งานหลักของเขาคือการตามเฝ้าเมีย งานรองคือนั่งแท่นผู้บริหาร เจอกันครั้งแรกเธอปฏิเสธเขา ครั้งที่สองเธอหาว่าเขาเป็นผู้พิการทางสายตา และครั้งที่สามคือวันแต่งงานของเขากับเธอ แต่ทั้งหมดคือแผนร้ายของเขา
View Moreค่ำคืนมหานครกรุงเทพฯ สว่างไสวราวกับดวงดาวทั้งฟ้าหล่นลงมาอยู่ในงานเดียว “Divina Haute Couture Fashion Night” งานแฟชั่นโชว์ระดับท็อปของปีที่รวบรวมเหล่าดีไซเนอร์ชื่อก้องไฮโซเซเลบริตี้นักธุรกิจ และดาราชื่อดังไว้คับคั่ง ฮอลล์หลักของโรงแรมหรูใจกลางเมืองแน่นขนัดไปด้วยผู้คนระดับแถวหน้า ไม่ว่าจะหันไปทางใดก็ล้วนเจอแต่ใบหน้าคุ้นเคยจากปกนิตยสาร
แต่ค่ำคืนนี้สายตาทุกคู่จับจ้องไปยังคนเพียงคนเดียว พรพระพาย ลูกสาวคนเดียวของ พัทธ์ธร วรานนทวัฒน์ นักธุรกิจผู้ทรงอิทธิพลแห่งวงการอสังหาริมทรัพย์ เจ้าของอาณาจักรมูลค่าหลายหมื่นล้าน และเธอหญิงสาวผู้ไม่เคยใช้เพียงแค่ชื่อเสียงของพ่อในการยืนหยัดบนโลกนี้
พรพระพาย วรานนทวัฒน์ วัย 22 ปี เพิ่งจบมาหมาดๆ เธอเริ่มทำงานในวงการบันเทิงตั้งแต่อายุ 16 ปี หญิงสาวมีใบหน้ารูปไข่ ผิวขาวนวลเนียนราวหยก ดวงตากลมโตดูหวานปนเศร้า ริมฝีปากแดงระเรื่อได้รูป มักมีหนุ่มๆ ทั้งในและนอกวงการตามจีบเสมอ
แม้จะเป็นทายาทพันล้าน แต่พรพระพายเลือกจะฝ่าทางของตัวเอง และคืนนี้เธอจะเดินในฐานะนางแบบฟินาเล่ ของแบรนด์ระดับโลก “Valentine's ROSÉ”
เสียงเพลงเริ่มเปลี่ยนจังหวะช้าลง เย้ายวนราวกับเวทมนตร์สะกดม่านแสงค่อยๆ เบี่ยงไปยังจุดศูนย์กลางของรันเวย์ร่างสูงระหงในชุดเดรสสีขาวมุกปักคริสตัลนับพันเม็ด ปรากฏท่ามกลางแสงไฟ
เธอคือความสง่างาม เธอคือจุดศูนย์กลางแห่งจักรวาล ผิวเนียนราวกับกระเบื้องเคลือบ ดวงตาคู่งามที่เปล่งประกายเยือกเย็น บ่งบอกถึงความมั่นใจเกินวัย
ริมฝีปากสีแดงไวน์ที่แย้มเพียงน้อย แต่กลับสะกดทุกลมหายใจของห้องทั้งห้อง
ทุกก้าวย่างของเธอบนรันเวย์นั้นไม่ได้เดินอยู่บนผืนพรม แต่เหมือนกำลังก้าวเดินบนความภาคภูมิในตัวเอง พรพระพายไม่ได้เพียงแค่สวย แต่เธอคือพายุแห่งเสน่ห์ทั้งสวยทั้งฉลาด และทรงพลัง
ในช่วงท้ายของโชว์ ดีไซเนอร์ดังเดินเคียงข้างเธอออกมารับปรบมือ แต่เสียงปรบมือดังกึกก้องไม่ได้มอบให้แบรนด์เพียงอย่างเดียว หากแต่ถูกส่งให้เธอผู้เป็นดั่งภาพจำของค่ำคืนนี้อย่างไม่มีใครเทียบ
ค่ำคืนนี้ไม่มีใครไม่พูดถึงพรพระพาย ลูกสาวของนักธุรกิจแถวหน้านางแบบฟินาเล่ หญิงสาวผู้เป็นดังสัญลักษณ์ของคำว่าเพอร์เฟกต์
“ไม่รู้ยัยเด็กนั่นมีอะไรดีคนถึงได้พากันหลงนักหนา” วีนัสจ้องมองสาวรุ่นน้องที่ได้เป็นดาวเด่นของานนี้
“นี่แหละที่ว่าเกิดมาบนกองเงินกองทองอะไรเป็นใจไปหมด” เฌอเอมอิจฉาวาสนาของพรพระพายไม่น้อย
“อย่าให้รู้ว่าใช้เต้าไต่ขึ้นมาจะเหยียบซ้ำเลย”
สองสาวพูดคุยกันสนุกสนานเพราะอิจฉาในความสามารถของอีกฝ่าย ไม่ว่าจะทำอะไรก็เป็นขาขึ้นไป
“พวกเธอนี่นะหุบปากไว้กินข้าวเถอะย้ะ แก่กะโหลกกะลา” ลิลลี่สาวสองผู้จัดการส่วนตัวของพรพระพายได้ยินเข้า จึงอดไม่ไหวที่จะจัดการพวกชอบเม้าท์คนอื่น
“ว้าย อีกะเทยตกใจหมดใครแก่ห๊ะ”
“พวกฉันเพิ่งจะ 30 เอง”
“เห็นชอบจับกลุ่มคุยกันเหมือนป้าข้างบ้าน”
“นี่แก...” วีนัสอยากจะกรีดร้องใส่หน้า
หลังจบโชว์สุดตระการตาพรพระพายเดินกลับมาหลังเวทีพร้อมเสียงปรบมือและสายตาชื่นชมจากทุกทิศทาง ผู้จัดการส่วนตัวรีบเข้ามาหาด้วยรอยยิ้มและขวดน้ำแร่ในมือ
“เหนื่อยไหม”
หญิงสาวรับขวดน้ำมาถือไว้ แต่เพียงยิ้มบางๆ แล้วส่ายหน้าเบาๆ
“ไม่เลยค่ะแค่นิดเดียวเองสบายมาก” พรพระพายกระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะหันหลังเดินไปทางห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ปล่อยให้ผู้จัดการยืนหัวเราะเบาๆ ตามหลัง
ขณะรอหญิงสาวเปลี่ยนชุดอยู่ด้านนอก ผู้จัดการเปิดมือถือขึ้นมาไถฟีดข่าวตามปกติ แต่ทันทีที่พาดหัวข่าวสีแดงแจ่มวาบขึ้นบนหน้าจอ หัวใจของเขาก็เต้นสะดุด
“พัทธรา กรุป ส่อแววล้ม! นักธุรกิจยักษ์ใหญ่อาจเผชิญภาวะล้มละลายหลังขาดทุนต่อเนื่อง 4 ไตรมาส”
สายตาของลิลลี่เบิกกว้าง มือสั่นเล็กน้อยขณะเลื่อนอ่านรายละเอียด เป็นชื่อบริษัทของครอบครัวพรพระพายจริงๆ ข่าวระบุชัดถึงการสูญเสียดีลลงทุนระดับพันล้าน และการถอนตัวของพาร์ตเนอร์หลักจากต่างประเทศ
เสียงเปิดประตูห้องเปลี่ยนชุดดังขึ้นข้างหลัง พรพระพายในชุดเดรสเรียบง่ายสีขาวเดินออกมา ผมยาวสยายดูผ่อนคลายหลังงานใหญ่
“มีอะไรเหรอคะ? ทำไมทำหน้าแบบนั้น”
ผู้จัดการเก็บสีหน้าแทบไม่ทันรีบดับหน้าจอมือถือทันที แต่สายตาของพรพระพายก็ไวพอจะเห็นหัวข่าวคร่าวๆ
“เมื่อกี้ข่าวอะไรคะได้ยินเหมือนข่าวของปะป๊าเลย” เธอถามนิ่งๆ เสียงเรียบแต่เยือกเย็น
“ไม่มีอะไรหรอกแต่งตัวเสร็จแล้วเรากลับกันดีกว่า”
เธอพรพระพายสังเกตเห็นว่าผู้คนรอบข้างมองมาที่เธอและซุบซิบกัน และในวินาทีนั้นหัวใจของหญิงสาวก็เริ่มรู้สึกหนักขึ้นอย่างไม่มีสาเหตุ
“จะกลับแล้วเหรอยัยคุณหนูตกอับ” วีนัสได้ยินข่าวเลยรีบมาซ้ำเติม ไม่คิดว่าจะมาถึงวันนี้
“หุบปากของหล่อนซะ” ลิลลี่ไม่อยากให้พรพระพายเครียดจึงยังไม่ยอมบอกเรื่องข่าว
“ตกอับอะไรคะ”
“แหม๋~ รับไม่ได้นะสิที่กำลังจะไม่เหลืออะไรต่อไปอาจจะต้องใช้อย่างอื่นทำงานแลกเงินแล้ว” เฌอเอมหัวเราะบนความทุกข์ของคนอื่น เพราะหวังแค่จะขึ้นมาเป็นที่หนึ่งแทน
“พวกเธอเงียบเลยนะไม่อย่างนั้นฉันจะเอาขนมอุดปากแทน” ลิลลี่โมโหสองสาว
“อีกะเทยเสียใจละสิที่กำลังจะไม่มีงาน”
“เจ้ลิลลี่เกิดอะไรขึ้น” เธอถามด้วยความสงสัย
พรพระพายยืนนิ่งอยู่หน้าจอมือถือ สีหน้าของเธอแปรเปลี่ยนในพริบตาพาดหัวข่าวตัวหนา “พัทธรา กรุป กำลังเผชิญวิกฤติ” ซ้ำไปซ้ำมาในหัว
เธอกำโทรศัพท์แน่นจนข้อนิ้วซีดไม่รอให้ใครพูดหรือทักต่อ หญิงสาวคว้ากระเป๋ารีบเดินฝ่าเหล่าผู้จัดการทีมงาน และนางแบบคนอื่นออกจากแบ็กสเตจทันที
แต่ก่อนจะพ้นประตูเสียงเยาะเย้ยเบาๆ จากอีกมุมหนึ่งก็ดังขึ้นพอให้ได้ยิน
“อ้าว พายจะรีบไปไหนน่ะหรือรีบกลับไปเก็บของก่อนโดนยึดบ้าน?” เสียงหวานติดเหน็บจากเฌอเอมดังขึ้นไม่หยุดตามด้วยหัวเราะหยัน
“โอ๊ย นางแบบลูกเศรษฐีเค้าก็มีวันนี้เหมือนกันสินะ” วีนัสเสริมคำ
“ดูไว้นะวีนัสคนสวยไม่ได้รอดทุกคนหรอก ถ้าฐานะพัง วันหนึ่งอาจต้องลดตัวไปเป็นของประมูลก็ได้นะ ฮ่าๆๆ!”
เสียงหัวเราะแหลมๆ ดังตามหลังมาเป็นระลอก แต่พรพระพายไม่หันกลับไปมองแม้แต่นิด เธอเดินตรงออกไปท่ามกลางเสียงซุบซิบนินทาและสายตาหลายคู่ที่เริ่มเปลี่ยนไปจากเดิม
คนเคยชื่นชมวันนี้อาจเป็นคนที่เหยียบซ้ำ ที่รีบออกมาไม่ใช่เพราะความอาย แต่เพราะคำว่าพ่อกำลังตกอยู่ในจุดที่เธอไม่เคยคิดว่าจะได้เจอมาก่อน
.
เสียงหัวเราะคิกคักของหญิงสาวข้างกายดังก้องในห้องวีวีไอพีสุดหรูในผับใจกลางเมือง เธอแทบจะซุกตัวแนบกับอกเขา มือบางลูบไล้ไปตามแผ่นอกเปลือยเปล่า ขณะที่ไทเกอร์ นั่งเอนหลังบนโซฟากว้าง ดวงตานิ่งเฉยแม้ใบหน้าจะปรากฏรอยยิ้มบาง
มืออีกข้างของเขายังล้วงเข้าไปในชุดเดรสรัดรูปของหญิงสาว ปลายนิ้วไล้เบาๆ ราวกับจะฆ่าเวลาด้วยความเบื่อหน่าย
“เหอะ สภาพเศรษฐีอันดับต้นๆ ของประเทศเหลือแค่เงา” เสียงของคิงตัน เพื่อนสนิทอีกคนดังขึ้นพลางวางแท็บเล็ตลงบนโต๊ะกระจก
“ลูกค้าต่างชาติรายใหญ่ถอนตัว แล้วไปเซ็นสัญญากับบริษัทใหม่ในเครือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” เอเดน อ่านเนื้อข่าวต่อด้วยน้ำเสียงประชด
ไทเกอร์ไม่พูดอะไรเขาเพียงยกแก้ววิสกี้ขึ้นจิบเบาๆ ดวงตาคมดูล่องลอยไปยังวิวกลางคืนของกรุงเทพฯ ผ่านกระจกใส
“บริษัทใหม่ที่ว่าใช่ของมึงใช่ไหมวะไทเกอร์” คิงตันเหล่มองอย่างรู้ทัน
ชายหนุ่มยิ้มนิดเดียวเป็นรอยยิ้มบางเฉียบ เยือกเย็นแต่เฉียบขาด ก่อนจะก้มลงกระซิบข้างหูหญิงสาวที่ยังแนบชิดอยู่บนตัก
“อย่าเพิ่งหยุดสิ ที่รักคืนนี้ยังอีกยาว”
มือหนายังลูบไล้เรื่อยๆ ขณะที่ดวงตาของเขาแฝงไว้ด้วยความเย็นชาไร้ความรู้สึก เพราะการที่พัทธรากรุปกำลังจะล่มสลายไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นสิ่งที่เขาตั้งใจ
“เฮ้ยมึงหยุดล้วงก่อน”
“ใช่แล้วจะทำไมวะ” เขาตอบแบบไม่รู้สึกผิด
“ถ้าป๊ามึงรู้คอขาดแน่ นั่นเพื่อนพ่อเลยนะโว๊ย” เอเดนอึ้งไม่คิดว่าเพื่อนจะทำแบบนี้
“บริษัทกูไม่ใช่ของพ่อกู เพื่อนพ่อกูไม่ใช่เพื่อนกู” เขาก่อตั้งบริษัทใหม่หวังทำงานแข่งกับผู้เป็นพ่อ คนที่เขาต้องล้มให้ได้คือพัทธรากรุป และเขาก็ทำมันได้สำเร็จ
“สาธุ ขอให้ป๊ามึงเข้าไปช่วยและขอให้แม่อัญญาจับลูกสาวของอีกฝ่ายมาแต่งงานเพื่อใช้หนี้ด้วยเถอะ” คิงตันยกมือไหว้ท่วมหัว
“กูไม่เอาแม่นางแบบเด็กนั่นหรอก ไม่ชอบเด็กโว้ยย” ใช่ว่าเขาไม่เคยเจอ เขาเจอเธอออกจะบ่อยตามป้ายโฆษณา และในงานอีเว้นท์ต่างๆ แต่เขาไม่ชอบความหยิ่งยโสนั้น ผู้หญิงครึ่งค่อนประเทศอยากครอบครองเขา แต่อีกฝ่ายทำเป็นเมินและปฏิเสธการนัดออกเดตกับเขา ไทเกอร์จึงอคติกับอีกฝ่ายเรื่อยมา
“เสียหน้าที่นัดเดตแล้วเขาปฏิเสธ?”
“ตอนนั้นน้องเพิ่งจะ 18 เอง มึงจะพรากผู้เยาว์เอา” เอเดนรู้เรื่องนี้มาจากลูกน้องของไทเกอร์
“คุกสำหรับกูก็แค่คุกกี้เสี่ยงทาย” ไทเกอร์หัวเราะชอบใจ และก้มคลอเคลียสาวสวยต่อโดยไม่สนสายตาของเพื่อนสักนิด
“อุ้ยคุณไทเกอร์ขา~”
“เราไปห้องเชือดกันดีกว่าคืนนี้ผมจะทำให้คุณคลานลงจากเตียงเลย”
สองหนุ่มสาวพากันเดินออกจากห้องไป จุดหมายปลายทางคือห้องลับในผับหรู ที่มีไว้สำหรับลูกค้าที่กระเป๋าหนัก
เสียงร้องไห้ลั่นบ้านดังแข่งกันราวกับวงดนตรีประสานเสียงยามบ่าย เสียงเด็กน้อยร้องลั่นพร้อมกันจนทำให้คนเป็นพ่อที่ได้ยินถึงกับตกใจ“แง๊งงงงงงงงงงง!!”“อ๊าาาาาาาา!!”ไทเกอร์รีบวิ่งพรวดเข้ามาในห้องนอนลูก เห็นภาพลูกชายฝาแฝดวัยหนึ่งขวบร้องพร้อมกันจนหน้าแดงก่ำ เขารีบอุ้มคนพี่ขึ้นมาก่อน น้องไทก้าตัวโยนเกาะคอพ่อไว้แน่นร้องเสียงดังไม่ยอมเงียบแม้แต่วินาทีเดียว“โอ๋ๆๆๆ ไทก้าใจเย็นลูก ใจเย็นนะครับ” ไทเกอร์พยายามกล่อม แต่เสียงร้องกลับยิ่งดังขึ้นเหมือนตั้งใจแข่งกับพ่อขณะเดียวกัน น้องจากัวร์ที่นอนอยู่ในเปลก็ไม่ยอมแพ้ ร้องจ้าตามพี่ชายน้ำตาคลอจนแก้มเปียกชุ่มไปหมดเขาถึงกับปวดขมับยกมืออีกข้างกุมหัวตัวเอง นี่มันนรกดนตรีเสียงเด็กเวอร์ชันฝาแฝดชัดๆ ไม่น่าอยากได้ลูกหลายคนเลย เหมือนสวรรค์จะได้ยินในสิ่งที่เขาพูดส่งลูกชายมาพร้อมกันถึงสองคน“โธ่เมียจ๋าช่วยพี่ที!!” เสียงทุ้มตะโกนลั่นบ้านเหมือนขอความช่วยเหลือฉุกเฉิน เขาพยายามโยกตัวปลอบ แต่ยิ่งอุ้มไทก้าเสียงก็ยิ่งแหลมสูงขึ้น ส่วนจากัวร์ก็กระแทกเปลเหมือนประท้วงว่า ไม่ยอมให้พ่ออุ้มแต่พี่คนเดียว สุดท้ายไทเกอร์ถอนหายใจยาว ๆ ก่อนบ่นเสียงอ่อย “ให้ตายเถอะจะไปทำหมันเ
บนโซฟาหนังสีเข้มกลางห้องรับแขก ชายหนุ่มร่างสูงที่เคยชินกับการเป็นมาเฟีย กลับต้องนอนพาดแขนอย่างหมดแรงเพราะกำลังถูกเจ้านายตัวน้อยเล่นงานอยู่“อื้อออ ทิกเกอร์...” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยออกมาแผ่วๆ พร้อมกับขมวดคิ้ว เมื่อร่างเล็กวัย 10 เดือนของน้องทิกเกอร์ กำลังปีนป่ายจากท้องพ่อขึ้นไปบนอกอย่างเอาเป็นเอาตายสองมือเล็กเกาะเสื้อพ่ออย่างมั่นคง ก่อนจะหัวเราะคิกคัก แล้วลงไปนั่งเต็มแรงบนหน้าไทเกอร์พอดี“โอ๊ยยย ลูกกก! นั่นหน้าป๊านะไม่ใช่เบาะเด้งดึ๋งสักหน่อย” แต่เจ้าเด็กน้อยกลับหัวเราะลั่น น้ำลายยืดเล็กๆ หยดลงบนแก้มพ่อเหมือนของฝากพิเศษไทเกอร์นอนตัวเกร็งไม่กล้าขยับแรง กลัวลูกจะหงายหลังตกไป เจ็บแค่ไหนก็ต้องทน ทั้งที่ในใจได้แต่พร่ำบ่นเรียกชื่อภรรยาซ้ำๆ“พายเมื่อไหร่จะกลับมา ซื้อของนี่นานจังเลยใจพี่จะขาดแล้วเนี่ย” เขายอมรับคนที่เลี้ยงลูกเองยี่สิบสี่ชั่วโมง เป็นคนที่เกร็งมากทิกเกอร์ยังคงหัวเราะคิกๆ พลางกระดึ๊บตัวขึ้นไปนั่งคร่อมหน้าพ่ออีกครั้ง คราวนี้ถึงกับดีดขาเล็กๆ เหมือนจะกระโดดต่อย้ำๆ“โธ่เว้ยป๊าเป็นมาเฟียที่ใครๆ ก็เกรงขาม ทำไมวันนี้ถึงต้องมาถูกลูกชายจับกดอยู่บนหน้าแบบนี้นะ” เขาพึมพำในใจอย่างปลงตกสุดท้าย
เมื่อกลับมาถึงบ้านพรพระพายสูดลมหายใจลึก ก่อนจะเดินเข้าไปแล้วโผกอดเขาแน่นเหมือนกลัวว่าถ้าปล่อยมือความรู้สึกนี้จะหายไป“หายไม่คิดเลยว่าเราจะมาถึงจุดนี้ได้” เสียงเธอสั่นเล็กน้อย แขนแข็งแรงของเขาคลายความเกร็งลง กอดตอบเธอแน่นขึ้น ความเงียบแผ่วผ่านไปชั่วอึดใจ ก่อนที่เสียงทุ้มต่ำจะดังขึ้นข้างหู“ต้องเป็นพี่มากกว่าที่ต้องพูดประโยคนั้น” เขาเอ่ยช้าๆ ราวกับกลั่นออกมาจากหัวใจ พรพระพายเงยหน้ามองเขา ดวงตาคู่สวยพราวด้วยน้ำตาแต่เต็มไปด้วยความสุข“พี่จะไม่สัญญา เพราะสัญญามันอาจไม่มีค่าอะไรเลย แต่พี่จะทำให้พายเห็นด้วยตาของพายเอง ว่าพี่รักพายมากแค่ไหน และพี่จะทำทุกอย่างให้ดีที่สุด เพื่อไม่ให้พายเสียใจอีก” ไทเกอร์ยกมือขึ้นลูบแก้มเธอเบาๆ ก่อนจะกดจูบลงบนหน้าผากอย่างแผ่วอ่อน“พายรักพี่ไทเกอร์นะคะ”ไทเกอร์โน้มตัวลงช้าๆ ปลายนิ้วสากประคองใบหน้าหญิงสาวให้แหงนรับสัมผัส ก่อนริมฝีปากร้อนจะกดลงบนกลีบปากนุ่มของพรพระพายจูบครั้งนี้ไม่รีบร้อน แต่เต็มไปด้วยความรู้สึกที่อัดแน่น เขาต้องการบอกทุกสิ่งผ่านสัมผัสเดียวว่ารักและหวงแค่ไหน เธอเผลอหลับตารับความอบอุ่นนั้นอย่างเต็มหัวใจ“เอ่อ...นายน้อยครับ” เสียงหนึ่งดังขึ้นขัดจังหว
พรพระพายนั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียงมาตลอดทั้งคืน ดวงตาแดงก่ำเพราะร้องไห้และไม่ได้นอน แต่เธอไม่แม้แต่จะกะพริบตานานๆ เพราะกลัวจะพลาดช่วงเวลาที่เขาฟื้นกระทั่งนิ้วมือหนาที่วางอยู่บนเตียงขยับเล็กน้อย เปลือกตาของไทเกอร์ค่อยๆ เปิดขึ้นดวงตาคมที่เต็มไปด้วยความแข็งแกร่งแม้จะอ่อนแรงจากบาดแผลก็ยังคงเหมือนเดิม“พาย” เสียงแหบพร่าดังขึ้นแผ่วเบาพรพระพายชะงักหันขวับไปมอง พอเห็นเขาลืมตา น้ำตาก็ไหลพรากทันทีร่างบางโผเข้าหา จับมือหนาขึ้นมากุมแน่น“พี่ไทเกอร์! ฮึก พี่ฟื้นแล้วพายกลัวเหลือเกิน กลัวว่าพี่จะไม่ตื่นขึ้นมาอีก” เสียงของเธอสะอื้นปนสั่น เธอก้มลงซบอกเขาอย่างไม่อายใครน้ำตาเปียกซึมเสื้อคนเจ็บแม้ร่างกายยังอ่อนแรง แต่ไทเกอร์ก็พยายามยกมืออีกข้างขึ้นลูบเส้นผมของเธอช้าๆ สายตาอ่อนโยนเต็มไปด้วยความห่วงใย“ไม่ร้องนะ พี่ไม่เป็นอะไรแล้วพี่อยู่ตรงนี้แล้วพายทำไมไม่กลับบ้านแล้วเจ้าตัวเล็กเป็นยังไงบ้าง”“ลูกปลอดภัยดีค่ะ”“ทุกอย่างเป็นเพราะพาย ถ้าไม่ใช่เพราะพายพี่คงไม่ต้องมาเจ็บหนักแบบนี้”ไทเกอร์นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนบีบมือเธอเบาๆ ดวงตาคมแน่วแน่เต็มไปด้วยความจริงจัง“ฟังพี่นะ เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของพาย คนที่ผิดคือไอ้พว
แสงอาทิตย์ยามเย็นคล้อยต่ำท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีจาก ถนนที่พรพระพายขับรถกลับบ้านมีเพียงรถวิ่งสวนมาเป็นระยะๆ หญิงสาวเพิ่งแยกจากเพื่อนสนิทและตั้งใจจะรีบกลับไปพักผ่อน แต่ไม่นานหลังจากนั้นก็รู้สึกถึงสายตาที่มองตามมาเธอสังเกตผ่านกระจกมองหลัง รถกระบะสีดำคันหนึ่งขับตามมาติดๆ ระยะห่างไม่มากนักหัวใจของพรพระพายเริ่มเต้นแรงขึ้น“หรือเราคิดไปเอง” เธอพยายามปลอบตัวเอง แต่เมื่อเลี้ยวเข้าซอยรถคันนั้นก็เลี้ยวตามเธอใจหายวาบ ความรู้สึกไม่ปลอดภัยท่วมท้นพรพระพายเหยียบคันเร่งเพิ่มความเร็ว พยายามหาทางหนี แต่แล้วจู่ๆ ก็มีรถอีกคันพุ่งตัดหน้าอย่างจงใจ เธอตกใจจนแทบหยุดหายใจรีบเหยียบเบรกสุดแรง ล้อเสียดสีกับพื้นถนนดังเอี๊ยดกลิ่นไหม้ลอยขึ้นมา รถหยุดลงได้อย่างหวุดหวิดมือเรียวสั่นเทากำพวงมาลัยแน่นจนข้อนิ้วขาวซีด หัวใจเต้นโครมครามพรพระพายพยายามตั้งสติ ก่อนรีบคว้าโทรศัพท์มือถือขึ้นมากดโทรออกไปหาเพียงคนเดียวที่เธอไว้ใจ“คุณไทเกอร์ ฮึก ช่วยพายด้วย...” เสียงของเธอสั่นเครือแทบขาดใจ“อยู่ไหน ตอนนี้พายอยู่ตรงไหน บอกมาเดี๋ยวนี้!” ปลายสายเงียบไปชั่วอึดใจ ก่อนตามมาด้วยเสียงทุ้มจริงจังเธอรีบแจ้งตำแหน่งด้วยเสียงสะอื้น ไ
ค่ำคืนที่เงียบสงัดบรรยากาศเงียบสงัดจนได้ยินเสียงลมหายใจตัวเอง ไทเกอร์นั่งอยู่หน้าบ้านไม่ยอมไปไหน ดวงตาคมจับจ้องไปยังประตูเหมือนเฝ้ารอใครบางคนอย่างไม่ยอมแพ้พรพระพายยืนนิ่งอยู่หลังบานประตูไม้ เธอสูดหายใจเข้าลึก ความลังเลปนความเจ็บปวดกดทับอยู่เต็มอก สุดท้ายก็ตัดสินใจบิดกลอนออกมา เธอก้าวออกไปช้าๆ แววตานิ่งสงบแต่ภายในกลับสั่นคลอน “พาย...”“ที่พายขอหย่า มันแปลว่าพายไม่ต้องการความรับผิดชอบอะไรจากคุณอีกแล้ว ขอแค่คุณยอมปล่อยพายไปโดยดีแค่นั้นพอ” เธอเอ่ยเสียงเรียบแต่ภายในหัวใจนั้นเจ็บปวดแค่ไหนหัวใจของไทเกอร์สะท้านเขาก้าวเข้ามาหนึ่งก้าว ดวงตาสั่นไหวเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ไม่เคยเปิดเผยมาก่อน เขาคุกเข่าลงต่อหน้าหญิงสาว“พายพี่ขอโอกาสอีกครั้งได้ไหม ที่ผ่านพี่มันละ...” เสียงทุ้มต่ำแฝงความสั่นเครือ พูดไม่ทันถูกหญิงสาวเอ่ยขึ้นเสียก่อน“พายไม่อยากเจ็บปวดอีกแล้ว พายไม่เข้าใจทำไมต้องรักผู้ชายแบบคุณด้วย” คำตอบของเธอเหมือนคมมีดกรีดลึกลงในหัวใจไทเกอร์ พรพระพายหลับตาแน่นหยดน้ำใสเอ่อคลอ เธอส่ายหน้าเบาๆ“พายพี่...”“คุณอย่าทำเหมือนรักได้ไหมพายเจ็บ ฮือ” เธอร้องไห้โฮ เพราะการกระทำของเขาเขานิ่งร
Comments