ชาติก่อน ซ่งถังหนิงคือคุณหนูผู้สูงศักดิ์ที่สุดในเมืองเซิ่งจิง ทว่านางกลับต้องตายด้วยน้ำมือของพี่ชายแท้ ๆ และคู่หมั้นที่เติบโตมาด้วยกัน เพียงเพราะบุตรอนุภรรยาคนหนึ่ง พวกเขาพรากทุกสิ่งทุกอย่างไปจากนาง ทำลายชีวิตของนาง เหยียบย่ำนางราวกับโคลนตมเพื่อผลักดันให้บุตรอนุภรรยาคนนั้นกลายเป็นดวงตะวันที่เจิดจรัส ส่วนนางกลับต้องเสียโฉม ขาหัก ถูกกักขังอยู่ในเรือนร้างนานหลายปี และสุดท้ายก็ถูกคนรัดคอตายทั้งเป็น เมื่อได้เกิดใหม่ ถังหนิงไม่ขอเป็นบันไดให้ใครเหยียบย่ำอีกต่อไป พี่ชายที่เย็นชาและลำเอียง นางไม่ต้องการ ลูกพี่ลูกน้องที่รักใคร่สตรีจอมเสแสร้ง นางขอตัดขาด คู่หมั้นที่โลเลสองใจ นางขอถอนหมั้น และเมื่อหน้ากากของบุตรอนุภรรยาถูกกระชากออก เหล่าพี่ชายและคู่หมั้นต่างก็คุกเข่าลงตรงหน้า อ้อนวอนขอให้นางให้อภัย ซ่งถังหนิงกล่าวอย่างเย็นชา ให้อภัยหรือ? เหอะ เผาให้เป็นเถ้าถ่านแล้วโปรยทิ้งไปเสียยังจะดีกว่า นางมีท่านพี่คนใหม่แล้ว แม้ว่าท่านพี่คนใหม่จะเป็นขันที มีชื่อเสียงไม่ดี ทั้งยังเย็นชาและโหดเหี้ยมอำมหิต แค่เอ่ยว่าท่านหัวหน้าจากไกล ๆ ก็สามารถทำให้เด็กน้อยหวาดกลัวจนร้องไห้ได้ แต่ยามที่เขาเรียกนางว่า “เสี่ยวไห่ถัง” กลับอ่อนโยนที่สุด ...... คราแรกที่เซียวเยี่ยนอยู่กับถังหนิงตามลำพัง มีคนกล่าวว่าไม่เหมาะสมตามขนบธรรมเนียม “ข้าเป็นขันที จะมีขนบธรรมเนียมอะไร?” ต่อมา ภายในห้องที่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมไออุ่น เซียวเยี่ยนกอดเด็กสาวที่เมามายจนดวงตาแดงก่ำไว้ในอ้อมแขน “เสี่ยวไห่ถัง พี่รักและเอ็นดูเจ้า” ...... [ขันทีปลอม] + [ทุกคนต้องชดใช้] + [พี่ชายต้องชดใช้] + [ไม่มีวันให้อภัย]
Lihat lebih banyakเวลาไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาเดียวล่วงเลยไปแล้วสิบวันบาดแผลบนใบหน้าของซ่งถังหนิงเริ่มดีขึ้นทีละน้อย ส่วนขาข้างที่บาดเจ็บเพราะพลัดตกหลังจากได้พักรักษาอยู่หลายวันก็พอเดินเหินได้สะดวกขึ้นบ้างแล้วพระชายาเฉิงเสด็จมาที่ตรอกจีอวิ๋นเพื่อเยี่ยมถังหนิงทุกสองวัน เพียงแต่สีหน้าของนางดูจะซูบซีดห่อเหี่ยวลงทุกครั้ง แม้มิได้หยิบเรื่องในจวนอ๋องมาคุยกับถังหนิงอย่างละเอียด ทว่าถังหนิงก็สัมผัสได้ว่าเวลาที่พระชายาเฉิงพูดถึงเฉิงอ๋องนับวันยิ่งน้อยลงทุกที หากจะต้องพูดถึงขึ้นมา แววตาคู่นั้นก็ไม่เหลือความอ่อนโยนเป็นห่วงเหมือนตอนแรกอีกแล้วคนของเฉิงอ๋องกลับมาถึงเมืองหลวงเร็วกว่าที่เซียวเยี่ยนประมาณไว้เพียงไม่กี่วัน เฉิงอ๋องเมื่อได้รับของที่คนเหล่านั้นส่งมา ก็เสด็จมาที่ตรอกจีอวิ๋นด้วยสีหน้าจนใจ“ข้าบอกแล้วว่าเจ้าคิดมากเกินไป สกุลซ่งจะยอมให้คนนอกเข้ามาปะปนกับสายเลือดของตนเองได้อย่างไร ทะเบียนราษฎร์จากศาลาว่าการก็เขียนให้เห็นอยู่ชัดเจน”เฉิงอ๋องมองพระชายาเฉิงที่กำลังตรวจสอบเอกสารเหล่านั้น ก่อนจะจ้องมองมาที่ถังหนิงด้วยสายตาคาดโทษ“เจ้าเองก็เหมือนกัน รู้ว่าเจ้าขุ่นเคืองกับพวกท่านพี่ของเจ้า แต่เรื่องที
ซ่งถานนางไม่มีวันยกโทษให้เด็ดขาด ทว่าหากเรื่องที่นางคาดเดาเกิดเป็นจริงขึ้นมา ซ่งหรูก็มีบุญคุณกับนางซ่งหรูเป็นสตรีสกุลซ่ง หากเกิดเหตุร้ายขึ้นกับสกุลซ่งนางก็หนีไม่พ้นเช่นกัน“ข้ารู้ว่าน้องหญิงสามไม่มีความผิด และเมื่อคืนที่นางมาพบข้าก็เพราะเห็นแก่ความเป็นพี่เป็นน้อง นางต่างจากคนสกุลซ่ง แต่จะให้ข้าเห็นแก่นางแล้วปล่อยสกุลซ่งไปแบบนั้นข้าก็ทำไม่ได้เหมือนกัน”นางเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาหลังพูดจบแล้วก็เหลือบสายตาขึ้นมองเซียวเยี่ยนอย่างอดไม่ได้ “ท่านพี่ ข้าใจร้ายเกินไปหรือไม่?”“หากเจ้าใจร้าย ก็คงไม่สนใจแล้วว่านางจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร”“แต่ว่า…” ถังหนิงลังเลเซียวเยี่ยนเข้าใจปมในใจของนางแล้ว แววตาพลันอ่อนโยนลงเล็กน้อย เขากล่าวช้า ๆ“ซ่งหรูเป็นบุตรีอนุสกุลซ่ง ไม่ได้มีตำแหน่งอะไรในสกุลซ่ง อย่าว่าแต่บิดาผู้ให้กำเนิดนางไม่เคยสนใจไยดีอะไรนางเลย แม้แต่พี่ชายใหญ่คนนั้นของเจ้าที่ปากเอาแต่พร่ำเพ้อถึงคุณธรรมเมตตาธรรม ก็ยังปฏิบัติกับน้องหญิงที่เกิดจากอนุในเรือนท่านนี้ไม่เท่าที่ปฏิบัติกับบุตรีของอนุนอกเรือนที่เพิ่งย้ายเข้ามาในจวนได้ไม่ถึงปีด้วยซ้ำไป”“สำหรับสกุลซ่งแล้วซ่งหรูนางคือความอัปยศของตระกูล สำ
“ท่านพี่กินเผ็ดจัดแบบนี้ตั้งแต่เช้าเลยหรือเจ้าคะ?”นางรู้ว่าเซียวเยี่ยนชอบกินอาหารรสเผ็ดจัดจนเป็นนิสัย วันนั้นที่พวกเขาสองคนกินหม้อไฟเนื้อแกะด้วยกัน เขาปรุงน้ำจิ้มสีแดงจัดจ้านไว้เฉพาะตนเอง คิดไม่ถึงว่าแม้แต่มื้อเช้าเขาก็ยังต้องกินอาหารรสเผ็ดจัดขนาดนี้ด้วยชางลั่งที่ยืนอยู่ด้านข้างเห็นสีหน้าแววตาตื่นตกใจของนางแล้วก็หัวเราะออกมาพลางอธิบายว่า “นี่ไม่ใช่น้ำแกงเผ็ดธรรมดานะขอรับ เพราะเมื่อหลายปีก่อนร่างกายของท่านหัวหน้าเคยได้รับความเย็น ทำให้เส้นลมปราณถูกอุดตัน แม้ภายหลังร่างกายจะฟื้นฟูอุ่นขึ้นบ้างแล้ว ทว่าการกินอาหารรสเผ็ดเป็นประจำก็มีประโยชน์ต่อการฟื้นฟูร่างกาย ถึงกระนั้นแม่นางฉินก็บอกว่ากินเผ็ดมากเกินไปจะทำลายกระเพาะ ดังนั้นก็เลยปรุงเป็นน้ำแกงสี่รสนี้ให้ท่านหัวหน้า มองเผิน ๆ เหมือนพริกเผ็ดทว่าความจริงแล้วเป็นอาหารบำรุงร่างกายขอรับ”เห็นถังหนิงกะพริบตาปริบ ๆ เซียวเยี่ยนก็อธิบายต่อ “กลางวันข้าต้องเข้าวังไปเฝ้าเวร อยู่ในวังมีโอกาสได้กินอาหารไม่มากนัก อาหารบำรุงร่างกายนี้ข้าต้องกินหนึ่งวันเว้นสองวัน ไม่ได้กินแบบนี้ทุกวัน เพียงแต่วันนี้เจ้าบังเอิญได้เจอพอดี”ตอนที่เขายกถ้วยน้ำแกงมาใกล้ ๆ ถ
จวนถังอยู่ติดกับจวนเซียว แม้สองจวนจะมีประตูจวนของตนเอง ทว่าตรงกลางกลับใช้กำแพงกั้นร่วมกันเพียงหนึ่งผืนกำแพงสูงตระหง่านนั้นกั้นอยู่กึ่งกลางระหว่างสองจวน ทั้งที่มองไม่เห็นเงาของเรือนตรงข้าม ทว่ายามที่ซ่งถังหนิงยืนอยู่ใต้กำแพงนั้น ความหวาดกลัวในความฝันและความพรั่นพรึงก่อนตายกลับสลายหายไปช้า ๆ หัวใจที่เคยเต้นแรงดุเดือดสงบลงทีละน้อย“คุณหนู พวกเรามาที่นี่ทำไมหรือเจ้าคะ ที่ตรงนี้ไม่เห็นมีอะไร?”ถังหนิงเงยหน้า “ข้าแค่อยากดู…”ดู?ฮวาอู๋เหลือบสายตามองซ้ายขวาอย่างฉงน ที่ตรงนี้มีอะไรน่าดูกัน?นางทอดตามองตามสายตาของถังหนิงที่ทิ้งบนกำแพงสูงตระหง่านตรงหน้า แล้วสีหน้าพลันสว่างขึ้นทันใด “คุณหนูอยากพบท่านหัวหน้าหรือเจ้าคะ?”“อืม” ถังหนิงเปล่งเสียงรับคำเบา ๆ แต่ก็ส่ายหน้าปฏิเสธทันทีนางรู้สึกว่าตนเองเพี้ยนไปเหมือนถูกวิญญาณเข้าสิงสู่ ในความฝันคือวันคืนข้างหน้าในภพชาติก่อนซึ่งยังไม่เคยปรากฏขึ้นในภพชาตินี้ บัดนี้นางกลับมาจากภูเขาเชวี่ยอย่างปลอดภัยดี และเกือบจะได้ตัดขาดความสัมพันธ์กับสกุลซ่งแล้ว นางจะไม่ตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกับเมื่อชาติก่อนอีกแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างแตกต่างจากสิ่งที่นางรู้จักมักคุ้นไป
ข่าวที่ได้ทราบอย่างกะทันหันทำให้ถังหนิงมิอาจข่มตานอนหลับได้ทั้งคืน หลังจากพยายามอย่างยากเย็นจนเข้าสู่ห้วงนิทราได้แล้ว กลับรู้สึกคล้ายหวนย้อนไปอยู่ในอดีตอันมืดมนเหล่านั้นลานหน้าเรือนสกุลซ่งกำลังจัดพิธีมงคล แขกเหรื่อมากมายมากันเต็มงานเลี้ยง บรรยากาศเอิกเกริกครึกครื้นยิ่งนัก ภายในเรือนร้างที่ปกติมีคนเฝ้าอยู่ตลอดวันนี้กลับว่างเปล่าไปกะทันหัน เหลือเพียงหญิงชรารับใช้คนเดียวที่เปิดประตูเข้ามาบ่นไม่หยุดปาก กินอาหารของนางไปเหมือนทุกครั้ง พลางก่นด่าว่าเป็นเพราะสวะไร้ค่าอย่างนางทำให้พลาดงานเลี้ยงมงคลหญิงชราเดือดดาลที่อดได้รับเงินมงคลเพราะนาง ด่าทอต่อว่านางว่าเหตุใดถึงไม่ตายให้พ้น ๆ ไปสักที พอบ่นแล้วยังถึงจุดไม่คลายโทสะก็เตะนางไปอีกสองทีด้วยความหงุดหงิด ทว่าอาหารจานนั้นที่ไม่รู้ตั้งทิ้งไว้กี่วันทำให้หญิงชราท้องไส้ปั่นป่วน หลังจากกลิ่นคาวเหม็นคลุ้งไปทั่วห้อง หญิงชราคนนั้นใบหน้าเขียวคล้ำรีบวิ่งออกไปจากห้องทันที แม้แต่ประตูห้องก็ยังมิทันได้ขัดดาลลงกลอนด้วยซ้ำไปถังหนิงวิ่งหนีออกไปในตอนนั้นเองทว่าน่าเสียดาย ขาของนางหักไปข้างหนึ่งแล้ว มิอาจหนีออกจากสกุลซ่งได้นางถูกคนหามมาทิ้งเอาไว้ในเรือนร้างห
ซ่งถานพรั่งพรูโทสะทั้งหมดที่อัดแน่นมาตั้งแต่ตอนอยู่ที่เรือนหน้าเมื่อครู่ออกมา ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งที่กว่าจะฟื้นคืนสติกลับมาได้ก็เอาแต่ร้องไห้อาละวาดไม่หยุดพัก ซ่งหงก็เอาแต่ทำหน้ามืดครึ้มพูดจาแดกดันเขาเรื่องซ่งจิ่นซิวตลอดชัดเจนอยู่แล้วว่าเป็นเรื่องที่พวกเขาเรือนใหญ่ก่อขึ้นมาเอง แต่กลับลากเขาไปพัวพันจนต้องถูกหัวเราะเยาะตามไปด้วย ขนาดในที่ว่าการตอนนี้เขายังแทบอยู่ไม่ได้แล้ว เขาเกินจะทนกับคนของเรือนใหญ่แล้วจริง ๆซ่งถานระบายโทสะทั้งหมดที่มีใส่บุตรีของอนุที่ขัดหูขัดตาเขาที่สุด เขาไม่สนใจด้วยซ้ำว่าซ่งหรูบัดนี้สีหน้าซีดเผือดหมดแล้ว ก็ตะคอกใส่นางด้วยเสียงแข็งกร้าว“ยังยืนซื่ออยู่ตรงนี้ทำอะไรอีก ไม่รีบไสหัวกลับไปอยู่ในเรือนของเจ้าให้เรียบร้อยอีก แล้วอย่าได้ออกมาเพ่นพ่านสร้างปัญหาให้ข้าอีก หากเกิดอะไรขึ้นมาจริง ๆ ก็อย่าหาว่าข้าไม่เห็นแก่ความเป็นพ่อลูกแล้วกัน!”“อุจาดลูกตาเสียจริง!”หางลี่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดจ้องมองซ่งถานที่ตวาดด่าบุตรสาวอย่างหยาบคายจบแล้วก็สะบัดแขนเสื้อเดินออกไปทันที ทิ้งให้ซ่งหรูยืนเดียวดายอยู่ท่ามกลางความมืดลำพัง แม่นางน้อยที่ร่างกายผอมซูบอ่อนแอเป็นทุนเดิมกำลังก้มหน้ามองพื้นไ
Komen