[ทะลุมิติมาในนิยาย + ใช้ชีวิตไปวัน ๆ + ทรราช + วิชาอ่านใจ + พลิกชะตา] “อยู่ในตำหนักเย็น เพิ่งใช้บัวลอยสาโทเพียงถ้วยเดียว ก็มัดใจปากท้องของทรราชได้แล้ว” งานเลี้ยงเทศกาลไหว้พระจันทร์ในวัง เจียงหวนผู้ที่ใช้ชีวิตไปวัน ๆ และกลัวการเข้าสังคม ถูกผลักให้ออกไปแสดงความสามารถต่อหน้าทรราช เบื้องหน้านางคือฮ่องเต้หน้าตาดุร้าย โกรธจนควันออกหู เจียงหวนพลันตระหนักได้ว่าชีวิตน้อย ๆ ของตนคงยากจะรักษาไว้ได้! แต่แล้วข้างหูของนางกลับมีเสียงนึกคิดของใครบางคนดังขึ้น [ถวายสุราอวยพร เอาแต่ถวายสุราอวยพร ข้าไม่ได้กินข้าวเลยทั้งคืน ดื่มไปตั้งสิบกว่าจอกแล้ว เหตุใดพวกเจ้าไม่ดื่มจนข้าตายไปเลยล่ะ?] [ไม่ช้าก็เร็ว ข้าจะตัดหัวคนในวังหลังพวกนี้ให้หมด!] เจียงหวน : ...? ที่แท้ทั่วทั้งวังหลัง มีแค่ข้าคนเดียวที่ได้ยินเสียงบ่นในใจของทรราชอย่างนั้นหรือ? เจียงหวนเข้าใจแล้ว นับแต่นั้นมา มือซ้ายของนางถือบัวลอย มือขวาก็ถือเนื้อย่าง ยามทรราชจะตัดหัวคน นางก็จะยื่นดาบให้ ยามทรราชด่าทอเกรี้ยวกราด นางก็จะหาอาหารมาเติมให้ ขณะที่เหล่าสนมมัวแต่แก่งแย่งชิงดีกันในวัง นางกลับมุ่งมั่นกับการหาของกินมาป้อน : “ฝ่าบาท น้ำบ๊วยช่วยแก้เลี่ยนได้ เนื้อย่างต้องกินคู่กับกระเทียมนะเพคะ” ด้วยฝีมือการทำอาหารชั้นเลิศ เส้นทางการใช้ชีวิตไปวัน ๆ ของเจียงหวนก็ได้รับการเลื่อนขั้น เลื่อนขั้น และเลื่อนขั้น เมื่อลูกหลานของนางถามถึงเรื่องราวความรักระหว่างนางกับฮ่องเต้—— คำตอบก็คงประมาณว่า ใครจะไปคิดเล่าว่าทรราชที่ทำให้ผู้คนหวาดกลัวจนตัวสั่น ที่แท้ก็แค่หิวเท่านั้นเอง
Lihat lebih banyakขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น ก็พลันได้ยินน้ำเสียงทุ้มต่ำดังแว่วมาจากด้านหลังดูเหมือน จะแฝงไปด้วยกลิ่นอายของความหึงหวงอยู่เล็กน้อย?“อาหารมื้อนี้ไม่มีส่วนของข้าหรือ?”ฮั่วหลินมายืนอยู่ที่หน้าประตูตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ทราบ เขายืนกอดอกอยู่ ใบหน้าหล่อเหลาบึ้งตึงเล็กน้อย แววตาเต็มไปด้วยความตัดพ้อ [ขนาดสุนัขยังได้รับการดูแลถึงเพียงนี้ แต่เรากลับไม่มี ฮือ ๆ เราคงเป็นส่วนเกินสินะ][ตอนนางมองเรากินข้าวยังไม่ตั้งใจเท่านี้เลย]เสียงในใจที่อิจฉาริษยาเป็นชุด ๆ ถูกยิงเข้าใส่ในสมองของเจียงหวนราวกับกระสุนปืนใหญ่ ทำเอานางทั้งพูดไม่ออกทั้งอยากจะหัวเราะ แค่อาหารสุนัขมื้อเดียวก็ทำให้เกิดความรู้สึกมากมายขนาดนี้ได้ ฝ่าบาทคงจะทรงหิวจริง ๆ แล้วนางปัดฝุ่นที่ชายกระโปรง แล้วแสร้งเอ่ยขึ้น “ยังเหลืออยู่นะเพคะ ฝ่าบาทจะเสวยหรือ?”[เราเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่า ขอเพียงเป็นอาหารที่นางทำ เราชอบทั้งนั้น][หรือว่านี่จะเป็นบททดสอบที่นางมอบให้แก่เรา?][ทุ่มสุดตัว เรารับคำท้า!]ฮั่วหลินสำลักน้ำลายตัวเอง เขาไออยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็รีบแสร้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำเสียงฮึ่มเบา ๆ สายตากวาดมองไปยังเหล่าลูกสุนัขที่กำลังก
ภายในเรือนย่อยตำหนักข้างของตำหนักเว่ยยาง แสงแดดสาดส่องผ่านช่องหน้าต่างลงมาบนพื้นราวกับเศษทองคำที่โปรยปรายมุมห้องที่เคยถูกปล่อยทิ้งไว้ บัดนี้กลับดูแปลกตาไปอย่างสิ้นเชิง บนพื้นปูด้วยเบาะนุ่มหนา บ้านสุนัขขนาดใหญ่ตั้งอยู่ในตำแหน่งที่สบายที่สุด ข้าง ๆ กันนั้นยังมีตะกร้าใบเล็กกว่าวางอยู่“มานี่” โจวฝูเอ่ยเรียกเสียงเบา สุนัขตัวเมียที่ดูสง่างามผึ่งผายตัวนั้นก็พลันหูตั้ง จากนั้นก็เดินเข้าไปหาโจวฝูเจียงหวนที่อยู่ด้านข้างยิ่งมองก็ยิ่งพอใจ เรื่องดี ๆ ราวกับเทพทหารจุติลงมาช่วยเหลือเช่นนี้ก็ยังเกิดขึ้นกับนางได้“เป็นสุนัขที่แสนรู้จริง ๆ ตั้งชื่อแล้วหรือยัง?”“ทูลพระสนม” โจวฝูรีบโค้งกาย แต่หางตากลับอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองแม่สุนัข “มันชื่อจิงเหลยพ่ะย่ะค่ะ บ่าวเป็นคนเลี้ยงดูมันมาด้วยตนเองอยู่ที่ฝ่ายดูแลสัตว์เลี้ยง ท่านดูขนของมันสิพ่ะย่ะค่ะ เวลาวิ่งเร็วราวกับสายฟ้าสีดำ จึงได้ตั้งชื่อเช่นนี้”ราวกับฟังเข้าใจว่าโจวฝูกำลังชมตนเอง จิงเหลยเชิดหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจ หางของมันกวัดแกว่งบนพื้นจนเกิดเสียงดังสวบสาบเบา ๆ “เป็นชื่อที่เท่มาก ข้าชอบ”เจียงหวนพยักหน้าพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ แค่ฟังชื่อก็รู้สึกน่
แต่เขานึกไม่ถึงว่า พวกคนสูงศักดิ์ที่ทะนงตน และเห็นสัตว์เลี้ยงเป็นเพียงของเล่นจะมีความคิดเช่นนี้ด้วยโจวฝูรู้สึกอบอุ่นในใจ ยามตอบคำถามจึงมีความจริงใจเพิ่มขึ้นสามส่วน “ทูลพระสนม บ่าว ปกติแล้วบ่าวทำงานเชื่องช้า ยามว่างก็จะชอบเล่นกับพวกมัน หวีขนให้พวกมัน เดาว่าพวกมันคงจดจำได้พ่ะย่ะค่ะ”เขาบอกเพียงสั้นๆ แต่เจียงหวนกลับเข้าใจแล้วปฏิบัติด้วยหัวใจ จึงได้มีการตอบสนองกลับมาลูกสุนัขตัวน้อยพวกนี้ใกล้ชิดกับเขา นั่นก็เพราะเขาใช้ความจริงใจ ไม่ใช่เห็นพวกมันเป็นเพียงหน้าที่“พระสนม โปรดอย่าฟังที่เขาพูดจาเหลวไหลเลยพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีผู้หนึ่งเอ่ยปากแทรก น้ำเสียงฟังดูริษยา “เขาก็เพียงแค่ทำงานชักช้า ขี้เกียจสันหลังยาว…”“หุบปาก! ยามพระสนมเอ่ยวาจา เจ้ามีสิทธิ์อันใดมาสอดปาก!” เสี่ยวเจาตำหนิเสียงเกรี้ยว ขันทีคนนั้นตกใจจนเกือบขาอ่อนล้มพับลงไปบนพื้นเจียงหวนไม่สนใจ เพียงถามโจวฝูต่อว่า “เจ้าอยากโยกย้ายงานหรือไม่?”“หา?” โจวฝูไม่เข้าใจ เขาทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะเจียงหวนกลับส่งยิ้มให้เขา นางได้ตัดสินใจแล้วนางจะยื่นข้อเสนอนี้ให้เขาอย่างแน่นอนหากนางจะเลี้ยงสุนัข ก็อยากเลี้ยงสุนัขที่ยินยอมพร้อมใจ และมีความ
โจวฝูยังคงขดตัวอยู่บนพื้นอย่างงุนงง กระทั่งขันทีน้อยที่อยู่ข้างๆ รีบเตือนสติเขา“โจวฝู ยังไม่รีบคุกเข่าถวายบังคมพระสนมอีก”โจวฝูจึงเพิ่งได้สติ เขารีบพลิกตัวขึ้นมานั่งคุกเข่า เพราะลนลานเกินไป ท่าทางจึงดูงุ่มง่าม ส่งผลให้ออกแรงโขกหัวกับพื้นแรงไปหน่อย“บะ บ่าวโจวฝู ถวายบังคมพระสนมพ่ะย่ะค่ะ!”เจียงหวนไม่ได้สนใจเหล่าขันทีที่กำลังโขกศีรษะราวกับกำลังโขลกกระเทียม นางกวาดสายตามองถ้วยกระเบื้องอันประณีตใบนั้นที่พลิกคว่ำอยู่บนพื้น จากนั้นก็หันไปมองแม่สุนัขและลูกสุนัขอีกสองสามตัวที่มันกำลังปกป้องอยู่รูปร่างและสีขนล้วนไม่เลว ตัวกลมขนฟูน่ารักมาก เห็นแล้วอยากลูบสักครั้ง!แต่อาจเพราะตกใจกลัว พวกมันมุดตัวไปอยู่ข้างหลังแม่ของตน ดวงตาดำใสชะเง้อมองออกมาข้างนอกอย่างหวาดกลัวระคนสงสัยเจียงหวนละสายตากลับมา จากนั้นก็หันไปมองขันทีน้อยที่ชื่อโจวฝูอีกครั้งเขารูปร่างผอมบาง ชุดเครื่องแบบที่ถูกซักจนขาวซีดราวกับถูกห้อยโตงเตงไว้บนตัวเขาเมื่อครู่นางสังเกตเห็นแล้ว โจวฝูผู้นี้กำลังพยายามปลอบขวัญฝูงสุนัขที่ตกใจกลัวอยู่ตลอดและสุนัขน้อยพวกนั้นก็ดูท่าทางจะเชื่อใจเขามาก พวกมันส่งเสียง “หงิงๆ!” คล้ายว่าเป็นห่วง
ฮั่วหลินยังคงไม่วางใจ ทว่าเมื่อเห็นท่าทางตื่นเต้นของนาง ก็ทำได้เพียงพยักหน้า[ฮือ ไล่ข้าไปเช่นนี้อีกแล้ว][หากเจออันตรายเข้าอีกจะทำอย่างไรเล่า ฉะนั้นข้าไปเป็นเพื่อนนางก็แล้วกัน][อืมๆ เป็นเหตุผลที่ฟังขึ้นอย่างมาก]เจียงหวนได้ยินเสียงในใจของเขา จึงยิ้มไล่เขา“รีบเสด็จกลับห้องทรงพระอักษรของฝ่าบาทเถิดเพคะ อย่าแอบอู้”ฮ่องเต้ไปเดินชมฝ่ายดูแลสัตว์เลี้ยงกับนาง? เป็นภาพจินตนาการที่งดงามเกินไปจนไม่กล้าเพ้อฝัน“แต่…”เจียงหวนตัดบทเขา “ไม่มีแต่ ฝ่าบาทวางใจเถิดเพคะ”เอ่ยจบ นางก็ใช้ ‘เหตุผลที่ฟังขึ้น’ ผลักฮั่วหลินที่ยังคงพะว้าพะวังออกจากประตูตำหนักเว่ยยางด้วยตนเองหลังจากส่งฮั่วหลินกลับไป เจียงหวนเก็บข้าวของครู่หนึ่ง จากนั้นก็พาเสี่ยวเจาและเหล่ากำนัลขันทีมุ่งหน้าไปยังฝ่ายดูแลสัตว์เลี้ยงฝ่ายดูแลสัตว์เลี้ยงในวังไม่ได้เลี้ยงเพียงแค่ม้า สุนัขล่าเนื้อ หรือเหยี่ยวของราชวงศ์เท่านั้น ยังเลี้ยงนกและสัตว์ป่าหายากที่ถูกส่งมาเป็นเครื่องบรรณาการจากที่ต่างๆ รวมถึงสัตว์เลี้ยงจำพวกสุนัขแมวของเหล่านางสนมในวังด้วยแม้สภาพแวดล้อมไม่ได้ยอดเยี่ยม แต่ก็นับว่าสะอาดเรียบร้อยดีเจียงหวนเพิ่งจะเดินไปถึงบริเวณ
หวังเต๋อกุ้ยดำเนินการอย่างคล่องแคล่วว่องไว เขาผายมือเชิญกึ่งนำทางทั้งสามคนที่ยามนี้มีสีหน้าแตกต่างกันออกจากตำหนักเว่ยยางเจียงหวนนวดหัวคิ้ว พลางถอนหายใจยาวๆ เหตุการณ์ตึงเครียดยามปะทะหน้ากับเวินอี้หลินเมื่อครู่หายไปในพริบตาฮั่วหลินเห็นแล้วก็ปวดใจ อ้าแขนดึงนางเข้ามากอด[ข้าต้องทำอะไรสักหน่อยแล้ว สั่งให้ทหารรักษาพระองค์ล้อมตำหนักเว่ยยาง หรือย้ายตำหนักหย่างซินมาอยู่กับนางที่นี่เสียเลย?][ดูเหมือนล้วนไม่เหมาะสม นางจะต้องอึดอัดแน่][ฮ่าๆ วันนี้เป็นวันที่ข้าเกลียดวังหลังมากเลยทีเดียว]เจียงหวนมุดหัวเข้าไปในแผงอกของเขา ปรับเปลี่ยนท่าทางให้สบายขึ้นหึๆ นับว่าเป็นบุรุษที่มีความภักดี“เอาเถิด” เสียงของนางฟังดูเหนื่อยหน่ายระคนเอื่อยเฉื่อย “หม่อมฉันไม่เป็นไรเพคะ อาจเป็นเพราะนอนไม่พอกระมัง”จากนั้นนางก็ใช้นิ้วจิ้มหน้าอกอันกำยำของฮั่วหลิน ก่อนจะลูบไล้ไปตามขอบไหมสีทองบนเสื้อคลุมมังกรของเขาสวมชุดว่าราชการมาเอาใจคนอื่นเขา จะหล่อเหลาเกินไปแล้ว!ฮั่วหลินกระชับแขน “ครั้งหน้าหากพวกนางยังมาอีก เจ้าไม่จำเป็นต้องเกรงใจ หากรำคาญใจจริงๆ สั่งโบยแล้วโยนออกไปก็ได้ ข้าเก็บกวาดเอง”เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงหน
Komen