เข้าสู่ระบบเมื่อเธอตื่นขึ้นมาในร่างของหญิงสาวผู้อาภัพ ที่ทุกคนทอดทิ้งและไม่มีแม้แต่สิทธิ์จะมีชีวิตอยู่อย่างสมศักดิ์ศรี…” ในวังวนของอดีตที่เต็มไปด้วยเงาแค้นและความลับ เนี่ยฮุ่ยเฟย คุณหนูใหญ่ผู้ถูกเหยียบย่ำ ทั้งจากครอบครัวและโลกที่ไม่เคยเมตตาตื่นขึ้นในร่างใหม่ ด้วยหัวใจที่ไม่ใช่ของหญิงสาวเดิม โชคชะตานำพาให้เธอพบกับ ‘หลิงเซ่าเทียน’ ชายหนุ่มผู้มีอดีตแสนร้าวลึกและความแค้นที่ฝังแน่น เขา…ผู้เฝ้ามองนาง ผู้ที่เลือกจะลุกขึ้นยืน แม้ไม่มีใครยื่นมือมาให้ เมื่อเงามืดแห่งอดีตเริ่มเปิดโปง เมื่อความรักเติบโตขึ้นจากซากปรักหักพังของจิตใจ และเมื่อชีวิตใหม่เริ่มต้นแล้ว นางจะเลือกเช่นไร ?
ดูเพิ่มเติมสายน้ำในสระหยกเย็นจัดจนแทบปาดผิวเนื้อ เสียงกระเพื่อมดังก้องอยู่ในหู ทว่ากลับไม่มีใครได้ยิน ไม่มีเสียงใดตอบรับความตะเกียกตะกายสุดท้ายของเด็กสาววัยสิบหกปีที่กำลังจมหายไปในน้ำลึก สายตาของนางพร่าเลือน แต่ยังจับภาพสุดท้ายไว้ได้ชัดเจน เงาร่างสูงโปร่งของชายหนุ่มผู้เป็นพี่ชายต่างมารดา ยืนอยู่ริมสระโดยไม่ไหวติง เพียงแค่มองลงมาอย่างเย็นชา ไม่แม้แต่จะขยับเท้าเข้าใกล้
“ช่วย…”
คำนั้นไม่ทันหลุดออกจากริมฝีปาก ความเย็นก็แทรกซึมเข้าหัวใจ น้ำเข้าปาก เข้าจมูก ลมหายใจสุดท้ายหลุดลอย ความเจ็บปวดค่อย ๆ ถูกแทนที่ด้วยความว่างเปล่า ความมืดเข้าครอบคลุมโลกทั้งใบ
ก่อนหน้านั้นไม่กี่ชั่วยามบรรยากาศในจวนตระกูลเนี่ยยามนี้สงบอย่างผิดธรรมชาติ ราวกับมีบางสิ่งแปลกปลอมซ่อนอยู่ใต้เปลือกของความงามสงบเรียบเหมือนบึงที่ไร้คลื่นลม หากแต่เต็มไปด้วยตะไคร่น้ำลึก
เนี่ยฮุ่ยเฟย นั่งเงียบอยู่ริมหน้าต่างของห้องน้อยในเรือนหลังซ้ายสุดของจวน ห่างไกลจากเรือนที่เหล่าบุตรคนอื่น ๆ อาศัยอยู่ เสียงหัวเราะจากห้องโถงใหญ่ดังแว่วมาเป็นระยะ ราวกับตอกย้ำว่านางไม่ใช่ส่วนหนึ่งของครอบครัวนี้
นางอายุสิบหกปี เป็นบุตรสาวของ “อดีตฮูหยินเอก” ผู้ล่วงลับไปเมื่อแปดปีก่อน หลังจากนั้นไม่นาน ตำแหน่งฮูหยินเอกก็ถูกแทนที่ด้วย “ฟู่ซื่อ” ที่เคยเป็นอูหยินรองของบิดา
เนี่ยเหวินเจี๋ย บุตรชายของฟู่ซื่อ ได้รับความรักจากบิดาอย่างเต็มเปี่ยม กลายเป็นศูนย์กลางของทุกงานเลี้ยง ทุกเสียงชื่นชม และทุกการวางแผนในตระกูล ส่วนฮุ่ยเฟย? นางเป็นเพียงภาพเลือนรางในสายตาทุกคน บางครั้งก็ลืมแม้แต่ชื่อ
นางไม่ได้โง่ ไม่ได้อ่อนแอจนไร้หนทาง หากแต่เรียนรู้ที่จะ “ยอม” เพราะไม่มีใครเคยสอนให้นาง “เลือก”
“คุณหนูเจ้าคะ ฮูหยินใหญ่สั่งให้นำผลไม้ไปให้ที่ศาลบรรพชนเจ้าค่ะ” เสียงสาวใช้เอ่ยอย่างเร่งร้อน ขณะยื่นตะกร้าขนาดย่อมให้นางโดยไม่กล้าสบตา
เนี่ยฮุ่ยเฟยมองผลไม้นั้นอย่างเงียบงัน ไม่มีคำพูดใด ๆ ก่อนจะรับมาอย่างเชื่องช้า “ข้าเข้าใจแล้ว”
เมื่อสาวใช้จากไปแล้ว เหลือเพียงความเงียบอีกครั้งในห้องอันเปล่าเปลี่ยว กลิ่นเก่าอับของเฟอร์นิเจอร์ไม้ กลิ่นหอมเจือจางจากกระถางธูปขนาดเล็กที่นางบูชามารดา เป็นเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้นางรู้ว่านางยังมีอยู่ในโลกใบนี้
‘หากท่านแม่ยังอยู่…ข้าคงไม่ต้องอยู่แบบนี้’ นางก้มหน้าลงซ่อนหยดน้ำตาไว้ในเงาผมดำขลับ
เส้นทางไปยังศาลบรรพชนหลังเรือนใหญ่ต้องผ่าน “สระหยก” ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นสถานที่ที่มารดานางชื่นชอบอย่างยิ่ง สระน้ำใสสะอาดมีปลาคาร์พหลากสีว่ายวน แต่หลังการสิ้นของฮูหยินเอก สระหยกก็ถูกทอดทิ้ง น้ำยังใสอยู่เพราะข้าทาสทำหน้าที่ตามคำสั่ง แต่กลิ่นเย็นเฉียบและบรรยากาศวังเวงก็บอกชัดเจนว่าไม่มีใครมาเยือนที่นี่อีก
เนี่ยฮุ่ยเฟยเดินเงียบ ๆ ผ่านสระนั้น เสียงฝีเท้าแผ่วเบาราวกับไม่ต้องการรบกวนอะไรทั้งสิ้น ขณะนั้น ลมพลันพัดแรง ใบไม้แห้งปลิวว่อน นางยืนอยู่ริมสระ
ทันใดนั้น… ร่างของเนี่ยฮุ่ยเฟยเซเล็กน้อย แล้วลื่นล้มลงไปข้างหน้า
ตูม! น้ำเย็นเฉียบกลบเสียงกรีดร้องของนางไว้หมดสิ้น ท่ามกลางสายตาเย็นชาของ เนี่ยเหวินเจี๋ยที่มองมา
ในโลกมืดมิด ทว่าในหัวของนางกลับเริ่มกระจ่างบางอย่าง ภาพของวัยเยาว์ย้อนกลับมาอย่างรวดเร็วรอยยิ้มของมารดา คำปลอบโยนยามค่ำคืน เสียงกล่อมนอนอันอบอุ่น และความเจ็บปวดในวันที่มารดาจากไป
ภาพของบิดาที่เคยมองนางเพียงผ่าน ๆ เหมือนสิ่งไม่มีชีวิต ภาพของงานเลี้ยงที่ไม่มีนาง ภาพของบุตรคนอื่นที่หัวเราะอย่างสุขสันต์
ขณะเดียวกันนั้น ในโลกอีกด้านหนึ่ง… ในห้องฉุกเฉิน ณ โรงพยาบาลกลางเมืองหนึ่ง
หญิงสาววัยยี่สิบเจ็ดปีนอนนิ่งอยู่บนเตียง ICU เครื่องช่วยหายใจดังแผ่ว เสียงชีพจรลดลงเรื่อย ๆ พยาบาลพยายามปั๊มหัวใจอย่างแข็งขัน
“เธอถูกรถชนอย่างรุนแรง ไม่มีญาติ ไม่มีใครมารับ” หมอคนหนึ่งกล่าวพลางถอนหายใจ
“เราพยายามที่สุดแล้ว”
เครื่องจับสัญญาณหัวใจแสดงเส้นตรงยาวเหยียด โลกอีกใบดับลง
ดวงจิตหนึ่งที่เพิ่งดับจากโลกปัจจุบัน ดวงจิตอีกดวงที่ยังมิได้หลุดพ้นจากความเจ็บปวดในสระน้ำ ทว่าทั้งสองดวงจิตกลับหลอมรวมกันได้อย่างน่าประหลาด
“คุณหนู! คุณหนูเจ้าคะ! ยังมีลมหายใจอยู่!” เสียงตะโกนอย่างตกใจดังขึ้นทั่วบริเวณริมสระ สาวใช้ที่ถูกสั่งให้นำของมาเก็บเห็นร่างของเนี่ยฮุ่ยเฟยนอนหมดสติริมสระ ใบหน้าซีดเซียว เสื้อผ้าเปียกชุ่ม
นางรอด…อย่างปาฏิหาริย์ แต่นางไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป
เสียงลมพัดกรูหอบเอากลิ่นชื้นของน้ำและกลิ่นดินจากสวนหินมาปะทะใบหน้าซีดเผือดของหญิงสาวที่นอนหมดสติอยู่บนพื้นริมสระหยก ฝ่ามือของนางยังสั่นไหวเล็กน้อย ริมฝีปากซีดขาวคล้ายจะขยับ เสียงฝีเท้าเร่งรีบของบ่าวไพร่ดังระงมขึ้นตามมาอย่างร้อนรน
“เรียกหมอ! เร็วเข้า! คุณหนูยังมีลมหายใจ!” เสียงตะโกนตื่นตระหนกของสาวใช้คนหนึ่งกลบเสียงลมไปสิ้น
ราวกับสวรรค์เบิกฟ้า ลมหายใจในห้องกลับมาไหลเวียนอีกครั้ง หมอตำแยชูเด็กทารกเพศหญิงขึ้น เสียงร้องดังใสแจ๋วดังขึ้นสองสามครั้ง ก่อนเงียบลงเมื่อนางถูกห่อตัวด้วยผ้าขาวสะอาดก่อนจะอุ้มออกมาส่งมอบให้หลิงเว่าเทียนที่ด้านนอก “เป็นคุณหนูน้อยเจ้าค่ะ! สมบูรณ์แข็งแรง!” หลิงเซ่าเทียนมองภาพตรงหน้าด้วยสายตาที่เปี่ยมด้วยความรู้สึกเหนือคำบรรยาย เขารับบุตรีตัวน้อยไว้ในอ้อมแขนเป็นคนแรก ก่อนส่งให้นางผู้เป็นมารดา เนี่ยฮุ่ยเฟยมองใบหน้ากลมมนเล็กจิ๋วของลูก ดวงตาคู่นั้นยังปิดสนิท แต่กลับรู้สึกราวกับสัมผัสถึงดวงวิญญาณเล็ก ๆ ที่มาเติมเต็มหัวใจของนาง “อวี้เหม่ย…ขอต้อนรับเจ้ามาสู่โลกใบนี้…” นางกล่าวด้วยเสียงสั่น เฝ้ามองลูกอย่างหลงใหล ดวงตาคู่นั้นพร่าเลือนด้วยหยาดน้ำใส หลิงเซ่าเทียนก้มลงจุมพิตเบา ๆ ที่หน้าผากภรรยา “เจ้าคือสตรีที่เก่งที่สุดในโลก…” เสียงลมหายใจของทารกน้อยดังปนอยู่กับเสียงเทียนที่ยังคงลุกไหม้แผ่วเบาในห้อง ทั้งห
หลังยืนยันการตั้งครรภ์ การเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ ก็เริ่มเกิดขึ้น ในครัวใหญ่ ปรับเมนูอาหารใหม่สำหรับสตรีมีครรภ์ เน้นอาหารอ่อน ย่อยง่าย และมีคุณค่าทางโภชนาการ และในเรือนก็ได้รับการตกแต่งใหม่เพิ่มความโปร่งและเงียบสงบ ลดเสียงรบกวน เพื่อให้เนี่ยฮุ่ยเฟยพักผ่อนได้อย่างเต็มที่แม้แต่ในห้องของหลิงจิ่งหาน ถูกแยกออกเป็นห้องเล็ก ๆ ข้างเรือนใหญ่ เพื่อให้พี่เลี้ยงดูแลอย่างใกล้ชิด โดยยังให้เด็กน้อยมาเล่นกับมารดาได้ตามเวลา หลิงจิ่งหานที่ยังพูดไม่คล่องนัก มักยื่นของเล่นให้มารดา บางครั้งก็นำตุ๊กตาผ้าไปวางบนหน้าท้องนางแล้วหัวเราะเสียงใส “เจ้าอยากให้เขาเล่นกับเจ้าใช่หรือไม่?” เนี่ยฮุ่ยเฟยหัวเราะเบา ๆ ขณะลูบผมลูกชาย“อีกไม่นานเจ้าก็จะได้เป็นพี่ชายแล้วนะ…” ในคืนหนึ่ง ขณะทั้งสองสามีภรรยนั่งบนศาลาริมสระ แสงจันทร์ทอดเงาจางบนผิวน้ำ เสียงจักจั่นแว่วจากแนวไม้ไผ่ หลิงเซ่าเทียนจ้องมองหน้าท้องของภรรยา ก่อนจะเอ่ยเสียงนุ่ม “ข้
ฤดูใบไม้ผลิเดินทางเข้าสู่กลางฤดู กลีบดอกเหมยเริ่มปลิดปลิวตามลมอ่อน ๆ ยามเช้า ในจวนหลิงที่เคยวุ่นวาย ตอนนี้กลับเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะเบา ๆ และเสียงเด็กทารกร้องจ๊อกแจ๊ก ยามรุ่งอรุณอาบแสงแดดสีทองที่เลื้อยผ่านม่านบาง เสียงนกร้องเจื้อยแจ้วดังคลอไปกับเสียงทารกน้อยที่กำลังส่งเสียงเรียกผู้เป็นแม่ในแบบของเขา ภายในเรือนกลาง เนี่ยฮุ่ยเฟยนั่งพิงเบาะนิ่มด้วยท่าทางอ่อนโยน บนตักของนางมีเด็กชายตัวน้อยวัยไม่ถึงเดือน เขากำลังดูดนมจากอกของมารดา แก้มเล็ก ๆ แดงปลั่ง มือเล็กกำแน่นจิกชายเสื้อของมารดาไว้แน่น “ค่อย ๆ ดื่มนะลูก… อย่าหายใจเร็ว” เสียงกระซิบของนางอ่อนโยนดั่งเสียงลมพัดในฤดูใบไม้ผลิ ดวงตาของนางจับจ้องใบหน้าของทารกน้อยด้วยแววตาเปี่ยมรัก หลังจากป้อนเสร็จ นางอุ้มลูกขึ้นพาดไหล่ ตบหลังเบา ๆ ให้เรอ เมื่อเสียงเรอดัง “เอิ๊ก” เล็ก ๆ ออกมา นางถึงกับหัวเราะเบา ๆ พลางยิ้มด้วยความเอ็นดู ในขณะนั้นเอง บานประตูบานใหญ่ของเรือนก็เปิดออก เสียงฝีเท้าคุ้นเคยที่หนักแน่นและมั่นคงดังขึ้น
เมื่อบุตรชายมีอายุครบหนึ่งปี หลิงเซ่าเทียนจึงจัดพิธีเรียกว่า “จัวโจว” โดยวางสิ่งของต่าง ๆ ไว้ให้เด็กเลือก เพื่อทำนายอนาคตในศาลาหลังสวนมีผืนผ้าไหมปูลาดอย่างประณีต บนผ้านั้นมีสิ่งของเรียงราย:• พู่กันและม้วนกระดาษ (หมายถึงนักปราชญ์)• ลูกคิด (หมายถึงพ่อค้า)• ดาบไม้ (หมายถึงนักรบ)• ถุงใส่เงินทอง (หมายถึงความมั่งมี)• หยกก้อนเล็ก (หมายถึงโชคดี) หลิงจิ่งหานถูกอุ้มให้นั่งกลางวงอย่างระมัดระวัง ทุกสายตาจับจ้องขณะเขาเหลือบมองของตรงหน้า สายตาเปล่งประกายอยากรู้ ทันใดนั้น… เขาคลานตรงไปยัง พู่กัน แต่ยังไม่ทันหยิบ ก็มองเห็นลูกคิดไม้ข้าง ๆ จึงเปลี่ยนใจไปหยิบมันขึ้นมาแทน และยิ้มแฉ่งราวพอใจ เสียงหัวเราะดังขึ้นทันที “ฮ่าๆๆ เจ้าตัวแสบของเราจะเป็นพ่อค้าที่เก่งกาจหรือไม่เนี่ย” หลิงเซ่าเทียนหัวเราะ ขณะยกบุตรขึ้นสูงแล้วหมุนเบา ๆ“อย่างไรพ่อก็ขอให้เจ้าเติบโตอย่างมีสติปัญญา สุขภาพแข็งแรงพอ”
รุ่งเช้าวันถัดมา หลิงเซ่าเทียนส่งอวี๋เหยียนกับสายลับคนสนิทเดินทางไปทางเหนือ เพื่อสืบความเคลื่อนไหวของกลุ่มขุนนางชายแดน อีกกลุ่มหนึ่ง ส่งเข้าเมืองหลวงอย่างลับเพื่อเตรียม ‘พยาน’ ที่เคยถูกปิดปากในอดีต เขาไม่ได้รอการโจมตีเขากำลัง ‘เตรียมสวนกลับ’ ในเวลาและสถานที่ที่เขาเลือกอย่างไรก็ตามภายในโรงน้ำชาร้างนอกประตูเมือง ชายวัยกลางคนสวมชุดหรูหราแต่ปิดหน้าอยู่ในเงา กำลังพูดกับคนรับใช้ข้างกาย “หลิงเซ่าเทียน…ไม่ยอมตายเหมือนพ่อมัน เช่นนั้น…เราคงต้องทำให้มันทรมานเสียก่อนจะตาย”หลายวันต่อมา ขณะที่ท้องฟ้าเมืองหลวงขมุกขมัว ท่ามกลางม่านเมฆสีเทาหนักอึ้งรถม้าคันหนึ่งแล่นเข้าสู่ประตูวังหลวงอย่างเงียบงันภายในรถม้า ไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก “อวี๋เหยียน” มือซ้ายของหลิงเซ่าเทียน และ ชายชรา คนที่หายไปจากแผ่นดินมานานกว่า 10 ปี ผู้เคยเป็น “เจ้ากรมอาลักษณ์” ที่อยู่ใต้คำสั่งของบิดาหลิงเซ่าเทียนเมื่อครั้งยังมีอำนาจ เขาคือหนึ่งในคนไม่กี่คน ที่รู้แผนปลอมเอกสารและใส่ร้ายตระกูลหลิงเมื่อ 13 ปีก่อน และเป็นคนเดียวที่…หนีรอดมาได้ “ข้าคิดว่าจะตายอย่างคนไม่มีชื่อ…แต่ในเมื่อผู้มีบุญคุณยังมีชีวิต ข้าจะขอเอาชีวิตที่เหลือ ทำให้ความ
ภายในจวนตระกูลหลิงเอง สาวใช้คนหนึ่งที่เพิ่งเข้ามาใหม่ ถูกส่งตัวให้รับหน้าที่ในครัวท่าทางว่าง่าย พูดน้อย ไม่สะดุดตาแม้แต่น้อย นางมักเงียบงันและหลบในเงามืดของเรือนแต่ในคืนหนึ่ง ขณะที่เรือนอาหารเตรียมมื้อเย็นสำหรับฮูหยินตั้งครรภ์ นางแอบใส่ “สิ่งบางอย่าง” ลงในหม้อต้มยาจีนอย่างแผ่วเบาก่อนรีบหายตัวไปจากมุมครัวอย่างไร้ร่องรอยทว่า… เงาร่างหนึ่งยืนอยู่เหนือหลังคาใกล้ศาลาเงียบดวงตาคู่นั้นจับจ้องทุกการเคลื่อนไหว และใบหน้าที่หลบอยู่ภายใต้หน้ากากสีเงิน คือสายลับผู้หนึ่งที่หลิงเซ่าเทียนสั่งให้จับตามองทุกสิ่งในจวนของเขาเอาไว้เมื่อหลิงเซ่าเทียนกลับถึงจวนก่อนเวลา และทันทีที่ก้าวเข้าไปในห้องอาหาร เขากลับหยุดนิ่งทันทีก่อนจะเอ่ยกับซูหรูด้วยเสียงเรียบแต่แฝงความเย็น“นำยาทั้งหมดไปเททิ้ง และนำภาชนะไปให้ท่านหมอตรวจทันที”เนี่ยฮุ่ยเฟยมองเขาอย่างประหลาดใจ หลิงเซ่าเทียนเดินเข้าไปนั่งใกล้ ลูบมือนางเบา ๆ ก่อนเอ่ย“มีคนต้องการให้เจ้ากับลูก…ไม่ได้อยู่ต่อในโลกนี้”เนี่ยฮุ่ยเฟยหน้าซีดลงช้า ๆ นางไม่เอ่ยสิ่งใด เพียงแต่เงียบงัน มือแน่นิ่งในมือเขาหลิงเซ่าเทียนเงยหน้าขึ้น ดวงตาคมดุดันดุจพยัคฆ์ใต้เงาเมฆ“ข้าเคยยอมให้ค












ความคิดเห็น