ตั้งแต่เกิดกระทั่งจำความได้ จินซิงซิน รับรู้แค่ว่านางเป็นเพียงบุตรสาวกำพร้าของพ่อค้าตระกูลใหญ่ ชั่วชีวิตน้อยๆ มีเพียงท่านยาย พี่สาวต่างมารดาเท่านั้นที่คอยห่วงใย จนกระทั่งได้เจอกับ หลี่หลานหมิง ผู้มีสมญานามว่าอ๋องพยัคฆ์ที่ผู้คนโจษขานกันว่าโหดร้ายยิ่งนัก สังหารผู้คนเป็นผักปลา แสนเย็นชาดั่งน้ำค้างแข็งจนมิอาจมีผู้ใดใต้หล้าหาญกล้าต่อกร ทั้งสองต้องแต่งงานกันตามบัญชาของโอรสสวรรค์ท่ามกลางอุปสรรคมากมาย หลี่หลานหมิงจะทำเช่นใดในเมื่อสตรีที่ร่วมหัวจมท้ายด้วยอย่างชายากระต่ายน้อยกลับเติบโตเพียงแค่ร่างกาย ส่วนสภาพจิตใจนั้นอ่อนด้อยราวกับเด็กน้อยก็ไม่ปาน... หลี่หลานหมิงที่รู้สึกตัวและพลิกตัวจากอาการเมื่อยขบแต่พบว่าไม่สามารถทำได้ แค่บิดตัวเล็กน้อยก็รู้สึกร่างกายแข็งค้างราวกับไร้เรี่ยวแรง ไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน... ที่แท้เพราะเมื่อคืนเขาถูกกระต่ายหลงทางกอดก่ายเอาเป็นสมบัติตนจนกระดิกไปไหนไม่ได้ นางคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน! น่าโมโหนัก! “นี่เจ้า! ข้ามิใช่ตุ้งตุ้งของเจ้า ปล่อย!” หลี่หลานหมิงคำรามแต่ดูเหมือนอีกฝ่ายไร้ซึ่งความรับรู้ใดๆ “ซิงซินยังไม่อยากตื่นเลย...ท่านยาย” ดี... ดีแท้!
더 보기“ได้ยินว่าอีกไม่นานจะมีงานมงคลใหญ่ เจ้ารู้หรือไม่”
“งานมงคล?”
“เป็นเช่นนั้น”
“คุณชายคุณหนูตระกูลไหนหรือ”
ชายหน้าเหลี่ยมผิวดำแดง กรามนูนเด่นชัด แววตาล่อกแล่กเหลือบมองผู้คนบนโรงเตี๊ยมเห็นว่ามิมีผู้ใดสนใจใครก็กระตุกยิ้มเจ้าเล่ห์บอก “เรื่องมงคลเช่นนี้ เห็นแก่เจ้าที่เป็นเพื่อนข้าหรอกนะ”
ชายที่ถูกยกยอจนใจฟูจึงกระตือรือร้นเอียงหูไปใกล้ไม่วายถาม “เช่นนั้นเล่ามาเถิด... พี่ชาย”
คนถูกเรียกพี่ชายลอบยิ้มก่อนป้องปากกระซิบ “แต่หน้าต่างมีหู ประตูมีตา ข้าเกรงว่าเจ้าจะ...”
“หากกลัวข้าเอาไปพูดต่อ คราวหน้าก็อย่าเอามาเล่าให้ข้าฟัง... เหอะ!” ชายร่างอ้วนเอ่ยวาจาฉุนเฉียว วงหน้ากลมดุจลูกพุทธาเริ่มออกสีแดงก่ำเพราะอากาศร้อนจนพานหงุดหงิดอีกทั้งไม่ได้คำตอบที่คาใจเพราะคนที่บอกว่าเพื่อนทำราวกับไม่เชื่อกัน มืออวบอ้วนกระแทกจอกสุราลงบนโต๊ะก่อนโยนเศษเงินลงบนโต๊ะทันที
“ใจเย็นก่อน เรื่องนี้เด็ดจริงๆ นา”
“หากเป็นเช่นนี้ก็ไม่ต้องเล่าแล้ว ข้ามิได้อยากรู้”
ชายหน้าเหลี่ยมดวงตาโหลลึกหนวดเคราเป็นระเบียบที่เพิ่งถูกเอ็ดอึงใส่ส่งแววตาเจ้าเล่ห์ไปยังชายหนุ่มชุดสีดำสนิทสวมหมวกปีกกว้างครอบทับผ้าบางสีดำนั่งอยู่ถัดไปไม่ไกลก่อนจะกระตุกยิ้มพึงพอใจ เมื่ออีกฝ่ายพยักหน้าให้จึงเอนตัวเข้าหาคู่สนทนาครานี้ร่ายยาว
“หา!”
“เป็นเรื่องจริง”
“สมรสพระราชทานระหว่างอ๋องสี่หลี่หลานหมิงผู้เย็นชากับคุณหนูตระกูลจินนะรึ” ชายร่างอ้วนถามกลับไม่พอยังตาเบิกกว้างคล้ายเชื่อคล้ายไม่เชื่อละล่ำละลักถามต่อ “คนไหนล่ะ คนพี่หรือคนน้อง”
“ว่ากันตามธรรมเนียมก็ต้องคนพี่ เพราะว่าหากเป็นคนน้องล่ะก็... หึหึ” หยุดคำพูดไว้เท่านั้นทำให้อีกฝ่ายสนใจทันใด “ช่างเถอะๆ อีกไม่นานเกินรอ”
“เช่นนั้นก็เล่าให้ข้าฟังบ้าง“
เมื่อทุกอย่างสมดังความตั้งใจ เรื่องราวจึงพร่างพรูออกมาจากริมฝีปากของคนเปิดประเด็น ส่วนคนฟังเก็บรายละเอียดทุกอย่างดังที่ต้องการก่อนเอ่ย “เรื่องทั้งหมดก็เป็นเช่นนี้ เชื่อได้หรือไม่สุดแท้แต่เจ้า ข้าเพียงได้ยินข่าวลือมาเท่านั้น”
“ไม่ว่าจะจริงหรือเท็จล้วนเป็นเรื่องดี เป็นเรื่องดี ครานี้เห็นทีข้าต้องประกาศข่าวงานมงคลนี้ให้รู้ทั่วกัน”
ชายร่างอ้วนผู้ล่วงรู้ความลับของราชสำนักเก็บอาการลิงโลดไว้ไม่มิด มืออวบๆ โบกพัดไล่ความร้อนไปมา ไม่รู้ว่าใจหรือกายสิ่งใดร้อนกว่า ครั้นจะเอ่ยคำพูดต่อก็กลับเป็นว่าอีกฝ่ายหันหลังเดินลงบันไดไปเสียแล้วจึงได้แต่มองตามหลังชายร่างสูงในชุดเทาเข้มที่เพิ่งบอกข่าวให้เขาเมื่อครู่ไปอย่างนอบน้อมแม้อีกฝ่ายจะไม่มีตาหลังมองเห็น
แต่หากจะเป็นเช่นนั้นได้...
เขาก็คงรู้ว่าคำพูดทั้งหมดที่ตั้งจะถูกถ่ายทอดออกไปสู่สาธารณะชนสมดังตั้งใจในไม่ช้า..
ชายชุดดำสวมหมวกปีกกว้างวางเศษเงินลงบนโต๊ะ ดวงหน้าเสี้ยมเผยรอยยิ้มมุมปากที่มองแทบไม่ออกว่ามันคือรอยยิ้มชนิดใดกันแน่ เขาหยิบกระบี่ขึ้นมาอย่างใจเย็นกระทั่งเดินลงบันไดโรงเตี๊ยมไปอีกทาง ในใจครุ่นคิดถึงแต่คนที่แสนชิงชังคิดหวังไว้ให้คนผู้นี้ต้องเจ็บช้ำจากการกระทำที่เคยทำไว้เมื่อนานมาแล้ว
หลี่หลานหมิง...
เจ้าคนจองหองอวดดี เป็นแค่อ๋องปลายแถวยังกล้ากำแหง!
เห็นทีความสว่างไสวหยิ่งยโสโอหังเยี่ยงพยัคฆ์ของเจ้าจะต้องถูกดับด้วยความโกลาหลจนแทบไม่เป็นอันทำอะไรแทบเท้าข้า!
หนึ่งเดือนต่อมา...
ท่าน้ำทิศตะวันออกเฉียงเหนือเมืองฉู่ ยามอิ๋ว
ก่อนตะวันลับลาแสง หนทางมุ่งสู่ประตูเมืองแน่นขนัดไปด้วยผู้คนมากหน้าเดินสวนไปมาจับจ่ายซื้อของเต็มไม้เต็มมือ ดรุณีงามในชุดไหมจีนอ่อนชมพูบางพลิ้ววางหวีไม้ประดับลายดอกไม้ด้วยมุกเล็กสีขาวปนชมพูลงที่เดิมเพราะร่างเตี้ยผอมเพรียวในชุดสีแสดที่วิ่งเข้ามาดึงดูดความสนใจของนางไปก่อน
“คุณหนูรีบกลับกันได้แล้วเจ้าค่ะ ใกล้มืดค่ำแล้วนายท่านจะดุเอา”
“ช้าก่อนเถอะอาติง ข้ายังดูของที่ต้องการไม่หมดเลย” เสียงหวานกังวานออกจากริมฝีปากแย้มยิ้มแต่สีหน้ากลับบ่งบอกความขุ่นเคืองที่ถูกขัดใจ แต่ถึงอย่างไรดวงหน้าแช่มช้อยก็ยังคงงดงามอยู่ดี
“แต่ฮูหยินบอกว่าวันนี้จะมี...”
“ช่างเถอะๆ ข้ากลับไปค่อยแก้ตัวกับท่านแม่ก็ได้”
“คุณหนูใหญ่” สาวใช้ได้แต่อิดออดแต่มิอาจขัดความตั้งใจของผู้เป็นนายได้
จินฮุ่ยอิงละสายตาจากสาวใช้กลับมายังเป้าหมายที่มองไว้ก่อนหน้า รีบเดินเข้าไปด้านในร้านที่ลมพัดพลิ้วสีสันของเนื้อผ้าบางเบาเป็นที่ต้องใจ อึดใจต่อมาจึงปรากฏร่างสูงกำยำของบุรุษผู้หนึ่งเดินตามเข้าไป
“อาติง เจ้าดูสิว่าชิ้นนี้เหมาะกับซิงซินของข้าหรือไม่” นางเอ่ยถาม ครั้นไร้เสียงตอบรับจึงหันไปหา “ข้าถามว่า... อ๊ะ!”
“แม่นางผู้นี้คือ...”
“จินฮุ่ยอิง”
นางเผลอตอบเสียงอ่อนหวานโดยไม่รู้ตัว แม้กระนั้นก็มิอาจขัดขืนเมื่อเขารั้งนางไว้จากด้านหลัง กระทั่งอีกฝ่ายปล่อยมือจินฮุ่ยอิงจึงพลิกตัวหันกลับมาเผชิญหน้าจึงพบคนผู้นี้ส่งยิ้มบาดใจมาอีกครา
“ยินดีที่ได้พบแม่นางจิน เจ้าช่างงดงามอย่างที่ข้ามิเคยพานพบผู้ใดในเมืองฉู่เสมอเหมือน”
“คุณชายกล่าวเกินไปแล้ว ข้าขอตัว”
จินฮุ่ยอิงผละออกมาไม่พูดพร่ำทำเพลง นางตระหนกแทบสิ้นสติเมื่อพบว่าคนผู้นี้มิใช่เสี่ยวติงบ่าวประจำตัวแต่กลับเป็นบุรุษหนุ่มรูปงามไปแทนเสียได้
สวนไม้ดอกที่เคยออกดอกสะพรั่งบัดนี้ขาวโพลนไปด้วยหิมะ สวนไผ่แนวต้นไม้ใหญ่ถูกประดับประดาด้วยละอองสีขาวราวกับปุยเมฆ ทั่วบริเวณตำหนักเหมันต์หนาวเหน็บจับใจ หลี่หลานหมิงยืนพิงหน้าต่างจิบสุราอย่างเงียบเหงาเฝ้าคอยร่างบอบบางที่ยังคงนอนหลับคุดคู้อยู่ให้กลับฟื้นคืนสติ “เจ็บจัง... ซิงซินเจ็บ...”เสียงโอดเบาๆ กับเสียงขยับตัวพลิกไปมาบนเตียงทำให้หลี่หลานหมิงถึงกับสะดุ้งวางจอกสุราลงบนโต๊ะก่อนจะเดินไปหาร่างที่นอนกระสับกระส่ายไปมาบนเตียงด้วยความห่วงใย แผลใหญ่น้อยที่ทำความสะอาดให้เมื่อคืนคงสร้างความเจ็บร้าวให้นางไม่น้อย “เจ็บมากหรือ” “เจ็บ เจ็บมาก... ยายจ๋า ซิงซินเจ็บ” “อดทนหน่อยนะ” “ปลอบหน่อย”จินซิงซินยกมือไขว่คว้าอากาศ หลี่หลานหมิงจึงรวบสองมือน้อยเอาไว้ก่อนจะนั่งลงบนเตียงอังหลังมือกับหน้าผากนวลเนียนของนางแล้วสีหน้าดีขึ้นเล็กน้อย“ดีกว่าเมื่อกลางวันแล้ว ข้าให้คนไปรับท่านยายของเจ้ากับสาวใช้มาให้แล้ว อดทนหน่อยนะกระต่ายน้อย” “อือ... อือ...”จินซิงซินพยักหน้ารับแต่ไม่ลืมตาราวกับคำพูดที่ผ่านมาออกมาจากส่วนลึกในใจ มีเพียงเปลือกตาที่กะพริบเล็กน้อย
“เจ้ามาไกลเกินกว่าข้าจะปล่อย ตั้งแต่ที่ตกลงตามข้ามาแล้ว... กระต่ายน้อย”“ข้ามิได้จะตามคนใจร้าย ข้าแค่อยากอยู่กับตุ้งตุ้ง”“เช่นนั้นก็ต้องมาอยู่กับข้าถูกแล้ว เพราะข้าเป็นนายตุ้งตุ้งของเจ้า” หลี่หลานหมิงพูดจบก็กระตุกยิ้มทันทีที่จินซิงซินงันไปไร้แรงต้านทาน อย่างน้อยนางก็คงคิดไม่ทันคำพูดของเขาแต่ทว่า..“หากเป็นเช่นนั้นก็เอาตุ้งตุ้งมาให้ข้าสิ”“รถม้ามิใช่กรงกักขังสัตว์จะได้เอามันมาให้เจ้า” “ฮึ! คนใจร้าย” จินซิงซินไม่ฟังไม่พอยังดิ้นรนจะหลุดให้พ้นจากเงื้อมมือของเขาให้ได้ “กระต่ายน้อยเจ้าหยุดดิ้นรนก่อน” หลี่หลานหมิงอาศัยเสียงดุเข้าข่มแต่กว่าจะรู้ตัวก็รวบร่างอรชรไว้เต็มอ้อมแขนเสียแล้วกลิ่นหอมอ่อนจางที่รายล้อมอยู่รอบตัวนางนี้คือกลิ่นอันคุ้นเคยที่ตรึงใจอย่างน่าประหลาดเมื่อครั้งแรกพบนางเมื่อครานั้น หลี่หลานหมิงจมอยู่กับความคิดคำนึงแค่ครู่เดียวก็ต้องสะดุ้งรู้สึกเจ็บแปลบที่แขนทันใด “นี่เจ้า! เจ้านี่มัน!” จินซิงซินสะบัดตัวออกทันทีหลังจากกัดแขนหลี่หลานหมิงจนจมเขี้ยว โลหิตซึมออกมาจากผิวหนังตามแรงกดของฟันที่เห็นเด่นชัด หลี่หลานหมิงถึงคราสติขาดเพราะดรุณีน้อยพยศเห
“ได้หรือขอรับ”“ได้สิ แค่พาท่านยายไปจากที่นี่” จินฮุ่ยอิงกระซิบแต่เห็นสีหน้างุนงงของทั้งสอง นางจึงเอ่ยย้ำ “พานางไปหาซิงซินที่ตำหนักเหมันต์ แล้วถามหาคนชื่อหวังเฉาเสี่ยน เขาจะช่วยเจ้า” เขาสูงเสียดฟ้า เมฆาเคลื่อนบดบังจันทรา เสียงหวีดล้อลมของแนวไผ่พาให้ความรู้สึกของคนมองยิ่งอ้างว้างกว่าเดิมหลี่หลานหมิงยืนมองบรรยากาศหนาวเย็นเงียบสงบรอบตำหนักเหมันต์จากนอกชานด้วยแววตาหม่นหมองนานเพียงใดแล้วที่มิได้มาเยือนสถานที่แห่งนี้นับตั้งแต่สูญเสียมารดา ณ.ที่แห่งนี้เป็นความทรงจำครั้งยังเด็กระหว่างเขากับพี่ชายซึ่งบัดนี้กลายเป็นฮ่องเต้ต้าหลี่ผู้ยิ่งใหญ่ที่เขามิอาจเทียบเทียมบารมี“เกือบสิบปีแล้วสินะ ท่านแม่อยู่บนสวรรค์สุขสบายดีหรือไม่”“ทรงคิดถึงไทเฮาหรือพ่ะย่ะค่ะ”หลี่หลานหมิงชะงักหันกลับมาตามเสียงก็พบว่ามิใช่ใครอื่นนอกจากสหายคู่ใจของเขาเองที่บัดนี้หน้าตามอมแมมผิดไปจากที่เคยสุขุมสะอาดสะอ้านราวกับเป็นคนละคน“พวกเจ้าทำสวนกระต่ายเสร็จแล้วหรือ”“เรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ” หวังเฉาเสี่ยนค้อมศีรษะตอบผู้เป็นนายขณะยืนเยื้องลงมาตรงทางเดินด้านล่าง“สมกับที่เป็นเจ้า ทำได้ดี” หลี่หลานหมิงว่าพลางปรายตามองไปด้า
“ท่านแม่อย่าต่อว่าท่านยายให้อับอายบ่าวไพร่เลย ข้าขอร้อง” จินฮุ่ยอิงที่เข้าห้ามปรามกลับถูกมารดาผลักออกนอกวงด้วยความโมโห“ได้ เช่นนั้นเจ้าก็ออกมาให้ข้าชำระความเสียดีๆ” จินฮูหยินประกาศกร้าวก่อนจะเรียกบ่าวทั้งสองที่รีรออยู่ด้านนอกด้วยท่าทีหวาดหวั่นเข้ามาไม่นานเหยียนหลิวก็ถูกนำตัวมาสอบสวนที่โถงกลางด้วยสภาพสะบักสะบอมต่อหน้าจินฮูหยินที่ยืนหน้าตาถมึงทึงในมือถือแส้ยาวตวัดไปมากับพื้นด้วยแรงอารมณ์โกรธประทุกรุ่น...เพียงแค่ปลายแส้ตวัดครั้งเดียว เหยียนหลิวก็เป็นลมล้มพับลงไปกองกับพื้นทันทีจินฮูหยินแสยะยิ้มก้มมองแม่ครัวเก่าแก่ด้วยความสมเพชก่อนหันไปกวักมือเรียกสาวใช้ประจำตัวที่ถือถาดชารีรออยู่แล้วออกคำสั่ง “เอามานี่”“บ่าวรินให้ฮูหยินเองเจ้าค่ะ” “ไม่ต้อง!”“แต่ว่า...”“ข้าบอกให้เอามานี่”ไม่พูดพร่ำทำเพลง นางคว้ากาชาควันกรุ่นเทรดลงไปบนร่างอ่อนระโหยทันที“โอ๊ย! อย่าทำข้าเลย ข้าไม่รู้!” เหยียนหลิวร้องโหยหวน กายที่เต็มไปด้วยบาดแผลจากการถูกทำร้ายดิ้นทุรนทุรายเป็นที่น่าเวทนาจินฮูหยินหรี่ตามองไม่รู้ร้อนหนาว ทั้งยังเยาะเย้ยเมื่อนางเงยหน้าขึ้นสบด้วยแววตาโกรธขึ้ง “ทำไม! จะทำอะไรข้ารึ”“ท่านอำมห
ยามซวี[1]เหยียนหลิวลูบคลำหมอนบนที่นอนด้วยความอาวรณ์จินซิงซินที่ถูกลักพาตัวไปจากบ้านตั้งแต่ยามสายตั้งแต่เหยาฮูหยินจากไปก็มีแต่นางที่เลี้ยงดูอุ้มชูคุณหนูตัวน้อยมาตลอด ไม่เคยมีสักวันที่ไปไกลหูไกลตา แต่ครานี้ต้องยอมปล่อยไปเพราะเห็นแก่ความสุขในภายภาคหน้าคุณหนูของนางไม่ควรต้องมาอยู่ในที่แห่งนี้เหยียนหลิวเหลียวมองรอบห้องโกโรโกโสที่ยังคงหลงเหลือกลิ่นอายหอมจางจากต้นเหมยที่ออกดอกบานสะพรั่งอยู่นอกหน้าต่าง ดอกเหมยคงเปรียบได้กับคุณหนูจินซิงซินที่แม้บริสุทธิ์งดงามแต่ภายนอกกลับไร้จริตจกร้านตรึงตาตรึงใจ มีเพียงหัวใจเท่านั้นที่จะสัมผัสถึงความหวานหอมแสนประหลาดของดอกไม้ชนิดนี้ได้หวังว่าคนผู้นั้นจะได้เห็นถึงสิ่งนี้...“ขอให้ดอกเหมยน้อยของยายได้ไปอยู่ในที่ดีๆ ขอให้ฮูหยินปกป้องคุ้มครองคุณหนู ให้เขารักและเอ็นดูอย่าได้รังเกียจคุณหนูที่แสนอ่อนโยนของยายเลย”นางรู้ดีว่าคุณหนูไม่ปกติ คนผู้นั้นอาจจะยังไม่รู้จึงได้ต้องการคุณหนูเพราะเห็นแก่ความงดงาม หากเขารู้เข้าจะเกลียดคุณหนูหรือไม่เป็นสิ่งที่ยากจะคาดเดาเหยียนหลิวยกแขนเสื้อขึ้นซับน้ำตาที่เริ่มคลอไม่ให้ไหลลงมาตอกย้ำความเศร้าใจ นางจะหนีหน้าจินฮูหยินไปได้สักกี่
“อืม...” หม่าชิงเทียนมองไปรอบๆ ก่อนพยักหน้าตอบ “ใกล้ค่ำแล้วเดินทางต่อเห็นทีไม่เป็นการดี แต่ว่าเจ้าพวกนั้นเล่า...”หวังเฉาเสี่ยนมองตามสายตาสหายคู่ใจจึงได้เห็นว่าปัญหาที่อีกฝ่ายมองไม่ต่างจากเขา เพราะกระต่ายป่าหลายสิบชีวิตที่กระโดดโลดเต้นไปมาอยู่ในกรงนั้นอาจเป็นปัญหาไม่น้อย“หวังว่าแม่นางซิงซินคงไม่แผลงฤทธิ์อีก”ขุนพลหน้าหยกผู้เงียบขรึมสีหน้ายุ่งยากขึ้นมาทันใด เขายังไม่ลืมว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้นบ้างกับนางจึงได้ถูกท่านอ๋องจับขังอยู่ในกรงนั้น หม่าชิงเทียนมองกรงกระต่ายพลางหันกลับมามองสีหน้ากระอักกระอ่วนของสหายจึงหลุดหัวเราะออกมาทันใด“เจ้าเกรงว่านางจะร้องไห้งอแงกับท่านอ๋องอีกรึ”“หรือเจ้าไม่คิดเหมือนข้า” หวังเฉาเสี่ยนเอ่ยขณะก้าวลงจากรถม้าหยุดรีรอสหายคู่ใจกระโดดลงตามมาสมทบ สองหนุ่มต่างสีหน้า คนเงียบขรึมยิ่งเคร่งเครียดขณะที่อีกคนกลับหัวเราะเห็นเป็นเรื่องขบขัน“ข้าเชื่อว่าท่านอ๋องสามารถรับมือกับนางได้”“แต่ข้าไม่เชื่อ” คนเงียบขรึมพึมพำเบาๆ “แล้วดูกระต่ายพวกนั้นสิ จะเอาไปไว้ที่ใดกัน”“ก็ปล่อยไว้ที่นี่ล่ะ”“เหอะ เกรงว่าแม่นางกระต่ายน้อยจะมิยินยอมมากกว่า” หวังเฉาเสี่ยนส่ายหน้าคิดถึงความยุ่งยากทั้งเ
댓글