“นัญโตแล้วนะเฮีย” “ฉันก็ไม่เคยลืมว่าเธอโตหรอก ตั้งแต่คืนนั้นที่เธอครางไต้ร่างฉัน”ลัญชนา หรือนัญ น้องสาวบุญธรรมของ คิเลียน หรือคิล ทายาทหนุ่มหล่อตระกูลลัทธพิพัฒน์ ผู้ถูกพ่อแม่ส่งไปเรียนฝรั่งเศสตั้งแต่ยังเด็ก กลับมาบ้านเพียงวันปีใหม่ปีละครั้ง และจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ต้องห้ามก็ได้บังเกิดในคืนปีใหม่เมื่อสามปีก่อนที่เขากลับมา “แค่จูบเดียว” กลายเป็นความสัมพันธ์ต้องห้าม“แค่หนึ่งคืน” กลายเป็นความรู้สึกที่ห้ามไม่อยู่ ความสัมพันธ์ลับๆนี้ยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่องเมื่อทั้งเขาและเธอไม่อาจหักห้ามความรู้สึกที่ไม่ควรเกิด จนกระทั่งถูกนายใหญ่ของตระกูลลัทธพิพัฒน์จับได้ ความจริงที่พังหัวใจสองดวงจนแตกสลายย่อยยับก็ได้เผยขึ้น“เขาและเธอเป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกันมาตลอด…”
ดูเพิ่มเติมแสงไฟสีส้มหรี่สลัวจากหัวเตียงกระทบผิวเนื้อที่ชื้นเหงื่อ เสียงหอบหายใจดังสลับกับเสียงเตียงโยกเบาๆ ราวกับบอกเล่าความผิดพลาดของสองคนที่ไม่อาจหักห้ามใจตัวเองได้
ลัญชนานอนนิ่ง ใบหน้าเปื้อนน้ำตา ผมเธอสยายกระจายบนหมอนขาวสะอาดจนดูผิดแปลกกับสภาพร่างกายที่เปลือยเปล่าอยู่ใต้ร่างของคนที่เธอเรียกว่า พี่ชาย มาตลอด เขาไม่ได้เอ่ยอะไรสักคำ ไม่แม้แต่จะเรียกชื่อเธอ กลิ่นเหล้าฉุนราวกับซึมอยู่ในลมหายใจของเขา มือหนาข้างหนึ่งวางทาบที่เอวบางราวกับไร้สติ ปั่ก ปั่ก ปั่ก! “ฮึก… อ๊าา เฮียคิล…ย…หยุดอื้ออ…” เสียงเธอแผ่วสั่นไม่เป็นคำ แทบไม่ต่างจากเสียงกระซิบ ร่างสูงด้านบนไม่ตอบอะไร หนําซํ้ายังกระชับวงแขนแน่นขึ้น ก่อนจะฝังใบหน้าคมลงซอกคอระหง สูดดมกลิ่นกายหอมกรุ่นของเธอที่ทำเขาครั่งแทบบ้า ลมหายใจร้อนกระทบผิวจนร่างเล็กสะดุ้ง มือเล็กผลักเขาออกเบาๆแทบจะไม่มีแรงสะท้านถึงเขาเลย ไม่รู้ว่าเป็นร่างกายทรยศที่ตอบสนองทุกสัมผัสเขา หรือเพราะเรี่ยวแรงเธอหมดถึงขั้นไม่เหลือให้ต่อต้านเขากันแน่ ลัญชนาหลับตาลง ปล่อยให้น้ำตาหยดสุดท้ายไหลรินลงข้างแก้ม ขณะที่เสียงหอบของเขาเริ่มถี่ขึ้น จังหวะเคลื่อนไหวรุนแรงเต็มไปด้วยความอัดอั้น “อ่าาส์ ซี๊ดดดส์ อื้มมม เอามันส์ชิบหาย” เขาเองไม่แน่ใจว่าตัวเองเมาจนลืมไปแล้วว่าเธอคือน้องสาว หรือที่จริง เขาแค่ไม่อยากรยอมรับความจริงว่าเธอเป็นใครตั้งแต่แรก . . . . . “อ้าวนัญ จะไปมอหรอลูก” ชายวัยกลางรีบเอ่ยเรียกลูกสาวเสียงนุ่ม เมื่อเห็นว่าเธอก้าวลงบันไดมาด้วยชุดนักศึกษาเฉกเช่นทุกวัน “ค่ะป๊า” “เรารู้รึยังล่ะ ว่าวันนี้ตาคิเลียนจะกลับมา” คำพูดของชายวัยกลางเหมือนแรงกระแทกจากความทรงจำที่ไม่เคยจาง ทำเอาเธอชะงักฝีเท้านิ่งกึกไปชั่วคณะ “ฮ..เฮียคิลจะกลับมาวันนี้หรอคะ…” นํ้าเสียงเธอเบาแผ่วด้วยหัวใจดวงเล็กที่สั่นไหว เพียงได้ยินชื่อเขา ความทรงจำจากคืนนั้นที่ฝังลึกอยู่ในใจเธอก็เริ่มฉายขึ้นมาเป็นฉากภาพพยนต์อีกครั้ง หลังจากคืนนั้น… เขาก็บินกลับฝรั่งเศสทันทีโดยไม่มีแม้แต่คำบอกลา… ยิ่งไปกว่านั้นคือเขาไม่กลับมาไทยอีกเลย ไม่มีแม้แต่การติดต่อมาหาเธอโดยตรง นอกเสียจากจะทักทายกันผ่านๆเวลาเขาโทรมาทางบ้านเท่านั้น จนกระทั่งสามปีผ่านไป ก็คือวันนี้แล้วสินะ วันที่พี่ชายบุญธรรมของเธอจะกลับมาอีกครั้ง… เพียงนึกคิดถึงเวลาที่จะได้เจอหน้าเขาอีกครั้ง อยู่ๆหัวใจดวงน้อยก็ลุกขึ้นมาเต้นแข่งกันตุบตับจนไม่เป็นจังหวะ ไม่เจอกันตั้งสามปี ป่านนี้เขาคงโตเป็นผู้ใหญ่พร้อมที่จะกลับมารับช่วงต่อตระกูลอย่างเต็มตัวแล้วสินะ… ลัญชนานิ่งงันอยู่กับความคิดตัวเองอยู่นานจนเสียงแหลมแทรกเข้ามาดึงเธอออกจากภวังค์ “รู้แล้วก็กลับมาบ้านเร็วๆด้วยล่ะ อย่ามัวแต่ไปเที่ยวเหลวไหลที่ไหนจนกลับบ้านดึกๆดื่นๆเหมือนทุกคืนก็แล้วกัน จะได้ช่วยกันเตรียมตัวต้อนรับตาคิล” “ไม่เอาน่า คุณหญิง นัญก็บอกเราแล้วว่าช่วงนี้สอบไฟนอล ต้องไปติวกับเพื่อนเลยกลับดึก” “เหอะ…” คุณหญิงกัลยาณี นายหญิงใหญ่ของบ้าน ผู้ไม่เคยชอบหน้าบุตรสาวบุญธรรมอย่างลัญชนาเลยสักครั้ง แม้แต่ตอนนี้หญิงวัยกลางยังกรอกตาแสดงทีท่าเบื่อหน่ายใส่เธอเต็มทน จนหญิงสาวต้องตัดเรื่องโดยขอตัวออกจากบ้านมาก่อน *มหาวิทยาลัย A* “นัญ… นัญ!!” “ห…ห้ะ มีอะไรรึเปล่ากันต์” ลัญชนาที่มัวแต่เหม่ออยู่ในภวังค์ความคิดสดุ้งโหยงตกใจกับเสียงเรียกจากเพื่อนหนุ่มที่ไม่รู้ว่าเดินเข้ามานั่งตรงข้ามเธอตั้งแต่เมื่อไหร่ “มัวแต่เหม่ออะไรอยู่ กันต์เรียกตั้งนานก็ไม่ได้ยิน” “ป..เปล่า… นัญแค่คิดอะไรไปเรื่อยน่ะ” “แน่ใจนะว่าไม่มีอะไรจริงๆ กันต์ว่านัญดูเหมือนมีเรื่องอะไรในใจนะ มีอะไรอยากระบายรึเปล่า” ชนกันต์ ชายหนุ่มรูปร่างหน้าตาหล่อเหลาน่ามอง ผิวพรรณขาวผ่องราวกับเป็นผู้หญิง เพื่อนสนิทวัยมหาลัยของลัญชนา คนที่คอยตามติด ตามดูแล ตามเป็นห่วงเธออยู่เสมอ แล้วตอนนี้เองก็เช่นกัน แววตาที่เขามองเธอนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความเป็นห่วงเป็นไยอย่างเห็นได้ชัดจนลัญชนาหลุบยิ้ม “ไม่มีอะไรจริงๆน่ากันต์ ไม่เห็นต้องทำหน้าซีเรียสขนาดนั้นเลย นัญแค่เครียดเรื่องสอบนิดหน่อยเอง” ลัญชนาเลือกที่จะโกหกออกไป ที่จริงแล้วเรื่องสอบเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้นแหละ เรื่องที่วนอยู่ในความคิดเธอตั้งแต่เช้ามาคือเรื่อง เขา คนนั้นต่างหาก… ยิ่งรู้ว่าเขาจะกลับมา เธอยิ่งไม่อยากกลับบ้านไปเจอหน้าเขาเลยสักนิด… หลังจากเรื่องราวคืนนั้นแล้วคิเลียนก็หายหน้าหายตาไปตั้งสามปีเต็ม แล้ววันนี้อยู่ๆถ้าต้องเจอกันอีกครั้ง เธอไม่รู้ด้วยซํ้าว่าจะต้องทำตัวยังไง ไม่เกร็งตายเลยหรอ… ในเมื่อความสัมพันธุ์ระหว่างเธอกับเขา มันไม่เหมือน พี่ชาย และน้องสาว เฉกเช่นเดิมอีกต่อไปแล้ว เธอรู้ดีอยู่แก่ใจถึงรสสัมผัส ทั้งความรู้สึกในคืนนั้น… มันฝังลึกเกินกว่าสิ่งที่พี่น้องเขาทำกัน และเธอเองก็เชื่อว่าเขาเองก็รู้ดีอยู่แก่ใจเช่นกัน เพราะประโยคสุดท้ายที่เขากระซิบแผ่วปนเสียงหอบหายใจอยู่ตรงซอกคอขาวก่อนที่เธอจะหมดสติไป เธอยังจำมันได้ดี “ถ้าการเอาน้องสาวตัวเองมันผิด งั้นคืนนี้ขอฉันผิดจนสุดเลยก็แล้วกัน…”แกร๊ก… ในขณะที่คนตัวเล็กหลับไหลไปด้วยความเพลียจากการร้องไห้ เสียงประตูห้องก็ดังแผ่วเบา ร่างสูงย่างเท้าเข้ามาเงียบๆ แทบไร้เสียงฝีเท้า เขาอดใจไม่ไหวที่จะไม่มาหาเธอ โดยเฉพาะในวันที่เกิดเรื่องแบบนี้ เขายิ่งเป็นห่วงเธอจนต้องแอบหากุญแจมาเปิด แม้จะรู้ดีอยู่เต็มอกว่าไม่ควร… แต่สุดท้ายเขาก็ได้พาตัวเองมานั่งลงบนเตียงข้างๆคนตัวเล็กแล้ว แววตาสลดทอดมองใบหน้าขาวนวลไร้พิษภัย ดวงตาคู่สวยของเธอบวมช้ำจากการร้องไห้อย่างหนักเป็นเวลานับหลายชั่วโมง มือหนาค่อยๆเอื้อมขึ้นเกลี่ยเส้นผมที่ปรกหน้าเธอออกอย่างเบามือ สัมผัสนั้นเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและสำนึกผิด ก่อนที่สายตาคมจะเหลือบไปเห็นโทรศัพท์ซึ่งวางอยู่ข้างตัวคนหลับไหล หน้าจอยังขึ้นสถานะ ค้างสาย หัวใจดวงใหญ่กระตุกทันที มือหนารีบหยิบมันขึ้นมาดู ชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอ ‘ชนกันต์‘ ชื่อที่เขาจำได้แม่น ไอ้เด็กหน้าอ่อนที่เขาเคยเห็นแชทคุยกับลัญชนาอย่างสนิทสนม และยังจำได้แม่นว่าเคยเจอมันในงานวันเกิดเพื่อนคนตัวเล็กในผับคืนนั้น… เมื่อเห็นว่าทั้งคู่ค้างสายกันยาวนานถึงห้าชั่วโมง… ความหงุดหงิดและหึงหวงก็พวยพุ่งขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ มือหนากำโทรศัพท์แน่นจนข้อนิ้วขึ้นสีขาว ย
“เฮียขอโทษ…” เสียงทุ้มที่คุ้นเคยเอ่ยออกมาแผ่วเบา คล้ายคนที่ยังหาทางอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้เต็มปาก ลัญชนาได้แต่ยืนนิ่ง ไม่กล้าเงยหน้ามองเขา ความรู้สึกหลายอย่างตีกันอยู่ในอก หัวใจดวงน้อยที่ปวดตึบๆยิ่งเต้นแรงกว่าเดิม กับคำถามอีกมากมายที่แล่นเข้ามาในหัว ในเมื่อเขาเป็นคนทิ้งเธอไว้แบบนั้นตั้งแต่แรก แล้วทำไมตอนนี้ถึงต้องมาพูดเหมือนไม่ได้ตั้งใจ… ลัญชนากัดริมฝีปากแน่น ก่อนที่น้ำตาจะเอ่อล้น ทรยศความตั้งใจที่พยายามเก็บไว้นานนับชั่วโมง เธอหลับตา สูดหายใจเข้าลึกหนึ่งที ก่อนจะเปิดปากพูดด้วยน้ำเสียงที่พยายามกดไว้เพื่อให้ฟังดูนิ่งที่สุด “เฮียขอโทษนัญทำไมคะ นัญไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อยนี่คะ ปกติเฮียไม่อยู่… นัญก็กลับบ้านเองอยู่แล้ว ไม่เห็นต้องรู้สึกผิดเลยนี่คะ” เธอหันกลับมามองเขา สบตาแค่ครู่เดียวแล้วเบี่ยงหลบอีกครั้ง สายตาเขาทำให้ใจเธออ่อนแรงฮวบลงกว่าที่คิดไว้ “แต่เฮียผิด…” เขาตอบกลับทันที เสียงแผ่วและหนักใจ “เฮียคิดว่านัญกลับมาก่อนแล้ว… เฮียโทรหาตั้งหลายสาย แต่นัญไม่รับ นัญลองเช็กดูก็ได้…” คิเลียนพยายามอธิบายเสียงแผ่ว เขาไม่ได้อยากกล่าวแบบนั้นออกมาเลยสักนิดเพราะมันฟังดูเหมือนคำแก้ตัว แต่ก็อยา
“…นัญ” เสียงทุ้มต่ำเอ่ยชื่อเธอแผ่วเบา แววตาเขาฉายแววรู้สึกผิดอย่างชัดเจน แต่เธอเห็นมันแวบเดียว เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น เพราะสิ่งที่ฝังแน่นในหัวไม่ใช่แววตานั้น… มันคือภาพตรงหน้าที่ซัดเข้ามาเต็มแรง คนทั้งบ้านนั่งกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากัน เสียงหัวเราะอบอวลอยู่ในอากาศ ในขณะที่ตัวเองถูกทิ้งให้ยืนหิวอยู่กลางห้าง… เขาทิ้งเธอไว้ตรงนั้น เหมือนคนไร้ค่า แต่กลับพาแฟนกลับมากินข้าวที่บ้านอย่างอบอุ่น เธอคงโง่จริงๆสินะ ที่คิดว่าเขาห่วง เธอคงหลอกตัวเองมาตลอดว่าตัวเองเป็นคนสำคัญ ทั้งที่จริงแล้วเธอมันก็แค่ตัวแก้เหงาเวลาแฟนเขาไม่อยู่ ดวงตาคู่สวยเริ่มพร่าอีกครั้ง น้ำตาที่เพิ่งหยุดไหลก็จวนเจียนจะไหลซ้ำ แค่คิดก็เจ็บจนใจสั่น ริมฝีปากเล็กสั่นระริกอย่างห้ามไม่อยู่ ลัญชนายืนนิ่ง เหมือนลืมหายใจ ดั่งกับคนที่จมอยู่ในบ่อโคลนของความเจ็บปวดจนสติหลุดออกจากตัว “นัญ—” เสียงทุ้มของคิเลียนเรียกอีกครั้ง เหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่… “อ้าว น้องนัญเพิ่งกลับมาหรอคะ” เสียงแหลมหวานแทรกขึ้นอย่างพอดิบพอดี เพนน่าเหยียดยิ้มหวานแบบที่หล่อนถนัด “พี่กับคิลต้องรีบกลับก่อน กลัวของที่ซื้อให้คุณน้าจะเสีย น้องนัญคงไม่โกรธใช่มั้
เสียงเครื่องยนต์ดับลงหน้าคฤหาสน์หรู สองหนุ่มสาวที่นั่งเคียงกันมาตลอดทางค่อยๆก้าวลงจากรถก่อนจะเดินเคียงแขนเข้าไปภายในตัวบ้านอย่างสนิทสนม “คุณน้า คุณอา สวัสดีค่ะ” เพนน่าเอ่ยเสียงหวานพลางยกมือไหว้ผู้ใหญ่สองคนที่นั่งเล่นอยู่ภายในห้องนั่งเล่นอย่างนอบน้อม ใบหน้าที่แต่งแต้มเครื่องสำอางประดับด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน ดูน่าประทับใจไม่มีที่ติ อดิศักดิ์รับไหว้ด้วยท่าทีสุขุม เฉยเมยอย่างคนไม่ถนัดแสดงออก เพียงพยักหน้ารับเบาๆโดยไม่ได้เอ่ยอะไรอีก แต่คุณหญิงกลยาณีกลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง เพียงเห็นหน้าเพนน่าก็แทบจะวิ่งเข้ามากอดแน่นด้วยท่าทีดีใจตื่นเต้นจนเว่อร์วัง “ว้าย หนูเพนน่า~ คิดถึงจังเลยลูก ไม่ค่อยมาหาน้าเลยนะ” “เพนเพิ่งว่างเลยค่ะคุณน้า วันนี้เลยรีบแวะมาหาค่ะ เพนมีของฝากมาด้วยนะคะ เป็นของสุขภาพทั้งนั้นเลยค่ะ” หญิงสาวยิ้มหวานพร้อมยื่นถุงของขวัญให้ด้วยท่าทีเอาอกเอาใจอย่างกับไปเทรนที่ไหนมา “ไม่ต้องลำบากเลยลูก ครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น มาตัวเปล่าก็ยังน่ารักอยู่ดี” เสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นเมื่อทั้งสองพูดคุยกันอย่างคุ้นเคย ราวกับผูกพันกันมานานนับปี บรรยากาศภายในตัวบ้านดูอบอุ่นสำหรับทุกคน แต่ยกเว้นอยู
“เพนมานี่ได้ยังไง?” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นทันทีด้วยความประหลาดใจ เมื่อไม่คาดคิดว่าจะเจอเพนน่าในสถานที่แห่งนี้ “เพนแค่แวะมาเดินช็อปปิ้งเล่นๆค่ะ อยู่บ้านเบื่อๆเลยออกมาหาอะไรทำแก้เหงา แล้วนี่คิลพาน้องมาซื้อของหรอคะ? ไม่เห็นชวนกันเลย…” เพนน่าเอ่ยพลางเบียดตัวเข้าหา กอดลำแขนหนาแน่นขึ้น แสร้งทำเสียงงอนๆน้อยใจปลายประโยค พยายามแสดงความเป็นเจ้าของอย่างโจ่งแจ้ง คิเลียนเหลือบตามองเธอ ก่อนจะถอนหายใจเล็กน้อย “อืม…ผมพานัญมาเดินซื้อของน่ะ คิดว่าคุณไม่ว่าง ก็เลยไม่ได้ชวน ไว้คราวหน้าแล้วกันนะครับ” เขาตอบเสียงเรียบ แม้ถ้อยคำจะฟังดูนุ่มนวลสุภาพ แต่เนื้อในกลับห่างไกลจากคำว่าใส่ใจ นำพาเพนน่าเม้มปากนิดๆ ก่อนจะฉีกยิ้มอีกครั้งเหมือนไม่มีทางยอมแพ้ “งั้นไหนๆก็มาแล้ว คิลไปเลือกเสื้อผ้าร้านนั้นกับเพนหน่อยสิคะ ให้น้องนัญรอแถวนี้ก่อน ได้ไหมคะน้องนัญ?” เธอพูดเสียงอ้อน แนบใบหน้าลงกับต้นแขนเขาทำตัวน่ารักเอาใจแฟนหนุ่มสุดฤทธิ์ ก่อนจะค่อยๆหันมาพูดกับลัญชนาด้วยรอยยิ้มที่ดูเหมือนเป็นมิตรแต่เจือความจงใจอย่างชัดเจน สายตาคิเลียนหันกลับมามองหน้าน้องสาวอย่างลังเล ขณะที่ลัญชนาที่ดูเหมือนจะยืนเหม่ออยู่ รีบเรียกสติตัวเองกลับมา
“โรคจิต!” ลัญชนาพึมพำเบาๆกับตัวเองหน้ากระจก พลางมองเงาสะท้อนตัวเองอย่างหงุดหงิดแกมเขิน ขณะที่ยังวนกับการเตรียมล้างหน้าอยู่ เสียงคิเลียนก็ดังแทรกผ่านเข้ามาอีกครั้ง ก่อนจะตามมาด้วยหัวของเจ้าตัวที่โผล่มาจากบานประตู “ทำเป็นบ่นไปได้น่า ทำอย่างกับฉันไม่เคยเห็นเรือนร่างเธอหมดแล้วงั้นแหละ แล้วเมื่อคืนฉันก็เป็นคนถอด… ก็ต้องรับผิดชอบใส่คืนให้สิ ผิดตรงไหน” เขาพูดพร้อมรอยยิ้มกวนประสาท เล่นเอาคนฟังหันขวับกลับมาแทบไม่ทัน “เฮีย!!!” ลัญชนาตะโกนเสียงหลง ดวงตาวาววับด้วยความโมโหผสมความอาย “อะไรล่ะ คนอุตส่าห์เป็นห่วง กลัวว่านัญน้อยจะบวมจนยืนไม่ได้เลยกลับมาดูเลยนะ” น้ำเสียงที่ฟังดูห่วงใยแต่คำพูดกลับทำให้เลือดขึ้นหน้า ทำเอาคนฟังถึงกับปาระเบิดทันที ไอ้เฮียบ้า!! ปัก! ขวดโฟมล้างหน้าลอยเข้าใส่บานประตูเสียงดังจนอีกฝ่ายรีบหลบแทบไม่ทัน “ดุชะมัด ไปก็ได้!” เสียงหัวเราะแว่วๆจากอีกฝั่งประตูดังตามมา กวนประสาทฉิบหายเลย! “ไปเลยนะ!!” ลัญชนาตะโกนไล่หลังเสียงลั่น พลางรีบสาวเท้าไปปิดประตูเสียงดัง ปัง! แต่พอบานประตูปิดสนิทลงเท่านั้นแหละ… เงาร่างของเธอก็เอนแผ่นหลังแนบลงกับบานประตูเบาๆ หัวใจในอกกลับเต้นแรงต
ความคิดเห็น