"เราหย่ากันเถอะหิน" ประโยคนั้นทำให้หิรัญตกใจเพราะคาดไม่ถึง เขาไม่เคยคิดว่าคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเมียที่ถูกต้องตามกฎหมายอย่าง 'กัทลี' จะเป็นฝ่ายพูดมันออกมาก่อน แต่ก็ดีเหมือนกันเขาเองจะได้ไม่ต้องเอ่ยให้ลำบากใจ เราแต่งงานกันมานานมาก เจ็ดหรือแปดปีเห็นจะได้ จากความผิดพลาดในสมัยวัยรุ่น เขาทำเธอท้องในตอนที่เพิ่งเรียนจบมัธยมปลาย และครอบครัวของกัทลีก็ยื่นคำขาดให้เขารับผิดชอบไม่เช่นนั้นจะเอาเรื่อง บิดามารดาของเขาเกรงว่าลูกชายจะต้องโดนคดีพรากผู้เยาว์ เพราะว่าตอนที่เขาล่วงเกินเธอ กัทลียังอายุไม่เต็มสิบแปดดี เมื่อแต่งงานแล้วกัทลีเข้ามาอยู่ในบ้าน ในขณะที่ตัวเขาเองไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัย เมื่อตัวห่างใจห่างและสิ่งใหม่ๆ ที่ได้พบเจอในชีวิตของนักศึกษาหนุ่มเนื้อหอม ทำให้ทั้งสองมีช่องว่างที่นับวันก็ยิ่งห่างไกล จากความรักของเด็กๆ ก็กลายเป็นอดีต ลูกที่เกิด ณ วันนั้นไม่ใช่สายใยที่จะทำให้เขาคิดหวนกลับมาหาหล่อนอีก ชายหนุ่มได้แต่ส่งของขวัญมาให้ลูกทุกวันเกิดและดูแลเด็กหญิงผ่านทางบิดามารดาของตัวเอง "ก็เอาสิ เธอพร้อมไปอำเภอวันไหนล่ะ" หิรัญยักไหล่ ได้เสมอตามที่เธอต้องการ ก็ดีเหมือนกันเขาจะได้โสดจริงๆ สักที
view more
“กล้วย กล้วยอยู่ไหม”
เสียงตะโกนดังโหวกเหวกพร้อมกับเสียงเดินย่ำเท้าปึงปังขึ้นมาบนบ้าน จนกัทลีที่อยู่ในครัวต้องมุ่นคิ้วใครกันบังอาจมาทำเสียงเอะอะบนบ้านเธอ
“ใครน่ะ อ้าวจิณมาทำไมมีอะไรเหรอ” หญิงสาวยกมือขึ้นเท้าเอวมองเพื่อนตั้งแต่สมัยมัธยมที่อยู่ๆ ก็มาถึงบ้านไม่มีปี่มีขลุ่ย
“วันนี้ฉันเจอไอ้ลมมันบอกว่าไอ้หินกลับมาแล้ว และมันหย่ากับเธอแล้ว” จิรัชหน้าตาตื่น
“นึกว่าเรื่องอะไร” กัทลีทำสีหน้าเบื่อหน่าย หมุนตัวเดินกลับเข้าไปในครัว
“อ้าวไอ้กล้วย แกต้องไปด่าไอ้ลมมันสิเที่ยวพูดไปเรื่อย” ไอ้ลมที่จิรัชพูดถึงคือวาตะเพื่อนอีกคนในกลุ่ม
“จะด่ามันทำไม มันพูดเรื่องจริง” กัทลีปรายตามองและพูดต่อ “แกเองก็เลิกทำท่าจะเป็นจะตายได้แล้ว แกเป็นคนบอกเองว่าฉันควรมีผัวใหม่ไม่ใช่เหรอ”
“อ้าว เฮ้ยนี่มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะ แกสองคนจะหย่ากันแล้วลูกล่ะ ละทำไมไอ้หินมันอยู่มานานสองนานอยู่ดีๆ ถึงจะมาหย่า”
“ฉันเป็นคนขอหินหย่าเองจิณ ไม่ต้องไปด่าเขาหรอก” กัทลียอมรับ “แกไปบอกไอ้ลมมันด้วยว่าคนที่ขอหย่าคือฉัน ฉันเอง”
กัทลีเดินกลับไปในครัว แต่ทำท่านึกอะไรได้จึงหันกลับมาบอกจิรัชที่ยังยืนงง
“ฝากแกไปชวนไอ้ลมกับวุ้นละก็บีมาฉลองที” เธอพูดถึงเพื่อนอีกสามคนซึ่งอยู่กลุ่มเดียวกันและยังคบหากันเหนียวแน่น
“ฉลองความโสดกันพวกแกหาวันมาเลย ฉันไปทำกับข้าวต่อก่อนนะเดี๋ยวต้องไปรับลูกที่บ้านปู่ย่า”
กัทลีหายกลับเข้าไปในครัว ขณะที่จิรัชยังยืนเกาศีรษะแกรกด้วยความมึนงง ในที่สุดชายหนุ่มก็โทรไปหาเพื่อนในกลุ่มและเล่าเรื่องตามที่ได้ยินจากกัทลีให้ทุกคนฟัง
“คุณปู่คุณย่าขา แม่มารับแล้วค่ะ” เด็กหญิงบัวชมพูวัยเจ็ดขวบร้องบอกนายเหมและนางจันทร์หอมผู้เป็นปู่ย่า เมื่อเห็นมารดาขับรถเข้ามาจอดที่หน้าบ้านคุณปู่
“สวัสดีค่ะคุณพ่อคุณแม่” กัทลีทำความเคารพผู้สูงวัยทั้งสอง นายเหมและภรรยาต่างส่งยิ้มให้แม่ของหลานสาว นางจันทร์หอมก้มลงบอกเด็กหญิงบัวชมพูว่า
“น้องบัวช่วยเข้าไปในครัว บอกยายผ่องตักไข่พะโล้กับกับข้าวอื่นไปกินที่บ้านกับแม่ไปลูก ย่าบอกยายผ่องไว้แล้ว”
“ได้ค่ะคุณย่า”
หลังจากเด็กหญิงวิ่งหายออกไปจากห้องนี้นางจันทร์หอมก็บอกกัทลีให้นั่ง
“กล้วยนั่งก่อนลูก”
“ค่ะคุณแม่” กัทลีเตรียมใจมาแล้วและพอเดาได้ว่าท่านทั้งสองอยากถามเรื่องอะไร
“แม่ได้ยินว่าหนูกับไอ้หิน...” นางเงียบไปครู่เมื่อเอ่ยชื่อลูกชายก่อนจะพูดต่อ “หย่ากันแล้วเหรอลูก”
กัทลียกมือไหว้คนทั้งสองเป็นเชิงขออภัย “ค่ะคุณแม่ หนูขอโทษพ่อกับแม่นะคะที่ไม่ได้บอกก่อน”
การจะได้เจอตัวหิรัญไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อเธอได้พบเขาในตอนสายของวันก่อนเพราะว่าตั้งใจมาพบปู่ย่าของหลานแต่กลับได้เจอสามีที่ไม่ได้พบหน้ามากันแปดปี จึงตัดสินใจชวนเขาไปหย่าทันทีให้เรื่องมันจบและเธอก็โล่งใจอย่างยิ่งที่ฝ่ายนั้นไม่ได้ขัดข้องอะไร
นางจันทร์หอมและสามีมองหน้ากันก่อนจะพูดกับอดีตลูกสะใภ้ตามกฎหมาย
“พ่อกับแม่เข้าใจหนูนะลูก ทุกคนก็ต้องมีชีวิตของตัวเอง”
กัทลียังสาวยังสวย อายุเพิ่งจะผ่านพ้นเบญจเพสมาไม่เท่าไหร่ แค่ที่ลูกชายของตนไปทำให้เธอต้องเป็นแม่คนก่อนเวลาอันควรก็มากเกินพอแล้ว แถมเมื่อมันไปเรียนต่อก็ทำตัวเป็นโสด ลืมไปแล้วว่ามีเมียมีลูกรออยู่ทางนี้ ไม่ได้คิดเลยว่าในขณะที่กัทลีต้องทิ้งอนาคตมาอุ้มท้องในขณะที่เห็นเพื่อนๆ ได้เรียนต่อเธอต้องเสียสละตัวเองแค่ไหน นางจันทร์หอมได้แต่คิดตำหนิลูกชายในใจ
“แต่พ่ออยากขอเรื่องหลาน หนูยังจะพาน้องบัวมาหาปู่ย่าเหมือนเดิมใช่ไหมลูก”
นายเหมพูดต่อจากภรรยา เรื่องนี้ทำให้กัทลีพยักหน้าโดยเร็ว เธอไม่มีความคิดจะให้ลูกตัดขาดกับญาติทางพ่ออยู่แล้ว เพราะหากเป็นเช่นนั้นเด็กหญิงจะไม่มีใครเลยนอกจากแม่
“ค่ะพ่อ ไม่ต้องห่วงนะคะ หนูไม่เคยคิดแบบนั้น”
จะคิดได้อย่างไร ที่เธอมีโอกาสได้กลับไปเรียนจนจบปริญญาตรี ได้มีอาชีพ มีบ้านอยู่ มีรายได้แบบในทุกวันนี้มาจากปู่ย่าของหลานทั้งสิ้น บ้านที่อยู่ ที่ดินที่ทำกินก็มาจากที่ท่านแบ่งให้
“วันจันทร์ถ้าหนูไปส่งน้องบัวที่โรงเรียนแล้ว แวะมาหาพ่อกับแม่อีกทีนะลูก” นางจันทร์หอมตัดบทเมื่อเห็นหลานสาวเดินกลับเข้ามาพร้อมกับคนรับใช้หิ้วตะกร้าหวายใบใหญ่ ในนั้นบรรจุอาหารและผลไม้แน่นเอี๊ยด
“ได้ค่ะแม่” กัทลีรับปาก สายตาก็มองไปที่เด็กหญิงและชวนลูกคุย “อะไรในตะกร้าคะลูก เยอะแยะเลย”
“กับข้าวค่ะแม่ คุณย่าทำไข่พะโล้ให้หนูกับแกงของแม่ มีขนมด้วยค่ะแล้วก็ผลไม้ หนูชอบหมดนี่เลย”
“แม่ก็ชอบกับข้าวของคุณย่าค่ะ ไปกันเถอะกลับบ้านกัน” เธอลาผู้สูงวัยทั้งสอง กัทลีรับตะกร้ามาถือส่วนเด็กหญิงสะพายเป้แล้ววิ่งออกไปตรงขึ้นรถอย่างร่าเริงพลางร้องเพลงไปด้วยโดยมีสายตาสามคู่มองตามด้วยความรักและเอ็นดู
กัทลีและลูกกลับไปไม่นาน รถยนต์อีกคันก็เข้ามาจอดแทนที่ในโรงรถ เสียงดังกระหึ่มของเครื่องยนต์ทำให้นางจันทร์หอมทำสีหน้าบึ้งตึงทันที
“ไอ้ลูกเวรมาสักที คุณช่วยไปทำให้รถมันวิ่งไม่ได้ทีได้ไหม ฉันรำคาญจะแย่แล้ว”
“แม่พ่อ ไหนว่าลูกผมจะมาไงนี่อุตส่าห์รีบกลับ” หิรัญลงจากรถมาพร้อมกับกล่องของขวัญที่เขาไปซื้อมาจากในตัวเมืองสระบุรี
“น้องบัวมาอยู่ตั้งแต่เช้า จนแม่เขาเพิ่งมารับกลับไปเมื่อกี้ แกมัวทำอะไรอยู่ไอ้หิน ฉันนี่ไม่รู้จะพูดยังไงกับแกแล้วนะ” นางจันทร์หอมทนไม่ไหวจนต้องตำหนิลูกชายเสียงดังลั่นบ้าน
“ผมไปหาของขวัญมาให้ลูกอยู่ไงแม่ ละแม่ไม่บอกน้องบัวเหรอว่าผมกำลังมา” หิรัญเถียง
“แม่เขาพูดไม่ได้หรอกหิน พ่อก็ด้วย เพราะเคยบอกไปแล้วแต่แกไม่เคยมา ถึงบอกไปน้องบัวก็คงไม่เชื่อป่านนี้อาจจะลืมหน้าพ่ออย่างแกไปแล้วด้วย” นายเหมพูดเสียงเรียบ เขาหันไปประคองภรรยาให้ลุกขึ้น
“ไปกันเถอะแม่ ไปพักก่อนความดันจะขึ้น ส่วนหินถ้าแกจะเอาของขวัญไปให้ลูกก็ตามไปที่บ้านหนูกล้วยเขาละกัน”
สองปู่ย่าเดินออกไปจากห้องไม่หันมามองลูกชายอีก หิรัญวางของขวัญในมือลงบนโต๊ะ คำพูดของพ่อยังดังอยู่ในหัว
‘เพราะเคยบอกไปแล้วแต่แกไม่เคยมา ถึงบอกไปน้องบัวก็คงไม่เชื่อป่านนี้อาจจะลืมหน้าพ่ออย่างแกไปแล้วด้วย’
หิรัญทบทวนไปมา ก่อนจะบอกตัวเองว่ามันไม่จริง เขาไม่เชื่อว่าลูกสาวจะลืมหน้าตัวเองไปแล้วจริงๆ แบบที่บิดาพูด
‘ก็เขาเรียนหนัก เรียนจบก็ทำงานแทบไม่ได้พัก ไม่มีเหตุผลอะไรที่ลูกสาววัยเจ็ดขวบจะไม่เข้าใจ น้องบัวโตแล้วเด็กน้อยต้องเข้าใจแน่ๆ’ ชายหนุ่มบอกตัวเอง
วันเปิดตัวผลิตภัณฑ์แปรรูปล็อตแรกของ ฟาร์มบัวชมพู ตรงกับช่วงปลายฤดูร้อนของปีที่น้องบัวเรียนจบมหาวิทยาลัยหลังจากใช้เวลากว่าสี่ปีในคณะวิทยาศาสตร์การเกษตร จากมหาวิทยาลัยชั้นนำด้านเกษตรกรรมแบบยั่งยืนบัวชมพูกลับมาบ้านด้วยความตั้งใจเต็มเปี่ยม และมุ่งมั่นจะต่อยอดฟาร์มของครอบครัว ไม่ใช่แค่เป็นพื้นที่ปลูกพืชเท่านั้น แต่ยังเป็นแหล่งเรียนรู้ งานวิจัย และแหล่งสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์งานเปิดตัวผลิตภัณฑ์พร้อมผู้บริหารรุ่นใหม่ถูกจัดขึ้นที่ลานหน้าคาเฟฟาร์ม ซึ่งถูกรีโนเวตให้มีมุมจัดแสดงสินค้าทางการเกษตรของครอบครัว โต๊ะไม้ไผ่ถูกเรียงเป็นวงล้อมสนามหญ้า มีซุ้มเมล่อน น้ำผลไม้เย็น แยมผลไม้โฮมเมดจากสวน และขนมพื้นบ้านที่กัทลีเป็นคนคิดสูตรบัวชมพูในวัยยี่สิบสองปีเต็ม วันนี้จากเด็กหญิงตัวเล็กเธอกลายเป็นสาวเต็มตัว หญิงสาวสวมเสื้อเชิ้ตผ้าฝ้ายปักมือกับกางเกงยีนเอวสูง ผูกผ้าโพกหัวลายดอกไม้ เธอดูมีความเรียบง่ายแต่สดใส มีสไตล์เป็นของตัวเอง มีแววของความเป็นหญิงสาววัยทำงานที่มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม ในมือของเธอมีแผ่นพับสรุปเรื่องราวของฟาร์มซึ่งเธอเขียนเองตั้งแต่หน้าแรกจนถึงภาพประกอบเสียงพิธีกรประกาศเปิดงานอย่างเป
เมื่อเข้าสู่หน้าหนาวของปีถัดมา ท้องฟ้าในตอนเช้าอากาศดูปลอดโปร่ง ที่มียังคงมีหมอกบางคลุมยอดเขาในตอนเช้าตรู่ทำให้รู้สึกสดชื่น แสงแดดอ่อนของฤดูหนาวแตะผิวแปลงสตรอว์เบอรี่ที่ปลูกอยู่ด้านหลังโรงเรือนเมล่อนของฟาร์มบัวชมพูจนเกิดเป็นประกายสีเงินระยิบระยับบนใบไม้หิรัญในชุดเสื้อแขนยาวพับข้อศอกสีเขียวเข้ม เดินถือกล่องพลาสติกขนาดกลางมาหาลูกสาวที่นั่งแกว่งขาบนแคร่ไม้ใต้ต้นมะขามเทศ“หัวหน้าทีมตรวจผลผลิต พร้อมยังครับ” เขาถามพลางยื่นกล่องให้เด็กหญิงบัวชมพูวัยสิบขวบ เงยหน้าจากสมุดบันทึกแล้วลุกขึ้นยืนทันที“พร้อมแล้วค่ะคุณพ่อ แต่คุณพ่อพูดผิดนะคะ คุณพ่อต้องเรียกหนูอย่างเป็นทางการว่าหัวหน้าบัวค่ะ”ชายหนุ่มหัวเราะเสียงดัง ก่อนจะยืดตัวตรงแล้วทำท่าเคารพแบบทหาร“รับทราบค่ะ หัวหน้าบัว” เสียงหัวเราะของทั้งสองคนลอยไปตามลมหนาว ขณะพ่อกับลูกสาวเดินเข้าไปในแปลงสตรอว์เบอรี่ที่กำลังให้ผล เป็นรุ่นแรกที่หิรัญขยายแปลงออกไปอย่างเต็มพื้นที่หลังจากที่เขาทดลองปลูกมาสองปี ใบของสตรอว์เบอรี่สีเขียวเข้มตัดกับผลสีขาวและแดงคละกันไป ทำให้บรรยากาศโดยรอบดูสดชื่นและเต็มไปด้วยชีวิตชีวา“คุณพ่อดูสิคะ ลูกนี้แดงจัดเลยต้อ
ฤดูหนาวปีนั้น ทุ่งดอกไม้หลังฟาร์มบานสะพรั่งพอดีกับวันสำคัญที่ทุกคนรอคอย“งานแต่งของพ่อจ๋ากับแม่จ๋า” คือชื่องานที่น้องบัวตั้งไว้เอง แม้จะไม่ได้จัดอย่างใหญ่โตเหมือนในละคร แต่ก็เป็นงานแต่งที่อบอุ่นและเต็มไปด้วยรอยยิ้มจากคนที่ผ่านเรื่องราวมาด้วยกันจริง ๆหิรัญและกัทลีเลือกจัดงานในสวนข้างโรงเรือนเมล่อน ใต้ร่มไม้ที่เด็กหญิงเคยนั่งมองผีเสื้อยักษ์ในวัยเจ็ดขวบ โต๊ะเก้าอี้ไม้ถูกจัดเรียงล้อมรอบลานดินกลางสวน ตกแต่งด้วยซุ้มดอกไม้เป็นระยะ หลักๆ คือทานตะวัน ดอกดาวเรือง และอ่างบัววางตกแต่งปลูกบัวที่บานชูช่อพอดีในวันงาน ซึ่งทั้งปู่เหมกับหลานสาวช่วยกันปลูกไว้ตั้งแต่ต้นฤดูฝนและกะเวลาไว้พอดีเป๊ะเพื่อนของหิรัญมาหลายคน ทั้งเพื่อนมหาวิทยาลัยและเพื่อนร่วมงานสมัยก่อน บางคนมองไม่เชื่อว่าชายผู้เคยเอาแน่เอานอนไม่ได้ในเรื่องชีวิตครอบครัว จะยืนอยู่ตรงนี้พร้อมภรรยาและลูกสาววัยสิบขวบได้อย่างมั่นคง “กล้วยนี่เพื่อนสนิทผมสมัยเรียนมหาวิทยาลัย นี่บอม ธนัชส่วนนั่นไอ้ผามันชื่อจริงว่าภูผา สองคนนี้เป็นเพื่อนอยู่ห้องเดียวกัน หอเดียวกันมาตลอดตั้งแต่ปีหนึ่งยันปีสี่” “สวัสดีค่ะ ยินดีที่รู้จักคุณ
ช่วงต้นฤดูร้อนท้องฟ้าของปีต่อมา อาจจะเป็นปีแรกที่กัทลีเห็นว่าฟ้าเป็นสีฟ้าสดใสตามที่มันควรจะเป็น สายลมอบอุ่นจากทุ่งกว้างพัดเอากลิ่นหอมของดินและหญ้าโชยเข้ามาจนถึงระเบียงของบ้านแม้ว่าบ้านใหม่จะอยู่ห่างจากฟาร์มไกลกว่าบ้านน็อกดาวน์หลังเดิม แต่ความรู้สึกและกิจวัตรประจำวันของสมาชิกในบ้านยังคงไม่เปลี่ยนไป บัวชมพูนั่งระบายสีสมุดภาพเล่มใหม่บนโต๊ะกลางบ้านขณะที่หิรัญกำลังตัดแต่งต้นสตรอว์เบอรี่ที่ให้ผลแล้วในหน้าหนาวที่ผ่านมา ปีนี้เขาทดลองผลิตไหลเองโดยทำแปลงปลูกแบบยกพื้นที่บ้าน เพื่อเตรียมความพร้อมให้ต้นแม่สมบูรณ์พอจะผลิตไหลซึ่งส่วนมากต้นจะเริ่มมีไหลในช่วงก่อนเข้าฤดูฝน และนำไปปลูกเป็นต้นใหม่ในช่วงเดือนตุลาคมกัทลีมองสองพ่อลูกที่ต่างทำงานของตัวเอง จากนั้นเธอเข้าครัวไปเตรียมอาหารว่างไว้ให้ลูกและสามีโดยไม่รู้ตัวว่ารอยยิ้มของเธอมีมากกว่าทุกครั้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเสียงเรียกหาแม่ของเด็กหญิงดังขึ้นเบาๆ เธอชูภาพที่ระบายสีเสร็จแล้วขึ้นมาให้แม่ดู ระหว่างที่หญิงสาวยกของว่างออกมาให้ลูก"แม่ขา ดูสิหนูวาดครอบครัวของเรามีแม่มีพ่อแล้วก็น้องบัวอยู่ในฟาร์ม พร้อมกับพวกน้องเต่า น้องทานตะวันด้วยนะแม่"
เช้านี้ หิรัญมีแพลนจะพาลูกสาวออกไปดูแปลงทานตะวันรอบใหม่ซึ่งจะปลูกที่หน้าฟาร์ม เขาอยากให้กัทลีไปด้วยแต่เธอปฏิเสธโดยการบอกว่าขอเวลาเคลียร์อะไรที่คั่งค้างที่บ้าน“กล้วยไม่ไปด้วยกันแน่นะ น้องบัวลองถามคุณแม่ดูอีกทีดีไหมคะลูก” หิรัญถามขณะที่สวมหมวกให้ลูกสาว ปีนี้น้องบัวโตขึ้นมากเกือบสองปีจากวันที่เขากลับมาที่นี่ จากเด็กหญิงวัยเจ็ดขวบตัวเล็กๆ ที่ไม่ไว้ใจพ่อแบบเขา กลายเป็นเด็กหญิงวัยเก้าขวบที่สูงขึ้นมากและแน่นอนตอนนี้เธอสนิทกับพ่อมากเช่นกันจากเด็กหญิงขี้อายที่เคยเขินเวลาคุณพ่อเข้าใกล้ หรือเคยพูดเพียงเบาๆ ว่า “คุณลุง” ในตอนแรก ตอนนี้น้องบัวกลายเป็นคนที่คอยดึงแขนพ่อไปดูดอกไม้ คอยบอกว่า“คุณพ่อถ่ายรูปหนูตรงนี้นะคะ” และคอยเล่าเรื่องราวในโรงเรียนให้ฟังทุกเย็น เด็กหญิงมีความมั่นใจมากขึ้น กล้าคิดกล้าแสดงออก และรู้ว่าตัวเองมีครอบครัวที่มั่นคงหนุนหลังเสมอกัทลีมองเห็นได้เลยว่าความเปลี่ยนแปลงในใจลูกไม่ได้มาจากคำพูด แต่เกิดจากความสม่ำเสมอของหิรัญที่อยู่ตรงนี้ในทุกเช้าเย็น“แม่ขา ไม่ไปด้วยกันเหรอคะแม่” ลูกสาวก็ช่างเชื่อฟังคุณพ่อดีจริงๆ บอกให้ทำอะไรก็ทำ กัทลีมองอย่างเอ็นดูแต่เธอก็ยืนยันคำตอบ
หนึ่งปีผ่านไป ฤดูปลูกเมล่อนเวียนกลับมาอีกครั้ง พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงมากมายที่เกิดขึ้นภายในฟาร์มแห่งนี้ โรงเรือนที่เคยมีเพียงต้นเมล่อนแปลงเล็กๆ ปลูกไว้ทดลอง กลายเป็นโรงเรือนขนาดกลางที่มีระบบน้ำหยดและแสงไฟอัตโนมัติ แปลงผักแนวยาวเพิ่มขึ้นอีกหลายแปลงหิรัญวางระบบบริหารจัดการภายในฟาร์มอย่างเป็นสัดส่วน และมีการวางแผนรายได้รายจ่ายรายเดือนอย่างจริงจังในสวนอีกมุมหนึ่ง แปลงดอกไม้หลากสีเริ่มผลิบานไล่จากดอกดาวเรือง ทานตะวัน ไปจนถึงโบตั๋นที่เริ่มอวดกลีบอ่อนชั้นแรก ทั้งหมดนี้เกิดจากความฝันเล็กๆ ของเด็กหญิงบัวชมพูที่เคยขอให้พ่อปลูกทุ่งดอกไม้เอาไว้ให้เธอวิ่งเล่นและถ่ายรูป หิรัญไม่เคยลืมคำขอของลูกสาว และในที่สุดมันก็กลายเป็นจริง“หินพรุ่งนี้จะมีสองคณะที่ขอเข้าชมนะ คุณเตรียมไกด์ไว้แล้วหรือยัง” กัทลีถามถึงงานในวันรุ่งขึ้น “เรียบร้อย ชุดแรกอบต.บ้านนา ผมให้ไอ้สิงห์ดูแล ส่วนชุดที่สองโรงเรียนดงอรัญผมจะดูแลเอง” หิรัญเดินมานั่งโต๊ะเดียวกับที่กัทลีเช็กงานอยู่ ฟาร์มแห่งนี้เริ่มมีผู้คนมาเยี่ยมชมมากขึ้นในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ และเมื่อธุรกิจใหญ่ขึ้นชายหนุ่มก็ดันให้คนที่เริ่มก่อร่างสร้างตัวมาด้วยกั
Mga Comments