ตระกูลหลี่ล่มสลายในคืนพายุ หลี่มู่ไป๋ ผู้รอดชีวิต เติบโตพร้อมปณิธานล้างมลทิน เขาท่องยุทธภพ สัมผัสความอยุติธรรม และพบ มู่หรงชิง สตรีผู้กล้าหาญ การร่วมมือพาพวกเขาเข้าใกล้ "คัมภีร์เทพมาร" ที่เชื่อมโยงอดีตกับ องค์ชายสาม อันตราย การล้างแค้น และลิขิตบัลลังก์กำลังเริ่มต้น!
View Moreสายลมหนาวพัดโชยนำพากลิ่นไอฝนอันหม่นหมองมาจากทิศตะวันออกไกล เมฆดำทะมึนก่อตัวหนาแน่นบดบังแสงจันทร์ที่ควรจะสาดส่องลงมายังเมืองหลวงอันยิ่งใหญ่แห่งแคว้นเหลียง เมืองจางอันยามนี้ถูกปกคลุมด้วยม่านราตรีที่มืดมิดและหนักอึ้ง ราวกับเป็นลางบอกเหตุอันเลวร้ายที่กำลังคืบคลานเข้าสู่หัวใจของอาณาจักรที่เคยสงบร่มเย็นแห่งนี้
ในใจกลางของเมือง ที่ซึ่งจวนขุนนางใหญ่ตั้งตระหง่านเรียงราย จวนตระกูลหลี่โดดเด่นเป็นสง่าด้วยสถาปัตยกรรมที่สะท้อนถึงความเรียบง่ายแต่เปี่ยมด้วยเกียรติยศ ผนังกำแพงสีขาวนวล ประตูไม้แกะสลักอันวิจิตร และสวนหย่อมที่ได้รับการดูแลอย่างพิถีพิถัน ทุกสิ่งล้วนเป็นประจักษ์พยานถึงความซื่อสัตย์ภักดีที่ ตระกูลหลี่ ได้มอบให้แก่ราชสำนักมาหลายชั่วอายุคน หลี่ซาน เจ้าของจวนในปัจจุบัน ดำรงตำแหน่งขุนนางขั้นหนึ่งแห่งราชสำนัก เป็นที่นับหน้าถือตาจากทั้งขุนนางและประชาชน ด้วยความรู้ความสามารถอันเป็นเลิศและคุณธรรมที่ยึดมั่น
ทว่าค่ำคืนนี้ บรรยากาศภายในจวนกลับเต็มไปด้วยความตึงเครียดและเงียบงันจนน่าอึดอัด หลี่ซานในชุดคลุมผ้าไหมสีเข้ม ยืนอยู่ริมหน้าต่างบานใหญ่ของห้องทำงาน ดวงตาคู่คมที่เคยเปี่ยมด้วยประกายปัญญาบัดนี้กลับฉายแววครุ่นคิดและกังวลใจอย่างเห็นได้ชัด หยาดฝนเม็ดแรกเริ่มโปรยปรายลงมา กระทบกับพื้นหินหน้าต่างเกิดเสียงแผ่วเบา แต่กลับก้องกังวานในใจของเขา
“ท่านพ่อ” เสียงเล็กๆ ใสซื่อดังขึ้นข้างกาย หลี่ซานสะดุ้งเล็กน้อย หันไปมอง เห็น หลี่มู่ไป๋ บุตรชายคนเล็กวัยเพียงแปดขวบ ยืนเงยหน้าจ้องมองเขาด้วยแววตาไร้เดียงสา มู่ไป๋เป็นเด็กฉลาดและช่างสังเกตผิดวิสัยเด็กวัยเดียวกัน เขารับรู้ถึงความผิดปกติที่แผ่ซ่านไปทั่วทั้งจวนมาตั้งแต่พลบค่ำ แม้จะยังไม่เข้าใจความหมายของมันก็ตาม
“มู่ไป๋ เจ้ามาทำอะไรตรงนี้ ดึกมากแล้วนะ พายุฝนกำลังจะมา ไปนอนเสียเถอะ” หลี่ซานพยายามปั้นรอยยิ้มที่ฝืนฝืนให้บุตรชาย แต่แววตาที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวลไม่อาจปกปิดได้มิด
“ข้าเห็นท่านพ่อยืนมองออกไปข้างนอกนานแล้วขอรับ ท่านพ่อมีเรื่องไม่สบายใจหรือขอรับ” มู่ไป๋เอ่ยถามอย่างใสซื่อไร้เดียงสา มือเล็กๆ ยกขึ้นเช็ดหยดน้ำฝนที่กระเซ็นมาโดนกรอบหน้าต่าง
หลี่ซานถอนหายใจเฮือกหนึ่ง เขาก้มลงลูบศีรษะบุตรชายเบาๆ เส้นผมนุ่มลื่นพลิ้วไหวตามแรงสัมผัส "ไม่มีอะไรหรอกลูก แค่คิดถึงเรื่องงานนิดหน่อย วันนี้เป็นคืนที่อากาศไม่ดี เจ้าควรรีบพักผ่อน" เขาพยายามเปลี่ยนเรื่อง ก่อนจะเหลือบมองไปยังมุมห้อง ที่ซึ่งภรรยาผู้เป็นที่รัก ฮูหยินหลี่ กำลังนั่งปรึกษาหารืออย่างเคร่งเครียดกับบุตรชายคนโต หลี่จิ้ง ผู้เป็นความภาคภูมิใจของตระกูล หลี่จิ้งในวัยยี่สิบปี เป็นบัณฑิตผู้มีความสามารถและเพิ่งจะสอบผ่านการเป็นขุนนางระดับสูงเมื่อไม่นานมานี้ แววตาของหลี่ซานฉายแววเจ็บปวดเมื่อนึกถึงชะตากรรมที่อาจจะรอพวกเขาอยู่
ทันใดนั้นเสียงเคาะประตูห้องทำงานที่ดังขึ้นอย่างกระแทกกระทั้นและถี่รัว ก็ทำลายความเงียบงันและบรรยากาศอันอึดอัดนั้นลงอย่างสิ้นเชิง เสียงนั้นหนักหน่วงและเต็มไปด้วยความเร่งรีบ ราวกับต้องการพังประตูให้พังลง
“นายท่าน! แย่แล้วขอรับ! ทหารหลวง ทหารหลวงมาเต็มหน้าจวนเลยขอรับ!” เสียงของพ่อบ้านผู้ซื่อสัตย์ดังขึ้นอย่างตื่นตระหนก ใบหน้าของเขาซีดเผือดราวกับไร้ซึ่งโลหิต มือไม้สั่นเทาจนแทบจะจับบานประตูไม่ได้
หลี่ซานหลับตาลงช้าๆ ความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่วดวงใจ นี่คือสิ่งที่เขากังวลมาตลอดหลายวัน ความรู้สึกที่ถูกกดทับมานานปะทุขึ้นพร้อมกับหยดน้ำฝนที่กลายเป็นเม็ดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ข้างนอก
ประตูจวนด้านหน้าถูกเปิดออกอย่างแรงด้วยแรงกระแทกของทหาร กลุ่มทหารหลวงในชุดเกราะสีดำทะมึนกรูกันเข้ามาภายในบริเวณจวนที่เคยสงบเงียบ แสงจากคบเพลิงที่พวกเขานำมาด้วยสาดส่องกระทบใบหน้าเย็นชาและอาวุธที่สะท้อนแสงวับวาว ภายใต้การนำของ แม่ทัพซ่ง ผู้มีใบหน้าเคร่งขรึมและแววตาที่แข็งกระด้างราวกับหินผา
“เรียนท่านหลี่ซาน ใต้เท้าโปรดรับพระราชโองการ!!!” แม่ทัพซ่งกล่าวเสียงดุดันและกังวานไปทั่วลานจวน พร้อมกับชูม้วนพระราชโองการสีเหลืองทองขึ้นสูง
หลี่ซานคุกเข่าลงอย่างสงบ ท่ามกลางสายฝนที่เริ่มกระหน่ำแรงขึ้น ร่างกายของเขาเปียกชื้นแต่ใบหน้ากลับฉายแววสงบเยือกเย็นอย่างน่าประหลาด ภรรยาของเขา ฮูหยินหลี่ และบุตรชายคนโต หลี่จิ้ง คุกเข่าลงตามด้วยใบหน้าซีดเผือดและดวงตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว เช่นเดียวกับเหล่าข้ารับใช้และคนในจวนที่พากันคุกเข่าตัวสั่นงันงก ส่วนมู่ไป๋ยังคงยืนนิ่งอยู่ข้างบิดา ด้วยความรู้สึกหวาดกลัวและสับสน เขาไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมทหารหลวงถึงได้มาที่บ้านของเขาในยามวิกาลเช่นนี้
“หลี่ซาน ขุนนางขั้นหนึ่งแห่งราชสำนัก มีความผิดฐานสมคบคิดกับกบฏ วางแผนล้มล้างราชบัลลังก์ พระองค์มีพระบัญชาให้ประหารชีวิตทั้งครอบครัวหลี่ ยึดทรัพย์สินทั้งหมด และลบล้างชื่อแซ่ของตระกูลหลี่ออกไปจากหน้าประวัติศาสตร์” แม่ทัพซ่งอ่านพระราชโองการด้วยเสียงอันดังและกังวานดุจฟ้าร้องท่ามกลางสายฝนที่เทกระหน่ำ
คำประกาศนั้นราวกับสายฟ้าฟาดลงกลางใจคนในตระกูลหลี่ ทุกคนตัวสั่นสะท้านด้วยความตกใจและความหวาดกลัวสุดขีด ฮูหยินหลี่กรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวที่หัวใจ บุตรชายคนโต หลี่จิ้ง สั่นเทิ้มไปทั้งร่าง เขารู้สึกเหมือนโลกทั้งใบพังทลายลงตรงหน้า ความฝัน อนาคต และความภาคภูมิใจในตระกูลถูกทำลายลงในพริบตา
“ไม่จริง! นี่มันเรื่องอะไรกัน! ท่านพ่อไม่เคยคิดคดทรยศ! ท่านพ่อซื่อสัตย์ยิ่งกว่าใคร!” หลี่จิ้งตะโกนลั่นอย่างไม่อาจยอมรับได้ น้ำตาแห่งความโกรธแค้นและเจ็บปวดไหลรินลงมาตามแก้ม
หลี่ซานเงยหน้าขึ้นมองแม่ทัพซ่ง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและผิดหวังลึกซึ้ง “แม่ทัพซ่ง ข้าหลี่ซานซื่อสัตย์ภักดีมาตลอดชีวิต ความผิดนี้ข้าไม่เคยคิดไม่เคยทำ” เสียงของเขาแม้จะแผ่วเบา แต่ก็หนักแน่นและเต็มไปด้วยความจริงใจที่ไม่อาจปฏิเสธได้
“หลักฐานชัดเจน ท่านหลี่ซาน! ทหารตรวจสอบพบจดหมายลับที่จวนของท่านเอง มีตราประทับของท่านและลายมือของท่านชัดเจน! จดหมายที่ส่งถึงหัวหน้ากบฏทางใต้” แม่ทัพซ่งตอบกลับอย่างเย็นชา ใบหน้าของเขาไม่มีความรู้สึกใดๆ แต่ลึกๆ ในใจ เขาก็รู้สึกสงสัยในความผิดของหลี่ซาน
แม่ทัพซ่งรู้จักหลี่ซานดีและรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนเช่นไร แต่คำสั่งของเบื้องบนนั้นชัดเจนและเด็ดขาด ยิ่งไปกว่านั้น องค์ชายสามก็เป็นผู้ที่ออกคำสั่งนี้โดยตรง ซึ่งทำให้เขากล้าพอที่จะเพิกเฉยต่อความรู้สึกของตนเอง
ขณะที่ความวุ่นวายกำลังเกิดขึ้น หลี่ซานเหลือบมองไปที่ หลี่มู่ไป๋ ซึ่งยืนนิ่งอยู่ข้างๆ ใบหน้าเล็กๆ ของบุตรชายเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและสับสน เขาเห็นแววตาที่ไร้เดียงสานั้นถูกบดบังด้วยความเจ็บปวด หลี่ซานตัดสินใจในพริบตา เขาต้องทำบางสิ่งบางอย่าง เพื่อให้สายเลือดตระกูลหลี่ได้รอดชีวิต เพื่อให้มีใครสักคนสืบหาความจริงและล้างมลทินให้พวกเขา
“มู่ไป๋ ฟังพ่อให้ดี” หลี่ซานกระซิบเสียงแผ่วเบาที่สุด เพื่อไม่ให้ทหารคนอื่นๆ ที่กำลังชุลมุนกับการจับกุมคนในจวนและขนย้ายทรัพย์สินทันสังเกต “เจ้าต้องรอด จงจำไว้ว่าพ่อไม่เคยทรยศ ตระกูลหลี่ไม่เคยคิดคดเจ้าต้องสืบหาความจริง ล้างมลทินให้ตระกูลเราลูก”
ทันใดนั้นหลี่ซานก็รวบรวมพละกำลังที่เหลืออยู่ทั้งหมด ผลักมู่ไป๋เข้าไปในทางลับที่ซ่อนอยู่หลังตู้หนังสือเก่าแก่ที่วางอยู่มุมห้องอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นทางลับที่ตระกูลหลี่สร้างไว้ตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษเพื่อเป็นทางหนีฉุกเฉินในยามคับขัน มู่ไป๋ถูกผลักเข้าไปในความมืดโดยไม่ทันได้ตั้งตัว เขาล้มคะมำลงไปในอุโมงค์แคบๆ ประตูทางลับที่ถูกออกแบบมาอย่างแนบเนียนก็ปิดลงพร้อมกับเสียงโครมครามของการจับกุมจากภายนอก เสียงเหล่านั้นหนักหน่วงและดูน่ากลัวยิ่งกว่าเสียงฟ้าร้องเสียอีก
เสียงกรีดร้องของฮูหยินหลี่ เสียงโหยหวนของหลี่จิ้ง และเสียงอาวุธกระทบกันดังแว่วมาจนมู่ไป๋ตัวสั่นด้วยความกลัว เขารู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบอัดจนเจ็บปวด ภาพใบหน้าบิดาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดแต่ก็เปี่ยมด้วยความหวังยังคงติดตา เสียงเหล่านั้นค่อยๆ จางหายไปเมื่อเขาก้าวลึกลงไปในความมืดมิดของทางลับที่อับชื้น ความหวาดกลัวเข้าเกาะกุมหัวใจ แต่คำพูดของบิดาที่สั่งให้เขาต้องรอดและสืบหาความจริงยังคงก้องอยู่ในโสตประสาท เป็นดั่งแสงเทียนริบหรี่ในความมืดมิด
เขาเดินไปตามทางลับที่มืดมิดและแคบเพียงลำพัง ไม่รู้ว่าปลายทางจะพาไปที่ใด ไม่รู้ว่าตัวเองจะรอดชีวิตหรือไม่ สิ่งเดียวที่เขารู้คือคำสั่งเสียของบิดา และความรู้สึกบางอย่างที่บอกว่าเรื่องนี้ไม่ถูกต้องความเจ็บปวดและความโกรธเคืองเล็กๆ เริ่มก่อตัวขึ้นในจิตใจของเด็กชายวัยแปดขวบ เป็นเมล็ดพันธุ์แห่งการแก้แค้นและการตามหาความจริงที่กำลังจะหยั่งรากลึกในหัวใจของเขา
ตอนที่ 65บทสรุปแห่งรักและการเริ่มต้นใหม่หลังจากที่หลี่เทียนอี้และไป๋ซูเจินได้คลี่คลายปริศนาในอดีตของหลี่มู่ไป๋และมู่หรงชิง และได้รับรู้ถึงความจริงเกี่ยวกับพรรคเงาอสูรแล้ว พวกเขาก็ตัดสินใจที่จะใช้เวลาช่วงหนึ่งอยู่ในหมู่บ้านเมฆาเงียบสงบ เพื่อฟื้นฟูจิตใจและวางแผนสำหรับอนาคตแม้ว่าตระกูลไป๋จะยิ่งใหญ่และร่ำรวย แต่ไป๋ซูเจินก็ไม่ได้ปรารถนางานแต่งงานที่หรูหราอลังการ สิ่งที่นางต้องการคือความเรียบง่ายและอบอุ่น และหลี่เทียนอี้ก็เห็นด้วยกับนางอย่างเต็มที่ด้วยความเห็นชอบจากประมุขไป๋ที่เดินทางมาถึงหมู่บ้านเมฆาเงียบสงบในภายหลัง และการจัดเตรียมงานของมู่หรงชิง งานแต่งงานเล็กๆ ของหลี่เทียนอี้และไป๋ซูเจินจึงถูกจัดขึ้นอย่างอบอุ่นและเป็นกันเองในหมู่บ้านเมฆาเงียบสงบแขกในงานมีเพียงคนสนิทและชาวบ้านที่รักใคร่ หลี่ฟงและเฒ่าจันทร์เองก็เดินทางมาร่วมงานด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม บรรยากาศภายในงานเต็มไปด้วยความสุข เสียงหัวเราะ และการอวยพรจากใจจริงของทุกคนไป๋ซูเจินในชุดเจ้าสาวสีขาวสะอาดตา งดงามราวกับเทพธิดา นางเดินเข้ามาในลานบ้านที่ถูกประดับประดาอย่างเรียบง่ายแต่สวยงาม เคียงข้างหลี่เทียนอี้ในชุดเสื้อผ้าธรรมดาแต่ดูสง
ตอนที่ 64การกลับบ้านในเมืองเหมันต์ หลี่เทียนอี้รู้สึกว่าเขาจำเป็นต้องกลับไปที่หมู่บ้านเมฆาเงียบสงบอีกครั้ง เพื่อแบ่งปันเรื่องราวทั้งหมดให้พ่อแม่ฟัง และที่สำคัญที่สุด คือการพาไป๋ซูเจินผู้เป็นที่รักกลับไปแนะนำให้พวกท่านได้รู้จัก การเดินทางครั้งนี้เต็มไปด้วยความคาดหวังและความอบอุ่นในหัวใจของทั้งสองคนหลี่เทียนอี้และไป๋ซูเจินออกเดินทางจากเมืองเหมันต์ มุ่งหน้าสู่หมู่บ้านเมฆาเงียบสงบ การเดินทางครั้งนี้แตกต่างจากครั้งก่อน ๆ ที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายและอันตราย บัดนี้มันคือการเดินทางกลับบ้าน สู่ความสงบสุขและอ้อมกอดของครอบครัว แม้จะมีเรื่องราวหนักอึ้งในอดีตที่รอการคลี่คลาย แต่การได้อยู่เคียงข้างไป๋ซูเจินทำให้หลี่เทียนอี้รู้สึกเข้มแข็งและพร้อมเผชิญหน้ากับทุกสิ่งระหว่างทาง หลี่เทียนอี้เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับหมู่บ้านเมฆาเงียบสงบให้ไป๋ซูเจินฟังอย่างละเอียด เล่าถึงชีวิตที่เรียบง่าย การฝึกฝนวรยุทธ์ภายใต้การดูแลของบิดา และความรักความอบอุ่นที่มารดามอบให้ ไป๋ซูเจินตั้งใจฟังทุกถ้อยคำ นางรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้พบกับหลี่มู่ไป๋และมู่หรงชิง ผู้เป็นต้นแบบของคุณธรรมและความสามารถที่หล่อหลอมให้หลี่เทียนอี้เป็นบ
ตอนที่ 63ร่องรอยของอดีตหลังจากใช้เวลาหลายเดือนในการช่วยเหลือผู้คนและสร้างชื่อเสียงที่ดีงามในยุทธภพในฐานะ "คู่รักจอมยุทธ์ผู้ทรงคุณธรรม" หลี่เทียนอี้และไป๋ซูเจินก็ได้เดินทางมาถึงเมืองใหญ่อีกแห่งหนึ่งที่ชื่อว่า เมืองเหมันต์ ซึ่งเป็นเมืองที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์และเป็นศูนย์กลางการค้าที่คึกคัก แม้ว่าชีวิตของพวกเขาจะเต็มไปด้วยความสุขจากการได้ทำสิ่งดีๆ และความรักที่มั่นคงต่อกัน แต่โชคชะตาก็มักจะนำพาสิ่งที่ไม่คาดฝันมาให้เสมอ และในครั้งนี้ หลี่เทียนอี้กำลังจะได้เผชิญหน้ากับ ร่องรอยบางอย่างจากอดีตของพ่อแม่ ที่เขาไม่เคยล่วงรู้มาก่อนเมื่อก้าวเข้าสู่เมืองเหมันต์ หลี่เทียนอี้รู้สึกถึงความคุ้นเคยแปลกๆ ราวกับว่าเขาเคยมาที่นี่มาก่อน ทั้งที่ในความทรงจำของเขาไม่เคยมีภาพเมืองนี้อยู่เลย กลิ่นอายของปราณที่แข็งแกร่งและแฝงด้วยความเยือกเย็นบางอย่างที่อบอวลอยู่ในอากาศ ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย“ท่านหลี่เทียนอี้ ดูเหมือนเมืองนี้จะมีความพิเศษบางอย่างนะเจ้าคะ” ไป๋ซูเจินสังเกตเห็นท่าทีของเขา นางมีความละเอียดอ่อนและรับรู้ถึงพลังปราณบางอย่างได้ดีเช่นกัน“ข้าก็รู้สึกเช่นนั้นขอรับไป๋ซูเจิน” หลี่เทียนอี้ตอ
ตอนที่ 62บทบาทใหม่ในยุทธภพหลังจากความรักได้รับการยอมรับจากประมุขไป๋และคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ใต้แสงจันทร์ ณ เมืองจินหลิง ชีวิตบทใหม่ของหลี่เทียนอี้และไป๋ซูเจินก็ได้เริ่มต้นขึ้น พวกเขาไม่ได้จมปลักอยู่กับความสุขส่วนตัวเพียงอย่างเดียว หากแต่เลือกที่จะก้าวเดินบนเส้นทางแห่งคุณธรรมร่วมกัน นำวิชาความรู้และจิตใจที่เปี่ยมด้วยเมตตาออกไปช่วยเหลือผู้คนในยุทธภพที่กว้างใหญ่ไพศาล สร้างบทบาทใหม่ในฐานะ คู่รักจอมยุทธ์ผู้ทรงคุณธรรมหลี่เทียนอี้และไป๋ซูเจินไม่ได้รีบร้อนที่จะสร้างชื่อเสียงอันโด่งดัง หรือก่อตั้งสำนักใหญ่โตดุจสำนักอื่น ๆ ในยุทธภพ พวกเขาเริ่มต้นจากการช่วยเหลือผู้คนในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่พบเจอระหว่างการเดินทาง ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขาถนัดและเชื่อมั่นในคุณค่าของมันพวกเขาออกเดินทางจากเมืองจินหลิง มุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านและเมืองเล็ก ๆ ที่อยู่ห่างไกลความเจริญและมักถูกละเลยจากสำนักใหญ่ ๆ เหล่านั้นครั้งหนึ่ง พวกเขาได้เดินทางไปถึงหมู่บ้านชายแดนแห่งหนึ่ง ซึ่งกำลังประสบปัญหาจากภัยแล้งอย่างหนัก ผู้คนอดอยากและเจ็บป่วยล้มตายจำนวนมาก“ท่านหลี่เทียนอี้ ชาวบ้านเหล่านี้เดือดร้อนหนักมากเจ้าค่ะ” ไป๋ซูเจินกล่าวด
ตอนที่ 61การยอมรับและเส้นทางที่เลือกหลังเหตุการณ์วุ่นวายในเมืองจินหลิง ที่หลี่เทียนอี้และไป๋ซูเจินร่วมมือกันปกป้องเมืองจากเงื้อมมือของสำนักเงาดำ ความกล้าหาญและคุณธรรมของทั้งคู่เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาคนทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อประมุขไป๋ผู้เป็นบิดาของไป๋ซูเจิน การกระทำของพวกเขาในครั้งนี้ไม่เพียงแต่ช่วยชีวิตผู้คนจำนวนมาก แต่ยังเป็นการเปิดประตูสู่การยอมรับความรักของทั้งคู่ ที่ต้องเผชิญกับอุปสรรคมาอย่างยาวนานหลังจากความสงบกลับคืนสู่เมืองจินหลิง ประมุขไป๋ได้เรียกหลี่เทียนอี้และไป๋ซูเจินมาพบเป็นการส่วนตัวในห้องโถงใหญ่ของจวน ใบหน้าของเขาไม่ได้แสดงความโกรธเคืองหรือความไม่พอใจเหมือนเช่นเคย หากแต่เต็มไปด้วยความนับถือและความสำนึกผิด“ท่านหลี่เทียนอี้” ประมุขไป๋เริ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงกว่าครั้งก่อนมาก “ในวันนี้ ข้าได้เห็นกับตาแล้วว่าท่านเป็นบุรุษเช่นไร”เขาถอนหายใจช้าๆ “ข้าเคยผิดพลาดที่มองคนแต่เพียงเปลือกนอก และดูถูกท่านด้วยฐานะอันต่ำต้อย” ประมุขไป๋เดินเข้าไปหาหลี่เทียนอี้ แล้ว โค้งคำนับเล็กน้อย “ข้าขออภัยท่านด้วยใจจริง ที่เคยดูหมิ่นท่านและทำให้ท่านกับบุตรสาวของข้าต้องเจ็บปวด”หลี่เที
ตอนที่ 60 บทพิสูจน์แห่งรักการกลับมาพบกันอีกครั้งที่เมืองจินหลิง ท่ามกลางสถานการณ์การบุกโจมตีของโจรป่า ทำให้หลี่เทียนอี้และไป๋ซูเจินได้ยืนยันความรู้สึกในใจของกันและกัน แม้จะไม่มีคำพูดใดเอ่ยออกมาอย่างชัดเจน แต่สายตาที่สื่อถึงกันก็เพียงพอแล้วที่จะบอกว่าความรักของพวกเขายังคงมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง แต่โลกภายนอกที่กว้างใหญ่ไม่ได้มีเพียงความรักที่สวยงาม การเผชิญหน้าครั้งนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของบททดสอบครั้งใหญ่ ที่พวกเขาจะต้องพิสูจน์ความรักของตนเองและสิ่งที่ยึดมั่นร่วมกันหลังจากเหตุการณ์โจรป่าบุกโจมตี ประมุขไป๋ก็จำต้องยอมรับฝีมือและคุณธรรมของหลี่เทียนอี้ที่ปรากฏให้เห็นในวันนี้ แต่เขาก็ยังคงไม่ยอมรับหลี่เทียนอี้ในฐานะบุตรเขยของตระกูลไป๋ และยังคงยืนกรานที่จะให้ไป๋ซูเจินแต่งงานกับคุณชายหลินอยู่ดีหลี่เทียนอี้และไป๋ซูเจินจึงตัดสินใจที่จะพูดคุยกันอย่างเปิดอก ณ สถานที่ลับแห่งหนึ่งในเมืองจินหลิง“ท่านหลี่เทียนอี้” ไป๋ซูเจินกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ท่านพ่อไม่ยอมรับท่าน…และท่านก็ยังคงต้องแต่งงานกับคุณชายหลิน”“ข้าจะไม่ยอมให้เรื่องนั้นเกิดขึ้นเด็ดขาดขอรับ” หลี่เทียนอี้กล่าวด้วยความมุ่งมั่น “ข้าจะพิ
Comments