LOGINเมื่อองค์ชายถังมู่เหรินถูกบังคับให้แต่งงานเพื่อเชื่อมสัมพันธ์กับองค์หญิงจ้าวซีเฟย การอยู่ร่วมจวนเดียวกันเหมือนอยู่บนเกาะภูเขาน้ำแข็งอีกฝ่ายเย็นชา อีกฝ่ายไร้หัวใจ แล้วทั้งคู่จะลงเอยกันได้เช่นไร... "เจ้ากล้าคบชู้งั้นหรือ เจ้าเป็นพระชายาข้า แต่พาชายอื่นเข้ามาในตำหนัก ตอนที่ข้าไม่อยู่งั้นหรือ" "ความคิดท่านมันสกปรกเหมือนปากท่าน พี่เยว่เทียนแค่มาเยี่ยมข้าก็เพียงเท่านั้น พวกข้าบริสุทธิ์ใจ ไม่เหมือนท่าน กับท่านหญิงเหมยซูหนี่ว์ของท่านหรอก" "ต่อปากต่อคำ เจ้ารู้จักคำว่า กาลเทศะ ให้เกียรติสามีบ้างหรือไม่ องค์หญิง" "แล้วท่านเล่า รู้จักคำว่าให้เกียรติสตรี บ้างหรือไม่ การกล่าวที่ไร้ซึ่งหลักฐาน วิญญูชนเข้าไม่ทำกันเพคะ" "เจ้าจะยั่วโมโหข้างั้นหรือ ต่อไปห้ามให้เขา เข้ามาเหยียบในตำหนักข้าอีก" "พระองค์ช่างไม่มีเหตุผล ขอตัวเพคะ" "เจ้าจะไปไหน ใครอนุญาตให้เจ้าไป" "พระองค์ สำรวมกิริยาด้วย ปล่อยหม่อมฉันเดี๋ยวนี้" "ดูท่า ข้าคงต้องทำหน้าที่สามี เจ้าจะได้เลิกยั่วผู้ชายคนอื่นไปทั่วเสียที" "หยาบคาย ต่ำช้า ท่านปล่อยข้านะ หยุดนะ ไม่.....
View Moreแคว้นชิงโจว
ท้องพระโรง : ประชุมเช้า
“แคว้นเยี่ยน ส่งจดหมายแสดงเจตจำนงค์ ประสงค์ที่จะเชื่อมสัมพันธไมตรีระหว่างแคว้น โดยการยกองค์หญิงให้มาแต่งงานกับองค์ชายแคว้นชิงโจวของเรา ขุนนางทั้งหลาย เรื่องนี้ พวกท่านมีความเห็นประการใด”
“ทูลฝ่าบาท แคว้นเยี่ยนเป็นเมืองหน้าด่าน ที่มีเขตติดต่อกับแคว้นซูเล่อ ที่มีอำนาจพอๆ กับเรา เป็นการดีที่จะสานสัมพันธไมตรี พ่ะย่ะค่ะ”
เสนาบดีกรมกลาโหมกราบบังคมทูลความเห็นแก่ฮ่องเต้
“ทูลฝ่าบาท แคว้นเยี่ยนนั้นพืชพันธุ์ธัญญาหารล้วนสมบูรณ์ อีกทั้งชายแดนยังมีปราการน้ำขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อแคว้นชิงโจวของเรา หากมีความจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือเวลามีภัยพิบัติพ่ะย่ะค่ะ”
เสนาบดีกรมโยธากราบบังคมทูล
“อืม เราก็เห็นด้วยกับพวกท่าน ซึ่งพอคิดๆ ดูแล้ว เรามีแต่ได้ มากกว่าเสีย”
“พระบารมีฝ่าบาทแผ่ไปกว้างไกล ทุกแคว้นต่างอยากผูกมิตรพ่ะย่ะค่ะ”
ราชเลขาทูลสำทับ ฮ่องเต้ถังจินพยักหน้าช้าๆ
“ถ้าอย่างนั้น พวกท่านเห็นว่า ผู้ใดเหมาะสมที่จะเข้าพิธีสมรสในครั้งนี้”
เหล่าขุนนางต่างมองหน้ากัน และเป็นเสนาบดีกรมกลาโหม ซึ่งก้าวออกมาเพื่อทูลความเห็น
“กระหม่อมเห็นว่า ชินอ๋อง องค์ชายถังมู่เหริน ถึงวัยที่เหมาะสมจะแต่งงานในเวลานี้ที่สุดพ่ะย่ะค่ะ เนื่องจากชินอ๋องเชี่ยวชาญการศึก และมักจะไปประจำการที่ค่ายทหารแถบชายแดนเสมอ คุ้นเคยทั้งภูมิศาสตร์ และประชาชน หากชินอ๋องอภิเษกครั้งนี้ ถือว่าเหมาะสมกว่าผู้ใดพ่ะย่ะค่ะ”
เหล่าขุนนางล้วนพยักหน้าเห็นด้วยกับเสนาบดีกลาโหม
“ชินอ๋องอย่างนั้นหรือ แต่ตอนนี้เขาทำศึกอยู่ที่ชายแดนเหนือ ไม่ได้ปรึกษาเขา เกรงว่า ….”
“ฝ่าบาท ที่พระองค์ทำ เพราะหวังดีกับชินอ๋อง เพื่อความเป็นปึกแผ่นของแผ่นดิน ข้าพระองค์คิดว่า เรื่องนี้ ชินอ๋อง ไม่น่าจะขัดข้องพ่ะย่ะค่ะ”
“ดี ถ้าอย่างนั้น ตกลงตามนี้ ออกราชโองการ พระราชทานอภิเษกให้ชินอ๋องแต่งกับองค์หญิงแค้วนเยี่ยนเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรี”
ชายแดนเหนือ
“พระราชโองการมา”
“ชินอ๋อง องค์ชายถังมู่เหริน รับราชโองการ”
ถังมู่เหริน ชินอ๋องแห่งแคว้นชิงโจว พระราชโอรสคนที่ 2 ของฮ่องเต้ถังจิ้นหรง แคว้นชิงโจว เชี่ยวชาญการรบ และทำศึกสงคราม ขึ้นชื่อเรื่องความเก่งกาจทางการทหาร โหดเหี้ยม เถรตรง ยุติธรรม หากถอดชุดเกราะออก เขาถือว่าเป็นองค์ชายที่รูปงามคนหนึ่ง ผิวขาว ละเอียดราวสตรี สูง หน้าตาได้สัดส่วน รูปร่างกำยำเนื่องจากเขาเป็นผู้ฝึกยุทธ และเป็นแม่ทัพดูแลไพร่พลฝั่งชายแดนทางเหนือ
“แต่งงานงั้นหรือ เรื่องบ้าอะไรกัน เว่ยอี เอาผ้ามา”
ถังมู่เหรินลุกขึ้นจากอ่าง รูปร่างเขาที่ดูกำยำยามโดนน้ำช่างน่ามองนัก หน้าอกและกล้ามที่เป็นมัดๆ ที่เห็นได้อย่างชัดเจน อาจจะทำให้ผู้พบเห็นไม่อาจละสายตาได้เลย
เว่ยอีสวมเสื้อคลุมให้เขา ก่อนที่เขาจะเดินออกจากห้องอาบน้ำมาแต่งชุดลำลอง
“เว่ยอี เจ้าไปเมืองเยี่ยนกับข้า”
“ท่านอ๋อง ท่านจะไปสืบข่าวของว่าที่พระชายาหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“จู่ๆ ก็มีราชโองการให้ข้าแต่งงาน ก่อนหน้านั้นก็ยกเลิกงานแต่งข้ากับบุตรีเจ้ากรมคลัง ข้าอุตส่าห์หนีมาชายแดน ยังไม่พ้นราชโองการแต่งงานบ้าๆ นี่อีก ข้าจะไปดูเสียหน่อย ว่าคนที่จะมาเป็นว่าที่พระชายาที่จะแต่งกับข้า เป็นคนเช่นไร”
“ท่านอ๋อง ท่านคงไม่คิดที่จะ หนีการอภิเษกใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“หึ หนีจากอีกคน ก็เจออีกคนอยู่ดีมิใช่หรือ สู้แต่งให้จบๆ ไป จะได้ไม่ต้องประทานใครมาให้ข้าอีก”
แคว้นเยี่ยน : เมืองเหยียน
“ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ วันนี้ข้าได้ข่าวว่าองค์หญิงจะเสด็จผ่านทางนี้ นางจะเดินทางไปสักการะที่วัดกวนอิมบนเขา หากเราดักรอที่โรงเตี๊ยมนี้ อาจจะเจอนางพ่ะย่ะค่ะ”
“ดี งั้นเจ้าไปจองห้องพักก่อน ข้าจะเดินดูแถวนี้หน่อย”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เมืองเหยียน ถือเป็นเมืองที่ติดชายแดนด้านเหนือที่ถังมู่เหรินดูแลอยู่ การเดินทางจึงใช้เวลาไม่นาน การค้าขายที่นี่ เน้นพวกเครื่องนุ่งห่ม ผ้าไหม เครื่องประดับเงิน ทับทิม และพลอยเป็นหลัก เนื่องจากเป็นภูเขาสูง แหล่งทรัพยาการจึงมีมาก และอากาศก็หนาวเย็นเกือบตลอดทั้งปี ผู้คนส่วนใหญ่ที่นี่จะปลูกพืชเมืองหนาวเป็นหลัก
ถังมู่เหรินเดินดูความคึกคักของตลาดอย่างเพลิดเพลิน เขาหวังว่าจะไม่มีสงคราม เพื่อให้ทุกคนที่นี่มีความสุขเช่นนี้ไปตลอด ผู้คนยิ้มแย้มแจ่มใส การค้าขายคึกคัก ใต้หล้าร่มเย็น เขาแวะดูกำไรหยกขาว พลางนึกไปถึงสตรีที่เขาเคยหมั้นหมายเมื่อครั้งก่อน
ชิงอี้เหนียง บุตรีเสนาบดีกรมคลัง นางชอบสวมเครื่องประดับสวยงาม และทุกครั้งที่เขากลับจากชายแดน มักจะซื้อไปฝากนางเสมอ จนกระทั่งปีกลาย ที่นางบอกเขาว่า นางต้องเข้าพิธีอภิเษกเป็นพระชายาขององค์รัชทายาท นางอ้างว่าเขาไม่สนใจนาง และให้ความมั่นคงกับชีวิตนางไม่ได้ เขาออกสนามรบตลอดเวลา แต่นางต้องการคนที่รัก และดูแลเอาใจใส่นางใกล้ๆ ตัว ทำให้นางมอบใจให้กับพี่ชายแท้ๆ ของเขาเพราะความใกล้ชิดที่ทั้งคู่มักจะพบเจอกันในงานพิธีสำคัญต่างๆ ในวังหลวง เขามองกำไรหยกนั้นอย่างใจลอย และวางมันลง หันกลับจะเดินออกไป เขาไม่ทันระวัง จึงทำให้ชนกับสตรีนางหนึ่งซึ่งเดินผ่านเขา
“โอ๊ะ ขออภัยแม่นาง ข้าเดินไม่ระวัง”
เขาคว้าแขนเสื้อนางได้ก่อนที่นางจะล้มลง นางสวมชุดสีขาว สวมเครื่องประดับบนศีรษะ แต่นางใช้ผ้าสีขาวปิดตั้งแต่จมูกลงมาถึงคาง แต่ตาของนางกลับสวยยิ่งนัก
“ไม่เป็นไร ข้าก็ไม่ทันระวัง ขอบคุณ”
“ท่านเป็นอะไรหรือเปล่า”
สตรีที่มาด้วยกันถาม
“ข้าไม่เป็นไร รีบไปเถอะ เดี๋ยวไม่ทัน”
นางย่อคำนับเข้าอย่างนอบน้อมและเดินจากไป เขามองตามพวกนางไป พวกนางดูรีบเร่ง เขาไม่ทันจะเอ่ยอะไรมาก นางก็ไปเสียแล้ว ถังมู่เหรินกำลังจะออกจากที่นั่น เท้าเขาก็เกิดไปเหยียบอะไรสักอย่างจนเขาต้องก้มมอง
เป็นถุงหอมห้อยป้ายหยกอันหนึ่ง ดูประณีตและกลิ่นหอมพิเศษยิ่งนัก เขาหันกลับไป แต่พวกนางก็ไปไกลจนเขาตามไม่ทันเสียแล้ว เขาจึงหยิบถุงหอมนั้น และเดินกลับโรงเตี๊ยม เว่ยอีรอเขาอยู่
“ท่านอ๋อง เห็นว่าขบวนขององค์หญิง จะมาพักค้างแรมที่โรงเตี๊ยมนี้ ก่อนขึ้นเขาเช้าวันพรุ่งนี้พ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยจองห้องไว้แล้ว เป็นห้องพักใกล้ๆ กับห้องพักขององค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ"
“ดี ข้าหิวแล้ว ไปหาอะไรกินกัน”
เขานั่งอยู่ไม่นาน ดูเหมือนคณะขององค์หญิงจะมาถึงพอดี นางสวมชุดสีส้ม ตกแต่งเครื่องประดับงดงามบนศีรษะ ท่าทางหยิ่งยโสไม่เป็นมิตร แต่ต้องยอมรับว่านางเป็นสตรีที่ดูงดงามยิ่งนัก
“ท่านอ๋อง นั่นองค์หญิงจ้าวซีเหมย ว่าที่พระชายาของพระองค์”
ชินอ๋องมองนางอย่างพินิจ กิริยามารยาทก็เหมือนหญิงสูงศักดิ์ทั่วไป แค่สายตาดูไม่ค่อยเป็นมิตร ดูยโสโอหังมากไปหน่อย ท่าทางจะเอาแต่ใจตัวเอง
“นี่ชาอะไรกัน ไปหาชาที่ดีกว่านี้มาให้ข้า”
นางปัดกาชาหล่นแตกเกลื่อนพื้น นางกำนัลต่างตกใจ รวมถึงคนงานในร้าน
“องค์หญิงเพคะ ที่นี่คือโรงเตี๊ยมที่ดีที่สุดในย่านนี้ก่อนออกนอกเมืองแล้วเพคะ ขออภัยองค์หญิงโปรดอภัย...”
“เพี๊ยะ”
นางตบนางกำนัล นางรีบคุกเข่าขออภัย
“หุบปาก ข้าแค่อยากกินชาที่ดีกว่านี้ ไม่ใช่จืดชืดอย่างน้ำล้างจานเช่นนี้ ไปหามาให้ข้าเดี๋ยวนี้”
“เพคะองค์หญิง บ่าวจะไปเดี๋ยวนี้”
นางกำนัลอีกสองคนรีบพานางไปจัดหาอาหารใหม่มาให้นาง จ้าวซีเหมยทำท่าหงุดหงิดอยู่ที่โต๊ะ
"ทำไมข้าต้องแต่งกับนาง สตรีไร้มารยาท หลงตัวเอง เย่อหยิ่งแบบนี้ นั่นไม่ใช่สตรีที่ข้าต้องการ"
“ท่านอ๋อง เบาเสียงลงหน่อยพ่ะย่ะค่ะ เดี๋ยวนางได้ยิน”
“ช่างน่ารังเกียจ……….”
เมื่ออีอียอมรับปาก ซีเฟยจึงพานางมาหาองค์หญิงทั้งสอง“พวกท่านไปไหนกันมาหรือเพคะ พี่สะใภ้ พี่รองรอท่านอยู่ เขาจะชวนท่านกลับจวนเพคะ”“อืม ถ้าอย่างนั้น อีอี เจ้าจะกลับหรือยัง ท่านแม่ทัพล่ะ”“อีอี ไหนเจ้าว่าคืนนี้จะอยู่ค้างกับพวกข้าอย่างไรล่ะ”“ข้าไม่ลืมๆ เพคะองค์หญิง พี่เฟยเฟย ท่านไปก่อนเถอะเพคะ คืนนี้หม่อมฉันว่าจะอยู่ค้างคืนที่ตำหนักองค์หญิงหกเพคะ”“ออ งั้นดีเลยเพคะองค์หญิง งั้นอีอี องค์หญิงทั้งสอง ข้ากลับก่อนนะ เดี๋ยวข้าจะพาท่านอ๋องไปลาเสด็จพ่อเสด็จแม่ก่อน”“พี่สะใภ้ กลับดีๆ เจ้าค่ะ”ชินอ๋องและซีเฟยกลับขึ้นรถม้าเพื่อกลับจวนอ๋อง เหมยซูหนี่ว์จ้องมองจากระเบียงท้องพระโรง นางบีบมือกับราวระเบียงแน่น ราวกับราวกับว่ามันคือคู่แค้นกับนางมานานแสนนาน“เจ้าอยากเป็นพระชายาของเขาถึงเพียงนั้นเชียวหรือองค์หญิง”ซูหนี่ว์สะดุ้งสุดตัว นางไม่จำเป็นต้องหันกลับไปมองก็จำเสียงเย็นๆ ที่เห็นแก่ตัวนี้ได้ชัดเจน“ข้าแค่มายืนรับลม องค์ชายมีอะไรหรือเพคะ”สายตาขององค์รัชทายาทมองไปยังรถม้าที่พึ่งเคลื่อนตัวออกไปจากลานจอดของเชื้อพระวงศ์“องค์หญิง เจ้าอย่าลืมสิ ตอนนี้เจ้าเป็นว่าที่พระชายาของข้า หากเจ้าคิดเป็นอื่น ข้าว่าแคว
ซีเฟยเดินหนี ชินอ๋องรีบรวบตัวนางเข้ามา หน้าของนางเกือบจะชนสันจมูกเขาแล้ว ก่อนที่เขาจะใช้จมูกเย็นๆ นั่น ชนจมูกนางอย่างหยอกล้อ“นี่เจ้าหึงข้าถึงเพียงนี้เลยหรือเฟยเฟย ข้ารู้สึกตื่นเต้นมากเลย”“ปล่อยหม่อมฉันเลยเพคะ ใครหึงพระองค์กัน หากใครมาพบเข้า คนอื่นจะเอาไปนินทาเอาได้ ว่าชินอ๋องล่วงเกินว่าที่พี่สะใภ้ของตนเอง หม่อมฉันจะพลอยเสื่อมเสียไปด้วย ปล่อยเลยนะเพคะ”“ไม่ เจ้าแน่ใจหรือ ว่าเป็นเพราะเรื่องนี้ แต่สีหน้าและแววตาของเจ้าเมื่อครู่ มันชัดเจนมากว่าเจ้ากำลังหึงข้าอยู่นะ”ชินอ๋องค่อยๆ ก้มลงมา จุมพิตพระชายา ปากของนางเริ่มเย็นแล้ว เขาคิดว่าซีเฟยน่าจะยืนอยู่นานแล้ว เผลอๆ น่าจะตั้งแต่ที่เขาคุยกับซูหนี่ว์ตั้งแต่แรกนางคงได้ยินจนหมด เขาคงต้องจัดการกับคนปากแข็งเสียแล้ว“อื้มม เสด็จพี่ พอก่อนเพคะ นี่ในวังนะเพคะ สำรวมกิริยาท่านหน่อย”“อืมม ในวังทำไม่ได้ งั้นเราก็กลับจวนกันเถอะนะ จะได้สะดวกๆ หน่อย”“สะดวกอะไรล่ะเพคะ อย่านะ เรายังต้องอยู่ต่อ งานเลี้ยงยังไปไม่ถึงครึ่งพระองค์ก็จะกลับ จะทูลเสด็จพ่อเสด็จแม่ว่าอย่างไรล่ะเพคะ น่าเกลียด”“ก็บอกว่าเจ้าไม่สบายไง ข้ออ้างง่ายจะตายไป”“แต่หม่อมฉันสบายดี ไม่ได้ป่วยนี
สมกับเป็นพระชายาของเขา นางมองออกตั้งแต่แรกว่าการอภิเษกนี้มีความผิดปกติ ซีเฟยหันไปมองที่เหมยซูหนี่ว์อยู่พักหนึ่ง ก่อนที่นางจะหันมา และทำบางอย่างที่ชินอ๋องแทบจะตั้งตัวไม่ทัน“เสด็จพี่ ชิมขนมนี่หน่อยเพคะ อร่อยเหมือนที่หม่อมฉันทำหรือไม่”ซีเฟยหยิบขนมไปป้อนเขาถึงปาก เขาอ้าปากและมองหน้านางอย่างลืมตัว เพราะนางส่งสายตาหวานหยดมาให้เขา ทำเขาตกตะลึง“อืม สู้เจ้าทำไม่ได้จริงๆ ขนมนี่ หวานเลี่ยนเกินไป”ซีเฟยจับหน้าเขาหันมา และใช้ผ้าเช็ดหน้า เช็ดที่มุมปากของเขาเบาๆ อย่างยั่วยวน“ขนมติดเพคะ หม่อมฉันเช็ดให้”ชินอ๋องเริ่มทนไม่ไหวกับการยั่วยวนของนาง เขาก้มลงมาหอมแก้มนางหนึ่งที พระสนมหลินแอบมองทั้งคู่และพากันหัวเราะกับองค์หญิงหกและองค์หญิงแปด ในความกล้าบ้าบิ่นของชินอ๋องที่เคยได้ขึ้นชื่อว่าสุขุม เยือกเย็น แม้แต่แมลงวันบินผ่านเขาก็นั่งนิ่งไม่ไหวติง แต่ตอนนี้กลับกล้าที่จะหอมแก้มพระชายาต่อหน้าผู้คนมากมาย แล้วยังเป็นที่ท้องพระโรงในวังหลวงอีกด้วย“เสด็จพี่ ท่านเล่นเกินบทไปแล้วเพคะ”ซีเฟยกระซิบปรามเขาเบาๆด้วยความเอียงอาย ชินอ๋องตกใจ เล่นเกินบทคืออะไร นางกำลังจะทำอะไรกันแน่ เขาไม่ต้องรอถาม เมื่อเขาหันไปเห็นองค์ห
องค์ชายสี่มองนางอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง วันนี้ซู่อีอีช่างงดงามนัก แตกต่างจากที่พวกเขาเห็นมาก่อนหน้านี้ ที่พวกเขาจำได้ นางไม่เคยสวมใส่ชุดของสตรีเลยสักครั้ง อย่างมากก็แค่รวบผมขึ้นและใส่ชุดบุรุษ แต่วันนี้นางสวมชุดสีฟ้าอ่อน ประดับด้วยดอกไม้ที่ทอด้วยดิ้นสีเงินบนผ้าโปร่งสีขาวปักมุกทั้งชุด ทำให้นางดูสะดุดตามากขึ้น เครื่องแต่งศีรษะที่ทำจากเงินแต่งด้วยหยกสีเขียว มีพลอยสีแดงแซมเล็กน้อย ทำให้ใบหน้าของนางดูสว่างและงดงามกว่าเดิมอีกหลายเท่า เข้ากับใบหน้ารูปหัวใจที่ถูกแต่งแต้มสีสันอย่างพอดี กับปากสีชมพูอมแดงของนาง ทำให้ผู้พบเห็นต่างหลงใหลได้ง่ายๆ“อีอี เจ้ามาแล้ว วันนี้เจ้างดงามมากจริงๆ”“พี่เฟยเฟย ทั้งหมดนี่ต้องขอบคุณท่านเพคะ หม่อมฉันเดินวนอยู่สามรอบกว่าจะขึ้นรถม้ามาที่นี่ได้”“เจ้าเห็นหรือยัง เชื่อข้าหรือยัง ดูสายตาที่มองด้วยความชื่นชมนี่สิ”“พี่เฟยเฟย ข้าอายจนแทบอยากจะมุดดินหนีแล้วเพคะ ถือดาบซ้อมทวน ยังง่ายกว่านี้อีก”“อีอี วันนี้เจ้า…”องค์ชายสี่ตั้งสติ ก่อนจะเดินเข้ามาทักทายนาง อีอีหันไปเห็นเขา นางรีบคำนับตามมารยาท“คารวะจวิ้นอ๋องเพคะ”องค์ชายสี่รู้สึกแปลกๆ เล็กน้อยกับคำทักทายเช่นนี้ของนาง ปก
ซีเฟยขยับตัวค่อยๆ ลืมตาช้าๆ นางรู้สึกแขนขาแทบจะหมดเรี่ยวแรงไปหมด เมื่อคืนนี้พระสวามีของนางก็ไม่ยอมให้นางพักผ่อนดีๆ กว่านางจะได้นอนก็เข้ายามอู่ไปแล้ว (23.00 - 24.00 น.) นางค่อยๆ ยกแขนของชินอ๋อง ที่พาดกอดนางอยู่ออกเบาๆ เพื่อไม่ให้เขารู้สึกตัวแต่เขารู้สึกตัวก่อนแล้ว จริงๆ เขาตื่นก่อนหน้านางนิดเดียว มือนั้นดึงนางกระชับเข้าใกล้เขา ใบหน้าซุกไปที่ต้นคอนางพร้อมกระซิบถามอย่างงัวเงีย“เจ้าจะไปไหน นี่ยังเช้าอยู่เลย”“หม่อมฉันจะรีบให้อันเหมยไปส่งข่าวที่ตลาดมืดเพคะ เสด็จพี่ ปล่อยสิเพคะ”“อืมม ต้องเช้าขนาดนี้เชียวหรือ”“พระองค์อยากรู้เรื่องเร็วๆ เราก็ต้องรีบนะเพคะ ปล่อยก่อนสิ มู่เหริน หากท่านยังดื้อ ข้าจะซัดเข็มใส่ท่าน”“ใจร้าย”ได้ผล เขายอมดึงมือออกจากตัวนาง และปล่อยให้ซีเฟยลุกขึ้นจากเตียงแต่โดยดี และค่อยๆ ลุกขึ้นตามนาง เขาเอื้อมหยิบชุดคลุมมาใส่ร่างที่เกือบเปลือยของเขา ก่อนจะรวบตัวพระชายาเข้ามากอดจากด้านหลัง“ไหนๆ ก็ตื่นแล้ว ให้ข้าอาบน้ำให้เจ้าดีหรือไม่”“อย่าเลยเพคะ อาบด้วยกันเดี๋ยวจะช้าเสียเปล่าๆ พระองค์อาบไปคนเดียวเถอะ…. ว๊ายย”ไม่ทันสิ้นเสียง ชินอ๋องไม่ปล่อยให้นางปฏิเสธได้เลย เขารวบตัวพร้อมกั
ซีเฟยมองสตรีหน้าตาน่ารักตรงหน้า นางพึ่งสังเกตว่า ซู่อีอี เป็นสตรีที่งดงามคนหนึ่งเลยทีเดียว หากนางทำผมเช่นสตรีทั่วไป ไม่รวบผมหมดเหมือนบุรุษแบบนี้ ผิวหน้าของนางยังขาวนวลผ่องตามวัยของนาง หากได้ผัดแป้ง แต่งหน้า ทาชาดไปหน่อยคงงดงามไม่ด้อยไปกว่าสตรีใดๆ ในชิงโจวเป็นแน่แท้“พี่เฟยเฟย ท่านจ้องมองข้าทำไมหรือเพคะ หน้าข้า มีอะไรผิดแปลกไปหรือ”“อีอี นอกจากชุดฝึก ชุดแม่ทัพ และชุดเกราะเล็กนี่แล้ว เจ้าเคยสวมชุดอื่นๆ บ้างหรือไม่”“เคยสิเพคะ สวมชุดนอนอย่างไรล่ะ”ซีเฟยยิ้มให้กับนิยามคำว่าชุดของนาง นอกจากเรื่องการศึกแล้ว นางช่างไร้เดียงสาเรื่องพวกนี้มากจริงๆ นั่นแหละ“ข้าหมายถึง ชุดสตรี ทำผมใส่เครื่องประทินโฉม เจ้าเคยทำบ้างหรือไม่”ซู่อีอีรู้ว่านางหมายถึงอะไร นางก้มหน้าอย่างรู้สึกเขินอาย“ไม่เลยเพคะ ตั้งแต่โตขึ้น ข้าก็แทบจะไม่ได้แต่งตัวแบบสตรีมากเท่าไหร่เพคะ เพราะว่า …”“มีอะไรหรือ”“ข้าเคยแต่งครั้งหนึ่งตอนงานเลี้ยงที่จวน แล้ว...ถูกญาติๆ และ…พวกองค์ชายแซวว่าเป็นบุรุษสวมชุดสตรี ตั้งแต่วันนั้น ข้าก็เก็บชุดสตรีเผาจนหมดเพคะ”ซีเฟยเข้าใจนางแล้ว ที่แท้ นางก็มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น ทำให้นางไม่มีความมั่นใจในตัวเอ












Comments