'ฉู่เหลียน' หลงรักองค์ชายทรราชอันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง ยินดีจะแต่งงานกับเขาอย่างโง่งม แม้บิดาจะกล่าวเตือน นางไม่รู้เลยว่า นั่นคือหนทางสู่ขุมนรก ถูกเขาลงทัณฑ์สวาทเจียนขาดใจ อีกทั้งยังทำให้นางเจ็บช้ำโดยแต่งอนุเข้าจวน !
View Moreณ ร้านเครื่องหอม
‘เหมยลี่’ สตรีในอาภรณ์สีขาวชมพูปักลายดอกเหมยกำลังตั้งอกตั้งใจปักลวดลายลงในถุงหอม นางเป็นเจ้าของร้านเครื่องหอมแห่งนี้ซึ่งได้รับการส่งต่อมาจากบิดา
นางจะเปิดร้านยามซวี เมื่อเก็บร้านกินข้าวเย็นเสร็จแล้ว นางก็มักจะมานั่งปักถุงสำหรับเตรียมขายในวันพรุ่งนี้
ในขณะที่นางจดจ่อกับการปักผ้า บุรุษรูปร่างสูงใหญ่ก็ค่อย ๆ ย่องเข้ามาแล้วกอดนางจากด้านหลัง
“เอ๊ะ..พี่ซ่งเทียนทำอะไรเนี่ย”
เหมยลี่สะดุ้ง แต่ไม่ตกใจมากเท่าไหร่ เพราะรู้ว่าคนรักของนางเท่านั้นที่มาในยามนี้
“คิดถึง”
ปากหนากดจูบซอกคอขาวของนางเพื่อเติมพลัง ทำเอาใบหน้าของเหมยลี่ร้อนผ่าวไปหมด
“อื้อ.... ไม่เอาเจ้าค่ะ พี่ซ่งเทียนหยุดก่อน” แขนเรียวรีบดึงแขนชายคนรักออกห่างกาย แต่อีกฝ่ายกลับโน้มใบหน้าลงมาจูบปากนางทันที
“อึก...อือ”
เหมยลี่ครางนำคอ เมื่อถูกลิ้นอุ่นดุนดันริมฝีปากบางของนางให้รับมันเข้าไป
“หืม~~”
ซ่งเทียนคำรามในอก ขณะที่ดันตัวของนางให้เอนไปกับเก้าอี้ตัวยาวอย่างง่ายดาย
“เหมยลี่ข้าคิดถึงเจ้า อยากอยู่กับเจ้าทุกวัน”
เขาพูดหลังจากละจูบออก
ใบหน้าของเหมยลี่ขึ้นสีแดงระเรื่อ ยิ้มพรายตอบรับ แค่ได้ยินคำหวานแค่นี้ก็มีความสุขมากแล้ว มองบุรุษตรงหน้าด้วยสายตาลึกซึ้ง นางไม่คิดไม่ฝันว่า องค์ชายอย่างเขาจะลดตัวมารักแม่ค้าอย่างนาง อีกทั้ง เขายังบอกกับนางว่า เมื่ออยู่ด้วยกันเพียงลำพังให้เห็นเขาเป็นเพียงบุรุษธรรมดาคนหนึ่งที่รักนางมาก ไม่ต้องมีพิธีการใด ๆ หรือไม่ต้องใช้คำราชาศัพท์เมื่อพูดกับเขา
“สีหน้าของพี่ซ่งเทียนไม่ดีเลย มีอะไรหนักใจหรือเปล่า” เหมยลี่ถามเมื่อเห็นบุรุษตรงหน้าสีหน้าเครียดจัด
ซ่งเทียนยิ้มขมขื่นมีอะไรในใจ ดึงมือของเหมยลี่ไปจูบพร้อมกับเอ่ยว่า
“สีหน้าข้าแสดงออกขนาดนั้นหรือ”
“ข้ากับท่านคบหาดูใจกันมาร่วม 3 ปีแล้ว มีหรือข้าจะอ่านท่านไม่ออก”
อีกทั้งนางยังเป็นแม่ค้าเครื่องหอม ในแต่ละวันพบผู้คนไม่น้อย จึงมีทักษะในการอ่านสีหน้าคน รวมถึงการเอาอกเอาใจอยู่ไม่น้อย
“เรื่องของเรา”
ซ่งเทียนสบตาดวงตาหวานล้ำ วันนี้ที่เขามาหานางช้ากว่าทุกวันเพราะฮ่องเต้ทรงเรียกให้เข้าเฝ้าเป็นการส่วนพระองค์ คุยเรื่องพระราชทานอภิเษกสมรสให้เขากับบุตรสาวท่านแม่ทัพ !
เขาปฏิเสธทันที แล้วโยนให้น้องรอง แต่เสด็จพ่อก็ยังยืนยันที่จะให้เขาแต่งงกับสตรีที่ไม่เคยเห็นแม้แต่หน้าตา
“พี่ซ่ง.....”
“พี่ซ่งเทียน! เป็นอะไรหรือเปล่า”
เหมยลี่เรียกอยู่หลายครั้ง เรื่องมันเครียดขนาดนั้นเลยหรือไงกัน
ซงเทียนมองหน้าเหมยลี่ ตัดสินใจบอกกับนางตรง ๆ
“ฮ่องเต้ทรงพระราชทานสมรสให้ข้ากับลูกสาวแม่ทัพฉู่”
“.......”
เหมยลี่ถึงกลับพูดอะไรไม่ออก เหมือนฟ้าผ่าลงกลางใจ ทั้ง ๆ ที่นางเตรียมตัวเตรียมใจกับเรื่องแบบนี้มานานแล้ว นางรู้ตัวดีเสมอว่า ตนเองไม่เหมาะสมที่จะเป็นพระชายาขององค์ชาย ทั้งด้วยชาติตระกูล หรืออำนาจเงินทอง นางยังไม่พร้อมที่จะสูญเสียเขาไปจึงมี ทำสีหน้าหม่นลงไป
ซ่งเทียนเองรู้ว่าสตรีในดวงใจเสียใจกับข่าวนี้มากแค่ไหน เขาจึงดึงตัวของนางไปสวมกอดเอาไว้พลางปลอบใจว่า
“เจ้าไม่ต้องห่วงนะ แม้ข้าจะแต่งงานกับนางตามคำสั่งของเสด็จพ่อ แต่ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อให้นางหย่ากับข้าให้เร็วที่สุด แล้วเมื่อถึงวันนั้น เราสองคนจะได้ครองคู่อยู่ด้วยกัน”
ซ่งเทียนพูดบอกให้เหมยลี่สบายใจ ในขณะที่นางน้ำตาไหลออกมาเงียบ ๆ
........................................................
องค์ชายซ่งเทียนปลอบประโลมเหมยลี่อยู่นาน รอจนกระทั่งส่งนางเข้านอนแล้วเขาจึงเดินออกมาหน้าร้านซึ่งมีรถม้าจอดคอยอยู่
“ไปหอบุปผา”
เสียงทุ้มสั่ง ‘เก่อหลาง’ ซึ่งเป็นทั้งองครักษ์ประจำตัว และเป็นทั้งคนขับรถม้า
ด้วยความสนิทสนมที่คอยรับใช้องค์ชายมาตั้งแต่เด็ก เขาจึงกล้าทักท้วงขึ้นว่า “องค์ชาย ข้าขอบังอาจทูล องค์ชายกำลังจะเข้าพิธีอภิเษกกับบุตรสาวของท่านแม่ทัพฉู่ หากเรื่องที่ท่านไปหอนางโลมแพร่ออกไป เกรงจะไม่เหมาะ”
ซ่งเทียนมององครักษ์คนสนิทเขาแทบจะกินหัว “ไม่เหมาะก็ไม่ต้องแต่ง ข้าไม่อยากแต่งงานกับนางอยู่แล้ว เจ้าจะขับรถม้าพาข้าไปดี ๆ หรืออยากจะถูกตัดหัว”
เก่อหลางสัมผัสได้ถึงรังสีอำมหิตที่แผ่ออกมา ก็กลืนน้ำลายเฮือก แล้วรีบเอ่ยว่า “ไปหอบุปผาขอรับ”
จากนั้น รถม้าก็วิ่งไปตามถนน จนกระทั่งถึงอาคารหลังใหญ่ ประดับประดาด้วยบุปผานานาชนิด ตกแต่งด้วยโคมไฟตระการตา สาวสวยแห่งหอบุปผาต่างยืนโบกผ้าเช็ดหน้าเรียกบุรุษเข้าไปใช้บริการ
“ถึงแล้วขอรับองค์ชาย”
เก่อหลางรายงาน พร้อมเปิดม่านประตูรถม้าเชิญให้เจ้าชีวิตลง
“เจ้าไปพักดื่มน้ำชารอข้าสักสองชั่วยาม แล้วค่อยกลับมารับข้าที่นี่”
“ขอรับ”
จากนั้น องค์ชายซ่งเทียนก็ย่างกายเข้าหอนางโลมด้วยใบหน้าบึ้งตึง
ชีวิตการแต่งงานของนางไม่ได้งดงามหอมหวานเหมือนกับที่คิดเอาไว้เลย เพราะองค์ชายรัชทายาทแห่งแคว้นฮั่นจิตวิปริต ทุกครั้งที่รวมหอกันจะต้องตบตีนางให้เจ็บตัว ยิ่งนางกรีดร้อง เขาก็ยิ่งฮึกเหิม"อะ.. องค์ชายเพคะ วันนี้หม่อมฉันระบมไปทั้งตัวแล้วนะเพคะ ปล่อยหม่อมฉันสักคืนเถิด"องค์หญิงกู่เยี่ยรีบกระทดตัวก็เข้าไปยังเตียง ตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวเมื่อเห็นสามีกระชากอาภรณ์ของตัวเองออกจนเผยให้เห็นเรือนกายกำยำเปล่าเปลือย"เจ้าคิดว่าทำผิดพลาดแล้วจะไม่ต้องรับโทษรึ คืนนี้เจ้าต้องได้รับโทษจากข้าอย่างสาสม !"สิ้นคำ เขาก็กระชากนางอย่างแรง“ว๊าย.... โอ๊ย !”แรงกระชากนั้นทำให้นางอยู่ใต้ร่างกำยำ ดวงตาของสามีเต็มไปด้วยความหื่นกระหายราวกับสัตว์ป่า ไม่มีความรักให้กับนางแม้แต่น้อย“พระชายา.... จะบ่ายเบี่ยงไปไย... เจ้าเป็นภรรยาข้า ชั่วชีวิตนี้ เจ้าต้องสนองความต้องการของข้าเท่านั้น !”สิ้นคำ เขาก็กระชากอาภรณ์ของนางออกแคว่ก !"กรี้ดดดดด อึก อื้อออ"องค์หญิงกู่เยี่ยร้องได้เพียงเท่านั้นก็ถูกสามีบดจูบอย่างรุนแรง อีกทั้งสองมือของเขายังเข้ากอบกุมทรวงอกของนางทั้งสองข้าง แล้วออกแรงเฟ้นฟอนอย่างหนักหน่วง“อึก... อื้อออ”นางได
"กระหม่อมก็เห็นด้วยกับการอภิเษกสมรสระหว่างสองแคว้นในครั้งนี้"จากนั้นทุกคนก็พร้อมใจกันเปล่งเสียงออกมาว่า"กระหม่อมเห็นด้วย ขอพระองค์โปรดราชทานพิธีอภิเษกสมรสระหว่างแคว้นฉีและแคว้นฉู่ด้วยเถิด"ฮ่องเต้ทรงพยักหน้าอย่างพอพระทัย“หากทุกท่านเห็นสมควรดังนั้นแล้ว ข้าก็จะส่งสารไปถึงฮ่องเต้แคว้นฉีขอสานสัมพันธไมตรีอภิเษกสมรส เจ้ากรมพิธีการโปรดดำเนินการจัดพิธีอย่างยิ่งใหญ่ เชิญทุกแคว้นมาร่วมงาน รวมถึงเตรียมค่าสินสอดให้มากกว่าที่แคว้นฮั่นไปสู่ขอแคว้นฉี !""รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ"เจ้ากรมพิธีการโค้งคารวะน้อมรับพระบัญชาองค์ชายเซวียนอี้ยิ้มแย้มออกมา เขารีบคุกเข่าลงต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้"ขอบพระทัยเสด็จพ่อ"ด้านหน้าท้องพระโรงหลังจากเลิกประชุมในท้องพระโรงเสร็จ ต่างฝ่ายต่างก็ไปจัดการเตรียมงานพระราชพิธีอภิเษกสมรสองค์ชายรัชทายาทเร่งฝีเท้าเข้ามาหาพระปิตุลา แล้วเอ่ยด้วยความซาบซึ้งใจว่า"ท่านอา ขอบใจท่านมากที่ช่วยทูลขอกับเสด็จพ่อ หากท่านไม่ช่วยทูล เกรงว่าเสด็จพ่อจะทรงกริ้วมากกว่านี้"เซวียนซ่งวางมือบนบ่าองค์ชายรัชทายาท พร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนเปี่ยมไปด้วยเมตตาว่า"เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น หลานอย่าใส่ใ
"เจ้ายอมแต่งงานกับข้าแล้ว !” องค์ชายเซวียนอี้ตะโกนออกมาด้วยความดีใจราวกับคนบ้า “ข้าดีใจที่สุดเล้ย... อะ... อื้ออ อู้ยยย คัน ๆ ทำไมทั้งแสบร้อนทั้งคันแบบนี้ โอ๊ย.... อู้ยย คัน ๆ"องค์ชายเซวียนอี้ยืนอยู่นิ่งไม่ได้ เขาขยับตัวขยุกขยิกไปมา เพราะเขารู้สึกคัน และปวดแสบปวดร้อนไปหมดทั้งตัวเขาคันมากจนทนไม่ไหว คิดว่าอาจจะมีมดหรือแมลงซ่อนอยู่ในอาภรณ์ของตนจึงรีบวางผลกลอเซียะลงกับพื้น แล้วถอดอาภรณ์ของตนเองออกจนเหลือแต่กางเกงตัวใน"โอ๊ย.... อู้ย.. ทำไมคันไปหมดแบบนี้ อ๊ะ อู้ยย โอ๊ย แสบ ๆ คัน ๆ"ผิวของเขาแดงเถือกไปหมด อีกทั้งยังมีรอยเล็บข่วนไปทั้งตัว ใบหน้าแดงก่ำองค์หญิงกู่ชิงกลั้นหัวเราะเอาไว้เต็มที่ ก่อนเอ่ยกับเขาว่า"ขออภัยเพคะ หม่อมฉันลืมบอกองค์ชายไปว่า ทั้งต้นและผลของกลอเซียะล้วนทำให้ระคายเคืองผิวหนัง ใครสัมผัสเป็นต้องทั้งแสบทั้งคันไปทั้งตัว""อู้ยย โอ๊ย แสบ ๆ คัน ๆ นี่เจ้ารู้ว่าต้นนี้มีพิษแต่เจ้าก็ยังให้ข้าแก้เสื้อผ้าปีนขึ้นไปเอาผลของมัน เจ้าจงใจแก้แค้นข้าใช่ไหม โอ๊ย คัน ๆ อู้ยยยย"องค์ชายเซวียนอี้โวยวายออกมา พร้อมกับเกาตัวเองไปด้วย"อี้เอ๋อร์.... เจ้าจะโวยวายกู่ชิงทำไม ในเมื่อเจ้าเป็นคนรับปาก
องค์หญิงกู่ชิงปรายตามองไปยังแผ่นหลังของเขาที่ยังคงชุ่มไปด้วยเลือด ใบหน้าซีดเซียว ริมฝีปากแห้งผาก หากไม่ใช่เพราะเขาปกป้องชีวิตของนาง เขาก็คงไม่อยู่ในสภาพเช่นนี้ท่ามกลางความเงียบนั้น จู่ ๆ เสียงแหบแห้งของบุรุษบนเตียงก็ดังขึ้นว่า"เสด็จแม่.... หากนางไม่อยากแต่งก็อย่าบังคับจิตใจของนางเลย ลูกรู้ว่าลูกกระทำผิดกับนางไว้มาก ลูกจะยอมรับผลกรรมที่เกิดขึ้นนี้เอง”องค์หญิงกู่ชิงได้ยินเช่นนั้นจึงขึ้นว่า“ท่านรับลูกธนูแทนข้า ก็นับว่าเป็นการชดเชยความผิดที่ท่านได้กระทำไว้กับข้าแล้ว”“เจ้าหมายความว่า เจ้าตกลงยอมแต่งงานกับข้าใช่หรือไม่ อ๊ะ... โอ๊ย... เจ็บ ๆ”องค์ชายเซวียนอี้ดีใจจนเผลอขยับลุกขึ้น สะเทือนถึงบาดแผลที่กลางหลังจนต้องร้องออกร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดฮองเฮาเห็นเช่นนั้นก็รีบเข้าไปประคองโอรสของตนให้ลุกขึ้นนั่งดี ๆ พลางเอ็ดว่า“ดูสิ เจ้าลูกคนนี้ บาดเจ็บสาหัสเพียงนี้ยังเลือดร้อนเหมือนเดิมไม่มีผิด เมื่อไหร่เจ้าจะสุขุมเยือกเย็นให้สมกับเป็นองค์ชายรัชทายาท”“โธ่.... เสด็จแม่ เป็นเพราะลูกดีใจมากที่ได้ยินว่ากู่ชิงจะยอมยกโทษให้ลูกแล้ว และยังยอมแต่งงานกับลูกด้วย จะไม่ให้ลูกตื่นเต้นดีใจได้อย่างไร”ริมฝีปาก
ณ ตำหนักฮองเฮา องค์ชายเซวียนอี้ใช้วิชาตัวเบาแอบย่องเข้ามาในตำหนักของฮองเฮา แต่กลับไม่เห็นแม้แต่เงาขององค์หญิงกู่ชิงอยู่ในเรือนรับรอง จึงคาดว่านางน่าจะไปเดินเล่นที่อุทยานสวนดอกไม้ท้ายตำหนักเป็นแน่เขาจึงใช้วิชาตัวเบาเหาะไปยังสวนดอกไม้ท้ายตำหนัก แล้วแฝงตัวอยู่ที่พุ่มไม้หนา ไม่ไกลนัก แลเห็นองค์หญิงกู่ชิงเดินเคียงข้างกับพระมารดาของเขาวันนี้สีหน้าของนางดูแจ่มใสกว่าเมื่อวานยิ่งนัก พวงแก้มขึ้นสีชมพูระเรื่อ ดวงตาเป็นประกายระยับ เรือนร่างบอบบางราวกับกิ่งหลิวต้องลมนั้นห่อหุ้มด้วยอาภรณ์สีชมพูสลับขาว บนศีรษะประดับด้วยปิ่นมุกห้อยระย้าลงมางดงามยิ่งกว่าบุปผาในส่วนนี้เสียอีกเขาอยากรู้นักว่ามารดาของเขาสนทนาอะไรกับนาง จึงทำให้นางหัวเราะน้อย ๆ เพียงแค่เขาเห็นกลีบปากบางฉ่ำน้ำของนางขยับยกขึ้นเป็นรอยยิ้มอันสดใส เขาก็พลอยยิ้มตามไปด้วย ในอกคล้ายกับมีผีเสื้อนับล้านกระพือปีกบินพร้อมกัน ให้รู้สึกปั่นป่วนระคนสุขซ่านอย่างที่เขาไม่เคยเป็นมาก่อนความรู้สึกนี้มันทำให้เขาแทบอยากจะกระโจนออกจากที่ซ่อนตัว แล้วเข้าไปกระชากดึงนางเข้ามากอด ดอมดมความหอมกรุ่นของนาง ความหวานล้ำของกายนางนั้นเขายังจรดจำได้ดี และไม่เคยมีสตรีน
ณ ตำหนักองค์ชายรัชทายาท“องค์ชายเพคะ ฮือ ๆ หม่อมฉันผิดไปแล้ว ได้โปรดอภัยให้หม่อมฉันด้วยเถิดเพคะ”เฟยเซี่ยคุกเข่าลงไปกอดขาขององค์ชายเซวียนอี้เอาไว้แน่น พร้อมกับร่ำไห้สะอึกสะอื้น“เฟยเซี่ย... เจ้าปรนนิบัติข้ามาตั้งนาน ย่อมรู้ดีกว่าข้าเกลียดคนโกหกหลอกลวงมากที่สุด แต่เจ้าก็ยังทำ !”องค์ชายรัชทายาทขบกรามแน่นจนขึ้นเป็นสัน ยืนนิ่งไม่มองนางแม้แต่น้อย เพราะเขารู้สึกผิดหวังในตัวนางเป็นอย่างยิ่ง“ที่หม่อมฉันทำไปทั้งหมดก็เพราะหม่อมฉันรักพระองค์นะเพคะ ฮือ ๆ”“เจ้าอย่าบอกว่ารักข้า เจ้ารักตัวเองต่างหาก ถึงได้กล้าทำเรื่องหลอกลวงทั้ง ๆ ที่รู้ว่าข้าเกลียดคนหลอกลวงที่สุด นับแต่วันนี้ไปเจ้าไม่ต้องมาปรนนิบัติข้า”“ไม่นะเพคะ องค์ชายโปรดยกโทษให้ด้วย หม่อมฉันจะไม่ทำอีกแล้ว”เฟยเซี่ยกรีดร้องออกมาเสียงหลงตั้งแต่นางเป็นที่โปรดปรานขององค์รัชทายาท นางก็ใช้อำนาจข่มเหงนางกำนัลที่ด้อยกว่า จึงสร้างศัตรูไว้มากมาย หากองค์ชายรัชทายาทขับไล่นางออกจากตำหนัก เกรงว่านางต้องถูกนางกำนัลเหล่านั้นแก้แค้นแน่ ๆ“เจ้าเก็บข้าวของออกไปอยู่ที่เรือนซักอาภรณ์เถอะ”องค์ชายเซวียนอี้สั่งน้ำเสียงเด็ดขาดระหว่างเขากับนางมีเพียงความสัมพันธ์ท
Comments