ฮ่องเต้ผู้เบื่ออาหาร กลับหลงใหลในรสมือของแม่ครัวสวมรอย—โดยไม่ล่วงรู้ว่าเจ้าของรสชาตินั้น คือสาวน้อยจอมกวนผู้หลุดมาจากอนาคต!ฝีปากร้ายและมุกเต็มไปด้วยมุกตลกไร้สาระพร้อมกับสูตรอาหารมัดใจฝ่าบาท เมื่ออาหารคือสะพานใจ แต่ความจริงยังถูกปิดซ่อน… เมื่อรสชาติผูกพันหัวใจ แต่ความจริงยังเป็นปริศนา จะรอวันเปิดเผย หรือถูกกลืนหายไปตลอดกาล? แล้วเมื่อความจริงปรากฏ… จะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งหรือไม่?
Voir plusตำหนักพระพันปีที่ได้ชื่อว่างดงามเป็นอันดับสามรองจากตำหนักชิงหนิงกงของฮองเฮาบัดนี้พระพันปีหรือไทเฮาฟู่ฉีนั่งบนบัลลังก์ทองใบหน้าไม่ได้บ่งบอกว่าความรู้สึกภายในใจเมื่อพบหน้าชวีหยา ชวีหยาตำแหน่งกุ้ยเฟยผู้งดงามอ่อนหวานแม้จะไม่ได้เอื้อนเอ่ยวาจาแต่สายตาที่ถอดมองผู้อื่นอ่อนโยนอบอุ่นเหมือนมารดากระนั้น อาภรณ์สีมุกขลิบลวดลายสีทองด้านหลังปักรูปหงส์สยายปีกพร้อมโบยบินแม้จะไม่ได้สะกดสายตาผู้พบเห็นแต่ก็ทำให้ผู้ที่พบเจออดที่จะหันมองซ้ำไม่ได้
ฝีเท้าที่ก้าวเดินราวกับวิ่งแต่ทว่าในใจอยากจะมีเวทมนตร์พาตัวเองมาอยู่ตรงหน้าไทเฮาในทันที ชวีหยาไม่ลืมที่จะย่อกายลงอย่างงดงามแม้จะร้อนใจเพียงใด นั้นยิ่งทำให้ชวีหยามีกิริยาน่ามอง นางงดงามเกินกว่าจะนั่งในตำแหน่งอื่นใดคงเกิดมาเพื่อตำแหน่งฮองเฮาเท่านั้นแต่เสียดายที่จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังนั่งแค่ตำแหน่งกุ้ยเฟย
“ทรงประชวรว่าด้วยไม่อยากอาหารมาหลายวันแล้ว จะทำอย่างไรดีเพคะไทเฮา”ด้วยความกังวลใจที่เก็บสะสมไว้จึงกลั่นออกมาเป็นคำพูดในทันทีโดยที่ไม่ได้เกริ่นนำ
“อย่าเรียกว่าอาการประชวรเลย คงแค่ไม่มีของที่ชอบ ปกติหยางหยางมักจะกินแต่ของโปรดมาตั้งแต่เด็กๆ” ไทเฮาฟู่ฉีหยิบกำไลหยกขึ้นมาพิศดูด้วยความตั้งอกตั้งใจราวกับคำพูดของชวีหยาเป็นเพียงแค่ลมพัดผ่าน
“พระวรกายซูบผอม สองวันก่อนชวีหยาสั่งให้มีการคัดตัวนางในห้องเครื่องเสียใหม่เลือกคนที่ทำอาหารเป็นทั้งหมดมาทำเครื่องเสวยถวายฝ่าบาททีละคน”
ไทเฮาฟู่ฉีพยักหน้าขึ้นลง วางกำไลหยกลงในกล่องหันมามองชวีหยาขมวดคิ้วกับสีหน้าเป็นกังวลนั้น
“แล้วมีมั่งไหม นางในห้องเครื่องที่หา”น้ำเสียงคล้ายเหน็บแนมแต่รับให้เรียบเฉยให้สมฐานะไทเฮาที่ไม่รักไม่ชังใครเกินขอบเขต
“ไม่พบเลยเพคะ คนที่ทำเป็นก็ทำถวายตั้งมากมาย แต่ฝ่าบาทแค่ได้กลิ่นก็คลื่นเหียน ขันทียกไปมากหน่อยก็คิดว่าไปกดดัน กวาดเครื่องเสวยบนโต๊ะทิ้งเสียหมด” ยิ่งไม่กินยิ่งหงุดหงิด
พูดไปก็ถอนหายใจสีหน้ากลัดกลุ้ม นับว่าชวีหยาใส่ใจหยางลี่ไม่น้อยจะสุขจะทุกข์ก็คือสามีภรรยา แม้จะพูดไม่ได้เต็มปากว่าคนผู้หนึ่งกับคนผู้หนึ่งไม่ได้อาศัยความรักใคร่แต่ก็ร่วมชีวิตกันมา อย่างไรเสียฮ่องเต้ก็เป็นหนึ่ง ชวีหยาต้องมีหน้าที่ช่วยเหลือส่งเสริมมิใช่แค่หน้าที่ของภรรยาหากแต่เป็นสิ่งที่ควรปฏิบัติมาช้านาน
“เรื่องอื่นก็ดี เรื่องอาหารก็สำคัญ ฮ่องเต้เอาแต่วุ่นวายกับงานในราชสำนัก นอนน้อยตื่นไว กินอะไรไม่ลง ลองไปหย่อนใจ…..ประภาสป่าดูดีไหมไปเปิดหูเปิดตาเสีบบ้างจึงจะทำให้รื่นมรมย์”
พูดเป็นนัยๆเรื่องที่ชวีหยาไม่ยอมตั้งครรภ์ทั้งที่นั่งเกี้ยวเข้ามาในวังหลวงเกือบปีแล้ว ถึงจะอยากตำหนิแต่อีกคนก็ไม่ได้บกพร่องอะไร เรื่องการตั้งครรภ์ล้วนเป็นลิขิตสวรรค์
“เพคะ เช่นนั้นชวีหยาจะหารือฝ่าบาทเรื่องนี้” ชวีหยาแม้จะรู้ว่าถูกตำหนิแต่สิ่งที่ทำได้ในขณะนี้คือการก้มหน้ายอมรับความจริงเสียการนิ่งเฉยมักจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น
เดือนมีนา ปี2025
“บอกแล้วว่าไม่เอาผงชูรส เห็นไหมเนี้ย!?”ชายร่างสูงใหญ่เหมือนกับคนที่เข้าฟิตเนสในทุกวันยืนตะโกนชี้หน้าข้าวนึ่ง
ข้าวนึ่งหน้าซีดตัวสั่นไม่ได้กลัวไอ้หมอนั่นแต่กลัวว่าลูกค้าผู้หญิงตัวแดงไปทั้งตัว หน้าบวมด้วยฤทธิ์ผงชูรส(หรือเปล่า)จะตายเสียก่อน ส่วนคนที่ยืนด่าอยู่นั่นผู้ชายทั้งแท่งกล้ามใหญ่ตัวโตสีหน้าบอกว่าเอาเรื่องแน่ ในมือถือโทรศัพท์ถ่ายคลิปไปด้วย เมียก็ตัวแดงแปร๊ดแต่ผัวกำลังจ้องจะเอาเรื่องและไลฟ์สดเรียกยอดผู้เข้าชมไปด้วย ยุคนี้อะนะ
“ขอโทษค่ะ ฉันขอโทษจริงๆค่ะ” ยกมือไหว้ประหลกๆ พูดได้แค่นั้นก็จะไปสรรหาคำพูดแก้ตัวไงก่อน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าลูกค้าสั่งไม่ให้ใส่ผงชูรส น้องที่เป็นเด็กเสิร์ฟยืนเกาะหลังข้าวนึ่งไม่กล้าโผล่หน้าออกมา ก็ปกติแล้วข้าวนึ่งเป็นคูมแม่ของทุกคนนี่
“เขาไม่บอกหนูสักคำเอาแต่กดโทรศัพท์ แล้วหนูจะรู้ได้ไงพี่”น้องเด็กเสิร์ฟกระซิบเบาๆ ไอ้สามีของคนที่ตัวแดงๆนั่นเสือกได้ยินที่น้องมันพูดอีก
“ไม่สั่งก็น่าจะรู้ มากินที่นี่สองรอบแล้ว เรื่องง่ายๆแค่นี้ทำไมจำไม่ได้”
“เอ้า”ข้าวนึ่งร้องเสียงหลง
“ไม่ได้เรื่อง! เราคือผู้บริโภคต้องเข้าแล้วไหม โง่จริงๆ” ทั้งสีหน้าและท่าทางของไอ้คนหุ่นล่ำนี่น่าซัดหน้าสักเปรี้ยง แต่เราไม่สนับสนุนให้ใช้ความรุนแรงนะคะ
แต่คำด่าไม่ใช่คำสรรเสริญ ใครจะอยากได้ยินแล้วใครจะยินดี แต่ละวันลูกค้าเยอะมาก ใครจะไปจำได้ ก้มหน้าทำงานอย่างเดียว มาสองครั้งหวังให้จำหน้าได้ แล้วส้มตำไม่ใส่ผงชูรสเนี่ยนะมันกินได้หรือ ข้าวนึ่งถอนหายใจยาวพี่พ่อครัวที่ร้านรีบเข้ามากระตุกแขนข้าวนึ่งเบาๆอย่างห่วงใยแล้วเข้ามาแทรกกลาง กลัวว่าข้าวนึ่งจะหมดความอดทน
“รีบพาคุณผู้หญิงไปโรงพยาบาลก่อนดีไหมครับ อย่าเพิ่งอารมณ์เสียเลยครับพรี้”
พี่พ่อครัวที่ร้านพูดอย่างประณีประนอมพลางแยกข้าวนึ่งให้ถอยไปก่อน แต่คนที่เป็นผัวจ้องข้าวนึ่งอย่างจะกินเลือดกินเนื้อยังไม่วายพูดใส่ข้าวนึ่ง
“เป็นแม่ครัวแต่ให้ทำอะไรง่ายๆไม่ได้ ไม่พยายามเลยนี่ น่าจะจำได้นะว่ามาทุกทีสั่งไม่ให้ใส่ผงชูรสทุกที เรื่องง่ายๆแค่นี้ไม่ใส่ใจก็ไปตายซะ” ข้าวนึ่งสูดลมหายใจเข้าลึกเจ็บปวดกับคำพูดนี้อย่างที่สุด ไม่เป็นก็ได้ว๊ะ! แม่ครัวใครเคยเป็นแบบนี้บ้างหัวร้อนเพราะคำพูดที่มันทำให้รู้สึกเจ็บปวด กว่าคำพูดหยาบคาย
“พูดดีดีนะโว๊ย! สั่งอะไร ถามอะไรก็ไม่บอก เอาแต่กดโทรศัพท์ธุระเยอะเกินนี่ ตอนสั่งก็ไม่เห็นบอกน้องว่าไม่ใส่ รู้ว่าตัวเองกินไม่ได้ไม่แน่ใจแล้วกินไปทำไมก่อน กินแล้วพอจะตายดันมาโทษคนทำ มาสองครั้งแหม๋มาบ่อยเกินนี่ ตั้งสองครั้งเชียว และคุณเมิงงงงเป็นอะไรก่อน เป็นเทวดาหรืองัยหรือว่าเป็นลิซ่า หรือเซียวจ้านต้องให้มาจำว่าเคยมาที่ร้าน วิเศษนักเหรอห๊ะ อย่าให้เจอข้างนอกนะ”
ข้าวนึ่งถอดผ้ากันเปื้อนปาลงกับพื้นยกมือเท้าเอวข้างหนึ่งอีกข้างชี้หน้าคนผัวที่ทำตาปริบๆ ทุกคนในที่นั้นต่างถอนหายใจยาวพร้อมๆกัน
ช่างแม่งวันนี้พรุ่งนี้ค่อยมาลาออก
ร่างของเสี่ยวหนี่ในชื่อใหม่ข้าวนึ่ง ฮองเฮาผู้แสนอ่อนโยนกลายเป็นสิ่งที่เขาควบคุมไม่ได้ เพราะเมื่อเสี่ยวหนี่มารับบทฮองเฮา ไม่ได้รู้ว่ากำลังกลายเป็นตัวละครหนึ่งในที่เขาทำผิดพลาดแต่สามารถพลิกวิกฤติด้วยความตั้งใจอย่างรอบคอบและกลับมาเป็นโอกาส ท่านยมหัวเราะต่อไป พร้อมกับครุ่นคิดถึงความแปลกประหลาดของชีวิตที่บางครั้งแค่เปลี่ยนแปลงเล็กน้อยก็ทำให้ผลลัพธ์ต่างออกไปบันทึกของเขาแสดงให้เห็นถึงเส้นทางที่เสี่ยวหนี่ต้องเดิน นับจากการพบเจอความรักแท้จากหยางลี่ไปจนถึงการเป็นแม่ขององค์ชายองค์หญิง นี่คือสิ่งที่เขากำหนดไว้ แต่ไม่เคยคาดคิดว่าจะทำให้เขารู้สึกสนุกไปกับมันในทุกๆ ครั้งที่ต้องบันทึกการเปลี่ยนแปลงของชีวิตมนุษย์“ดูสิ...จากแม่ครัวในร้านอาหารนางกลายเป็นฮองเฮาจริงๆ หัวใจของท่านฮ่องเต้ก็เปิดรับข้าวนึ่งจนหมดทั้งหัวใจ...” ท่านยมยิ้มอย่างมีเลศนัยพร้อมกับครางเบาๆ "แต่ชีวิตนั้นช่างบิดเบี้ยว บางครั้งต้องเลือกทิ้งบางสิ่ง เพื่อให้ได้สิ่งใหม่มา” ท่ามกลางอาณาจักรของการตัดสินและการย้อนรอยอดีตที่ยาวนานท่านยมถอนหายใจยาวๆ ด้วยความรู้สึกขบขันที่ลึกซึ้ง และแล้วเขาก็เริ่มพลิกบันทึกหน้าใหม่ โดยไม่ให้พลาดทุกความเปลี่ยนแ
ตงเจี้ยนที่ยิ้มมุมปากหลังจากทานราดหน้าทะเล ก็ตอบด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความชื่นชม "ราดหน้าทะเลนี่ก็ไม่น้อยหน้ากันเลยนะ เส้นราดหน้าเหนียวนุ่มกำลังดี ปลา หอย กุ้งสดมาเต็ม ทุกคำที่ทานเข้าไปมันเต็มไปด้วยรสทะเลที่สดใหม่ ผสมกับซอสที่เคี่ยวจนข้นและไม่เหนียวจนเกินไปนี่สิที่เรียกว่าอร่อยมาก"เฟยเทียนที่ถือกระบี่ไม้ยืนอยู่ข้างๆ ด้วยท่าทางเหมือนจะกินอะไรเป็นครั้งแรกในชีวิตก็อดไม่ได้ที่จะลองชิม เขาก้มลงแล้วตักราดหน้าทะเลกินคำแรกแล้วเงยหน้ามาพูด "รสชาติดีมากอร่อยที่สุดของครับ" เขาพูดพร้อมยิ้มกว้างจนตาหยีขณะที่ทุกคนเริ่มลงมือลิ้มรสชาติอาหาร เสี่ยวอี้และอันหรูที่อยู่ข้างๆ ก็เริ่มพูดถึงความอร่อยของอาหาร เสี่ยวอี้ลูบท้องตัวเองแล้วพูดกับแววตาเบิกบาน "ถ้าอาหารทุกมื้อในวังหลวงเป็นแบบนี้คงไม่มีใครอยากออกจากโต๊ะอาหารเลยนะ"ในขณะเดียวกัน องค์ชายหยางหลิงที่วิ่งมาจากห้องข้างๆ พร้อมกับองค์หญิงน้อยของอวี่หรงและเชียหยา ก็เข้ามานั่งที่โต๊ะ พวกเขาก็เริ่มตักอาหารแล้วลิ้มรสไปพร้อมๆ กันหยางหลิงตักผัดไทยห่อไข่คำแรกและพูดอย่างเต็มปาก "อร่อยที่สุดเลยฮับเสด็จแม่"พูดพร้อมกับรอยยิ้มตาหยี ท่ามกลางเสียงหัวเราะและการพูด
หนึ่งปีผ่านไป...พื้นที่ในวังหลวงแห่งนี้เต็มไปด้วยความสดใสและความคึกคักของเด็กๆ ที่เริ่มเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วเสียงฝีเท้าเล็กๆ ขององค์ชายน้อยหยางหลิง วิ่งเข้ามาหาหยางลี่ที่ยืนยิ้มอยู่ในศาลาริมน้ำ หน้าตาเต็มไปด้วยความสุข องค์ชายตัวน้อยโผเข้าสู่อ้อมกอดของบิดาทันที"เสด็จพ่ออออออออ" หยางหลิงพูดเสียงใสๆ ก่อนจะยิ้มกว้างและยกแขนขึ้นกอดหยางลี่อย่างแน่นหนา "วันนี้ลูกอยากจะฝึกขี่ม้า แต่องครักษ์เฟิงอวี่เฉิงบอกว่าข้าเดินให้เก่งก่อนค่อยหัดขี่ม้าเสด็จพ่อลูกโตแล้วนะเก่งขึ้นด้วย"“จริงหรือไหนดูสิต้องให้พ่อลองอุ้มเจ้าดูก่อน”หยางลี่ยิ้มตอบลูกชายแล้วยกเขาขึ้นไว้ในอ้อมแขนด้วยความรัก “ลูกตัวโตขึ้นแล้วนะฮับ”"ดีมากลูก ข้ารู้ว่าเจ้าจะเก่งขึ้นทุกวันแน่ลูกพ่อ"ข้างๆ หยางหลิง อ๋องน้อยเฟยเทียนยืนถือกระบี่ไม้ในมือ เขายืนข้างๆ ตงเจี้ยนที่ยืนยิ้ม "พ่อบอกว่าจะสอนข้าเดินหมาก ท่านพ่อ เมื่อไรข้าจะได้เป็นผู้คุมหมากเสียที"เฟยเทียนพูดเสียงตื่นเต้น ก่อนจะยืนหันไปมองอวี่หรงที่ยืนอยู่ห่างๆ อวี่หรงหัวเราะน้อยๆ หันมายิ้มให้กับลูกชาย "ไปหัดขี่ม้าก่อนเถอะ แล้วข้าจะสอนเจ้าหมากภายหลังฝีมือของพ่อไม่ธรรมดาเจ้าจะต้องเป็นผู้ค
อวี่หรงและตงเจี้ยนพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งกอดรัดท่านยมไว้อย่างแน่นหนา ดวงตาของทั้งสองเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและตั้งใจ แต่ร่างสูงเต้นมูนว็อกนั้นหายไปแล้ว"อย่าปล่อยนะ ตงเจี้ยน" อวี่หรงพูดเสียงหนักแน่น ขณะที่เขาจับท่านยมไว้อย่างมั่นคง"ข้าไม่มีทางปล่อยหรอกน่าท่านเองก้จับไว้ให้มั่นองค์ชายรอง" ตงเจี้ยนตอบกลับเสียงดุดัน แน่นอนว่าทั้งสองไม่ยอมให้ท่านยมหลุดมือไปง่ายๆ อย่างเด็ดขาดในขณะที่การต่อสู้ของพวกเขาดำเนินไป เสี่ยวหนี่ยืนมองอย่างงุนงง โดยไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมทั้งสามถึงพุ่งเข้ามาแบบนี้"กำลังคิดจะทำอะไรกัน" เสี่ยวหนี่ถามด้วยความสับสน ปากพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยแน่ใจว่าจะต้องการอะไรจากการกระทำนี้หยางลี่ที่กอดเสี่ยวหนี่ไว้แน่น จนเสี่ยวหนี่ไม่ยอมปล่อยมือราวกับว่าหากปล่อยมือเสี่ยวหนี่จะหายไปตลอดกาล"เสี่ยวหนี่... ไม่ต้องห่วงนะข้าจะไม่ยอมให้เจ้าต้องไปไหน ไม่มีทางข้าเองก็ไม่ปล่อยเจ้าได้โปรดอยู่ที่นี่กับข้า"" หยางลี่พูดดังๆ รัวเร้วแบบไม่พัก แต่คนที่หายไปจริงๆ คือท่านยมหายตัวไปอย่างรวดเร็ว ราวกับไม่เคยมีตัวตนที่นี่เลย อวี่หรงและตงเจี้ยนยังคงกอดกันยื้อยุดไปมาไม่ลืมหูลืมตาด
ท่านยมยิ้มอย่างแปลกๆ พลางยืนอยู่ตรงหน้ากับเสี่ยวหนี่ที่ยังคงยืนอยู่ท่ามกลางความตึงเครียด เขาหยิบกระดาษเล็กๆ ขึ้นมาจากกระเป๋าเสื้อคลุมแล้วคลี่ออกมาช้าๆ ใบหน้าของเขายังคงแสดงออกถึงความมั่นใจ แต่ในแววตาของท่านยมกลับแฝงไปด้วยความเศร้าเหมือนกัน"ไม่ไปจริงหรือ" ท่านยมพูดเสียงต่ำๆ ราวกับกำลังทดสอบสิ่งที่เสี่ยวหนี่คิด "นี่คือสัญญาเจ้าอ่านมันเสีย ว่าเจ้าไม่สมัครใจที่จะไม่ไป และข้าเองก็มีข่าวร้ายจะบอกเจ้าเช่นกัน"เสี่ยวหนี่มองท่านยมอย่างงงๆ ยังไม่เข้าใจสิ่งที่ท่านยมกำลังพูด คิ้วขมวดมุ่นเมื่อเห็นท่าทางของท่านยมที่ดูเหมือนจะมีบางสิ่งซ่อนเร้นอยู่ "จะมีข่าวไหนร้ายยิ่งกว่าการที่ข้าต้องกลับไปบ้าง" ถามเสียงเครียดท่านยมยิ้มที่มุมปาก รอยยิ้มที่ไม่สามารถบอกได้ว่ามันหมายถึงอะไร เขาถือกระดาษ ก่อนจะเดินไปข้างๆ เสี่ยวหนี่ เขาจับกระดาษนั้นยื่นไปให้เสี่ยวหนี่ดูอย่างช้าๆ ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่เธออย่างเงียบสงบ"ร่างเดิมของเจ้าไม่มีแล้ว" ท่านยมพูดเสียงที่แหบพร่า แต่ยังคงมีความมั่นใจในน้ำเสียงของเขาเหมือนกันคำพูดนั้นทำให้เสี่ยวหนี่สะดุ้งเฮือก รู้สึกเหมือนหัวใจหยุดเต้นไปชั่วขณะ ดวงตากวาดมองไปที่ท่านยมและกระด
เสี่ยวหนี่เดินออกไปยังสวนด้านหลังวังยามค่ำคืน แสงจันทร์สีเงินสาดส่องผ่านยอดไม้ลงมาเป็นลำทำให้ร่างเล็กในชุดบางสีอ่อนดูราวกับภาพฝัน มือของนางกำรากสมุนไพรซางลู่ไว้แน่น กลิ่นความขมจางๆ ของสมุนไพรลอยคลุ้งในอากาศ นางก้มหน้าลงมองมันก่อนจะเดินไปยังบ่อน้ำเล็กๆ ที่อยู่มุมสวนซึ่งเป็นที่เงียบสงบ ไม่มีใครมาแถวนี้ในยามนี้เสี่ยวหนี่ทรุดตัวนั่งลงบนพื้นหญ้าข้างบ่อ ท่ามกลางกลิ่นดินชื้นของยามค่ำ ร่างเล็กนั่งกอดเข่าแน่น ใบหน้าเงยขึ้นมองฟ้า สายลมพัดผ่านผมของนางปลิวไหวเบาๆ ดวงตาของนางสั่นระริก น้ำค้างเย็นเกาะตามปลายหญ้า"เป็นยังไงเป็นกัน… ข้ายืนยันจะอยู่ที่นี่ ไม่ไปไหน" นางพึมพำเสียงเบาราวกับกระซิบกับดวงจันทร์ ริมฝีปากสั่นน้อยๆ แต่เสียงยังหนักแน่นเสี่ยวหนี่หลับตาลง สูดลมหายใจเข้าลึกๆ จนสุดปอด ลมเย็นพัดเข้าไปจนหัวใจรู้สึกเหมือนจะเต้นแรงขึ้น ความกลัว ความรัก ความผูกพัน และความดื้อดึงผสมปนกันอยู่ในอก ก่อนที่นางจะค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกมาอย่างช้าๆ ดั่งคนที่ตัดสินใจแล้วราตรีนั้นเงียบจนได้ยินเพียงเสียงลม นี่คือบ้าน นี่คือครอบครัว และนี่คือโลกของนางแล้ว ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตามในคืนที่ราวกับจะเงียบเชียบ เสีย
Commentaires