นางขอสมรสพระราชทานเพราะรัก แต่คืนแต่งงาน เขารังเกียจนางและทิ้งไป ห้าปีผ่านไปพระชายาที่ถูกลืม กลับเป็นสตรีที่เขาต้องตามจีบ และศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดของเขาก็คือลูกชายของตนเอง
ดูเพิ่มเติม“ข้าไม่ต้องการสิ่งใดแล้ว ขอเพียงได้อยู่เคียงข้างเขา ข้าก็พอใจแล้ว”
“ข้ากำลังจะแต่งงานกับเขา ข้ากำลังจะได้เป็นพระชายาขององค์ชายสาม”
สองข้างทางของถนนหลวง เต็มไปด้วยผู้คนที่มาร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีอันยิ่งใหญ่ รถม้าแกะสลักลวดลายงดงามวิจิตรตระการตา แล่นผ่านท่ามกลางเสียงโห่ร้องยินดีของประชาชน
เสียงกลองมงคลดังสนั่นกึกก้องทั่วพระราชวัง ประกาศให้ทุกผู้คนทั่วแผ่นดินรับรู้ถึงพิธีสมรสพระราชทานอันยิ่งใหญ่ ระหว่าง หลงเจิ้งหยาง องค์ชายสามแห่งแคว้นต้าเฉิน และไป๋ลี่เยว่ ธิดาของเสนาบดีไป๋
ไป๋ลี่เยว่ในอาภรณ์เจ้าสาวสีแดงสดงดงามปักลายดอกเหมย ก้าวลงจากรถม้าอย่างระมัดระวัง มือของนางเย็นเฉียบ แต่นางรู้ดีว่าไม่ใช่เพราะความหวาดกลัว แต่เป็นเพราะความตื่นเต้นยินดี ดวงตาของนางเปล่งประกายด้วยความดีใจ วันนี้ นางกำลังจะได้สมรสกับบุรุษที่เฝ้าหลงรักมาเนิ่นนาน
ตั้งแต่วันที่ช่วยชีวิตเขาไว้ วันที่หัวใจของนางตกเป็นของเขาโดยสมบูรณ์
แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าองค์ชายสามมิได้รักนาง แต่นางยังมีความหวัง นางยังเชื่อมั่นว่าสักวันหนึ่งเขาจะมองเห็นความจริงใจของนาง เมื่อนั้นนางจะสามารถอยู่เคียงข้างเขาได้อย่างแท้จริง
“เพียงแค่ได้อยู่ข้างกายท่าน ข้าก็ไม่ต้องการสิ่งใดอีก”
พระราชวังถูกประดับประดาด้วยผ้าแพรแดงสดปักลายมังกรหงส์อย่างวิจิตร กลิ่นกำยานหอมจรุงลอยคลุ้งอ้อยอิ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งสิริมงคล ทว่าท่ามกลางบรรยากาศชื่นมื่น ขุนนางและเหล่าสตรีในวังต่างมาร่วมเป็นสักขีพยาน
แต่ภายใต้ความโอ่อ่าหรูหรานี้ บรรดาแขกเหรื่อที่มาร่วมงาน ล้วนมิใช่มาเพราะความปีติยินดีเสมอไป หากแต่เป็นเพราะหลายคนอยากรู้อยากเห็น และมาด้วยความเย้ยหยัน ในวังหลวงแห่งนี้ ไม่มีผู้ใดไม่รู้ว่าการแต่งงานครั้งนี้มิใช่เพราะความรัก แต่มันคือผลลัพธ์จากการร้องขอสมรสพระราชทานของสตรีผู้หนึ่ง สตรี ที่ไม่มีผู้ใดคิดว่านางคู่ควร
“เจ้าสาวขององค์ชายสามงั้นหรือ ช่างเป็นเรื่องน่าขันนัก”
“แม้ไป๋ลี่เยว่จะมีใบหน้าที่งดงาม แต่นางก็อ้วนเกินไป เจ้าสาวที่รูปร่างเช่นนั้น คงเป็นเพียงตัวตลกในงานแต่งเท่านั้น”
“ถูกต้อง องค์ชายสามคือวีรบุรุษแห่งแผ่นดิน รูปร่างสง่างามราวกับเทพเซียน แล้วดูเจ้าสาวของพระองค์สิ ข้าละอายแทนจริงๆ”
เสียงกระซิบกระซาบดังไปทั่ว เหล่าสตรีสูงศักดิ์ในงานต่างปิดปากหัวเราะเบาๆ ซ่อนรอยยิ้มเยาะไว้ใต้แขนเสื้อ ไม่มีใครคิดว่าสตรีที่มีรูปร่างเช่นนี้จะคู่ควรกับองค์ชายสาม
“พระชายาไป๋ผู้นี้ช่างโชคดีนัก ได้สมรสพระราชทานกับองค์ชายสาม”
“โชคดีหรือ หึ ถ้านางไม่ไร้ยางอายขอสมรสพระราชทาน คนอย่างนางก็เป็นได้แค่หมูอ้วนไร้ยางอาย”
“ใช่แล้ว รูปร่างเช่นนั้นจะคู่ควรกับองค์ชายสามได้อย่างไร”
เสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นจากกลุ่มขุนนางสตรี สายตาของพวกนางเต็มไปด้วยความเหยียดหยันเจ้าสาวของงาน
“ข้าได้ยินมาว่า นางเป็นคนขอสมรสพระราชทานเองด้วยใช่หรือไม่”
“ไป๋ลี่เยว่ผู้นี้ช่างไร้ยางอายยิ่งนัก บีบบังคับให้องค์ชายต้องแต่งงานกับสตรีอัปลักษณ์ นี่มิใช่เป็นการดูหมิ่นพระองค์หรอกหรือ”
ไม่มีใครคิดว่าหญิงที่ “อ้วนและไร้เสน่ห์” เช่นไป๋ลี่เยว่ จะสามารถยืนอยู่เคียงข้างองค์ชายสามได้อย่างแท้จริง
เมื่อเสียงกลองมงคลดังขึ้น ขบวนเสด็จขององค์ชายสามเคลื่อนเข้าสู่ท้องพระโรง
องค์ชายหลงเจิ้งหยาง เจ้าบ่าวของงาน ปรากฏกายในอาภรณ์สีแดงปักดิ้นทองสง่างาม ร่างสูงสมบูรณ์แบบราวกับรูปสลัก สายตาเย็นชาราวคมดาบ แผ่รังสีของแม่ทัพผู้เกรียงไกร รัศมีของเขาเป็นบุรุษผู้ที่ไม่มีสตรีใดกล้าต้านทาน
เขาเดินเข้ามาด้วยท่วงท่าสง่างาม ใบหน้าคมคายดุดัน สายตาเย็นชา เปี่ยมไปด้วยอำนาจของแม่ทัพผู้ไร้พ่ายที่เคยผ่านสมรภูมิรบมาแล้วนับไม่ถ้วน แม้เหล่าสตรีในงานจะรู้ดีว่า เขาเย็นชาและไร้เยื่อใย แต่ไม่มีผู้ใดปฏิเสธได้ว่าเขาคือบุรุษที่น่าหลงใหลที่สุดในแผ่นดิน
“หากข้าได้เป็นเจ้าสาวของพระองค์ก็คงดี”
“น่าเสียดาย ที่เจ้าสาวของพระองค์ เป็นเพียงสตรีอ้วนที่ไม่มีผู้ใดต้องการ”
ร่างสูงยืนเด่นเป็นสง่ากลางท้องพระโรง รัศมีแห่งแม่ทัพทำให้เขาดูน่าเกรงขามราวเทพสงคราม เสียงกระซิบยังคงดังไม่หยุด แต่สิ่งที่เรียกเสียงกระซิบกระซาบได้มากกว่าคือสายตาขององค์ชายสามที่มีต่อเจ้าสาวของพระองค์ เขามองไป๋ลี่เยว่เพียงแวบเดียว ก่อนเมินหน้าหนีอย่างไม่ใยดี ราวกับว่า นางมิได้มีค่าพอให้เขาเสียเวลามอง และนี่ กลับทำให้เสียงนินทาดังขึ้นยิ่งกว่าเดิม
“ดูสิ องค์ชายสามแม้แต่มองยังไม่อยากมองเลยด้วยซ้ำ”
“ข้าล่ะอยากรู้จริงๆ ว่า คืนเข้าหอจะเป็นเช่นไร”
“สมรสพระราชทาน” หลงเจิ้งหยางแค่นเสียงในใจ สีหน้าและหัวใจของเขากลับเย็นชา องค์ชายสาม แม่ทัพผู้เกรียงไกร ผู้เป็นดั่งเสาหลักของแผ่นดินอย่างเขา กำลังเข้าพิธีสมรสกับ ไป๋ลี่เยว่ บุตรสาวขุนนางผู้มีความดีความชอบเพียงเพราะนางเคยช่วยชีวิตเขาไว้ตอนที่เขาโดนทำร้ายร่างกายจนเกือบเขาชีวิตไม่รอด ใครจะไปคิดว่านางจะถือโอกาสนี้ขอสมรสพระราชทานต่อฮ่องเต้
“ข้ามิใช่บุรุษที่จะถูกบังคับให้แต่งงานกับสตรีที่ข้ามิได้เลือก ผ่านพ้นคืนนี้ไปก่อนเถอะ”
เขามิได้หันไปมองด้วยซ้ำว่าข้างกายมีสตรีผู้หนึ่งกำลังเฝ้ามองเขาด้วยความหวัง
เขายืนอยู่ท่ามกลางเหล่าขุนนางและราชวงศ์ แต่เพียงแค่ปรายตามอง ทุกคนก็สัมผัสได้ถึงความเย็นชาที่แผ่ออกมาจากร่างของเขา
“ข้าต้องแต่งงานกับสตรีที่ข้าไม่ได้เลือก เรื่องเช่นนี้ช่างน่าขันนัก”
ใต้ผ้าคลุมหน้า ไป๋ลี่เยว่รับรู้และได้ยินทุกคำพูด แต่หัวใจของนางยังคงหนักแน่น ตั้งแต่ก้าวเข้ามาในท้องพระโรงนี้ ทุกสายตาที่จับจ้องมาที่นางล้วนเต็มไปด้วยการดูถูก
“ข้าไม่คู่ควรหรือ”
“ข้าอาจมิใช่เจ้าสาวที่ผู้คนคาดหวัง”
“แต่ข้าก็เป็นพระชายาของเขา และไม่ว่าใครจะพูดเช่นไร ข้าก็จะทำหน้าที่ของข้าให้ดีที่สุด”
“แม้ข้าจะมิใช่หญิงที่งดงามที่สุด แต่ข้าก็จะทำให้เขามองข้าให้ได้”
หัวใจของนางยังคงมีความหวัง แม้เขาจะเย็นชา แม้ผู้คนจะดูถูก แต่นางเชื่อว่าหากนางตั้งใจ เขาจะยอมรับนางเข้าสักวัน
ไป๋ลี่เยว่ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น สบตากับองค์ชายสามเพียงชั่วครู่ แต่เขากลับมิแม้แต่จะปรายตามองนาง
และพิธีสมรสพระราชทาน ก็ยังคงดำเนินต่อไป ท่ามกลางเสียงกระซิบกระซาบที่ไม่เคยหยุดลง จนกระทั่งเสียงบรรเลงขลุ่ยและพิณดังขึ้น ก้องไปทั่วพระราชวัง
“คารวะฟ้าดิน”
ไป๋ลี่เยว่คุกเข่าลงทำพิธีอย่างศรัทธา หวังว่าวันนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตคู่ที่ดี ทว่าข้างกายนาง องค์ชายสามกลับทำตามพิธีอย่างไร้หัวใจ
“คารวะบรรพบุรุษ” นางก้มศีรษะ เสียงหัวเราะเยาะรอบข้างดังขึ้น เพราะนางก้มได้เพียงเล็กน้อยจากอุปสรรครูปร่างของนาง แต่นางก็มิได้หวั่นไหว
“สามีภรรยาคารวะกัน”
ไป๋ลี่เยว่เงยหน้าขึ้น มุมปากประดับรอยยิ้มบางๆ นางมีเพียงความสุข แต่เมื่อสบตากับองค์ชายสาม นางกลับพบเพียงความเย็นชาไร้ความรู้สึกของบุรุษตรงหน้า
สิ่งที่สะท้อนอยู่ในดวงตาของเขามิใช่เพียงความเมินเฉย แต่เป็นความรังเกียจที่เด่นชัด
“…”
“ข้าทนแตะต้องนางมิได้จริงๆ”
“นี่คือผู้หญิงที่ข้าต้องแต่งงานด้วยอย่างนั้นหรือ”
แม้เขาจะมิได้พูดออกมา แต่นางก็อ่านออกได้จากสายตาของเขา
“องค์ชายสามรังเกียจนางถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
“หึ เป็นข้า ก็คงรับมิได้เช่นกัน”
เสียงกระซิบดังขึ้นอีกครั้ง แต่มันไม่สำคัญอีกต่อไป
ในขณะที่ไป๋ลี่เยว่ยินดี บุรุษที่นางรักสุดหัวใจกลับไม่มีแม้เศษเสี้ยวของความสุข เขาเพียงปรายตามองนางอย่างเย็นชา
“นางเป็นเพียงภาระ เป็นเพียงสตรีที่ข้าถูกบังคับให้แต่งด้วยเท่านั้น”
“วันนี้เป็นวันมงคล” ฮ่องเต้ตรัสขึ้นด้วยน้ำเสียงเปี่ยมด้วยพระเมตตา
“ข้าหวังว่าเจ้าทั้งสองจะครองคู่กันอย่างมีความสุข และร่วมกันดูแลแผ่นดินนี้ต่อไป”
“หลงเจิ้งหยาง เจ้าต้องปกป้องและดูแลพระชายาของเจ้าให้ดี”
หลงเจิ้งหยางคุกเข่าลงอย่างสง่างาม แม้ภายในใจจะมิได้ยินดี แต่เขาก็ไม่อาจขัดรับสั่งได้
“พ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อ”
ไป๋ลี่เยว่คุกเข่าลงตาม นางยิ้มอ่อนโยน ดวงตาส่องประกายแห่งความสุข
“หม่อมฉันจะดูแลพระสวามีอย่างดีที่สุดเพคะ”
“ดีมาก”
ฮองเฮาทรงยิ้มอ่อนโยน พระนางทอดพระเนตรไปยังไป๋ลี่เยว่ ด้วยสายพระเนตรที่เต็มไปด้วยความเอ็นดู
“ไป๋ลี่เยว่ ตั้งแต่เล็กจนโตเจ้าก็เป็นเด็กดีและเฉลียวฉลาด บัดนี้ เจ้าได้กลายเป็นพระชายาแล้ว ข้าหวังว่าเจ้าจะมีความสุขและนำพาสิ่งดีๆ มาสู่องค์ชายสาม”
ไป๋ลี่เยว่ก้มศีรษะ ซ่อนรอยยิ้มแห่งความปลาบปลื้มเอาไว้
“ขอบพระทัยเพคะ เสด็จแม่”
ข่าวการกลับมาขององค์ชายสามกระจายไปทั่วทั้งนครหลวง พอๆ กับข่าวว่าเหล่าขุนนางต้องการยกบุตรสาวของตนให้เป็นพระชายาของแม่ทัพผู้เกรียงไกร วันต่อมาขบวนของราชโองการจากวังหลวงเดินทางมายังตำหนักชิงอวิ๋น อดีตตำหนักเย็น ที่ตั้งอยู่ห่างไกลจากวังหลวง ไป๋ลี่เยว่ยืนมองขบวนทหารที่นำราชโองการมาแจ้งเชิญนางเข้าวัง ดวงตาของนางยังคงสงบนิ่ง ไม่มีความประหลาดใจแม้แต่น้อย เพราะนางรู้ว่าวันนี้ต้องมาถึง หงเหมยที่ยืนอยู่ข้างๆ กระซิบถามอย่างเป็นกังวลและเจ็บใจแทนผู้เป็นนาย“คุณหนูเจ้าคะ พวกเขามาขอให้ท่านอนุญาตให้พระสวามีรับชายารองจริงๆ หรือเจ้าคะ” ไป๋ลี่เยว่หัวเราะเบาๆ นางก้มลงมองมือเล็กๆ ที่กำชายอาภรณ์ของนางแน่น เด็กชายตัวน้อยเงยหน้าขึ้นมองนาง ดวงตากลมโตของหลงจิ่นอวิ๋นฉายแววอยากรู้ “ท่านแม่ บิดาของข้าเป็นใครรึ” ไป๋ลี่เยว่ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มบางๆ นางย่อตัวลง กุมมือเล็กของบุตรชายเอาไว้ “เขาเป็นบุรุษที่กล้าหาญและแข็งแกร่ง เป็นแม่ทัพผู้เกรียงไกรดุจเทพสงคราม” หลงจิ่นอวิ๋นเอียงคอ ใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย ท่านพ่อของเขา จะเป็นเหมือนองค์ชายสาม แม่ทัพรูปงามที่เขาเคยพบเมื่อวันก่อนหรือไม่ ถ้าหากท่านพ่อของเขา
“ช้าก่อน เพคะ” เสียงในท้องพระโรงเงียบลงทันที ทุกสายตาหันไปมองพระนาง “แม้องค์ชายหลงเจิ้งหยางจะมีสิทธิ์เลือกชายา แต่เรื่องนี้จะกระทำโดยพลการมิได้” พระสุรเสียงของฮองเฮาอ่อนโยน แต่แฝงไว้ด้วยอำนาจ “มีเหตุใดหรือ ฮองเฮา” ฮ่องเต้ทรงถาม ฮองเฮาทรงทอดพระเนตรพระโอรสก่อนจะตรัสด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เพราะองค์ชายสามมีพระชายาอยู่แล้วเพคะ” หลงเจิ้งหยางนิ่งค้างไปชั่วขณะ ก่อนที่พระเนตรของเขาจะเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย “พระชายา” ทันใดนั้น ภาพในอดีตที่เขาเคยลืมเลือนก็ผุดขึ้นมาในห้วงสติ ภาพของสตรีร่างอ้วนกลมในอาภรณ์แต่งงานสีแดงสด ใบหน้านางเต็มไปด้วยไขมันและน้ำตา สตรีที่วางยากำหนัดเพื่อให้เขาร่วมหอในคืนแต่งงาน จนเขาทนความอัปยศไม่ไหว ต้องหันหลังให้และเดินจากไปหลังคืนแต่งงาน เขาต้องอาสาออกไปรบหนีความจากอดสูนั้น ข้างในอกขององค์ชายสามเต้นระรัว มือสองข้างกำแน่นโดยไม่รู้ตัว “องค์ชายสามเจ้าแต่งงานแล้ว แม้เจ้าจะต้องการรับสตรีใหม่เป็นพระสนม เจ้าก็ต้องได้รับความเห็นชอบจากพระชายาก่อน” ฮองเฮาตรัสด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่แฝงแววเฉียบขาด “เช่นนั้น เจ้าคงต้องไปขออนุญาตจากนางเสียก่อน พระชายาไป๋ลี่เยว่” คำพูดของฮองเ
ตำหนักขององค์ชายสามในวังหลวง หลังเสร็จสิ้นการเข้าเฝ้าฮ่องเต้ หลงเจิ้งหยางกลับมาพักผ่อนที่ตำหนักของตน แต่แทนที่จะได้อยู่ลำพังเพื่อพักสมองจากศึกสงคราม กลับต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ทำให้จิตใจของเขาว้าวุ่นยิ่งกว่าอยู่ในสนามรบเสียอีก“องค์ชายเพคะ หม่อมฉันได้นำชามาให้พระองค์” เสียงหวานดังขึ้นพร้อมกับกลิ่นหอมอ่อนๆ ของชา ด้านหนึ่งคือ หานลี่เยี่ยน สตรีผู้มีผิวขาวราวหยก ใบหน้างามหวานละมุน “ส่วนหม่อมฉันได้นำผลไม้สดมาถวายเพคะ องค์ชายทรงเหน็ดเหนื่อยมานาน ควรเสวยของหวานเพื่อคลายความเมื่อยล้า” น้ำเสียงอ่อนโยนดังขึ้นจากอีกด้าน หลี่ซุนเหม่ย นางแต่งกายด้วยอาภรณ์สีอ่อนเผยให้เห็นความเรียบหรูและกิริยาอ่อนช้อย หลงเจิ้งหยางมองสตรีทั้งสอง ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย สถานการณ์เช่นนี้ คงเป็นไปไม่ได้ที่จะปฏิเสธน้ำใจพวกนาง “ขอบใจ พวกเจ้าทั้งสอง” เสียงทุ้มเอ่ยสั้นๆ ก่อนจะรับถ้วยชามาจิบเบาๆ หานลี่เยี่ยนยิ้มหวาน ก่อนจะนั่งลงอย่างอ่อนช้อยข้างองค์ชาย “องค์ชายเพคะ ชานี้เป็นชาหายากจากแคว้นหนาน มีกลิ่นหอมช่วยให้พระองค์ผ่อนคลาย” นางกล่าวพลางสบตาองค์ชายสามอย่างอ่อนหวาน “เช่นนั้นหรือ” หลงเจิ้งหยางพยักถามเบาๆ แต่ยังมิได
ณ ท้องพระโรง วังหลวงแคว้นต้าเฉิงเสียงกลองศึกดังกึกก้อง ท้องพระโรงประดับประดาด้วยผืนแพรแดงเข้มและแผ่นทองคำฉลุลวดลายงดงาม เหล่าขุนนางระดับสูงสวมอาภรณ์สีเข้มเรียงแถวสองข้างอย่างเป็นระเบียบ ทุกสายตาจับจ้องไปยังบุรุษผู้ก้าวเข้ามาองค์ชายหลงเจิ้งหยางในชุดเกราะเต็มยศ ร่างสูงสง่าเต็มไปด้วยอำนาจ เขาก้าวเข้ามาในท้องพระโรง ทุกย่างก้าวของเขาแฝงไปด้วยความสง่างามและความแข็งแกร่งของแม่ทัพผู้เกรียงไกรเมื่อถึงหน้าบัลลังก์ทอง เขาคุกเข่าลง มือทั้งสองข้างประสานกันอย่างเคารพ“ถวายบังคมฝ่าบาท กระหม่อมได้นำชัยชนะกลับมาถวายพะย่ะค่ะ”ฮ่องเต้ผู้ทรงประทับเหนือบัลลังก์ ทอดพระเนตรพระโอรสด้วยสายตาภาคภูมิใจ พระพักตร์เต็มไปด้วยรอยยิ้ม“ดีมาก เจิ้งหยาง เจ้าได้สร้างเกียรติยศให้แคว้นต้าเฉิง เจ้าทำให้ข้ามั่นใจว่าอาณาจักรของเราจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม”“ขอบพระทัยฝ่าบาท” หลงเจิ้งหยางกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเสียงกระซิบกระซาบดังแว่วมาจากเหล่าขุนนางที่ยืนอยู่ด้านข้าง บางคนยิ้มพึงพอใจ บ้างก็พยักหน้าให้กันอย่างรู้กันดีว่า การกลับมาขององค์ชายสาม หมายถึงโอกาสทองของพวกเขา“องค์ชายสามช่างองอาจยิ่งนัก” ขุนนางชราเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ
ณ ชายแดนตะวันตก แคว้นต้าเฉิงเสียงโห่ร้องกึกก้องไปทั่วสนามรบ ธงแห่งแคว้นต้าเฉิงสะบัดพลิ้วกลางสายลม ท่ามกลางกองทหารที่เปล่งเสียงเฉลิมฉลองในชัยชนะเหนือศัตรูหลงเจิ้งหยางนั่งอยู่บนหลังม้า สายตาเย็นชาเหม่อมองสนามรบที่ยังคงอบอวลไปด้วยกลิ่นเลือดและควันไฟ การศึกครั้งนี้กินเวลายาวนานหลายปี และสุดท้าย มันก็จบลง“องค์ชาย กองทัพสือหมิงถอยร่นหมดแล้วพะย่ะค่ะ” แม่ทัพคนสนิทรายงานด้วยใบหน้าเปื้อนเหงื่อและฝุ่นดิน “แคว้นสือหมิงส่งราชสาส์นขอยอมแพ้แล้ว พะย่ะค่ะ”“ดี” องค์ชายหลงเจิ้งหยางรับสั่งเสียงเรียบ ขณะที่กระชับบังเหียนม้าแน่น“องค์ชาย ตอนนี้พระองค์จะทรงทำสิ่งใดต่อพะย่ะค่ะ”เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยช้า ๆ “ถึงเวลาแล้ว ข้าจะกลับวังหลวง”เหล่าแม่ทัพนายกองต่างเงยหน้ามองเขาอย่างตื่นตะลึง องค์ชายสามที่เคยกล่าวไว้ว่าจะฝากชีวิตไว้กับสนามรบ บัดนี้กลับตรัสว่าจะเสด็จกลับ“พระองค์แน่พระทัยหรือพะย่ะค่ะ” แม่ทัพคนสนิทถามเสียงแผ่วหลงเจิ้งหยางครุ่นคิดถึงความฝันแปลกๆ ที่คอยหลอกหลอนเขามานานหลายปี เด็กชายที่มาร้องห่มร้องไห้ ว่าเขาทอดทิ้ง เขาต้องกลับไปหาคำตอบให้ได้ หรือสวรรค์ชี้ทางให้เขากลับไปแต่งงานเพื่อมีทายาท“แ
ณ ศาลาเรือนรับรอง เสียงน้ำพุในสวนดังแผ่วเบา ขับกล่อมบรรยากาศยามสายของตำหนัก กลิ่นหอมของอาหารลอยอ้อยอิ่งไปทั่ว โต๊ะอาหารถูกจัดอย่างงดงามเรียบง่าย มีเพียงอาหารที่ไม่หรูหราฟุ่มเฟือย แต่ล้วนปรุงอย่างพิถีพิถันฮองเฮาประทับนั่งอยู่หัวโต๊ะ ข้างกันคือองค์ชายน้อยหลงจิ่นอวิ๋นที่นั่งตื่นเต้นเป็นพิเศษ และที่นั่งตรงข้ามพระนางคือไป๋ลี่เยว่ สตรีผู้เป็นพระมารดาขององค์ชายน้อยพระเนตรของฮองเฮาทอดมองไป๋ลี่เยว่ พลางพิจารณานางเงียบๆ สตรีตรงหน้าช่างแตกต่างจากในความทรงจำของพระนางนัก ตอนแรกที่รู้ว่าไป๋ลี่เยว่ขอพระราชทานสมรสกับองค์ชายสามพระโอรสของพระองค์ พระนางเองก็ยังจำภาพของหญิงสาวที่ร่างอวบกลม หาความงาม ความโดดเด่นไม่ได้เลย แต่บัดนี้ผิวขาวนวล รูปร่างอ้อนแอ้นงดงาม ดวงตากลมโตฉายแววอบอุ่นและเฉลียวฉลาด กิริยามารยาทสง่างามราวกับสตรีสูงศักดิ์โดยแท้ ไม่เพียงแค่นั้น ไป๋ลี่เยว่ยังสามารถเลี้ยงดูหลงจิ่นอวิ๋นได้อย่างดีเยี่ยม อีกทั้งยังหาเลี้ยงตัวเองและคนรับใช้ในตำหนักได้โดยไม่ต้องพึ่งพาผู้ใด“เยว่เอ๋อร์ เจ้าเป็นสตรีที่เข้มแข็งยิ่งนัก” ฮองเฮาตรัสขึ้นเบาๆ พลางยิ้มบาง “ข้าชื่นชมเจ้ายิ่ง”ไป๋ลี่เยว่เงยหน้าขึ้น ก่อนจะยิ้
ความคิดเห็น