ในชาติภพก่อนนางคือวีรสตรีของแผ่นดินสยาม ปกป้องบ้านเมืองจากข้าศึกศัตรูจนตัวตาย เกิดชาติภพใหม่ในยุคจีนโบราณ นางนั้นเติบโตขึ้นเป็นสตรีที่งดงามแต่ทว่าภายใต้ใบหน้าที่งดงามนั้นกลับมีความลับบางอย่างซ่อนอยู่
View Moreปีพุทธศักราช ๒๓๐๘
อาณาจักรอยุธยา สมัยราชวงศ์บ้านพลูหลวง พม่าส่งกองทัพเข้าโจมตีทั่วแคว้นแดนสยาม ข้าศึกได้เหิมเกริมรุกรานเข้ามาทั่วแดน จนทำให้ชาวบ้านล้มตายไปเป็นจำนวนไม่น้อย บ้างก็ถูกจับไปเป็นเชลย บ้างก็ถูกฆ่าตาย บ้างก็ถูกข่มเหงรังแก จนทำให้มีชาวบ้านหลายกลุ่มพากันลุกขึ้นมาต่อสู้ เพื่อปกป้องชีวิตและบ้านเมืองจากทหารของข้าศึก เช่นเดียวกับหมู่บ้านแห่งนี้ที่มีชาวบ้านลุกขึ้นมาฝึกฝนตนเองเพื่อเตรียมพร้อมที่จะรับมือในการถูกพวกข้าศึกเข้ามารุกราน
“เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!’
เสียงของคมดาบปะทะกันดังไปทั่วทั้งบริเวณลานฝึกภายในหมู่บ้านบางระกำ หมู่บ้านที่ห่างไกลออกมาจากเมืองอยุธยามากโข แม้จะเป็นหมู่บ้านเล็กๆ แต่ทว่ากลับมีความแข็งแกร่งจนข้าศึกไม่อาจตีพ่ายได้ในคราเดียว เพราะสถานที่แห่งนี้มีทั้งบุรุษและสตรีแกร่งรวมตัวกันอาศัยอยู่มากมาย จึงถือเป็นด่านหน้าคอยปกป้องเมืองอโยธยาได้เป็นอย่างดี
“ย๊าก.....”
“เคร้ง!!!” ดาบยาวที่มือหนาของบุรุษหนุ่มร่างโตถืออยู่กระเด็นหลุดออกจากมือร่วงหล่นลงสู่พื้นดิน
“เฮ้อ!!! นี่ข้าแพ้ให้เอ็งอีกแล้วรึ นังคำเอื้อย” นายดู่กล่าวออกมาก่อนที่จะเดินไปเก็บดาบของตน
“พี่ดู่ก็อย่ามัวแต่เกียจคร้านที่จะฝึกฝนสิ ไอ้พวกข้าศึกมันจะพากันบุกมาถึงเพลาใดก็หารู้ไม่” สตรีรูปร่างอวบอัดแต่ทว่ามีกล้ามเนื้อราวกับบุรุษเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง
คำเอื้อยเป็นหญิงสาวชาวบ้านบางระกำวัยสิบเจ็ดปีที่ร่วมสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับชาวบ้านบางระกำนับตั้งแต่ที่ข้าศึกบุกเข้ามา นางฝึกฝนการฟันดาบและศิลปะการต่อสู้จนเก่งกาจ
“โถ่!!! นังคำเอื้อย เอ็งก็ให้ข้าพักเสียบ้างเถิด ถึงเพลาที่ไอ้พวกข้าศึกบุกมา พวกเราก็ต้านมันได้ทุกครามิใช่หรือเยี่ยงไร”
นายดู่ถอนหายใจให้กับหญิงสาวที่มีใจกล้าเฉกเช่นเหล่าบุรุษ ไม่ว่าข้าศึกจะมามากเพียงใด นางก็ไม่เคยหลบลี้หนีหน้าไปไหน นางมักจะถือดาบประจันหน้ากับพวกมันเคียงบ่าเคียงไหล่พวกเขาเสมอ
“พี่ดู่จ๊ะ ไอ้ผุดบอกว่าเสบียงของหมู่บ้านเราเริ่มจะร่อยหรอเสียแล้ว เหตุการณ์ภายนอกเมืองก็มิค่อยจะดีเท่าใดนัก แล้วเช่นนี้พวกเราจะทำเยี่ยงไรกันดีล่ะจ๊ะ”
แก้ว หญิงสาวในหมู่บ้านที่ทำหน้าที่คอยดูแลเสบียงอาหารกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่เป็นกังวล เพราะถ้าให้คนออกไปหาเสบียงด้านนอกหมู่บ้าน ก็คงไม่พ้นได้พบเจอกับพวกทหารของพม่าเป้นแน่
“เดี๋ยวข้าจะพาพวกออกไปหาเสบียงมาเพิ่มเองจะ พี่แก้วไม่ต้องเป็นห่วงนะจ๊ะ”
คำเอื้อยบอกออกมาทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น หากเสบียงอาหารร่อยหรอ ทุกคนในหมู่บ้านก็จะใช้ชีวิตอยู่กันด้วยความลำบาก
“ข้าไปด้วย”
นายอ้นรีบเอ่ยออกมาทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น หากปล่อยให้คำเอื้อยพาพวกออกไปแล้วเจอกับพวกศัตรู เขาจะได้ร่วมต่อสู้ไปพร้อมกับนาง
“ถ้าเยี่ยงนั้นพวกเราไปเตรียมตัวกันเถิด ออกไปสักสิบคนก็พอ หากออกไปมากนักจะทำให้พวกข้าศึกรู้ตัวเอาได้”
“ไม่รู้ว่าเพลานี้ข้าศึกมันอยู่ทิศทางใดกัน เหตุใดพักนี้หมู่บ้านของพวกเราถึงได้ดูเงียบจนแปลกประหลาดยิ่งนัก” นายชดเอ่ยถามออกมาด้วยความประหลาดใจ
“ให้มันพักกันเสียบ้างเถิด หากพวกมันหมั่นเข้ามาโจมตีพวกเราคงจะต้านเอาไว้ไม่อยู่เป็นแน่” ทองกล้ากล่าวออกมาพลางใช้ผ้าเช็ดดาบเล่มยาวของตน
“ถ้าเช่นนั้นเอาตามนี้แหละจ้ะ ข้า ไอ้อ้น แม่จำปี แม่ลำดวน พี่คล้าว พี่เข้ม พี่คม พี่เสือ พี่ผา และก็พี่ชิด พวกเราทั้งสิบจะออกไปหาเสบียงมาเพิ่มเอง” คำเอื้อยหันไปบอกหัวหน้าหมู่บ้านอย่างลุงทองเย็น
ผู้อาวุโสไม่ห้ามปรามอันใดเพราะหากไม่มีผู้ที่เสียสละตนออกไป ชาวบ้านทุกคนจะต้องพากันอดตายก่อนที่จะตายด้วยน้ำมือของพวกข้าศึก ทุกคนจึงได้แยกย้ายกันไปเตรียมตัวและมาพร้อมกันในเพลานัดพบ นายดู่และนายชดจะคอยดูแลหมู่บ้านในยามที่ทั้งสิบคนไม่อยู่ คำเอื้อยและสหายร่วมรบทั้งเก้าคนจึงวางใจ
บุรุษร่างสูงใหญ่ทั้งเจ็ดและสตรีอีกสามคนที่แต่งกายเยี่ยงชายชาตรี ในมือทั้งสองข้างถือดาบประจำกายพากันเยื้องย่างออกไปทางด้านหลังของหมู่บ้านในเพลากลางคืน เพื่อมิให้ข้าศึกภายนอกได้รู้ว่ามีคนในหมู่บ้านออกไป พวกคำเอื้องจึงต้องออกไปเพลานี้ เพลาที่ทิวาได้ลาลับนภาไป
เสียงนกแสกและนกฮูกร้องดังไปทั่วทั้งแนวป่าหลังหมู่บ้าน กลุ่มบุรุษและสตรีหาญกล้ามุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านที่ถูกข้าศึกตีจนแตกพ่ายที่อยู่ห่างไกลออกไปจากหมู่บ้านบางระกำสองชั่วเพลาในการเดินทาง เพื่อลองหาเสบียงที่น่าจะยังคงมีหลงเหลืออยู่บ้าง ในระหว่างทางทุกคนเดินไปด้วยความเงียบเพื่อไม่ให้ข้าศึกได้ยินเสียงฝีเท้า
หนึ่งวันกับอีกหนึ่งคืนในที่สุดเหล่าผู้กล้าทั้งสิบคนก็เดินทางมาถึงหมู่บ้านที่ถูกเผาทำลายจากการรุกรานของข้าศึก ภาพของชาวบ้านที่นอนตายอยู่ทั่วหมู่บ้าน ทำให้คำเอื้องรู้สึกเจ็บแค้นใจโดยเฉพาะพวกหญิงสาวที่ถูกพวกมันข่มเหงรังแกจนตาย หากชาวบ้านลุกขึ้นมาต่อสู้ไม่รอความช่วยเหลือจากพวกทหาร หมู่บ้านนี้ก็คงจะไม่พ่ายแพ้อย่างง่ายดายเช่นนี้
“คงจะเพิ่งถูกตีพ่ายไปไม่ได้นาน ศพชาวบ้านบางคนตัวยังอุ่นอยู่เลย พวกเอ็งระวังตัวเองกันด้วยล่ะ”
นายคล้าวตะโกนบอกสหายร่วมรบทั้งเก้าคนหลังจากที่เขาก้มลงไปจับชีพจรของชาวบ้านที่น่าจะเพิ่งถูกฆ่าตายได้ไม่นาน
“รีบหาเสบียงที่พอจะนำกลับไปยังหมู่บ้านเสียก่อนเถิด ข้าว่าพวกเราไม่ควรจะรั้งอยู่ที่นี่นานนัก เพราะไม่รู้ว่าพวกข้าศึกจะยังอยู่แถวนี้หรือว่าจากไปแล้ว”
คำเอื้อยร้องบอกทุกคนในขณะที่นางเดินไปสำรวจตามเรือนชานที่เสียหายจากการถูกไฟไหม้ ร่องรอยนั้นราวกับเพิ่งจะเกิด ชาวบ้านที่ล้มตายก็ยังเนื้อกายอุ่นอยู่ นางจึงคิดว่าพวกมันคงเพิ่งจะบุกมาทำลายหมู่บ้านนี้ได้ไม่นานนัก
ขบวนสินเดิมของเจ้าสาวยาวเกือบหนึ่งลี้ ถือว่าไม่น้อยหน้าสมกับเป็นคุณหนูจากตระกูลใหญ่ ผู้คนต่างพากันนึกอิจฉานางขึ้นมา ด้วยไม่คิดว่าสตรีที่เกิดจากตระกูลธรรมดาอย่างซุนฉี จะสามารถมอบสินเดิมให้กับหลานสาวมากมายถึงเพียงนี้ แม้ผู้คนจะรู้ดีว่ามิใช่ของตระกูลซุนเพียงตระกูลเดียว แต่ก็รู้สึกนับถือซุนฉี ที่อีกฝ่ายคอยเก็บสะสมทรัพย์สินมากมาย เพื่อให้หลานเป็นสินเดิมติดตัวไปยามออกเรือน“คุณหนูเจ้าคะ หิวหรือไม่เจ้าคะ ข้าน้อยเตรียมขนมมาให้ หากคุณหนูหิวก็กินรองท้องไปก่อนหนาเจ้าคะ ดูจากการเคลื่อนขบวนแล้ว ข้าน้อยคิดว่ากว่าจะถึงจวนตระกูลเยว่ก็คงอีกสองเค่อ” เซียงซุนเปิดม่านเกี้ยวแล้วบอกคุณหนูของนางด้วยความห่วงใย เพราะวันนี้คุณหนูหาได้กินสิ่งใดลงไม่ อาจจะเป็นเพราะความตื่นเต้น“อื้อ…”ชิงเหมยมองออกไปผ่านผ้าคลุมหน้าก็เห็นว่าข้างทางมีชาวบ้านมากมาย ใบหน้าทุกคนต่างยิ้มแย้มออกมาด้วยความยินดี ทำให้นางรู้สึกประทับใจยิ่งนัก ไม่คิดว่างานแต่งงานของนางจะทำให้ผู้คนสนใจมาชื่นชมมากมายถึงเพียงนี้และก็เป็นอย่างที่เซียงซุนบอก เพราะกว่าจะถึงจวนตระกูลเยว่ก็ใช้เวลานานเกือบสองเค่
หนึ่งปีต่อมาวสันตฤดูเวียนมาถึง นั่นก็หมายความว่า กำหนดการพระราชทานสมรสระหว่างคุณชายรองสกุลเยว่กับคุณหนูใหญ่สกุลซิ่วก็มาถึงเสียที ชิงเหมยต้องไปออกเรือนที่ตระกูลซิ่ว ทำให้ซุนฉี ซุนเฉียว เหลียงจง หลิวเวย และลูกๆ ทั้งสองของนาง ต้องเดินทางจากจวนตระกูลซุน ซึ่งตั้งอยู่ในหมู่บ้านซานฉี เข้าเมืองถิงฮวาไปพำนักที่ตระกูลซิ่วชั่วคราว ก่อนที่จะถึงวันวิวาห์ เพื่อร่วมกันส่งหลานสาวออกเรือน“ข้ารู้สึกใจหายยิ่งนัก หลังจากเหมยเอ๋อร์ออกเรือนไปแล้ว ข้าจะทำเยี่ยงไร” ซุนฉีนึกใจหายขึ้นมา หลานสาวอาศัยอยู่กับนางมาตั้งแต่เกิด จนมาถึงวัยสิบแปดปี วัยที่เหมาะสมแก่การออกเรือน“ท่านกล่าวอันใดเยี่ยงนั้น ท่านไม่อยากเห็นเหมยเอ๋อร์มีความสุขหรอกรึ” ผิงหลันแสร้งถามออกมาทั้งๆ ที่ใจนางเองก็ไม่ต่างจากซุนฉีแม้แต่น้อยหลังจากหลานสาวกลับจากเยี่ยมบ้านเดิมตามธรรมเนียม ชิงเหมยก็ต้องออกเดินทางเข้าเมืองหลวงทันที เพราะว่าที่หลานเขยของนางต้องทำงานรับใช้ราชวงศ์ ไม่อาจลางานนานได้ และเพราะหน้าที่ของเขา ทำให้ไม่สะดวกต่อการเดินทางไกล จวนของเขาที่เตรียมไว้ยามนี้ตกแต่งไว้รอนายหญิงของจวนเรียบร้อยแล
“ช้าก่อน!!! วันนี้ข้าคงจะหนีไปไหนไม่พ้นแล้ว ถ้าเช่นนั้นพวกเจ้าช่วยบอกข้าสักนิดได้หรือไม่ ว่าเพราะเหตุใดพวกเจ้าถึงได้มาจัดการข้า” ชิงเหมยเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา“ฮ่าๆๆ ไหนๆ เจ้าก็จะไม่รอดอยู่แล้ว ถ้าเช่นนั้นข้าจะบอกให้เอาบุญก็แล้วกัน ฮูหยินน้อยสกุลเยว่ นางชิงชังเจ้าเพียงเพราะเจ้าเป็นสตรีที่จะได้แต่งงานกับคุณชายรองสกุลเยว่ นางเห็นว่าเจ้าไม่มีสิ่งใดเหมาะสมคู่ควรกับเขา และนางฝากข้ามาบอกเจ้าว่า หากชีวิตนางไร้ซึ่งความสุขแล้ว ชีวิตของชายผู้นั้นก็อย่าหวังว่าจะมีความสุขเช่นกัน” ชิงเหมยพลันเข้าใจในทันที คนที่คิดร้ายกับนางในครานี้คือพี่สะใภ้ของเยว่อู๋ชางเหตุใดอีกฝ่ายถึงไม่อยากเห็นเยว่อู๋ชางมีความสุข เป็นเพราะสตรีผู้นั้นอยากช่วยเหลือสามีของนาง หรือไม่ก็เป็นเพราะสตรีผู้นั้นแอบมีใจให้เยว่อู๋ชาง ครั้นเยว่อู๋ชางไม่เล่นด้วย อีกทั้งกำลังจะแต่งงาน ความริษยาจึงครอบงำจิตใจ สั่งให้คนมาทำลายคู่หมั้นของเยว่อู๋ชางเพื่อให้เยว่อู๋ชางต้องเป็นทุกข์เช่นกัน ชิงเหมยครุ่นคิดและไตร่ตรองดูแล้ว น่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่า ความอิจฉาริษยาของสตรี น่ากลัวกว่าการแย่งชิงอำนาจของพวกบุร
ระหว่างที่สองแม่ลูกกำลังจมอยู่กับความอิจฉาริษยา เรื่องที่เยว่อู๋ชางได้รับสมรสพระราชทาน ผู้เป็นสะใภ้ใหญ่ของตระกูลเยว่ กลับมีความคิดที่ลึกล้ำยิ่งกว่า นางมีความคิดที่จะกำจัดชิงเหมย เพียงเพราะนางเองก็เป็นสตรีผู้หนึ่งที่ เคยตกหลุมรักเยว่อู๋ชางมาก่อน ทว่านางกลับต้องกลายมาเป็นภรรยาของพี่ชายใหญ่ของเขา กลายเป็นพี่สะใภ้ที่สองตระกูลยัดเยียดให้แก่นาง“ส่งสารไปให้ท่านพี่ของข้าที บอกให้เขาช่วยจัดการให้สำเร็จ ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก็ตาม” น้ำเสียงเย็นชาไร้ซึ่งความอ่อนหวานดังออกจากสตรีที่มีใบหน้างดงาม“เจ้าค่ะฮูหยินน้อย”สาวรับใช้คนสนิทรับคำสั่งก่อนที่นางจะค่อยๆเร้นกายหลบออกไปจากเรือน และออกไปข้างนอกจวนเพื่อส่งสารให้แก่พี่ชายของฮูหยินเล็กอี้หลันหญิงสาวผู้มีชาติตระกูลสูงส่ง มีอำนาจในมือมาตั้งแต่เด็ก ทว่าอำนาจที่มีกลับใช้กับคนที่นางรักไม่ได้ นางแสยะยิ้มออกมาเมื่อจินตนาการว่า สตรีที่เยว่อู๋ชางกำลังจะแต่งงานด้วย ต้องมาแปดเปื้อนและสิ้นใจไปก่อนที่จะได้ออกเรือนกับเขา นางอยากจะรู้หากเขารู้เขาจะรู้สึกเช่นไร หญิงสาวหัวเราะออกมาราวกับว่ากำลังมีความสุขที่สุดทางด
ด้านหน้าจวนตระกูลซุนในยามนี้ มีรถม้าหรูหราจากในวังหลวงมาจอดเทียบ องครักษ์ประจำตัวของขันทีข้างกายองค์ฮ่องเต้นับสิบรายล้อมรอบ ทำให้ชาวบ้านที่เดินทางผ่านไปผ่านมา และบ่าวสาวรับใช้จวนข้างเคียง ต่างพากันจับกลุ่มพูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติ“นั่นมันรถม้าของผู้สูงศักดิ์จากในวังหลวงมิใช่รึ ข้าเคยเข้าวังไปพร้อมกับฮูหยินที่จวน เคยได้เห็นรถม้าเช่นนี้มาแล้ว” บ่าวรับใช้ผู้หนึ่งของจวนข้างเคียงกล่าวดังขึ้นมา“ใช่ๆ ข้าเคยเห็น เป็นรถม้าของขันทีข้างกายองค์ฮ่องเต้ ทหารพวกนี้ก็เป็นองครักษ์ประจำหน่วยซูอี้ที่ขึ้นตรงกับองค์ฮ่องเต้ด้วย” สาวรับใช้ที่รู้ดีกว่าผู้ใดในที่นี้กล่าวสมทบ ครั้นมีการยืนยันว่าเป็นทหารองครักษ์ประจำหน่วยซูอี้ของฮ่องเต้ และเป็นรถม้าของผู้สูงศักดิ์ในวังหลวง ผู้คนต่างก็พากันคาดเดาไปต่างๆ นานา แต่เพียงไม่นานก็ได้ยินชาวบ้านผู้หนึ่งโพล่งออกมาเสียงดัง“ข้าได้ยินจากในตลาดมาว่า ฮ่องเต้ทรงมีพระเมตตา ประทานสมรสให้แก่คุณชายรองสกุลเยว่ กับคุณหนูใหญ่สกุลซิ่วในต้นวสันต์ปีหน้า”ผู้คนยังคงเข้าใจว่าชิงเหมยคือคุณหนูใหญ่ของตระกูลซิ่ว หาใช่คุณหนูใหญ่จากต
และแล้วเรื่องที่ซิ่วจิ่วและชิงเหมยถูกโจรป่าปล้น จนชิงเหมยต้องเปิดเผยความสามารถให้ญาติผู้พี่ และสหายของเขาได้เห็น ก็จบลงไปได้ด้วยดี กองโจรป่าถูกพวกมือปราบแห่งเมืองถิงฮวาบุกกวาดล้างจนสิ้นซาก ยกความดีความชอบในครานี้ให้แก่เหล่าคุณชายที่ออกไปล่าสัตว์และจัดการกับหัวหน้ากองโจร จนทำให้พวกมือปราบจัดการพวกโจรป่าได้ง่ายขึ้นแม้สหายของญาติผู้พี่ อยากจะพบหน้านางเพื่อมอบของตอบแทน ที่นางให้ความช่วยเหลือพวกเขาเอาไว้ในเหตุการณ์ครั้งนี้ แต่ทว่าซิ่วจิ่วกลับแก้ต่างกับสหายให้นางว่า ชิงหง ญาติผู้น้องของเขาได้ออกเดินทางติดตามท่านน้าของตน ไปค้าขายที่ต่างเมืองเสียแล้ว เรื่องนี้จึงผ่านไปแต่โดยดี ท่ามกลางความเสียดายของคุณชายชิ่งและคุณชายจางหลังจากเหตุการณ์นั้นผ่านมาได้เพียงแค่สองวัน เช้าวันนี้ชิงเหมยจึงตัดสินใจขอตัวลาท่านย่าและพวกพี่ชาย เพื่อกลับจวนตระกูลซุนทันที ด้วยเห็นว่าตนก็จากท่านยายมานานหลายวันแล้ว ผู้เป็นย่าไม่ได้คัดค้านอันใด เพราะรู้ดีว่าใจของหลานสาวนั้น มีผู้เป็นยายนั่งอยู่ข้างใน มากกว่าผู้เป็นย่าที่เพิ่งพบเจอกันเยี่ยงนาง แม้จะรู้สึกน้อยใจแต่ทว่าผิงหลันก็มิอาจแสดงออกมาได้ในยามเฉินหลั
Comments