เถ้าธุลีในกาลก่อน มอบโอกาสหวนคืน... จากมารดาเลี้ยงผู้ร้ายกาจในความทรงจำอันเลือนราง สู่มารดาผู้หมายมั่นที่อยากจะแก้ไขชะตาที่ผิดพลาด เมื่อสายลมของอดีตพัดหวน เหออวี้หลัน จะถักทอสายใยรักครั้งใหม่ให้มั่นคง หรือจะปล่อยให้กงล้อโชคชะตาซ้ำรอยเดิมอันปวดร้าว?
ดูเพิ่มเติมความรู้สึกตัวค่อยๆหวนคืนสู่ร่างที่เคยเหน็บหนาวและว่างเปล่า ราวกับฟื้นจากฝันร้ายที่ยาวนาน เปลือกตาหนักอึ้งค่อยๆปรือเปิดขึ้น แสงสว่างนวลตาที่ลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาทำให้เหออวี้หลันต้องหยีตาลงเล็กน้อย กลิ่นหอมอ่อนๆของกำยานชั้นดีลอยอวลอยู่ในอากาศ กลิ่นที่นางห่างหายไปนานเหลือเกิน
นี่ข้า... ยังไม่ตาย?
ความคิดแรกผุดขึ้นในห้วงคำนึง ความทรงจำสุดท้ายคือความเยียบเย็นจับขั้วหัวใจในเรือนพักท้ายจวนอันผุพัง เสียงลมหวีดหวิวคล้ายเสียงคร่ำครวญของวิญญาณโดดเดี่ยว และภาพเลือนรางของเงาร่างสูงสง่าที่หันหลังให้... เงาของบุรุษที่นางเคยเรียกว่าสามี
นางพยายามยันกายลุกขึ้น ความเจ็บปวดรวดร้าวที่ควรจะกัดกินทุกอณูในร่างกลับเลือนหายไปสิ้น มีเพียงความอ่อนเพลียเล็กน้อยเท่านั้น นางกวาดสายตามองไปรอบกายอย่างเชื่องช้า แล้วหัวใจก็พลันกระตุกวูบ!
นี่มัน... เรือนอวี้ฮั่น! เรือนนอนของนางในจวนแม่ทัพจวินเหยียนซี!
ฉากกั้นปักลายหงส์คู่มังกรทองที่นางเคยสั่งให้คนยกออกไปเพราะเห็นว่ามันบดบังทิวทัศน์ โต๊ะเครื่องแป้งไม้จันทน์หอมสลักลายบุปผาที่นางเคยปัดเครื่องประทินโฉมลงแตกกระจายด้วยโทสะ แจกันกระเบื้องเคลือบสีน้ำทะเลที่นางเคยใช้ขว้างปาใส่บ่าวไพร่... ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงตั้งอยู่ที่เดิม ดูงดงาม ประณีต และเป็นพยานความร้ายกาจของนางในอดีต!
เป็นไปไม่ได้! เหออวี้หลันยกมือขึ้นกุมขมับ สัมผัสได้ถึงผิวเนื้อนุ่มเนียน ปราศจากริ้วรอยแห่งวัยและความทุกข์ตรม ผมดำขลับยาวสลวย...
นี่มัน... ร่างกายของนางเมื่อสิบกว่าปีก่อน!
"นายหญิง ท่านฟื้นแล้วหรือเจ้าคะ?" เสียงหวานใสอันคุ้นเคยดังขึ้นข้างเตียง ชุนเถา สาวใช้คนสนิทที่ติดตามนางมาจากบ้านเดิม กำลังประคองอ่างน้ำทองเหลืองเข้ามาด้วยท่าทีนอบน้อม ใบหน้าอ่อนเยาว์นั้นยังไม่มีริ้วรอยความเหนื่อยหน่ายและหวาดกลัวเช่นในความทรงจำสุดท้ายของนาง
"ชุนเถา" เสียงของเหออวี้หลันแหบพร่าเล็กน้อย นางกลืนน้ำลายฝืดคอ พยายามรวบรวมสติ "ตอนนี้... ปีอะไร เดือนอะไร?"
ชุนเถาชะงักไปครู่หนึ่ง ดวงตากลมโตมองนายหญิงด้วยความฉงนสนเท่ห์ "นายหญิง ท่านเป็นอะไรไปเจ้าคะ? หรือว่ายังไม่สร่างไข้ดี? วันนี้คือวันที่สิบห้า เดือนเจ็ด ปีเทียนฉีที่สิบเจ็ดอย่างไรเล่าเจ้าคะ ท่านเพิ่งจะหายประชวรได้ไม่กี่วันเองนะเจ้าคะ"
ปีเทียนฉีที่สิบเจ็ด... เดือนเจ็ด...
ราวกับถูกสายฟ้าฟาดใส่กลางร่าง! เหออวี้หลันจำได้อย่างแม่นยำ ปีนั้นนางเพิ่งแต่งเข้าจวนสกุลจวินได้เพียงสามเดือน! และเป็นสามเดือนที่นางเริ่มเผยธาตุแท้ที่น่ารังเกียจออกมา สามเดือนที่นางเริ่มสร้างรอยร้าวในครอบครัวแห่งนี้!
นาง... ย้อนเวลากลับมาจริงๆ! สวรรค์! นี่ท่านมอบโอกาสให้นางจริงๆหรือ?
ยังไม่ทันที่นางจะได้เรียบเรียงความคิด ประตูห้องก็ถูกผลักเปิดเข้ามาอย่างแผ่วเบา เงาร่างเล็กๆ สองร่างปรากฏขึ้นที่หน้าประตู
ดวงตาของเหออวี้หลันเบิกกว้างจับจ้องไปยังเด็กทั้งสอง... จวินซิงเฉินและจวินเสวี่ยอัน!
เด็กหญิงตัวน้อยในชุดกระโปรงสีชมพูอ่อนยืนเกาะแขนพี่ชายแน่น ดวงตากลมโตคู่สวยที่ควรจะเปล่งประกายสดใสกลับฉายแววหวาดหวั่นระคนอยากรู้อยากเห็น เมื่อสบตากับนาง ร่างเล็กๆนั้นก็สะดุ้งเบาๆ รีบหลบไปอยู่ด้านหลังพี่ชายทันที นั่นคือจวินเสวี่ยอัน... บุตรสาวที่นางเคยผลักไสและตวาดใส่จนต้องหลั่งน้ำตา
ส่วนเด็กชายผู้พี่ จวินซิงเฉิน แม้อายุเพียงเจ็ดแปดขวบ แต่กลับมีท่วงท่าสงบนิ่งเกินวัย เขาสวมชุดผ้าไหมสีน้ำเงินเข้ม ยืนตัวตรงเผชิญหน้ากับนาง ใบหน้าเล็กๆนั้นเรียบเฉย หากแต่แววตาคมปลาบที่จ้องมองมากลับเต็มไปด้วยความเย็นชา ความระแวดระวัง และร่องรอยความเกลียดชังจางๆ ที่นางมองข้ามไปในอดีต
หัวใจของเหออวี้หลันบีบรัดอย่างรุนแรง ความรู้สึกผิดและสงสารถาโถมเข้าใส่ราวคลื่นยักษ์ นี่คือเด็กสองคนที่นางเคยทำร้ายจิตใจอย่างแสนสาหัส คือต้นเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้นางต้องจบชีวิตอย่างน่าสังเวชในชาติก่อน
"พวก... พวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่?" เสียงที่เปล่งออกไปสั่นเครือเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว นางพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติที่สุด
จวินซิงเฉินประสานมือคารวะตามธรรมเนียมอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง น้ำเสียงราบเรียบไร้ความรู้สึก "พวกข้าได้ยินจากบ่าวว่าท่านแม่ฟื้นแล้ว จึงตั้งใจจะมาเยี่ยมคารวะขอรับ" แม้คำพูดจะสุภาพ แต่กลับแฝงไว้ด้วยความห่างเหินอย่างชัดเจน
"ท่าน... ท่านแม่..." จวินเสวี่ยอันกระซิบเสียงเบาอยู่ด้านหลังพี่ชาย ไม่กล้าแม้แต่จะสบตานางตรงๆ
คำว่าท่านแม่ที่เคยทำให้นางรู้สึกเหมือนถูกหนามทิ่มแทง บัดนี้กลับกรีดลึกลงไปในใจยิ่งกว่าเดิม นางคือแม่เลี้ยงใจร้าย คือนางมารร้ายที่พรากความสุขไปจากเด็กน้อยทั้งสอง
"เช่นนั้นหรือ..." เหออวี้หลันฝืนยิ้ม พยายามทำให้น้ำเสียงอ่อนโยนลง "เข้ามาข้างในก่อนสิ ข้างนอกลมอาจจะแรง" นางผายมือเชื้อเชิญอย่างเก้ๆกังๆ
แต่จวินซิงเฉินกลับส่ายหน้าปฏิเสธทันที "ไม่รบกวนท่านแม่พักผ่อนดีกว่าขอรับ พวกข้าเพียงแวะมาดูให้แน่ใจว่าท่านสบายดีแล้ว เช่นนั้นพวกข้าขอตัวก่อน" เขากล่าวจบก็โค้งคำนับอีกครั้ง แล้วจูงมือน้องสาวหมุนตัวเดินจากไปอย่างรวดเร็ว ไม่แม้แต่จะเหลียวหลังกลับมามอง
ประตูห้องปิดลง... ทิ้งไว้เพียงความเงียบงันและไอเย็นที่มองไม่เห็น เหออวี้หลันมองตามแผ่นหลังเล็กๆสองแผ่นนั้นจนลับสายตา กำแพงที่นางอุตส่าห์ก่อขึ้นในใจพลันพังทลายลง หยาดน้ำตาอุ่นร้อนที่ไม่เคยคิดว่าจะได้หลั่งไหลออกมาอีก เอ่อคลอขึ้นเต็มหน่วยตา
นี่คือจุดเริ่มต้น... จุดเริ่มต้นที่นางต้องแก้ไข
ชุนเถามองเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยความเงียบ นางเห็นแววตาที่เปลี่ยนไปของนายหญิง แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยถามสิ่งใด ได้แต่ยืนรอรับคำสั่งอยู่เงียบๆ
เหออวี้หลันสูดหายใจลึก ปาดน้ำตาที่รื้นขอบตาออกอย่างรวดเร็ว นางจะไม่ยอมอ่อนแอ! นางจะไม่ยอมให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย! ในเมื่อสวรรค์มอบโอกาสครั้งที่สองให้นาง นางก็จะใช้มันเพื่อเปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง!
นางหันไปมองเงาสะท้อนของตนในคันฉ่องทองเหลือง ใบหน้าอ่อนเยาว์ที่ยังคงงดงามแต่แฝงไว้ด้วยร่องรอยความเอาแต่ใจและความดื้อรั้น... ร่องรอยที่นางจะต้องลบมันออกไปให้สิ้น
"ชุนเถา" นางเอ่ยขึ้น เสียงมั่นคงขึ้นกว่าเดิม "เตรียมน้ำให้ข้า ข้าจะล้างหน้า แล้วไปเตรียมสำรับเช้ามาให้ข้าที่นี่ด้วย ข้าหิวแล้ว"
ชุนเถาแม้จะประหลาดใจกับการเปลี่ยนแปลงเล็กๆน้อยๆนั้น แต่ก็รีบขานรับและออกไปทำตามคำสั่งอย่างรวดเร็ว
เหออวี้หลันหลับตาลงอีกครั้ง สัมผัสถึงไออุ่นของชีวิตที่ไหลเวียนอยู่ในร่าง จวินซิงเฉิน... จวินเสวี่ยอัน... รอแม่ก่อนนะ ชาตินี้แม่จะชดใช้ให้พวกเจ้าเอง... ปณิธานอันแรงกล้าก่อตัวขึ้นในใจอย่างเงียบงัน ท่ามกลางความหวังและความหวาดหวั่นต่ออนาคตที่นางต้องเป็นผู้ขีดเขียนขึ้นใหม่ด้วยตนเอง
เมื่อเหมันต์อันยาวนานและเยือกเย็นได้โบกมืออำลาไปอย่างแท้จริง วสันตฤดูอันแสนสดใสก็หวนกลับมาเยือนจวนแม่ทัพจวินอีกครั้ง คราวนี้มิใช่เพียงธรรมชาติภายนอกที่ผลิบาน แต่หัวใจของผู้อยู่อาศัยภายในจวนแห่งนี้ก็คล้ายจะเบ่งบานไปด้วยไอรักและความสุขอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนการดูแลเอาใจใส่ของจวินเหยียนซีในช่วงที่เหออวี้หลันล้มป่วยลงนั้น เปรียบเสมือนหยาดน้ำทิพย์สุดท้ายที่หลอมละลายกำแพงน้ำแข็งในใจของคนทั้งสองจนหมดสิ้น ความเคลือบแคลงสงสัย ความไม่เข้าใจ และความห่างเหินที่เคยมี บัดนี้ถูกแทนที่ด้วยความไว้วางใจ ความเข้าใจ และความรู้สึกผูกพันอันลึกซึ้งอย่างแท้จริงกิจวัตรประจำวันของพวกเขาเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด การร่วมโต๊ะเสวยกลายเป็นเรื่องปกติที่เต็มไปด้วยเสียงพูดคุยและรอยยิ้ม การดื่มชายามค่ำคืนในศาลากลางสวนกลายเป็นช่วงเวลาของการแบ่งปันความคิดและความรู้สึกอย่างเปิดอกมากขึ้น พวกเขาเริ่มเรียนรู้ที่จะสื่อสารกันอย่างตรงไปตรงมา และรับฟังซึ่งกันและกันด้วยหัวใจที่เปิดกว้างจวินเหยียนซีดูจะผ่อนคลายและแสดงความรู้สึกออกมามากขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน รอยยิ้มจางๆที่เคยหาได้ยากยิ่ง บัดนี้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าคมคายนั้
ภายหลังจากค่ำคืนในการเผชิญหน้าอันตึงเครียดในโรงเก็บฟืนเก่า บรรยากาศภายในจวนแม่ทัพจวินก็คล้ายจะถูกแช่แข็งไว้ด้วยความเงียบงันอันน่าอึดอัดยิ่งกว่าเดิม แม้จวินเหยียนซีจะมิได้เอ่ยปากขับไล่ หรือแสดงท่าทีรังเกียจนางอย่างเปิดเผย แต่ความห่างเหินและสายตาที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งและคำถามที่ไร้คำตอบของเขานั้น ก็เป็นดั่งกำแพงที่มองไม่เห็น แต่กลับสูงตระหง่านและเย็นเยียบยิ่งกว่าครั้งไหนๆเหออวี้หลันเข้าใจดีว่านางกำลังอยู่ในช่วงเวลาของการพิสูจน์ตนเองอีกครั้ง และครั้งนี้หนักหนากว่าเดิมหลายเท่านัก ความไว้วางใจที่เพิ่งจะเริ่มก่อตัวขึ้น บัดนี้ได้พังทลายลงไปแล้วด้วยความลับและการปิดบังของนางเอง คำพูดของเขาที่ว่า "ข้าจะตัดสินเจ้าจากการกระทำของเจ้าในปัจจุบันและอนาคต" คือโอกาสสุดท้ายที่นางได้รับ โอกาสสุดท้ายที่นางต้องรักษาไว้ให้จงได้นางทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดให้กับการทำหน้าที่ของตนเองยิ่งกว่าที่เคยเป็นมา นางตื่นแต่เช้าตรู่ เข้านอนดึกดื่น ตรวจตราดูแลทุกซอกทุกมุมของจวนด้วยความใส่ใจและความละเอียดลออที่ไม่เคยมีใครเทียบได้ ตั้งแต่การจัดสรรเสบียงในคลัง การดูแลความเป็นอยู่ของบ่าวไพร่ การบริหารจัดการงบประมาณ ไปจนถึง
เหมันต์ยังคงทอดเงาทาบทับจวนแม่ทัพจวิน อากาศเย็นเยียบจับขั้วหัวใจแต่กลับมิอาจเทียบเท่าความหนาวเหน็บที่เกาะกุมจิตใจของเหออวี้หลันได้เลยนับตั้งแต่การปรากฏตัวของชิวเยว่ในอดีตชาติ แม้นางจะพยายามรักษาความสงบ ทำหน้าที่ฮูหยินและมารดาเลี้ยงอย่างมิได้ขาดตกบกพร่อง แต่ความหวาดระแวงและความกลัวก็กัดกินใจนางอยู่ทุกขณะลมหายใจนางเฝ้าสังเกตการณ์ชิวเยว่ผู้นั้นอย่างลับๆมาตลอด แต่สตรีผู้นั้นก็ยังคงทำงานของตนไปอย่างเงียบๆ ขยันขันแข็ง ไม่แสดงพิรุธใดๆออกมา ความสงบเสงี่ยมนั้นเองที่ยิ่งทำให้นางหวาดผวา มันเหมือนความเงียบก่อนพายุจะโหมกระหน่ำ หรือเหมือนอสรพิษที่ซ่อนตัวนิ่งรอจังหวะที่จะฉกกัดความอดทนของเหออวี้หลันใกล้จะถึงขีดสุด นางไม่อาจทนใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ความหวาดกลัวเช่นนี้ได้อีกต่อไป นางต้องรู้ให้แน่ชัด... ว่าชิวเยว่ต้องการสิ่งใดกันแน่!จนกระทั่งวันหนึ่งขณะที่นางกำลังตรวจดูผ้าปูที่นอนที่เพิ่งซักเสร็จใหม่ๆในห้องเก็บผ้าใกล้โรงซักล้าง สายตาของนางก็พลันสะดุดเข้ากับบางสิ่ง ปมเชือกสีแดงเส้นเล็กๆที่ถูกผูกซ่อนไว้ในเนื้อผ้าอย่างแนบเนียน เป็นปมแบบเดียวกันกับที่นางเคยใช้ผูกของเล่นชิ้นโปรดของเสวี่ยอัน แล้วโยนทิ้งไปด้วยคว
เหมันตฤดูยังคงดำเนินไปอย่างเนิบนาบ วันคืนผ่านไปอย่างเชื่องช้าภายใต้ท้องฟ้าสีเทาหม่น เหออวี้หลันพยายามอย่างยิ่งที่จะรักษาความสงบเรียบร้อยและความเป็นปกติสุขภายในจวนแม่ทัพไว้ให้มั่นคงที่สุด แต่นางก็รู้ดีว่าภายใต้ความสงบนั้นมีพายุร้ายกำลังก่อตัวขึ้นอย่างเงียบๆ... พายุที่มาจากอดีตของนางเองชิวเยว่ในชาติก่อนยังคงทำงานอยู่ในส่วนซักล้างและงานจิปาถะอื่นๆ อย่างขยันขันแข็งและดูเหมือนจะไม่มีพิษมีภัยใดๆ นางพูดน้อย ยิ้มยาก และมักจะก้มหน้าก้มตาทำงานของตนไปเงียบๆไม่สุงสิงกับผู้ใดเป็นพิเศษ แต่ยิ่งนางดูสงบเสงี่ยมมากเท่าใด เหออวี้หลันก็ยิ่งรู้สึกหวาดระแวงมากขึ้นเท่านั้น สัญชาตญาณบางอย่างร้องเตือนอยู่ภายในว่าสตรีผู้นี้มิได้มาที่นี่โดยบังเอิญอย่างแน่นอนความหวาดระแวงนั้นได้รับการยืนยันในเวลาต่อมา...วันหนึ่งหลี่มามา บ่าวอาวุโสผู้รับใช้ตระกูลจวินมานานได้เข้ามาพบเหออวี้หลันเป็นการส่วนตัวด้วยสีหน้าที่ดูครุ่นคิดเล็กน้อย "เรียนฮูหยินเจ้าคะ บ่าวมีเรื่องประหลาดใจเล็กน้อยจะเรียนให้ทราบ""เรื่องอันใดหรือหลี่มามา?" เหออวี้หลันถาม พยายามควบคุมไม่ให้หัวใจเต้นแรงจนผิดสังเกต"คือ... ชิวเยว่ คนงานใหม่ในโรงซักล้างน่ะเจ้า
เหมันตฤดูแผ่ปกคลุมจวนแม่ทัพจวินด้วยไอเย็นยะเยือก หิมะโปรยปรายลงมาเป็นครั้งคราว แต่งแต้มให้หลังคาและกิ่งก้านของต้นไม้กลายเป็นสีขาวโพลน ชีวิตภายในจวนดำเนินไปอย่างอบอุ่นและสงบสุขภายใต้การดูแลของเหออวี้หลันและจวินเหยียนซี ความสัมพันธ์ของทั้งสองแน่นแฟ้นขึ้นตามลำดับ ความรักและความเข้าใจค่อยๆถักทอสายใยอันมั่นคงขึ้นมาแทนที่ความเย็นชาในอดีต เด็กทั้งสองเติบโตขึ้นอย่างร่าเริงและมั่นคงภายใต้ร่มเงาแห่งความรักของครอบครัวทว่าความสงบสุขที่ดูเหมือนจะยั่งยืนนี้ กลับมีอันต้องสั่นคลอน... เมื่ออดีตที่ไม่คาดฝันได้หวนกลับมาทวงถามเนื่องด้วยขนาดของจวนที่กว้างขวางและจำนวนบ่าวไพร่ที่มีอยู่เดิมเริ่มไม่เพียงพอ ประกอบกับมีบ่าวบางส่วนลาออกหรือถึงวัยเกษียณ พ่อบ้านเฉียนจึงได้นำเสนอเรื่องการว่าจ้างบ่าวรับใช้ระดับล่างเพิ่มเติมสองสามตำแหน่ง เช่น คนงานในโรงซักล้าง หรือคนสวนชั้นผู้น้อย เขาได้คัดเลือกผู้ที่มีคุณสมบัติเบื้องต้นเหมาะสมมาหลายคน และนำรายชื่อพร้อมประวัติย่อมาให้เหออวี้หลันในฐานะฮูหยินเป็นผู้พิจารณาอนุมัติขั้นสุดท้าย ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติในการบริหารจัดการจวนเหออวี้หลันรับรายชื่อมาตรวจดูอย่างละเอียดตามปกติ นาง
ค่ำคืนงานเลี้ยงรับรองมาถึง จวนแม่ทัพจวินสว่างไสวไปด้วยแสงไฟจากโคมไฟนับร้อยดวง บรรยากาศโอ่อ่าสง่างามสมเกียรติ แขกเหรื่อผู้ทรงเกียรติ ทั้งขุนนางผู้ใหญ่ นายทหารระดับสูง และฮูหยินต่างทยอยเดินทางมาถึงด้วยรถม้าคันหรูจวินเหยียนซีและเหออวี้หลันยืนรอต้อนรับแขกอยู่ที่โถงทางเข้าหลัก เคียงข้างกันอย่างสง่างาม เขาสวมชุดขุนนางเต็มยศสีน้ำเงินเข้มดูน่าเกรงขาม ส่วนนางอยู่ในชุดสีทองอ่อนอันงดงาม ขับเน้นความงามอันสุขุมและสูงศักดิ์ ทั้งสองเป็นดั่งหยกคู่งามที่เปล่งประกาย สร้างความประทับใจให้แก่ผู้มาเยือนตั้งแต่แรกเห็นเหออวี้หลันทำหน้าที่เจ้าบ้านได้อย่างไร้ที่ติ นางกล่าวต้อนรับแขกแต่ละคนด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่นและเป็นมิตร สามารถจดจำชื่อและตำแหน่งของทุกคนได้อย่างแม่นยำ สนทนาด้วยถ้อยคำที่เหมาะสมและแสดงความใส่ใจทำให้นางได้รับคำชื่นชมในความอ่อนน้อมและความเฉลียวฉลาดจากเหล่าแขกเหรื่อ โดยเฉพาะบรรดาฮูหยินทั้งหลายที่เคยมีอคติต่อนางมาก่อนส่วนจวินเหยียนซีนั้นเขารับหน้าที่ดูแลต้อนรับแขกฝ่ายชาย สนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเหล่าขุนนางและนายทหารด้วยท่าทีที่สุขุมและน่าเชื่อถือ เขาสังเกตการณ์ปฏิกิริยาและท่าทีของแขกแต่ละคนอย่
ความคิดเห็น