร้ความกระตือรือร้นอย่างที่กล่าว ออกไปทางเฉยชาด้วยซ้ำไป พี่ชายของนางคนนี้ นับว่าจริงใจกับนางมากทีเดียวรุ่งอรุณคลี่ตัวอย่างอ้อยอิ่ง ละอองหมอกบางล้อมรอบจวนฟาง เงาของกิ่งเหมยทอดบนพื้นกรวดที่ยังชื้นจากฝนเมื่อคืนซูเหยาแต่งกายเรียบง่ายในอาภรณ์สีฟ้าอ่อน ผ้าคลุมไหล่บางพาดผ่านบ่า ผิวซีดจัดราวกับยังไม่หายไข้ดีนางก้มหน้าลงช้า ๆ สะท้อนภาพตนเองในกระจกสำริด ใบหน้าซีดขาวไร้สีเลือด ริมฝีปากคล้ายกลีบดอกท้อถูกน้ำค้างกัดจนจืดสีปลายนิ้วเรียวแตะกล่องแป้งฝุ่น ตบเบา ๆ ลงบนแก้ม นางมองเงาตัวเองอย่างพิจารณา ก่อนหัวเราะแผ่วที่มุมปาก“อ่อนแอหน่อยจะได้ไม่มีใครกลัวข้า”เสียงไอหลายคำหลุดจากลำคอราวกับลมร่วงผ่านกิ่งหลิว เมื่อก้าวออกจากเรือน ทุกสายตาที่มองเห็นต่างรีบเข้ามาช่วยประคอง แต่ซูเหยาเพียงยกมือปฏิเสธ“ไม่เป็นไร ข้าเพียงต้องลมเข้าหน่อยเท่านั้น”พอถึงลานกลาง บ่าวทุกคนก็รออยู่เรียงแถวเรียบร้อย บนโต๊ะหินกลางลานมีถุงเงินวางซ้อนเรียงเป็นระเบียบ สิบตำลึงสำหรับทุกคนตามที่นางสัญญาไว้เมื่อคืน“ทุกคนอยู่กันพร้อมแล้วหรือ” ซูเหยาเอ่ย น้ำเสียงอ่อนแรง“พร้อมเจ้าค่ะ/ขอรับ” เสียงตอบพร้อมกันดังกังวานซู
พลบค่ำหลี่หลัวกลับมาด้วยสีหน้าเร่งรีบก็รู้ได้ทันทีว่ามีข่าวใดไม่ดีซูเหยาซึ่งเอนกายอยู่บนหมอนลืมตาขึ้นอย่างเกียจคร้าน “ว่าอย่างไร”สีหน้านางซีดเผือดด้วยความวิตก ก่อนจะคุกเข่าลงตรงหน้าซูเหยา “คุณหนู ยามีปัญหาจริง ๆ เจ้าค่ะ”“อืม ท่านหมอบอกว่าอย่างไรหรือ” ซูเหยาทิ้งเสียงหัวเราะแผ่วเบา เห็นว่าตนทำให้หลี่หลัวตื่นตกใจเสียแล้ว “ไม่เป็นไร อย่ากังวล ค่อยๆ เล่า”“หมอท่านว่า สารที่พบคล้ายเป็นผงรากเย็น ชนิดที่ผ่านการบดละเอียดและแช่ในน้ำไว้นานจนสลายเป็นละออง สรรพคุณของมันไม่ใช่ให้ตายทันที หากแต่ชะลอการหมุนเวียนโลหิต ทำให้หยางภายในอ่อนลง สร้างความเย็นชาต่อเนื้อเยื่อและช่วยชะลออัตราการเผาผลาญ หากรับประทานต่อเนื่อง ผู้รับจะค่อย ๆ ซีด เหนื่อยล้า ชีพจรเบาและช้า มือเย็น ปลายเท้าเย็น อาจมึนงงและซึมลงทุกวัน”ซูเหยาพยักหน้า ช้อนสายตาลงมองผ้าเช็ดหน้าซึ่งหลี่หลัวนำมาวางไว้บนเก้าอี้ข้างเตียง “แปลว่าผู้วางตัวยาหวังให้ข้าอ่อนแรงลง มิได้หวังให้ข้าตายทันที”หลี่หลัวอุทาน “เจ้าคะ?”ซูเหยาครุ่นคิด มือข้างหนึ่งก่ายหน้าผากจนใจเอื้อนเอ่ย “แล้วกากยาล่ะ พบอะไรหรือไม่”“ไม่พบเจ้าค่ะ” หลี่หลัวสั่นศีรษะ “กากยาที่ข้านำไปตรว
นับจากที่ตากฝนเมื่อคืน ซูเหยาล้มป่วยอย่างเป็นทางการ หลายวันมานี้นางเจอเรื่องราวมากมายจนร่างกายอ่อนแอด้วยความเครียดสะสม เป็นเหตุให้ซูเหยาหยุดแสร้งทำตัวอ่อนแอเพราะนางป่วยจริงๆหลี่หลัวเข้ามาพร้อมยาต้ม พอรับประทานอาหารเสร็จจิบไปคำหนึ่ง รสขมเฝื่อนของยาเมื่อครู่ทำเอานางอดขมวดคิ้วไม่ได้ แต่ไม่ได้กล่าวอันใด นางดื่มอีกคำลงไป ยามนี้เองสีหน้าพลันแปรเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยว พร้อมกับคายยาใส่ถ้วยดังเดิม“ยาต้มนี้เป็นชามที่สามของวันแล้วใช่หรือไม่” ซูเหยาวางชามลง มองหลี่หลัวแววตาจริงจัง ยาชามนี้คล้ายว่าไม่เหมือนกับก่อนหน้า“ใช่เจ้าค่ะ คุณหนูเป็นอันใดไป หรือว่ายามีปัญหาเจ้าคะ”ซูเหยาหยิบผ้าเช็ดหน้าเช็ดมุมปาก ถามขึ้นด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ “ยารอบนี้ เจ้าต้มเองหรือไม่”“กุ้ยซินเป็นคนต้มเจ้าค่ะ ส่วนข้าเป็นคนเฝ้าไว้ไม่ได้ลุกไปไหน ทุกขั้นตอนล้วนทำตามที่ท่านหมอกำชับ” สีหน้าหลี่หลัวแปรเปลี่ยน “ยานี้ผิดปกติจริงหรือ”“ยังบอกไม่ได้ เพียงแต่กลิ่นแตกต่างกว่าครั้งก่อนอยู่บ้าง” ซูเหยาดึงปิ่นปักผมจุ่มลงชามยาต้ม ด้ามสีเงินยังคมเดิม “เจ้านำยาต้มในชามไปโรงหมอสักรอบหนึ่ง ตรวจดูว่ามีสิ่งใดเจอปนบ้าง หากไม่พบก็แล้วไป ข้าอาจคิดมา
เสียงระฆังลมกระทบกันเบา ๆ แสงแดดยามสายส่องลอดม่านไม้ไผ่เป็นริ้วร้านน้ำชาที่เพิ่งเปิดใหม่ “เหยาซินถัง” ตกแต่งงดงาม ตัวอาคารไม้สีอ่อน โปร่งด้วยหน้าต่างกระจกฝ้ารูปเมฆ โต๊ะไม้ไผ่เรียงรายเป็นระเบียบ ด้านในสุดมีชั้นวางโถชาแกะลาย ตรงกลางห้อง มีกระถางบัวขนาดใหญ่ น้ำใสสะท้อนเงาจันทร์จำลองจากโคมกระดาษที่แขวนอยู่เหนือศีรษะวันนี้คลาคล่ำด้วยผู้คน พวกหลงจู๊และเหล่าบัณฑิตมานั่งพูดคุยกัน เสียงหัวเราะนุ่มนวลเคล้ากลิ่นชาอบใบเหมย และกลิ่นหอมหวานจากขนมสดใหม่ซูเหยาอยู่ในชุดผ้าแพรสีอ่อน นั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์ไม้เล็ก ๆ นางกำลังบรรจงรินน้ำชาจากกาน้ำดินเผาลงในจอกขาว ละอองไอร้อนลอยคลอรอบปลายนิ้วหลี่หลัวยืนอยู่ใกล้ ๆ มือเรียวกำลังจดบัญชีและตรวจนับกล่องชา พูดด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ“ในที่สุดความฝันของคุณหนูก็กลายเป็นจริงแล้วเจ้าค่ะ ดูสิ ลูกค้าข้างนอกแน่นขนัดตั้งแต่เปิดร้านจนถึงตอนนี้ยังไม่มีวี่แววว่าจะลดลงเลยสักนิด”ซูเหยายิ้มบาง ดวงตาอ่อนโยนทอดมองออกไปยังหน้าร้าน มองกลุ่มคนเดินผ่าน เสียงหัวเราะของแขกหนุ่มสาว และสูดกลิ่นหอมของขนมอบคลุ้งไปทั่วอากาศ“กลิ่นชาคละเคล้าขนมสูตรเฉพาะตอนนี้กำลังดีทีเดียว หากรุนแรงไปจะท
ซูเหยาใช้เท้าเขี่ยขาเขาอย่างไม่ลังเล ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง น่าจะสลบไปแล้วกระมัง"ช่วยคนหนึ่งครั้งเรียกว่าบังเอิญ สองครั้งเรียกว่าสวรรค์บังคับ" ซูเหยาพึมพำกับตัวเองขณะยืนมองเขา นางเริ่มยกชายเสื้อของเขาขึ้น พิจารณาแผลกลางอกที่ยังคงไหลออกมาไม่หยุด แม้จะไม่ลึกมากจนถึงชีวิต แต่ถ้าไม่รีบรักษาในตอนนี้ เขาคงจะได้ตายจริง ซูเหยารู้ดีว่าเวลาไม่รีรอเมื่อมือของซูเหยาเริ่มทำแผลให้กับเขา นางรู้สึกถึงความไม่มั่นคงที่กำลังก่อตัวในใจ ความหล่อเหลาของเขาทำให้นางเผลอหยุดมองเนิ่นนาน ใบหน้าที่ไม่อาจบรรยายได้ด้วยคำพูด ความงดงามของเขานั้นเหมือนเทพบุตรที่ลงมาอยู่ตรงหน้าในขณะที่นางทายา มืออีกข้างไม่รักดีถึงกับลูบไล้ใบหน้ารูปสลักนั้น ความรู้สึกบางอย่างก็แทรกเข้ามาในใจของซูเหยาฉับพลัน นางรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ยากจะอธิบาย ซูเหยากลืนน้ำลายอึกใหญ่ สั่นศีรษะเรียกสติตนเองกลับคืน ไม่ได้ ข้าไม่อาจปล่อยให้ตัวเองติดอยู่ในความลุ่มหลงนี้ได้จู่ ๆ สัญชาตญาณบางอย่างก็ทำให้ซูเหยาหยุดการกระทำของตัวเองได้สำเร็จ นางเหลือบมองไปที่ศีรษะของชายหนุ่ม แล้วเห็นตัวเลขที่กระพริบขึ้นเหนือหัวของเขา นางไม่อาจมองข้ามสิ่งนี้ได้ ค่าความชอบ
ซูเหยากระพริบตามองหลี่หลัวอยู่หลายที “หลี่หลัว ข้าคิดว่าตั้งแต่นี้ต่อไป เจ้าควรออกกำลังกายให้มากเสียหน่อย”หลี่หลัวยิ้ม ขยับแขนหมุนข้อมือ “คุณหนูเจ้าคะ ข้าก็คิดเช่นนั้นอยู่พอดี”จากนั้น เสียงฟาด ฟัน กระแทกดังสนั่นราวม้าน้ำคลั่งในลานเก่าแห่งนี้ เหล่านักฆ่าคิดว่าตัวเองคือผู้ล่า ที่ไหนได้พวกเขากลายเป็นหมูในถังไม้ไผ่ ถูกปลิดลมหายใจราวกับใบไม้หล่นเปรี๊ยะ!เสียงกระทบเหล็กดังลั่น ชายชุดดำเบี่ยงหลบ แต่มือซ้ายของเขาถูกปาดจนเส้นเอ็นขาด นิ้วที่กำคมดาบอ่อนยวบลงทันใด“เร็วเกินไปแล้ว!” เขาสบถอีกคนอาศัยจังหวะหลบหลี่หลัว พุ่งเข้าหาซูเหยาจากด้านหลัง แต่ก่อนปลายดาบจะถึงเส้นผมของนาง ซูเหยาแค่ขยับชายแขนเสื้อเบา ๆ เข็มอีกเล่มก็ฝังเข้าไปใต้คางของมันไม่กี่ลมหายใจนับจากที่เหยียดหยามนาง หกคนล้มลงต่อหน้าทุกสายตาตอนนี้ แม้แต่เสียงหัวเราะก็เริ่มฝืดคอ นักฆ่าคนหนึ่งเริ่มถอยหลัง อีกคนเบิกตากว้าง มองพัดในมือหลี่หลัวกับแววตาไร้หวั่นของซูเหยา“อี-อี-อีนังนี่ ไม่ใช่แค่คุณหนูธรรมดา! ข่าวลือเป็นเรื่องจริง อึก”“โง่จริง ถ้าข้าเป็นคุณหนูธรรมดา คงถูกฆ่าไปตั้งแต่ตอนอยู่ในจวนโหวแล้วกระมัง” ซูเหยาถอนหายใจ เพียงแค่ตอนนั้นนั
Comments