เมื่อศิษย์เอกของเซียนหญิงผู้ยิ่งใหญ่ เลือกทิ้งวิถีเซียนไปแต่งงานกับบุคคลผู้ไม่น่าไว้วางใจ เซ๊ยนหญิงจึงมิอาจนิ่งเฉย ต้องติดตามไปดูแลชีวิตของศิษย์ตัวดี แต่ดันต้องมาติดอยู่ในร่างสาวใช้ธรรมดา ๆ กลับร่างไม่ได้เสียอย่างนั้น แล้วนางจะทำอย่างไรต่อกับชีวิตกันล่ะ?!
View Moreยอดเขาหลิงอวิ๋นยามย่ำรุ่งยังคงแวดล้อมด้วยม่านหมอกสีขาวนวลราวสายไหม สายลมบางเบาพัดพาใบสนให้สั่นไหวเบา ๆ คล้ายเสียงกระซิบของภูตพรายในแดนสวรรค์ ดอกเหมยที่เบ่งบานอยู่ตามซอกผาหินส่งกลิ่นหอมเย็นจาง ๆ เคล้ากับกลิ่นไอของเหมันต์ที่ยังไม่เลือนจากยอดเขาสูงเสียดฟ้าแห่งนี้
ท่ามกลางธรรมชาติอันสงบนิ่ง มีตำหนักไม้หลังหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ริมหน้าผา บนระเบียงตำหนักนั้น หญิงสาวผู้หนึ่งยืนอยู่อย่างสงบนิ่งพิงเสาไม้หอม นางคือ "ลั่วชิง" เซียนหญิงผู้เร้นกายจากโลกมนุษย์มาเนิ่นนาน ชุดยาวสีขาวดุจหิมะสะอาดตา ผ้าคลุมโปร่งบางแนบแน่นกับลำตัวเพราะลมจากหน้าผา แววตานิ่งลึกคล้ายผืนน้ำสงบใต้เงาจันทร์ จ้องมองไปยังเส้นขอบฟ้าที่เริ่มแต้มแสงทองของอรุณรุ่ง ผมของนางดำขลับยาวสลวยเลยสะโพก ขึ้นมวยบางเบาด้วยปิ่นหยกเงาวับ ใบหน้ารูปไข่ ผิวขาวละเอียดราวหิมะบนยอดเขา คิ้วเรียวยาวพาดเฉียงเหนือดวงตากลมโตสีดำสนิท ดวงตานั้นแม้จะดูสงบเยือกเย็น หากแต่ลึกลงไปกลับซ่อนร่องรอยของความโศกเศร้าและความผูกพันบางประการ ปลายจมูกเล็กโด่งอย่างเหมาะเจาะ ริมฝีปากบางสีจางคล้ายกลีบเหมยยามหนาวจัด ทั้งหมดนี้รวมกันเป็นความงามที่ไม่เย้ายวนหากแต่น่าเกรงขาม
ในห้วงเวลากว่าสองพันปีที่ผ่านมา ลั่วชิงใช้ชีวิตอยู่บนยอดเขาหลิงอวิ๋น ฝึกบำเพ็ญเพียรตามวิถีเซียน ถูกขนานนามว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ทั้งกาย วาจา และใจ ทว่าแม้นางจะเปลีกวิเวก ไม่แสวงหาเกียรติยศหรือลาภยศ ก็ยังมีลูกศิษย์ที่ได้มาร่ำเรียนธรรมะและวิชาเซียนจากนางอยู่ไม่น้อย หลายคนดั้นดันฟันฝ่าอุปสรรคและบททดสอบนานาเพื่อขึ้นมาบนเขา ให้ได้รับการยอมรับเป็นศิษย์จากนาง หลายคนถูกช่วยเอาไว้จากความตาย แล้วนางได้รับเลี้ยงเอาไว้เสมือนบุตร
หนึ่งในนั้นคือเด็กสาวนามว่า "ซูหรง"
ซูหรงปรากฏตัวเมื่อสิบห้าปีก่อน ในวันที่หิมะตกหนาทึบ นางยังเป็นเพียงเด็กหญิงวัยไม่ถึงสามขวบ ถูกทิ้งไว้ที่ตีนเขาพร้อมผ้าห่มเก่า ๆ และโอสถแปลกประหลาดที่ใช้รักษาโรคต้องห้าม เหล่าศิษย์ของลั่วชิงเห็นเข้าจึงมารายงาน และด้วยความเมตตา เซียนหญิงจึงตัดสินใจเก็บนางมาเลี้ยงไว้เอง และตั้งชื่อให้นาง
ซูหรงเติบโตมาใต้ชายคาแห่งตำหนักเซียน ในความสงบของยอดเขา นางมีรูปลักษณ์งดงามเกินเด็กทั่วไป ผิวขาวอมชมพู ใบหน้ารูปไข่ ดวงตาโตกลมโตเป็นประกาย คิ้วโค้งราวจันทร์เสี้ยว จมูกเล็ก ริมฝีปากสีชมพูดูสดใสราวดอกท้อ ผมยาวสีดำธรรมชาติ มีสีเหลือบแดงเล็กน้อยเมื่อโดนแดด นางมีน้ำเสียงใสและหัวเราะง่าย แม้ในวัยเด็กก็แสดงออกถึงอุปนิสัยเปี่ยมด้วยอารมณ์ ซุกซน หากแต่จิตใจดีและซื่อตรง
ตลอดเวลาที่อยู่บนเขา ซูหรงเรียกลั่วชิงว่า "อาจารย์แม่" และยึดถือเสมือนมารดา นางเรียนรู้วิชากระบี่ วิชาการฝึกพลังภายใน และวิถีธรรมเบื้องต้นได้เร็วกว่าผู้อื่นมาก และยิ่งเติบโต ยิ่งงามสง่า กลายเป็นผู้บำเพ็ญเซียนที่เก่งกล้าสามารถกว่าศิษย์อื่นที่ใช้เวลาศึกษาเท่า ๆ กัน ซึ่งยังอยู่ในขั้นผู้ฝึกปราณพื้นฐานเท่านั้น
กระนั้นสิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยน คือดวงใจที่เต็มไปด้วยความอยากรู้ อยากเห็นในโลกเบื้องล่าง ซึ่งเป็นสถานที่ที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน นอกจากฟังเรื่องเล่าจากเหล่าศิษย์พี่และอาจารย์
เมื่ออายุครบสิบแปด ซูหรงจึงขออนุญาตลงเขาเพื่อแจกโอสถช่วยชาวบ้าน ลั่วชิงรู้ดีว่านั่นเป็นเพียงข้ออ้าง แต่นางก็มิได้ขัดขวาง หากแต่มอบโอสถหลายขนานให้ และสั่งสอนเอาไว้ว่า
“ระดับของเจ้าในตอนนี้เป็นผู้บำเพ็ญเซียนก็จริง แต่พรสวรรค์ของเจ้านั้น อนาคตอาจพัฒนาเข้าสู่กระแสธรรมชาติเป็นชั้นเซียนเบิกนภา ควบคุมห้าธาตุและก้าวเหนือชะตากรรมจนเป็นเซียนเชื่อมจิตดารา และอาจขึ้นมาเป็นเซียนเหนือเมฆาเช่นข้าได้ หรืออาจก้าวข้ามข้าจนกลายเป็นเซียนแดนสวรรค์ก็ได้”
"แต่โลกเบื้องล่างมีทั้งแสงและเงา อาจทำให้ใจเจ้าสั่นไหว หากเป็นเช่นนั้น กิเลสในใจเจ้าจะเป็นดังเปลวไฟที่แผดเผาตนเอง และอาจจะทำให้พลังปราณ และจิตใจของเจ้าไม่อาจพัฒนาได้ถึงขั้นนั้น"
ซูหรงหัวเราะคิกคัก แม้นไม่กล้าจะลบล้างคำพูดอาจารย์ แต่ก็เพียงกล่าวยอกย้อนว่า
"อาจารย์ไม่ได้มีกิเลสเท่าผู้คนทั่วไป อาจารย์รู้ได้อย่างไรว่าไฟมันเผาหรืออบอุ่น?"
ลั่วชิงได้ยินคำกล่าวของศิษย์ที่เลี้ยงมาแต่น้อย ก็นิ่งเงียบ ไม่กล่าวตอบใด ๆ นางเพียงยืนมองร่างของศิษย์สาวเดินห่างออกไปทางทางแคบริมหน้าผา แผ่นหลังเล็ก ๆ ในชุดคลุมสีชมพูอ่อน ค่อย ๆ จมหายไปในม่านหมอกหนา
.
ในเมืองเล็กตีนเขา โรงเตี๊ยม "ไป๋อวิ๋น" เป็นสถานที่เงียบสงบ รายล้อมด้วยกลิ่นหอมของชาจีนและกลิ่นซุปที่ต้มจากเครื่องยาจีนอ่อน ๆ ท่ามกลางเสียงคนและรถม้า มีชายหนุ่มผู้หนึ่งเดินตรวจความเรียบร้อยอยู่เสมอ เขาคือ "อวี้ไป๋เฉิน"
อวี้ไป๋เฉินเป็นชายหนุ่มราวยี่สิบห้า ใบหน้าคมเข้ม ดวงตาเรียวยาวแต่ซ่อนแววอ่อนโยน จมูกโด่ง ริมฝีปากบางเป็นเส้นตรงคล้ายคนไม่ยิ้มง่าย ทว่าหากยิ้มขึ้นมา จะเปล่งประกายจนหญิงสาวต้องเบือนหน้าหนีด้วยความเขินอาย ผิวคล้ำแดดเล็กน้อยเพราะทำงานกลางแจ้ง แต่สะอาดสะอ้าน ท่วงท่าทุกก้าวเดินราวนักกระบี่ผู้มีชั้นเชิง
เมื่อซูหรงลงเขา นางแวะพักที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้ และเป็นครั้งแรกที่ได้พบกับอวี้ไป๋เฉิน เขาเป็นผู้ให้ที่พัก ให้น้ำชา และไม่ถามที่มา นั่นทำให้นางรู้สึกถึงความอบอุ่นอย่างแปลกประหลาด
มันเริ่มจากตรงนั้น
ซูหรงเริ่มแวะที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้บ่อยขึ้น แม้จะอ้างว่าเพราะอยู่ใกล้กับหมู่บ้านที่นางต้องไปแจกโอสถ ทว่าเมื่อสายตาของอวี้ไป๋เฉินทอดมองมายังนาง และนางเผลอยิ้มตอบโดยไม่รู้ตัว ลั่วชิงที่เฝ้าดูเหตุการณ์จากกระจกวารีในตำหนักก็รู้ในทันที
ความรัก...ได้บังเกิดขึ้นในหัวใจของศิษย์นางเข้าแล้ว
แม้นางจะรู้ แต่ลั่วชิงก็มิได้ขัดขวาง นางใช้เวลาไปกับการฝึกสมาธิให้ลึกกว่าเดิม และปล่อยให้เรื่องราวดำเนินต่อไปตามครรลองของมัน ซูหรงก็มักลงไปเยี่ยมเยียนโลกเบื้องล่าง อ้างว่าไปใช้วิชาเซียนช่วยเหลือผู้คนตกทุกข์ได้ยากบ่อยขึ้นเรื่อย ๆ แต่นั่นเป็นข้ออ้างที่จะได้พบชายหนุ่มที่นางพึงใจเท่านั้น ทั้งคู่พัฒนาสายสัมพันธ์มากขึ้นเรื่อย ๆ จนยากที่จะทำลาย เหนี่ยวรั้งเซียนฝึกหัดอย่างซูหรงให้ถูกดึงเข้าสู่ทางโลกอย่างมิอาจจะถอนตัว
จนกระทั่งวันหนึ่ง ซูหรงกลับมาบนยอดเขาอีกครั้ง คราวนี้ไม่ใช่เพื่อฝึกวิชา ไม่ใช่เพื่อมาขอโอสถ หากแต่เพื่อกล่าวคำลาสุดท้าย
"อาจารย์... ข้าจะไปใช้ชีวิตกับเขา ไป๋เฉินขอข้าแต่งงานแล้ว"
ลั่วชิงนิ่งเงียบ นางรู้ดีว่าสักวันเรื่องนี้จะต้องมาถึง นางมิได้แสดงสีหน้าใด ๆ เพียงพยักหน้าช้า ๆ แล้วกล่าว
"จงตั้งสติ ใช้ปัญญาพิจารณาถึงผลดีร้ายที่จะตามมา อย่าให้ตาเจ้าบอดด้วยความรัก อย่าให้เปลวไฟแห่งอารมณ์แผดเผาอนาคตของเจ้า เจ้ายังอาจบรรลุในวิถีที่สูงส่งกว่านี้มากนัก"
“หากอนาคตของข้าถูกแผดเผาด้วยรัก ข้าก็ยินดี ข้ายอมอยู่ที่ระดับนี้โดยมีคนรักเคียงกาย ดีกว่าขึ้นไประดับสูงส่งโดยไร้ความรักเช่นท่าน อาจารย์โปรดอย่าห้ามข้าเลย”
ซูหรงน้ำตาคลอ แต่ยังยิ้ม นางก้มลงกราบงาม ๆ สามครั้ง ก่อนจะเดินจากไปอีกครั้ง ลงจากเขา และครั้งนี้ ลั่วชิงรู้ว่าอาจเป็นการลาจากตำหนักเซียนที่ไม่อาจจะหวนคืนกลับมาได้ของนาง
เซียนหญิงยืนนิ่งอยู่หน้าตำหนัก ปล่อยให้ลมหนาวพัดกลีบดอกเหมยกระทบผ้าแพรบางเบาของนางอีกครั้งหนึ่ง นางรำพึงกับตัวเองเมื่อศิษย์สาวเดินลงเขาไปจนลับตา
“เด็กน้อยเอ๋ย ความรักไม่ได้มีเพียงเท่าที่เจ้าเข้าใจเสียหน่อย ข้าจะพิสูจน์ให้เจ้ารู้ว่าเจ้าหาได้คิดถูกไม่”
รุ่งเช้าของวันใหม่ ฟ้าสีครามค่อย ๆ ถูกปิดบังด้วยเมฆหนา โรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋นก็ถูกปกคลุมด้วยความเงียบงันเช่นกันณ ลานกว้างด้านหน้าโรงเตี๊ยม ที่ถูกจัดการพื้นที่จนโล่ง เสื่อผืนใหญ่ถูกวางกลางลานเช่นเช่นวันก่อน ขณะที่คนจากสำนักคุ้มภัยเทียนเฟิง และบ่าวจากโรงเตี๊ยมอีกหลายคนรวมตัวอยู่ห่าง ๆ เฝ้าดูเหตุการณ์สำคัญที่จะเกิดขึ้นในเช้านี้ด้วยหัวใจที่เต้นรัวซูหรงในชุดสีแดงเข้มขลิบทองยืนอยู่กลางลาน สง่างามและเยือกเย็น ด้านหลังของนางคือเฉินอี้ ที่มายืนคุ้มกันห่าง ๆ เผื่อการเจรจาไม่ประสบผลสำเร็จแสงแดดยามเช้าส่องผ่านม่านเมฆลงมา ซูหรงยืนรอไม่นานนัก ร่างของหญิงสาวในชุดสีม่วงเข้มก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า นั่นคือ ร่างหุ่นเชิดของอวี้เซี่ยหง ประมุขพรรคมาร ส่วนตัวของผู้ควบคุมหุ่นเชิดมนุษย์นั้น ชักใยด้วยเส้นใยพลังปราณจากที่ห่างไกล ไม่มีผู้ใดมองเห็นตัวจริง นอกจากนางก็มีผู้ติดตามชุดดำสองคน สวมหน้ากากปิดบังใบหน้า เห็นเพียงลูกตาเท่านั้นถึงอย่างนั้นแม้พลังที่แผ่ออกมา จะเป็นเพียงแค่เศษเสี้ยวหนึ่งจากตัวจริง แต่กลิ่นอายความน่าสะพรึงกลับยังชัดเจน แต่ซูหรงไม่หวาดเกรงสักนิดเดียว นางไม่เอ่ยคำทักทายใด ๆ นางเพียงจ้องอีกฝ่ายเขม็ง
แสงแดดยามสายของวันต่อมาสาดทาบลงบนพื้นไม้ของโรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋น กลิ่นหอมของใบชาอ่อน ๆ ลอยคลุ้งอยู่ในเรือนครัว เสี่ยวซุ่ยยืนอยู่ตรงโต๊ะไม้ เตรียมน้ำชาสำหรับแขกในโรงเตี๊ยมอย่างขะมักเขม้น ใบหน้านวลผ่องของนางมีรอยยิ้มจาง ๆ ดวงตาแจ่มใส ท่าทางขยันขันแข็งดุจบ่าวหญิงสามัญทั่วไปทว่าทันใดนั้น เศษความทรงจำบางอย่างแล่นผ่านหัว เกี่ยวกับการชงชา ปรุงโอสถสมุนไพร ทว่าไม่กี่อึดใจมันก็หายไปราวหมอกที่จางหาย นางจึงไม่สนใจอะไรก็ตามที่แวบเข้ามาในหัว แล้วทำงานต่อไปในฐานะบ่าว“เสี่ยวซุ่ย ไปเก็บผ้าที่ลานด้วยนะ แดดกำลังดีแบบนี้ คงแห้งหมดแล้วล่ะ” เสียงพี่หลินดังมาจากหน้าประตู“เจ้าค่ะ พี่หลิน” เสี่ยวซุ่ยรับคำอย่างว่าง่าย เช็ดมือลวก ๆ แล้วรีบก้าวออกจากครัว “ข้าจะไปเก็บผ้าเดี๋ยวนี้ล่ะเจ้าค่ะ”ในขณะเดียวกัน ณ ห้องลับด้านบนสุดของโรงเตี๊ยม ประตูบานหนักค่อย ๆ เปิดออกพร้อมเสียงฝีเท้าเบา ๆ ของหญิงสาวในชุดสีแดงเข้มขลิบทอง นางคือซูหรง ที่เพิ่งออกมาหลังจากทำพิธีสร้างยันต์ ใบหน้าซีดลงเล็กน้อยจากการใช้พลังปราณอย่างต่อเนื่อง แต่ดวงตาแสดงความมั่นใจและเฉียบขาดเหมือนเดิม“ท่านออกมาแล้ว!” เฉินอี้ที่รออยู่หน้าห้องเอ่ยขึ้นทันทีที่เห็
ล่วงเข้าสู่ยามเย็น แสงแดดอ่อนคล้อยทาบลงบนแนวหลังคาโรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋น เงาไม้ทอดยาวอยู่บนพื้นไม้เรียบ เสียงลมกระทบหน้าต่างเบา ๆ กล่อมให้บรรยากาศอบอุ่นขึ้นเล็กน้อยหลังความวุ่นวายในยามสายจางหายในห้องพักด้านใน ร่างของเสี่ยวซุ่ยนั่งพิงหมอนอิง ดวงตายังดูเหนื่อยล้าเล็กน้อยจากอาการที่เพิ่งฟื้น ทว่าริมฝีปากกลับคลี่ยิ้มบาง ๆ เมื่อบานประตูถูกเคาะเบา ๆ ก่อนที่เฉินอี้จะก้าวเข้ามาด้วยท่าทางระมัดระวัง เขามีผ้าห่มบางผืนหนึ่งพับอยู่ในมือ ใบหน้าแม้จะยังมีร่องรอยของความอ่อนล้า แต่แววตากลับเต็มไปด้วยความอบอุ่นและโล่งใจ“เจ้าไม่แล้วหรือ? ท่านหมอว่าเจ้าควรพักดูอาการอีกคืน” เขาเอ่ยเสียงเบา เสี่ยวซุ่ยหันมามองเขา สบตาเพียงครู่ ก่อนจะพยักหน้าน้อย ๆ“ข้านอนมานานพอแล้วเจ้าค่ะ” นางตอบเบา ๆเฉินอี้เดินเข้ามาใกล้ วางผ้าห่มไว้บนเก้าอี้ตัวข้างฟูก ก่อนจะนั่งลงบนพื้นข้างร่างนาง ใบหน้าของเขาดูจริงจังขึ้นเล็กน้อย“เสี่ยวซุ่ย… ข้ามีเรื่องต้องบอกเจ้า” เขาเริ่ม นางก็เลิกคิ้วน้อย ๆ“เจ้าจำไม่ได้ใช่ไหม ว่าตอนที่ข้าจะถูกสังหารในลานนั่น... อยู่ ๆ ก็มีแสงพลังสีฟ้าสว่างวาบออกจากฝ่ามือของเจ้า แล้วพลังในร่างของข้า… มันระเบิดขึ้น เหม
ยามบ่าย โรงเตี๊ยมไป๋อวิ๋นกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง หลังความโกลาหลวุ่นวายเมื่อยามสายสิ้นสุดลง ท้องฟ้าแจ่มใส ลมอ่อนพัดผ่านชายผ้าม่าน เสียงนกร้องจาง ๆ ลอยมากับแสงแดดอุ่นที่ลอดผ่านหน้าต่างไม้บานเล็กในห้องพักชั้นบนของอาคารหลัก หมอจากสำนักคุ้มภัยเทียนเฟิงที่มาด้วยกัน กำลังตรวจดูอาการบาดเจ็บของผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์เมื่อตอนสายอย่างละเอียดจ้าวหยางนอนอยู่บนเตียงไม้สาน ร่างของเขาถูกพันผ้าไว้หลายแห่ง ดามด้วยเฝือกไม้ โดยเฉพาะช่วงไหล่ และซี่โครง ที่โดนบีบขยี้ด้วยมือขนาดยักษ์“ซี่โครงด้านซ้ายร้าวห้าซี่ ขาวสองซี่ กระดูกไหล่ขวาเคลื่อน... ถ้าเป็นคนธรรมดาต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งเดือนในการพักรักษาตัว กว่าจะเริ่มเคลื่อนไหวได้อีกครั้ง” หมอวัยกลางคนพยายามอธิบายอาการบาดเจ็บให้เหล่าสำนักคุ้มภัยที่เหลือ รวมถึงเฉินอี้ได้ฟัง “โชคดีที่พลังภายในของเขาสูงมากกว่าคนทั่วไป ร่างกายจึงยังพอเยียวยาตัวเองได้... อาจใช้เวลาน้อยกว่านั้น แต่ไม่ใช่วันสองวันนี้”จากนั้นหมอก็พาทุกคนไปยังในอีกห้องหนึ่ง อวี้ไป๋เฉินเพิ่งรู้สึกตัวขึ้นหลังหมดสติไประยะใหญ่ ข้างกายเขาคือเสี่ยวผิงหลานชายพี่หลินที่มาดูแล เขาขยับตัวช้า ๆ ใช้มือยันร่างขึ้น
กลุ่มควันสีเทาเริ่มจางลงหลังการต่อสู้ที่รุนแรงสิ้นสุดลง เฉินอี้ยืนอยู่กลางลาน ไอพลังสีขาวรอบกายยังคงแผ่ซ่าน ดวงตาของเขายังคงจับจ้องร่างอวี้เซี่ยหงที่ลุกขึ้นมายืนขึ้นอีกครั้งพร้อมบอกว่านี่เป็นเพียงแค่หุ่นเชิดมนุษย์ทว่ามันไม่เหมือนท่ายืนของคนปกติ แขนห้อยข้างลำตัวอย่างไร้พลัง สายตาเลื่อนลอย สีหน้าไร้อารมณ์ ร่างกายเคลื่อนไหวอย่างกระตุก ราวกับไม่ใช่คนธรรมดาอีกต่อไป ทันใดนั้นเขาก็มองเห็นอะไรบางอย่างที่เพิ่งได้สังเกต เส้นใยสีม่วงอ่อนบางเฉียบที่มองแทบไม่เห็นผูกอยู่ทั่วร่างของนาง มันเรียวเล็กเท่าเส้นผมยากต่อการสังเกต เส้นใยเหล่านั้นหลายเส้นเชื่อมต่อกับสักที่ที่ไกลออกไป คอยส่งต่อกระแสพลังมายังร่างของนาง ทว่าตอนนี้มันขาดสะบั้นไปหลายเส้น เช่นที่แขนสองข้าง อาจเพราะการต่อสู้กับเขาเมื่อครู่ จึงทำให้การเคลื่อนไหวของร่างกายนี้ผิดปกติไปมาก“เหมือนเจ้าจะเห็นเส้นใยพลังปราณแล้วสินะ…” เจ้าของเสียงนั้นกล่าวขึ้นมา “ใช้แล้ว ร่างที่เจ้าสู้ด้วย เป็นเพียงหุ่นเชิดมนุษย์ เป็นสมุนในพรรคที่ที่แต่งตัวเหมือนข้า กับได้รับการถ่ายลมปราณบางส่วนจากตัวข้ามาให้เท่านั้น แล้วข้าคอยควบคุมระยะไกลเท่านั้น เจ้าล้มมัน
อวี้เซี่ยหงยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางกลุ่มควันจาง ๆ ที่ยังลอยล่อง มือเทียมพลังปราณสีม่วงเข้มขนาดใหญ่ที่ยังเหลืออยู่สี่เส้น วางสองผู้กล้าลง ดวงตาของนางเบิกกว้างด้วยความแปลกใจปนไม่เชื่อสายตา เมื่อเห็นร่างของเฉินอี้ที่ควรจะอ่อนล้าและสิ้นหวังในก่อนหน้า บัดนี้กลับยืนตรงด้วยแววตาเด็ดเดี่ยว พลังลมปราณแผ่พุ่งออกจากกายสีขาวนวลราวหมอกยามเช้า กล้ามเนื้อทุกส่วนกระชับราวกับฝึกมานาน แผ่นหลังตั้งตรง นิ่งเหมือนยอดเขาใหญ่“กล้ามาก ที่เจ้าคิดว่าจะมาต่อกรกับข้าได้ด้วยตัวคนเดียว... เจ้าบ่าวกระจอก!”เสียงของนางเปล่งออกมา ก่อนที่แขนเทียมยาวแปดวาเส้นหนึ่งจะฟาดมาทางเขาด้วยพลังมหาศาล ทว่าเฉินอี้กลับก้าวเท้ากระชับตัว มือขวาหมุนวนปัดแรงพุ่งของแขนยักษ์ด้วยความแม่นยำ ส่งไปยังมือซ้ายที่แบรออยู่จากนั้นมือซ้ายของเขาก็จับแน่นตรงข้อมือเทียมของแขนพลังปราณนั้น ตามด้วยมือขวาที่ตามมาประกบเหมือนพนมมือ แล้วพลันพุ่งลอดผ่านใต้แขนอย่างรวดเร็ว จากนั้นก้าวพร้อมกับก็หมุนสะโพก หมุนเอว บิดลำตัวทั้งร่างด้วยจังหวะที่แม่นยำราวสายน้ำหมุนวน!แขนเทียมที่เชื่อมต่อกับร่างต้นถูกบิดจนผิดรูป เขาหมุนต่ออีกรอบ สองรอบ สามรอบ ด้วยท่าเท้าปทุมยาตรา ข้อมือ
Comments