โอ้โหแม่เจ้า! ใครจะไปคิดว่าแค่ไปดูดวงกับคุณยายเพราะสงสารกลัวว่าท่านจะไม่มีเงินกินข้าว กลับได้ของตอบแทนมาจนทำให้นางตายแถมต้องทะลุมิติไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ตั้งสองพันปีก่อนแบบนี้!
view more"คุณยายคะช่วยดูดวงให้กับหนูหน่อยได้ไหมคะ แล้วราคาในการเปิดไพ่อยู่ที่เท่าไหร่คะ"
นับดาว ครูสาวที่เพิ่งจะสอบบรรจุติดครูได้ในตอนที่อายุ 23 ปี ที่เพิ่งจะประการผลการสอบเมื่อหนึ่งอาทิตย์ก่อน
ในวันนี้เธอได้เดินทางเข้าตัวเมืองมาหาซื้อข้าวของเพื่อเตรียมตัวสำหรับไปประจำการสอนที่อีกจังหวัด แต่ในระหว่างทางที่เดินอยู่ริมถนนอยู่นั้นก็เหลือบไปเห็นแผงดูดวงไพ่ยิปซีของคุณยายท่านหนึ่ง
เป็นหญิงชราที่ผมเปลี่ยนเป็นสีขาวโพลนทั่วทั้งศีรษะ และมวยผมเก็บขึ้นไปรวบไว้กลางหัวอย่างที่คนแก่ชอบทำกัน สวมใส่เสื้อผ้าเก่า ๆ ซีด ๆ สีขาวที่ออกไปทางสีเทาเสียมากกว่ากำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้และมีโต๊ะหนึ่งที่สำหรับวางไพ่อยู่
และไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้นับดาวนั้นเดินตรงเข้าไปถามราคาในการเปิดไพ่กับหญิงชรา คงจะเป็นเพราะเธอรู้สึกสงสารและอยากจะช่วยให้หญิงชรามีเงินเอาไว้ใช้สำหรับกินข้าวในวันนี้ก็เป็นได้
เมื่อเดินตรงไปนั่งลงบนเก้าอี้ตัวที่ว่างฝั่งตรงข้าวกับหญิงชราแล้วนับดาวจึงได้เอ่ยถามอีกฝ่ายขึ้น พอจบประโยคคำถามของนับดาวหญิงชราที่ในตอนแรกกำลังนั่งหลับตาในท่าสมาธิอยู่ก็ได้ลืมตาขึ้นมา พร้อมกับจ้องมองมาที่ใบหน้าของหญิงสาวตรงหน้า
ก่อนที่หญิงชราจะเอ่ยคำพูดที่ฟังดูแปลก ๆ ให้กับนับดาวได้ฟัง ถึงจะให้เธอเริ่มหยิบไพ่ออกมาสามใบสำหรับการทำนายดวงชะตาในครั้งนี้
"เมื่อสวรรค์ลิขิตมาแล้วว่าเป็นเจ้า เช่นนั้นยายจะดูให้เจ้า เจ้าจงเลือกหยิบไพ่ตรงหน้าออกมาสามใบเถิด"
"คะ? อ้อค่ะคุณยาย"
นับดาวที่รู้สึกงุนงงกับคำพูดของหญิงชราตรงหน้าในตอนแรกยังไม่ค่อยเข้าใจว่าอีกฝ่ายพูดมาหมายความว่าอะไร
แต่เมื่อจับใจความได้ว่าอีกฝ่ายให้นางเลือกหยิบไพ่ออกมาสามใบจึงได้เอ่ยตอบรับคำของอีกฝ่าย
พร้อม ๆ กับยื่นมือบางออกไปเลือกหยิบไพ่ตรงหน้าของตัวเองออกมาตามจำนวนที่คุณยายเอ่ยบอกเมื่อครู่นี้ในทันที
หลังจากที่นับดาวเลือกไพ่ครบทั้งสามใบเสร็จเรียบร้อยเธอก็ได้ส่งไปตรงหน้าของหญิงชราเพื่อให้อีกฝ่ายเริ่มทำนายดวงให้
ไพ่ทั้งสามใบถูกเปิดออกมาด้วยฝีมือของหญิงชราที่ทำหน้าที่เป็นคนเปิดไพ่ เพียงแค่ไพ่ทั้งสามใบหงายหน้าขึ้นมา ใบหน้าของหญิงชราตรงหน้าก็เผยรอยยิ้มออกมาบางเบา
พร้อมกับถอนหายใจออกมาหนึ่งครั้งแล้วเริ่มเงยหน้าขึ้นมามองใบหน้าของนับดาวอีกครั้ง ก่อนจะเริ่มเอ่ยถึงสิ่งที่ไพ่บอกออกมา
“เอาละ ไพ่ใบแรกเป็นอดีตที่ผ่านมาของเจ้านะ นังหนูการที่เจ้ามีชีวิตในวัยเด็กที่น่าสงสารเช่นนั้นก็เป็นเพราะกรรมเก่าที่เจ้าเคยกระทำมาก่อน”
“จึงทำให้เจ้าต้องพบเจอแต่เรื่องราวที่ต้องสูญเสียมาโดยตลอด ส่วนไพ่ใบที่สองคือปัจจุบันนี้ เจ้ากำลังจะได้ไปยังสถานที่แห่งหนึ่งที่เจ้าจะต้องแบกรับชีวิตของใครอีกหลายคน”
“ที่เจ้าไม่อาจจะปฏิเสธพวกเขาได้ และเจ้าก็มีหน้าที่ต้องสั่งสอนและดูและพวกเขาให้เติบโตมาอย่างดีและเป็นคนที่มีคุณภาพตามที่เจ้าตั้งใจในการเลือกสายงานนี้ของเจ้า”
“ส่วนไพ่ใบที่สามนั้นคืออนาคตข้างหน้า เจ้าจะต้องช่วยเหลือใครบางคนที่มีความสำคัญกับเจ้าเป็นอย่างมากจนแม้แต่ชีวิตนี้ของเจ้าก็สามารถมอบให้กับคนผู้นั้นได้ เพียงแต่หนทางที่เดินไปในภายภาคหน้าของเจ้านั้นย่อมไม่ได้สวยงาม”
“ยายจึงขอให้เจ้าจงใช้สติไตร่ตรองทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ดีก่อนที่จะตัดสินใจทำสิ่งใดลงไป”
หญิงชราเอ่ยจบลงเพียงเท่านั้นก็เงียบเสียงลงไปเพื่อรอฟังคำถามที่หญิงสาวตรงหน้ากำลังจะเอ่ยออกมาราวกับล่วงรู้ว่านับดาวจะถามคำถามอยู่ก่อนแล้ว
“เอ่อคุณยายคะ หนูขอถามได้ไหมคะว่าใครกันคือคนที่หนูจะต้องช่วยเหลือเขากัน”
นับดาวที่ในตอนแรกตั้งใจฟังคำพูดของหญิงชราตรงหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง เพราะว่าเพียงแค่คำพูดแรกก็ทำให้เธอรู้สึกขนกายลุกชันขึ้นมา
เพราะมันตรงกับสิ่งที่เธอได้รับมาตั้งแต่เด็กจนโต จนในตอนนี้เธอก็เหลือเพียงตัวคนเดียวแล้ว
เพราะครอบครัวของเธอนั้นได้จากเธอไปทีละคน ๆ จนหมดตั้งแต่ที่เธออายุได้เพียง 15 ปีแล้วนั่นเอง
ส่วนคำทำนายไพ่ใบที่สองเธอก็ยิ่งรู้สึกตกใจว่าคุณยายช่างพูดได้ราวกับว่ารู้ว่าเธอกำลังจะไปสอนเด็ก ๆ ที่โรงเรียนแห่งหนึ่งอยู่จึงได้ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกเชื่อในคำพูดของคุณยายมากขึ้น
จนมาถึงไพ่ใบสุดท้ายที่บอกว่าเธอจะสามารถมอบชีวิตของตัวเองเพื่อช่วยเหลือใครบางคน แต่เธอนั้นไม่คิดว่าตัวเองจะสามารถทำแบบนั้นได้เพราะเธอยังไม่มีแฟนและไม่คิดที่จะมีด้วย
เพราะการสูญเสียที่ผ่านมานั้นทำให้เธอไม่กล้าที่จะมีคนสำคัญในชีวิตของตัวเองอีกเพื่อหลีกหนีการสูญเสียในภายภาคหน้า แต่นับดาวก็ยังคงเอ่ยถามถึงบุคคลที่จะทำให้เธอนั้น
สามารถยอมช่วยเหลือเขาได้แม้ว่าจะต้องเสี่ยงชีวิตของตัวเองก็ตามขึ้นมาอย่างอยากรู้ เพราะเธอในชีวิตนี้ไม่มีคนสำคัญหลงเหลืออยู่บนโลกใบนี้แล้ว
"เมื่อพานพบเจ้าก็จะรับรู้ได้ด้วยตัวเองนั่นแหละหนา รับนี่ไปถือเป็นของขวัญจากยายแก่เช่นข้านะนังหนู"
หญิงชราเอ่ยบอกกับนับดาวด้วยใบหน้าแย้มยิ้มอย่างอบอุ่น ก่อนที่มือเหี่ยวย่นของนางจะยื่นของบางสิ่งมาตรงหน้าของนับดาว
สิ่งที่หญิงชรายื่นมาให้กับนับดาวก็คือกำไลข้อมือที่ดูเก่าและสีซีดมากจนไม่สามารถมองออกได้เลยว่าก่อนหน้านี้มันเคยมีสีอะไรมาก่อนกันแน่
ในตอนแรกนับดาวตั้งใจที่จะเอ่ยปฏิเสธหญิงชราไปด้วยความเกรงใจ แต่เมื่อเธอเห็นใบหน้าที่ดูใจดีของอีกฝ่ายแล้วก็ไม่สามารถทำใจทำลายน้ำใจที่คุณยายมอบให้กับตัวเองได้
ดังนั้นนับดาวจึงได้ยื่นมือบางออกไปรับกำไลหยกเก่า ๆ วงนั้นมากำไว้ที่มืออย่างเสียไม่ได้ ก่อนที่เธอจะเอ่ยขอบคุณหญิงชราตรงหน้าอย่างจริงใจ
"ขอบคุณนะคะคุณยาย หนูจะเก็บรักษาเอาไว้เป็นอย่างดีเลยค่ะ แต่ตอนนี้หนูคงต้องไปแล้ว ค่าดูดวงในครั้งนี้เท่าไหร่หรือคะ?"
หลังจากที่รับกำไลมาเก็บไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้วนับดาวก็ได้เอ่ยขึ้นมาอีกครั้งเพื่อบอกให้หญิงชรารับรู้ว่าเธอจะต้องไปแล้ว และต้องการที่จะจ่ายค่าดูดวงในครั้งนี้ตามราคาที่หญิงชราเรียกมา
"ค่าดูในวันนี้ 9 บาทจ๊ะ"
หญิงชราเอ่ยตอบกลับด้วยน้ำเสียงอบอุ่นเหมือนอย่างเคย เพียงแต่ราคาที่หญิงชรา บอกมานั้นทำให้นับดาวรู้สึกตกใจอยู่ไม่น้อย เพราะมันถูกจากราคาที่เธอเคยไปดูมาหลายต่อหลายครั้งเป็นอย่างมาก
แต่นับดาวก็ไม่ได้คิดจะพูดขัดความตั้งใจของคุณยายตรงหน้าเธอจึงได้ล้วงมือเข้าไปหยิบเอาเหรียญจำนวน 9 บาทตามที่คุณยายตรงหน้าเรียกอย่างครบไม่ขาดไม่เกิน
ก่อนที่มือบางจะยื่นเงินไปวางตรงหน้าของคุณยายตรงหน้าแล้วลุกขึ้นยืนเพื่อเตรียมตัวเดินจากไปในทันที
เพียงแต่ในขณะที่นับดาวกำลังจะก้าวเท้าออกเดินอยู่นั้น จู่ ๆ เสียงแหบแห้งแต่ดูอบอุ่นของหญิงชราก็ดังขึ้นมาตามหลัง
พร้อม ๆ กับเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นกับเธออย่างรวดเร็วจนนับดาวเองก็ไม่รู้ว่าจะต้องสิ่งใดต่อไป
"เส้นทางในวันข้างหน้าล้วนเป็นลิขิตสวรรค์ เพียงแต่มานะตนเองนั้นก็ย่อมเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของตนเองได้เช่นกันนะนังหนู ยายขอให้เจ้าโชคดี"
ปี๊บ! ปี๊บ! ปี๊บ! ปัง!
เสียงบีบแตรรถที่ดังสนั่นไปทั่วทั้งถนนที่มาพร้อมกับแรกกระแทกอย่างรุนแรงเข้าที่ร่างของนับดาว จนร่างของเธอกระเด็นลอยไปตกลงที่ข้าง ๆ ถนนห่างออกไปจากจุดที่ชนพอสมควร
พร้อมกับที่สติที่ดับวูบไปตลอดกาลของนับดาว โดยที่ในมือบางของเธอนั้นยังคงกำกำไลหยกที่อาบไปด้วยเลือดสีแดงสดของเธอเอาไว้อย่างแน่นหนา
และในจังหวะที่นับดาวหมดลมหายใจลงกำไลหยกวงนั้นก็เกิดประกายแสงบางอย่างออกมาจาง ๆ ก่อนที่มันจะจางหายไปพร้อมกับกำไลหยกที่หายวับไปจากมือของหญิงสาวด้วยเช่นเดียวกัน
ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทุกอย่างล้วนอยู่ในสายตาของหญิงชราคนที่นับดาวดูดวงด้วยเมื่อสักครู่นี้ ก่อนที่ร่างของหญิงชรานั้นจะค่อย ๆ เลือนหายไปในความว่างเปล่าเช่นเดียวกัน
*******************************
เปิดมาตอนแรกก็ตายเลย โถ่วยัยน้องลูกช่างน่าสงสารจริง ๆ
“พี่ใหญ่ ข้าขออุ้มเสี่ยวไป๋ได้หรือไม่ขอรับ”เจียงหยวนที่ชมชอบสัตว์ตัวเล็กน่าตาน่ารักอยู่แล้ว ก็อดใจไม่ไหวจนต้องเอ่ยขออนุญาตพี่สาวของตนเองเพื่อที่จะอุ้มเจ้าเสี่ยวไป๋ดูสักครั้ง“ว่าอย่างไรเล่าเสี่ยวไป๋ เจ้าจะให้เสี่ยวหยวนอุ้มดูสักครั้งหรือไม่?”เจียงหลินที่เห็นน่าตาออดอ้อนของน้องชายก็รู้สึกคันยุบยิบขึ้นมาภายในใจจนอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามเจ้าตัวเล็กในอ้อมกอดเพื่อเป็นการถามความเห็นของอีกฝ่ายช่วยน้องชายอีกแรงหนึ่ง“เฮ้อ… ก็ได้ ๆ แต่แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้นนะ”เสี่ยวไป๋ที่รู้สึกพ่ายแพ้ให้กับดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของเด็กสาวตรงหน้าที่กำลังจ้องมองมาด้วยสายตาคาดหวังอย่าเต็มเปี่ยม ทำให้เขาต้องถอนหายใจออกมาด้วยความจำยอม ก่อนที่เขาจะเอ่ยอนุญาตอีกฝ่ายออกไป“เสี่ยวหยวน เสี่ยวไป๋อนุญาตให้เจ้าอุ้มได้ แต่แค่ครั้งนี้เท่านั้นนะ”เจียงหลินร้องขึ้นด้วยความยินดี จากนั้นนางจึงได้หันหน้ากลับไปเอ่ยบอกกับน้องชายตัวน้อยของตนเองที่ยังคงนั่งทำหน้าตาออดอ้อนอยู่ไม่ห่าง“ขอบรับพี่ใหญ่ ข้าจะอุ้มเจ้าให้เบามือที่สุดนะเสี่ยวไป๋”เจียงหยวนเอ่ยขอบคุณพี่สาวของตนเองจบ มือน้อย ๆ ของเขาก็ยื่นออกไปตรงหน้าเพื่อเตรียมรอรับร่างเล็ก ๆ
ต้นยามเหม่าเจียงหลินก็ได้รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกครั้ง และพบว่าข้าง ๆ ตัวของนางในตอนนี้ได้มีเจ้าก้อนกลม ๆ กำลังนอนขดตัวหลับอยู่อย่างสบายใจ ริมฝีปากบางสวยจึงเผลอยกยิ้มด้วยความเอ็นดูในความน่ารักของมันไม่ได้เจียงหลินค่อย ๆ พาตัวเองลุกขึ้นอย่างเงียบ ๆ เพื่อไม่ให้รบกวนการนอนหลับของเจ้าตัวเล็ก จนสามารถพาตัวเองลุกขึ้นจากเตียงนอนได้สำเร็จเมื่อเจียงหลินลงมายืนบนพื้นได้อย่างมั่นคงดีแล้วนางก็ได้เดินออกไปจากห้องนอนเพื่อไปเตรียมอาหารเช้าให้กับทุกคนในทันทีโดยอาหารเช้าในวันนี้เจียงหลินเลือกทำเป็นโจ๊กหมูสับ เพื่อให้ง่ายต่อการย่อยของเด็ก ๆ ส่วนอาหารมื้อเช้าของเจ้า เสี่ยวไป๋ เป็นชื่อที่นางตั้งให้กับเจ้าตัวเล็กในห้องนอนนั่นเองเจียงหลินทำหมูย่างให้กับเจ้าเสี่ยวไป๋แทน เพราะนางเองก็ไม่คิดว่าลูกพยัคฆ์จะสามารถกินอาหารหมากับแมวได้แต่ขนาดตัวของก็พอ ๆ กับแมวขนาดโตเต็มวัยอยู่ แต่มันก็ยังดูตัวเล็กในความรู้สึกของเจียงหลินอยู่เช่นเดิมถ้ามองจากรูปร่างของเจ้าเสี่ยวไป๋ในตอนนี้มันก็คงอายุได้ประมาณ 3-4 เดือนแล้วอย่างแน่นอน ดังนั้นมันก็คงจะสามารถทานหมูย่างได้แล้วเมื่อคิดได้แบบนั้นเจียงหลินจึงได้เลือกทำหมูย่างให้มันน
หลังจากที่เจียงหลินพูดคุยกับน้องทั้งสองจนเข้าใจกันดีแล้วนั้น ไม่นานนางจางที่ขายหมูจนหมดแล้วก็ได้กลับมาหาเจียงหลินอีกครั้งในช่วงปลายยามเซินเพื่อนำเงินกลับมามอบให้กับเด็กสาวอีกครั้ง และในการขายเนื้อหมูป่าในครั้งนี้ทำเงินให้กับเจียงหลินถึงห้าร้อยอีแปะ ถือว่าเป็นจำนวนเงินที่มากสำหรับชาวบ้านยากจนเช่นพวกนางหลังจากที่นางจางมอบเงินให้กับเจียงหลินเสร็จเรียบร้อยนางก็ขอตัวกลับบ้านไปในทันที เพราะนางเองก็ยังมีงานบ้านรออยู่อีกมากไหนจะยังมีข้าวเย็นที่ยังไม่ได้ทำอีกเล่า เจียงหลินเองก็เข้าใจถึงเรื่องนี้ดี นางจึงคิดที่จะรบกวนหญิงวัยกลางคนไปมากกว่านี้ต้นยามโหย่วก็ถึงเวลาที่เจียงหลินจะต้องลงมือทำอาหารเย็นแล้ว และนี้ก็ยังเป็นครั้งแรกที่เจียงหลินต้องมาทำอาหารที่โลกแห่งนี้ แทนที่จะเป็นบ้านของตนเองในอีกที่แทนเพียงแต่ในตอนนี้ห้องครัวของนางยังคงขาดแคลนเครื่องมืออยู่มาก เพื่อเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน เจียงหลินจึงได้เลือกหยิบบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสหมูสับห่อใหญ่ออกมาห้าซองและนำไข่ไก่ออกมาอีกหนึ่งแผง ถ้วยอีกห้าใบ และสิ่งสุดท้ายที่สามารถนำออกมาได้ก็คือหม้อต้มเมื่อได้ของครบตามต้องการแล้วเจียงหลินจึงได้เริ่
เจียงหลินใช้เวลาเก็บกวาดและล้างทำความสะอาดทั่วทั้งห้องครัวอยู่เกือบหนึ่งชั่วยามจึงแล้วเสร็จในตอนนี้ภาพห้องครัวเก่า ๆ โทรม ๆ เมื่อหนึ่งชั่วยามก่อนหน้านั้น ในตอนนี้กลายเป็นห้องครัวที่ดูสะอาดขึ้นมาในทันทีแต่ภายในห้องนอกจากเตาดินเผาภายในห้องก็ไม่มีข้าวของเครื่องใช้อย่างอื่นเลย พวกหม้อ กระทะ ถ้วนชาม ช้อน เครื่องปรุงต่าง ๆ ล้วนแล้วแต่ยังไม่มีทั้งสิ้นแต่เจียงหลินก็ไม่ได้กังวลมากนัก เพราะนางมีข้าวของทุกอย่างครบอยู่ภายในมิติอยู่แล้ว จะติดก็เพียงแค่นางจะนำออกมาอย่างไรไม่ให้น้อง ๆ และท่านป้าจางสงสัยต่างหากเพราะเหตุนั้นเองนางจึงจำเป็นจะต้องหาตำลึงเงินมาไว้ในมือเพื่อใช้เป็นข้ออ้างในการนำข้าวของต่าง ๆ ออกมาได้อย่างไม่ต้องถูกสงสัยหลังจากที่ทำความสะอาดห้องครัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งในตอนนี้เจ้าสองแฝดเองก็ยังไม่ตื่นขึ้นมา เจียงหลินจึงได้เดินกลับเข้าไปภายในห้องนอนใหญ่ที่ตกเป็นของตนเองแทนในตอนแรกนางตั้งใจจะให้น้องทั้งสองนั้นนอนที่ห้องนอนใหญ่ ส่วนตัวเองจะไปนอนห้องนอนที่เล็กลงกว่านี้แต่น้องทั้งสองของนางกลับไม่ยอมและยังบังคับให้นางนอนห้องนี้ไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ห้องนอนใหญ่ที่ถึงจะบอกว่ามันใหญ่
เจียงหลินเดินลัดเลาะไปตามเส้นทางที่ชาวบ้านพากันใช้เดินทางจนในที่สุดก็ไปโผล่ที่ลำธารสายหลักของหมู่บ้านหนานเจียงแห่งนี้ได้ในที่สุดและตลอดทางที่นางเดินผ่านไปนั้นทั้งสองข้างทางก็เต็มไปด้วยต้นหญ้ารกบ้าง เตี้ยบ้าง บ้างก็มีผักป่าที่คนภายในหมู่บ้านไม่รู้จักและไม่กล้าเก็บมันกลับไปทำอาหารแต่สำหรับเจียงหลินที่รู้จักผักพวกนั้นแล้ว นางก็ไม่รอช้ารีบเก็บผักป่าพวกนั้นลงไปในตะกร้าเก่า ๆ ที่สะพายอยู่บนบ่าติดตัวมาด้วยอย่างขยันขันแข็งจนในที่สุดเจียงหลินก็เดินมาถึงลำธารที่เป็นเป้าหมายหลักในครั้งนี้ เมื่อมาถึงจุดหมายเป็นที่เรียบร้อย นางก็เริ่มมองสำรวจลำธารตรงหน้าในทันทีเพื่อหาดูว่ามีสิ่งใดที่น่าสนใจเหมาะสำหรับนำกลับไปทำเป็นอาหารเย็นของวันนี้ด้วยบ้าง และสายตาของเจียงหลินก็พบเข้ากับผักบุ้งน้ำที่เกิดขึ้นอยู่ตามริมฝั่งของลำธารสายนี้ที่มีจำนวนมากมายเป็นอย่างมาก แต่เมื่อนางมองเลยไปอีกเล็กน้อยที่มีต้นผักตบชวาขึ้นอยู่ไม่ไกล จู่ ๆ สายตาของนางก็สบเข้ากับเจ้าก้อนกลม ๆ สีขาวที่คล้ายกับลูกแมวตัวเล็กกำลังติดอยู่บนกอผักตบชวาเหล่านั้นด้วยความสงสารและนางเป็นคนที่รักสัตว์อยู่แล้วเจียงหลินจึงได้เร่งฝีเท้าเดินตรงไปยังริ
“ข้านะหรือเนรคุณ?”เจียงหลินเอ่ยสวนกลับนางเจียงด้วยน้ำเสียงไม่พอใจขึ้นมาถึงกับกล่าวหาที่ดูจะไม่สมเหตุสมผลของอีกฝ่ายแม้แต่น้อย“ใช่! เจ้ามันเนรคุณ แทนที่ได้อาหารดี ๆ จะนำไปแบ่งให้กับท่านลุงของเจ้าที่อุตส่าห์เลี้ยงดูเจ้ากับน้อง ๆ มาตั้งหลายปี”“แต่นี่เจ้ากลับบอกให้พวกข้านำข้าวสารมาแลกเพื่อจะได้เนื้อหมูนี้ไปมันใช้ได้ที่ไหนกัน”นางเจียงที่ไม่ต้องการเสียข้าวสารแม้แต่เม็ดเดียวให้กับเจียงหลินจึงได้เอ่ยต่อว่าอีกฝ่ายโดยอ้างบุญคุณของสามีขึ้นมาเพื่อทำให้เด็กสาวตรงหน้ายอมมอบเนื้อหมูให้กับตนเองเปล่า ๆ เพื่อแทนคำขอโทษ“ท่านป้าสะใภ้นี่ช่างทำให้ข้าเปิดหูเปิดตายิ่งนัก ในเมื่อท่านกล้ายกเรื่องบุญคุณขึ้นมาเช่นนี้ ข้าเองก็ขอยกบุญคุณที่ท่านพ่อท่านแม่เคยช่วยเหลือพวกท่านขึ้นมาพูดบ้างดีหรือไม่เจ้าคะ”“เงินสามตำลึงที่พวกท่านหยิบยืมจากท่านแม่ของข้า พวกท่านจะชดใช้ให้กับข้าเมื่อไหร่หรือเจ้าคะ?”“!!!”จบคำพูดของเจียงหลินใบหน้าของนางเจียงก็ตื่นตระหนกขึ้นมาในทันที เพราะนางไม่คาดคิดว่าเด็กสาวน่าตายตรงหน้าจะกล้าเอ่ยทวงหนี้ตนเองต่อหน้าสองสามีภรรยาบ้านจางอย่างไม่ไว้หน้าตนเองเช่นนี้“ตำลึงอะไร?ข้าเคยหยิบยืมมารดาของเจ้ามา
Mga Comments