เป็นเซียนอยู่ดีๆ ดันไปเปลี่ยนชะตาชีวิตของมนุษย์จนเกิดเภทภัย บุรุษที่ช่วยเหลือกลายเป็นทรราชเข่นฆ่าผู้คน นางจึงถูกส่งมาแก้ไขเรื่องที่ตนเองทำผิด เรื่องย่อ : เพราะความสงสารที่เห็นหวงหยางจิ้ง องค์ชายใหญ่ของแคว้นหวง ถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม ทำให้เซียนสาวที่ทำหน้าที่ตรวจตราดูความเรียบร้อยบนโลกมนุษย์ กระทำการเปลี่ยนชะตาชีวิตอันน่าสงสารนั้น ให้ถูกชินอ๋องต่างแคว้นรับไปเป็นบุตรบุญธรรม แต่ผู้ใดจะรู้ว่านั่นเป็นจุดกำเนิดของทรราช ชายหนุ่มผู้น่าสงสารเปลี่ยนเป็นบุรุษชั่วร้ายอำมหิต เข่นฆ่าผู้คนอย่างกับผักปลา เมื่อมหาเทพได้รับรู้เรื่องราวที่เซียนสาวก่อขึ้น จึงลงโทษให้ย้อนกลับมาจุติเป็นมนุษย์และแก้ไขสิ่งที่ทำผิด แต่เหมือนถูกมหาเทพกลั่นแกล้ง เซียนสาวถูกส่งมาเกิดเป็นเกาเยี่ยนฟาง ชายาชังของหวงหยางจิ้ง ที่เขาฆ่าทิ้งทันทีหลังจากที่มีอำนาจในมือ หวงหยางจิ้ง X เกาเยี่ยนฟาง “ออก! ไป!” “หม่อมฉันไม่ไปที่ใดทั้งนั้น” ร่างเล็กกลัวจะถูกลากออกไปจากจวน จึงรีบคลานไปกอดเสาศาลา หวงหยางจิ้งมองซ้ายมองขวา หันไปเห็นกิ่งไม้ข้างๆ ศาลาจึงหยิบมางัดแงะแขนขาของสตรีหน้าไม่อายคนนี้ออกจากจวน “เฮอะ ถึงขนาดใช้ไม้เขี่ยหม่อมฉันเลยหรือเพคะ” “เนื้อตัวสกปรกของเจ้า ข้าไม่คิดจะแตะให้เสียมือ”
View More“พวกข้ามิยอมทำตามคำสั่งทรราชเช่นเจ้า บัลลังก์ที่เจ้านั่งเป็นบัลลังก์เลือด ได้มาจากการเข่นฆ่าสายเลือดเดียวกัน” เสียงด่าทอของขุนนางในราชสำนักแคว้นหวง สร้างความระคายหูให้กับหวงหยางจิ้งที่นั่งอยู่บนบัลลังก์เป็นอย่างมาก
“นี่ข้าตาบอดหรือ เหตุใดไม่เห็นว่าบัลลังก์ของข้าเปื้อนเลือด หรือว่าเจ้าเห็น” ตาคมกริบตวัดไปมองขันทีที่ยืนอยู่ข้างกาย
“มะ มะ ไม่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่เห็นเลือดสักหยด”
“นั่นสิ ข้าว่าท่านเสนาหูตาฝ้าฟาง บัลลังก์ของข้า แม้แต่ฝุ่นก็ยังไม่มี”
“…”
“แบบนี้ต่างหากจึงจะเรียกว่าบัลลังก์เลือด” รอยยิ้มแสยะปรากฏขึ้น พร้อมกับร่างขันทีคนสนิทของฮ่องเต้องค์ก่อน ที่ถูกทหารกดให้แนบหน้าลงกับแท่นบัลลังก์
“ฝ่าบาทโปรดละเว้น โปรดละ อ๊าก อึก!!!” มีดเล่มเล็กถูกโอรสสวรรค์ปักลงมาที่หลังคอของขันทีเฒ่า เลือดสีแดงสาดกระจายไปทั่วแท่นบัลลังก์ สร้างความหวาดกลัวให้เหล่าขุนนางที่อยู่ในท้องพระโรง จนบางคนถึงกับแข้งขาอ่อน
ทว่าเพชฌฆาตที่พึ่งสังหารคนไป กลับยิ้มหัวเราะอย่างรื่นเริง
ภาพอันน่าสยดสยองที่ฉายอยู่บนม่านชีวิต ทำเอาเหล่าทวยเทพถึงกับเบือนหน้าหนี นี่ยังไม่นับภาพพื้นพิภพเจิ่งนองไปด้วยเลือด ทุกหย่อมหญ้ามีคนล้มตาย บ้านเรือนประชาราษฎร์ถูกห้อมล้อมไปด้วยไฟ เพราะสงครามที่เกิดขึ้นไม่หยุดยั้ง
“เห็นสิ่งที่เจ้าทำหรือไม่ เห็นหรือไม่ว่าแผ่นดินต้องลุกเป็นไฟ เพราะเจ้า!!!” เสียงกัมปนาทของเจ้าแห่งสามพิภพดังขึ้น พร้อมกับสายฟ้าฟาดลงกลางแดนสุขาวดี
อาภรณ์สีขาว ปักลายด้วยดิ้นเงิน ประดับมุกล้ำค่า ถูกเจ้าของสะบัดชายผ้าอย่างไม่ถนอม รองเท้าลวดลายวิจิตรก็ถูกเหยียบย่ำไปตามแรงอารมณ์
เหล่าเทพเซียนทั้งชายหญิงต่างก้มหน้าก้มตา มิมีผู้ใดกล้าปริปากในยามที่องค์มหาเทพเกรี้ยวโกรธ ครั้นอยากจะช่วยเซียนสาวตัวน้อยเพียงใด ก็ต้องหักห้ามใจเอาไว้
“ขะ ขอมหาเทพโปรดเมตตา ข้าทำไปเพราะความสงสาร มิคิดว่าเรื่องจะเลยเถิดไปถึงเพียงนี้” เซียนสาวก้มหมอบด้วยจิตใจสั่นไหว
นางไม่คิดว่าความสงสารของนางในวันนั้น จะนำพาเรื่องเลวร้ายมาสู่โลกพิภพ ทำให้แผ่นดินลุกเป็นไฟ มีผู้คนนับแสนล้มตายกันเกลื่อนเมืองเช่นนี้
หลี่เมิ่ง เป็นเทพเซียนอยู่บนสรวงสวรรค์ นางได้รับหน้าที่จากมหาเทพให้ตรวจตราดูสรรพชีวิต คอยสอดส่องดูแลความปลอดภัยของสามโลก หากว่ามีหมู่มารถือกำเนิดขึ้นบนพิภพโลก มหาเทพจะได้เร่งจัดการได้ทันท่วงที มิให้เกิดความเสียหายร้ายแรง
ทว่ากว่าเก้าร้อยปีที่รับตำแหน่งนี้มา หลี่เมิ่งกลับมิเคยเห็นเหล่ามารปรากฏกายขึ้นบนโลกมนุษย์เลยสักครั้ง
จากเดิมที่ตั้งใจทำงาน ขยันขันแข็ง ตรวจตราดูทุกสิ่ง นานวันเข้าอาการเบื่อหน่ายกลับเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จึงหันมาเฝ้ามองชีวิตของเหล่ามนุษย์เพื่อความผ่อนคลาย บ้างก็ยิ้มหัวเราะกับโชคชะตาที่แสนตลกขบขัน บ้างก็ร้องไห้กับความสูญเสียของผู้อื่น
กระทั่งหลี่เมิ่งไปสะดุดตาเข้ากับชีวิตขององค์ชายหวงหยางจิ้ง องค์ชายใหญ่ของแคว้นหวง
เอกบุรุษผู้นี้เกิดมาเพียบพร้อมไปด้วยอำนาจวาสนา เงินทอง และยศศักดิ์ ถูกหมายมั่นให้เป็นถึงองค์รัชทายาทของแคว้น
แต่ผู้ใดจะรู้ว่าพออายุได้เพียงสิบเอ็ดหนาว ชีวิตของหวงหยางจิ้งก็เหมือนร่วงหล่นลงสู่ก้นเหว มารดาที่เป็นถึงฮองเฮาของแคว้นต้องโทษหนัก ถูกกักขังในคุกชั่วชีวิต ซ้ำสกุลเดิมของมารดายังถูกฆ่าล้างบาง เหลือเพียงเถ้าธุลี และมลทินแปดเปื้อนให้ผู้คนเล่าลือ
หลังจากนั้นชีวิตที่แสนสุขของหยางจิ้งก็เหือดหายไป เขาถูกกลั่นแกล้งจากเหล่าพี่น้องต่างมารดา บิดาที่เคยอุ้มชูก็หมางเมิน จนต้องระเห็จออกมาอยู่นอกวัง ใช้ชีวิตเช่นยาจก ทำงานแลกข้าว ไปที่ใดก็ไม่มีใครนับหน้าถือตา สิ้นไร้ซึ่งศักดิ์ศรีของเชื้อพระวงศ์
เรื่องราวทั้งหมดตกอยู่ในสายตาของหลี่เมิ่ง ทุกความเศร้า ความเสียใจ ทำให้นางทนมิได้ที่จะเห็นชายผู้นี้ลำบาก นางจึงแอบแปลงกายลงมายังโลกมนุษย์ เพื่อช่วยเปลี่ยนชะตาชีวิตของหยางจิ้ง ให้ได้พบเจอกับชินอ๋องของแคว้นจาง จางปี้ซวน หวังให้ชายหนุ่มได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย
ทว่าผู้ใดจะล่วงรู้ ว่าการพบกันครั้งนั้นของทั้งคู่ จะนำมาซึ่งเภทภัยใหญ่หลวงเช่นนี้
หวงหยางจิ้งเดินทางไปอาศัยอยู่แคว้นจางกับพ่อบุญธรรม ถูกเลี้ยงดู ปลูกฝังให้กลายเป็นบุรุษโหดเหี้ยม เมื่อมีอำนาจและทราบข่าวว่ามารดาสิ้นชีพในคุก เขาก็นำกองกำลังกลับมาสังหารเชื้อพระวงศ์แคว้นหวงจนสิ้น ไม่เว้นแม้แต่พระบิดาผู้ให้กำเนิด
จากนั้นก็ตั้งตนเป็นจักรพรรดิของแผ่นดิน ใครคิดต่อต้านจะต้องถูกแล่เนื้อและแขวนคอไว้หน้าประตูวัง จนได้ชื่อว่าเป็นทรราชของแผ่นดิน
จักรพรรดิหนุ่มก่อสงครามกับทุกแคว้น ยึดเมืองอื่นมาเป็นของตน ทำให้ผู้คนล้มตายกันเป็นจำนวนมาก
ด้วยเหตุนี้ องค์มหาเทพจึงมิอาจให้อภัยกับความผิดในครั้งนี้ของหลี่เมิ่งได้
“จะแก้ตัวอย่างไรก็ฟังไม่ขึ้น เพราะหน้าที่ของเจ้าเป็นเพียงผู้ตรวจตรา หาใช่ผู้กำหนดชะตาชีวิต”
“…ข้าขออภัย” หลี่เมิ่งว่าเสียงอ่อน ยอมรับความผิดแต่โดยดี นางเองก็พยายามจะแก้ไขเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ทำอย่างไร เจ้าหมาโง่ของนางก็ไม่อาจกลับมาเป็นเด็กชายผู้น่ารักได้
“รู้สำนึกว่าตนผิด เอ่ยขออภัยในสิ่งที่ทำ ถือเป็นเรื่องดี”
“…” เซียนสาวก้มหน้างุด รอฟังคำของผู้ยิ่งใหญ่
“แต่ในเมื่อเจ้าเป็นคนผูกปัญหานี้ เช่นนั้นเจ้าก็ต้องแก้มันด้วยตนเอง”
“พระองค์หมายความว่าอย่างไร”
“ข้าจะส่งเจ้าลงไปจุติเป็นมนุษย์”
เพียงได้ยินบัญชาจากองค์เทพ ก็เหมือนมีสายฟ้าผ่าลงมากลางอก เซียนสาวเบิกตาโพล่ง นิ่งงันราวกับรูปปั้น
กว่านางจะบำเพ็ญบารมี จนได้กำเนิดเป็นเทพเซียนอยู่บนสรวงสวรรค์มิใช่เรื่องง่าย แต่นางกลับทำทุกอย่างพังพินาศ
เพราะเจ้าหมาโง่คนเดียวเลย อย่าให้นางได้เจอนะ!
“…”
“ไปแก้ปัญหาที่เจ้าก่อ เมื่อใดที่ผืนแผ่นดินโลกสุขสงบ เมื่อนั้นเจ้าจะได้กลับมา” ดรรชนีผู้เป็นใหญ่แตะลงกลางหน้าผากมน เพียงเท่านั้นทุกอย่างรอบกายของหลี่เมิ่งก็มืดดับลง เฉกเช่นอยู่ในหลุมลึก
จากสวรรค์สู่เหวลึก จากทวยเทพสู่มนุษย์เดินดิน…นี่สิหนา ชะตาของหลี่เมิ่ง
เสียงสะอึกสะอื้นของสตรี เรียกร้องให้คนที่หลับใหลอยู่ในห้วงนิทรา ต้องฝืนความง่วง ลืมตาตื่นขึ้นมาดูว่าเกิดสิ่งใดขึ้น
“ฟางเอ๋อร์ของพ่อ เจ้าลืมตาแล้ว น้องหญิงลูกเราฟื้นแล้ว”
“ฟางเอ๋อร์ คนดีของแม่”
หลี่เมิ่งยังมีอาการมึนงงกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น จึงมิได้ปฏิเสธอ้อมกอดจากสตรีวัยกลางคนตรงหน้า
ได้แต่นิ่งเงียบ ปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมด จนเข้าใจว่าตนเองคงได้ลงมาจุติบนโลกมนุษย์ เพื่อแก้ไขปัญหาที่นางก่อ ตามคำสั่งของมหาเทพ
“ฟางเอ๋อร์ลูก เจ้าได้ยินแม่หรือไม่”
“ข้าได้ยิน ท่านคือ…” ตากลมไล่พิจารณาใบหน้าของสตรีและบุรุษมีอายุ ก็จำได้ทันทีว่านางเคยเห็นทั้งคู่ ผ่านม่านฉายชีวิตของหวงหยางจิ้ง
บุรุษหนวดแหลมตรงหน้านาง เป็นแม่ทัพใหญ่ของแคว้นหวง นามว่า เกากั๋วเฉียง มีฮูหยินฉินฮวาเป็นฮูหยินเอก ซึ่งก็คือสตรีที่กอดนางอยู่ ทั้งสองคนเป็นบิดามารดาของ เกาเยี่ยนฟาง
เกาเยี่ยนฟาง!!!
“แม่กับพ่ออย่างไรเล่า เจ้าจำได้หรือไม่”
“ข้า ข้าคือเกาเยี่ยนฟางหรือ” หลี่เมิ่งบีบมือตนเองไว้แน่น ภาวนาไม่ให้องค์เทพส่งนางมาเป็นคุณหนูเกา
แต่เหมือนสวรรค์จะไม่เห็นใจคนกระทำผิดเช่นนาง
“ใช่ลูก เจ้าคือคุณหนูน้อยสกุลเกา เกาเยี่ยนฟางของแม่”
ได้ยินคำตอบคนที่พึ่งฟื้นคืนสติขึ้นมา ก็ตาลอยทำท่าคล้ายจะเป็นลมล้มพับไปอีกครา จนคนในเรือนต้องวิ่งวุ่นเรียกท่านหมอมาตรวจดูอาการ
จะไม่ให้หลี่เมิ่งล้มตึงได้อย่างไร ก็ในเมื่อร่างที่นางมาจุติอยู่ เป็นร่างของเกาเยี่ยนฟาง ชายาแสนชังขององค์ชายใหญ่หวงหยางจิ้ง
…ที่อีกฝ่ายสังหารทิ้งเป็นคนแรก หลังจากมีอำนาจในมือ
“แล้วจะให้เขาทำอย่างไรเพคะ หากเขามาขอด้วยตนเอง ฝ่าบาทก็จะทรงค่อนแคะว่าเขาไม่จริงจัง มิยอมให้ผู้ใหญ่มาสู่ขอใช่หรือไม่”“…” หยางจิ้งลูบแขนที่ถูกตีปรอยๆ ไม่ยอมตอบสิ่งใดออกไป ซึ่งนั่นหมายความว่าเขาคิดเช่นนั้นจริงเหตุการณ์ในตำหนักใหญ่ดูจะตึงเครียดขึ้นมา ฝ่าบาทเองก็ไม่ยอมอ่อนจนฮองเฮาเริ่มจะอารมณ์ไม่ดี เซียนหนี่ว์จึงต้องใช้ไม้ตาย“เสด็จพ่อมิวางใจลูกเลยหรือเพคะ พระองค์คิดว่าลูกมองคนไม่ออก ว่าผู้ใดจริงใจ ผู้ใดคิดหลอกลวงหรือ” น้ำตาเม็ดโตหยดลงบนแก้มใส จนผู้เป็นบิดาร้อนใจ“หนี่ว์เอ๋อร์ เหตุใดจึงร้องไห้ พ่อมิได้คิดเช่นนั้น พ่อเพียงเป็นห่วงเท่านั้น พ่อไม่รู้จักเขา ไม่เคยได้พูดคุย เขาไม่เคยมาแสดงความจริงใจกับพ่อเลยสักครั้ง จะให้พ่อวางใจเขาให้ดูแลเจ้าได้อย่างไร”“หากเป็นเรื่องนั้นลูกผิดเองเพคะ ลูกไม่ยอมให้เขามาเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ เพราะกลัวว่าเสด็จพ่อจะน้อยใจลูก”“…”“เสด็จพ่อ เสด็จพ่อให้โอกาสเขาสักครั้งเถิดเพคะ อย่างน้อยก็อย่าพึ่งปฏิเสธเขาเลย”“พ่อปฏิเสธไปแล้ว…แต่หากเขาจริงใจและรักเจ้าจริง ทันทีที่สารจากแคว้นเราเดินทางไปถึง เขาจะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อมาหาลูกพ่อ”“…”“ถึงครานั้น พ่อจะให้โอกาสเขา” ได้ยินเ
“มีอันใด พ่อตกใจหมด”“สะ เสด็จพ่อปฏิเสธหรือเพคะ ปฏิเสธได้อย่างไร”“เหตุใดจะไม่ได้เล่า ในเมื่อธิดาของพ่อยังไม่อยากแต่งออก พ่อเองก็จะไม่บังคับ ท่านตาและท่านลุงของเจ้าต่างก็เห็นด้วยกับพ่อ”“แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องถึงความสัมพันธ์ระหว่างแคว้นเลยนะเพคะ ฝ่าบาทพิจารณาอีกทีเถิด” เยี่ยนฟางรีบว่า“แล้วอย่างไร บุตรสาวเพียงคนเดียวของข้า จะให้แต่งไปอยู่ไกลบ้านไกลเมืองได้อย่างไรกัน หากแคว้นโจวไม่พอใจก็ปล่อยพวกเขายกทัพมา ข้าพูดคุยกับท่านพ่อตาแล้ว ว่าให้จัดเตรียมกองทัพให้พร้อม”“….”“พี่รองของเจ้าก็ส่งจดหมายไปบอกพี่สามและพี่สี่ให้ตรวจตรา เฝ้าระวังบริเวณชายแดนเรียบร้อยแล้ว” ได้ยินองค์กษัตริย์กล่าว เยี่ยนฟางก็นึกโทษตัวเอง ที่ประเมินความคลั่งรักของสวามีและบุรุษสกุลเกาต่ำเกินไป“ตะ แต่ลูก ลูกอยากไปเพคะ”“หืม หมายความว่าอย่างไร” น้ำเสียงอ่อนโยนเมื่อครู่แข็งขึ้นมาอีกระดับ“ลูกอยากแต่งเพคะ”“…” หยางจิ้งนิ่งค้างไปในทันใด“ฝ่าบาทเพคะ ลูกสาวของเราพ้นวัยปักปิ่นมานานแล้ว นางสมควรได้มีความรัก มีครอบครัว ฝ่าบาทมิอยากอุ้มหลานหรือเพคะ”“ขะ ข้าย่อมอยาก เช่นนั้นพ่อจะหาคุณชายสกุลใหญ่มาแต่งกับเจ้าดีหรือไม่ บุตรชายของรองแม
เอกบุรุษในชุดลายมังกร เดินไปเดินมาในห้องทรงงานด้วยความกังวลใจ ไม่ต่างจากอดีตแม่ทัพ ท่านราชทูต และเสนาบดีกรมขุนนาง“เรื่องนี้หากเราปฏิเสธ อาจจะส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างแคว้นพ่ะย่ะค่ะ” เกาเกิงชุนรู้ดี ว่าการที่ต่างแคว้นส่งเทียบหมั้นมา เพื่อขอแต่งเชื่อมสัมพันธ์ มีทั้งข้อดีและข้อเสียหากเรายอมส่งองค์หญิงไปแต่งเชื่อสัมพันธ์ ก็ถือว่าได้มิตร แต่หากปฏิเสธ คงไม่แคล้วกลายเป็นชนวนเหตุให้เกิดสงคราม“พี่ใหญ่! ท่านจะยอมให้องค์หญิงของเราแต่งไปอยู่ต่างแคว้นหรือ หากองค์รัชทายาทแคว้นโจวเป็นชายโฉด นิสัยชั่วร้ายจะทำอย่างไร”“จริงอย่างคุณชายรองว่า ข้าไม่ยอมให้หนี่ว์เอ๋อร์ของข้าแต่งออกไปไกลถึงเพียงนั้นแน่ นางพึ่งอายุได้เพียงยี่สิบหนาว จะห่างจากอกบิดาได้อย่างไร” หยางจิ้งเอ่ยสำทับคำพูดของเสนาบดีกรมขุนนางที่พึ่งรับตำแหน่งมาหมาดๆ“เช่นนั้นกระหม่อมจะเรียกแม่ทัพหว่านมาพูดคุยเรื่องเตรียมทัพ ศึกครั้งนี้กระหม่อมจะนำทัพด้วยตนเอง”“ต้องรบกวนท่านพ่อตาแล้ว” ทันทีที่หวงหยางจิ้งได้รับเรื่องนี้มา ก็เรียกบุรุษสกุลเกามาปรึกษา ดีที่ความคิดเห็นของพวกเขาเป็นไปในทิศทางเดียวกัน จึงหาข้อยุติเรื่องนี้ได้อย่างง่ายดาย“เช่นนั้นกระ
“แอ้ แอ้”“อาหรง อาไห่ หนี่ว์เอ๋อร์ เหตุใดพูดเช่นนั้นเล่า พ่อมาหาพวกเจ้าแล้วอย่างไรลูก”“คิก!” เยี่ยนฟางหลุดขำออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ที่นางและลูกต้องทำถึงเพียงนี้ ก็เพราะหยางจิ้งทำงานแทบไม่หยุดพัก บางคืนไม่กลับมานอนที่ตำหนักเสียด้วยซ้ำ นี่หากว่าหยางจิ้งแต่งตั้งสนม นางคงคิดว่าอีกฝ่ายไปนอนกับสตรีอื่นเสียแล้วมิใช่ว่าเยี่ยนฟางไม่เข้าใจ ว่ายังมีราษฎรอีกมากมายที่ทุกข์ยาก แต่หากสวามีของนางยังโหมงานหนัก ร่างกายเขาจะไม่ไหวเอาได้เหมือนยามที่นางพึ่งคลอดโอรสแฝด ช่วงนั้นฮ่องเต้หนุ่มลุกไม่ขึ้นไปหลายวัน ขนาดโอรสยังไม่อาจเข้าใกล้บิดาได้ เพราะกลัวว่าจะติดไข้ไปด้วย เป็นถึงเพียงนั้นอีกฝ่ายก็ยังไม่หลาบจำ ทำงานหามรุ่งหามค่ำ ไม่ยอมหยุดพัก จนเยี่ยนฟางและเซียนหนี่ว์ต้องวางแผนเช่นนี้“ฟางเอ๋อร์ เจ้าหัวเราะข้าหรือ”“เพคะ บิดาไม่ใส่ใจบุตร สมควรแล้วที่จะถูกตัดขาด”“ใช่เพคะ” เด็กหญิงยกมือขึ้นกอดอก พลางเชิดหน้าหนีอีกรอบ“โถ่ หนี่ว์เอ๋อร์ของพ่อ พ่อจะไม่ทำอีกแล้ว เจ้าให้อภัยพ่อเถิด องค์หญิงน้อยของพ่อ” หยางจิ้งทั้งกอด ทั้งหอมแก้มใสของบุตรสาว“แน่หรือเพคะ”“แน่สิ พ่อจะไม่ละเลยเจ้ากับเสด็จแม่ของเจ้าอีก”“นั่นมิใช่ประเด
“ฟางเอ๋อร์ ฟางเอ๋อร์นางบีบมือข้า”“จริงหรือพ่ะย่ะค่ะ ฟางเอ๋อร์ ลูกพ่อ”“เยี่ยนฟาง เยี่ยนฟาง เจ้าได้ยินข้าหรือไม่” หยางจิ้งแตะเบาๆ บนแก้มเนียนของภรรยา หวังปลุกให้นางตื่นขึ้นมา“อื้อ เหตุใดเสียงดังกันนักเล่า” ทันทีที่ได้ยินเสียงบ่น ทุกคนก็เงียบกริบ แต่ใบหน้าทุกคนกลับยิ้มแย้มที่รู้ว่าเยี่ยนฟางได้สติขึ้นมาแล้ว“ฟางเอ๋อร์!” คุณชายทั้งสี่เรียกน้องสาวพร้อมกันด้วยน้ำเสียงดีใจ“เจ้าฟื้นแล้ว ใครอยู่ด้านนอก เรียกท่านหมอที”“องค์ชาย ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านพี่เองก็มากันครบเลยหรือ” เยี่ยนฟางดันตัวขึ้นจากเตียงโดยมีสวามีคอยช่วยประคองอยู่ข้างๆ“พวกเราย่อมมา ฟางเอ๋อร์ของแม่รู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง”“ดีขึ้นมาแล้วเจ้าค่ะ ทำให้ทุกคนเป็นห่วง ข้าต้องขออภัยด้วยนะเจ้าคะ”“มิเป็นไรๆ ขอเพียงเจ้าปลอดภัย พี่ใหญ่ก็สบายใจแล้ว” ครอบครัวพูดคุยกันไม่นาน ท่านหมอก็เข้ามาตรวจอาการของเยี่ยนฟาง เมื่อตรวจละเอียดไม่มีสิ่งใดน่าเป็นห่วง จึงจัดเพียงยาบำรุงให้ครอบครัวสกุลเกาก็อยู่ต่ออีกเพียงครู่เดียว เพราะมีบ่าวที่เรือนมาแจ้งว่าฮูหยินรองร้องห่มร้องไห้ เอ่ยว่าถูกอนุท่านแม่ทัพรังแก พวกเขาจึงแยกย้ายกลับเรือน อีกอย่างหยางจิ้งก็ยืนยันว่า
ภายในห้องนอนที่เคยมีเสียงหัวเราะของคนทั้งสอง บัดนี้กลับเงียบสนิท ศีรษะหนักฟุบลงข้างเตียง มือหนาก็กอบกุมมือภรรยาไว้ไม่ห่าง เรื่องราวที่เกิดขึ้น มันกะทันหันจนหยางจิ้งตั้งรับไม่ทัน“ฟางเอ๋อร์ เยี่ยนฟาง เจ้าได้ยินข้าใช่หรือไม่ เจ้าเพียงแค่หยอกข้าให้ตกใจเล่นเหมือนทุกคราใช่หรือไม่ ฮึก รีบตื่นขึ้นมาเร็วเข้า” ทั้งเสียงที่สั่นเครือและน้ำตาที่ไหลออกจากนัยน์ตาสีดำขลับ ล้วนทำให้หลี่เมิ่งมิอาจกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้“ขอโทษนะหยางจิ้ง ทั้งที่เคยสัญญาว่าจะอยู่กับเจ้า แต่ข้ากลับทำไม่ได้” เซียนสาวซุกหน้าลงกับเข่าทั้งสองพลางร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างไม่อายผู้ใด“ร้องไห้เพราะดีใจ ที่ได้กลับสวรรค์หรือ”“มะ มหาเทพ”“ข้าถามว่าเจ้าดีใจมากใช่หรือไม่ ที่ได้กลับมา”“ขะ ข้าเสียใจ” ใบหน้างามก้มลง พลางตอบออกไปตามความจริง“หืม เจ้าเสียใจอย่างนั้นหรือ เพราะเหตุใดเล่า ทั้งที่เจ้าตั้งใจบำเพ็ญเพียรมาหลายร้อยหลายพันปี แต่เจ้ากลับเสียใจที่ได้กลับมาอยู่สวรรค์หรือ” มหาเทพยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยเช่นเคย แต่หลี่เมิ่งกลับรู้สึกว่านางถูกแรงกดดันมหาศาล“ข้าเสียใจ ที่ต้องจากพวกเขาทุกคนมา”“หากข้าให้เจ้ากลับไป เจ้าจะไปหรือไม่”“ข้า-”“เจ้า
Comments