ใครสักคนเคยว่าไว้...บางครั้ง ‘โชคชะตาก็น่าตลก’ อาจูเชื่อมาตลอด ว่า ‘จริง’ แต่ไม่เคยนึกมาก่อนว่าโชคชะตาของตัวเองจะไม่ใช่แค่ตลก แต่เป็นตลกมาก! และจุดเริ่มต้นของเรื่องราวตลกร้ายที่ว่า ก็คือแพคเกจทัวร์ 'ตามรอยมังกรหยก' สุดเก๋ ที่ทำให้ได้พบกระบี่เขรอะสนิมเล่มหนึ่ง ก็แค่ความหวังดี...เล็กน้อยจริงๆ ที่ทำให้อาจูเอื้อมมือไปแหวกเถาวัลย์ปัดฝุ่น ตรวจดูว่าของนั้นใช่อย่างที่คิดหรือไม่ใช่ ใครจะคิดว่าอยู่ดีๆ จะมีงูตัวเป็นๆ พุ่งมาฉกกัด แล้วพอรู้สึกตัวขึ้นมาอีกที ก็พบว่าวิญญาณทะลุมิติข้ามเวลามาอยู่ในร่างเด็กสาวสารร่างบอบบางผมยาวเฟื้อยร่างนี้แล้ว แค่ความแค้นที่สุมแน่นในทรวงสาวน้อยนางนี้ ก็คับแน่นอกคัพDของร่างใหม่ร่างนี้จะแย่แล้ว นี่เธอยังต้องคุกเข่าคำนับจ้าวหุบเขาโฉดโหดเถื่อนที่มีดีแค่รูปร่างหน้าตาเป็นอาจารย์ แถมยังต้องทำงานรับใช้เขาทุกวันอีก! ทีในนิยายกับละครพวกนั้น พวกนางเอกทะลุมิติข้ามเวลาแล้วได้เป็นฮองเฮา ชายาอ๋อง แต่พอเป็นเธอ กลับต้องทะลุมิติมาเป็นขี้ข้า! หึ! ศิษย์อาจารย์บ้าบออันใดกัน ถ้ายอมให้โขกสับกันง่ายๆ ก็โง่น่ะสิ!
View Moreหลังตะวันตกดิน...
จันทร์เสี้ยวเหลืองนวล ชวนให้นึกถึงรอยยิ้มหยิ่งผยองในชั่วยาม[1]แรก และดูเปล่งประกายเยาะเย้ยยิ่งขึ้นในชั่วยามต่อๆ มา
สาเหตุเดียวที่ทำให้อาจูต้องหอบสังขารใกล้ร่วงโรยของเด็กสาวผิวพรรณเกลี้ยงเกลาเหมือนหยกขาวพิสุทธิ์ ร่างบางเหมือนกิ่งหลิว เส้นผมดำขลับเหมือนหมึก...ที่แม้จะสั้นกว่าที่บรรยายเอาไว้ในนิยายจีนหลายๆ เรื่อง แต่ก็ยังยาวระบั้นท้าย แถมยังเอาแต่พลิ้วสยาย พันไม้พันมือ ดูรุ่มร่าม มาทนคุกเข่าต่อหน้าหน้าผาลึกสุดหยั่งให้ดวงจันทร์ยิ้มหยันเล่นแบบนี้ มีเพียงสาเหตุเดียวเท่านั้น คือเรื่องเหลือเชื่อและยิ่งกว่าโง่เง่าที่เกิดขึ้นต่อๆ กันเป็นคอมโบ[2] จัดหนักจัดเต็มยิ่งกว่าโปรโมชั่นย้ายค่ายสัญญาณโทรศัพท์มือถือ
นี่ไม่ใช่ร่างกายเธอ ยุคสมัยนี้ก็ไม่ใช่ยุคสมัยของเธอ
ตั้งแต่เกิดและใช้ชีวิตมายี่สิบห้าปี เธอชื่อป้อจู[3] ใครต่อใครเรียกอาจู มีชื่อไทยที่พวกญาติๆ ไม่ค่อยจะเรียกกันว่าเมษา เป็นคนไทยเชื้อสายจีน เกิดและโตในเยาวราช วันนี้เป็นวันครบรอบวันเกิดอายุ 25 เธอจึงเลือกฉลองวันเกิดเบญจเพสให้ตัวเองด้วยการซื้อทัวร์ ‘ตามรอยมังกรหยก’ ทัวร์รูปแบบเก๋ไก๋ ที่ให้บรรดาลูกทัวร์แต่งชุดโบราณย้อนยุค แล้วพาท่องเที่ยวไปตามสถานที่ที่เหมือนหลุดออกมาจากนิยายจีนกำลังภายในที่เธอชื่นชอบจนถึงขั้นคลั่งไคล้
เธอซื้อแพคเกจมาเที่ยวจีน...ไม่นึกว่าแพคเกจทัวร์ครั้งนี้จะไม่ใช่แค่พาไปดูเมืองโบราณต้าลี่ เยี่ยมชมเมืองโบราณลี่เจียง ดูหิมะที่หุบเขาหิมะมังกรหยก แล้วพาท่องไปในทุ่งหญ้าหวินซานผิงมลฑลยูนนาน แต่มันยังพาเธอทะลุมิติข้ามกาลเวลามาอยู่ในร่างเด็กสาวสารร่างอ้อนแอ้นบอบบางผมยาวเฟื้อยร่างนี้อีกต่างหาก!
นึกถึงสาเหตุที่ทำให้วิญญาณเธอทะลุมิติข้ามกาลเวลามาแล้วก็อยากจะหัวเราะ...
ตอนนั้นเพราะสังเกตเห็นกระบี่เขรอะสนิมแปลกๆ วางอยู่ในโพรงต้นไม้ในทุ่งหญ้าหวินซานผิง ต่อให้ไม่ตีลังกาดูก็มั่นใจว่าไม่ใช่ของจัดแสดง เธอสงสัยปนคิดว่าอาจเป็นของโบราณตกสำรวจ ก็เลยหวังดีอยากช่วยแหวกเถาวัลย์ เขี่ยปัดฝุ่นออกจากของที่อาจเป็น ‘วัตถุโบราณตกสำรวจ’ ส่วนหนึ่งก็เพราะอยากจะดูให้ถนัดๆ ก่อนกระโตกกระตากโวยวาย ใครจะคาดคิดว่าความหวังดีไม่เข้าเรื่องนั่นจะทำให้โดนงูฉกมือ หมดสติไป แล้วพอรู้สึกตัวอีกที ก็มาอยู่ในร่างสาวน้อยดวงกุดร่างนี้แล้ว
เธอไม่รู้หรอกว่ายายเด็กนี่เป็นใคร รู้แต่ว่าวินาทีแรกที่รู้สึกตัวขึ้นมา ในใจของเด็กคนนี้เหมือนมีกลุ่มก้อนความโกรธแค้นอัดแน่นไปหมด แต่เค้นสมองนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก ข้อมูลที่รู้ก็มีแค่เรื่องที่ดูเหมือนเด็กสาวคนนี้จะประสบอุบัติเหตุ พลัดตกเขา แล้วได้อิตาจอมยุทธที่เหมือนจะมีดีแค่หน้าตาช่วยเอาไว้
ร่างนี้กำลังจะหายดี...แต่พอเธอฟื้นขึ้นมา เธอดันกินยาของอิตาจอมยุทธนั่นสลับขวดจนต้องพิษร้ายแรง สุดท้ายก็เลยโดนคนหน้าน้ำแข็งไร้คุณธรรมนั่นทิ้งไว้กลางป่าพร้อมกับเงินถุงไม่ใหญ่ไม่เล็กหนึ่งถุง นัยว่าจะปล่อยให้ไปเผชิญโชคเอาเอง
เคราะห์ยังดีที่ดูเหมือนอิตานี่จะโด่งดังพอตัว พอลองบอกลักษณะท่าทางพร้อมทั้งบอกกลุ่มชาวบ้านที่ผ่านทางว่า "ชีวิตข้านับแต่นี้ล้วนขึ้นอยู่กับเขา ข้าไม่เหลือที่พึ่งอื่นใดอีกแล้ว หากชาตินี้ไม่ได้พบเขาอีก ข้าต้องตายแน่ๆ!"
พวกชาวบ้านก็ช่วยพามาส่งให้จนถึงที่ ปากก็ว่า "คุณหนู หากจ้าวหุบเขาโฉดนิสัยโหดเหี้ยมผู้นี้ไม่ใยดี ก็อย่าได้คิดอะไรวู่วาม หากใช้ความอดทนและความอ่อนโยนสักมากหน่อย จ้าวหุบเขาจะต้องใจอ่อนเป็นแน่ เอ้อ...อย่างน้อยก่อนจากไปก็ช่วยทำให้คนผู้นี้ลดความตระหนี่เถรตรงลงสักนิด—อุ๊บ!"
ท้ายประโยคกลายเป็นเสียงแปลกประหลาด เพราะมีบางคนในกลุ่มชาวบ้านที่เข้ามาหาของป่าและล่าสัตว์ด้วยกัน ฟาดท่อนแขนใส่คนพูดเต็มแรง อาจูก็เลยพอจะเดาได้ ว่าสาเหตุที่ชาวบ้านพวกนี้ใจดีต่อเธอ เป็นเพราะมีจุดประสงค์บางอย่างแอบแฝง...
นี่พวกเขาคงคิดว่าเธอมีซัมติงรอง[4]กับอีตาหน้านิ่งนั่น ก็เลยคิดจะใช้เธอกล่อมเกลาตาบ้านั่นนะสิ...
เหอะ...ให้มารดาเขามากล่อมเกลาเขาเองเถอะ ที่เธอต้องการคือถอนพิษในร่างน้อยๆ ร่างนี้ต่างหาก!
แต่ก็อีกนั่นแหละ...ปากทางเข้า ‘หุบเขาเดียวดาย’ ไม่มีสะพาน เธอที่ไม่มีวรยุทธก็เลยบุกเข้าไปอ้อนวอนเขาไม่ได้ ได้แต่ใช้ท่าไม้ตายจากบรรดานิยายกำลังภายในที่เคยอ่านอย่างการนั่งคุกเข่า ประกาศกร้าวว่าจะไม่ลุกขึ้นจนกว่าอิตาบ้านั่นจะยอมรับเป็นศิษย์ เพราะดูเหมือนจะเป็นทางเดียวที่จะช่วยต่อชีวิตให้ร่างน้อยๆ ร่างนี้
โอย...อยากจะบ้า...
อาจูกัดริมฝีปากแน่น พยายามฝืนประคองให้ร่างโทรมเหงื่อยังคงตั้งตรงอยู่ได้ กลัวว่าถ้าล้มลงเมื่อไหร่ ตัวเองอาจหลับใหลตลอดกาลในร่างคนอื่น แถมยังเป็นในโลกต่างมิติที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นยุคสมัยไหน รู้แต่ว่าน่าจะเป็นแผ่นดินจีนโบราณยุคสมัยที่มีจอมยุทธนั่งเดินลมปราณ มีจ้าวหุบเขา มีวิชาตัวเบา กระโดดทีเดียวก็ปีนต้นไม้ข้ามหุบเขาได้ง่ายๆ มีอะไรอะไรตั้งไม่รู้เท่าไหร่ชวนให้ตื่นตาตื่นใจ...
วิวดีมีหนุ่มหล่อแถมมีเรื่องน่าตื่นเต้นก็ดีอยู่หรอก ร่างนี้ก็ยังเอ๊าะๆ แถมยังทั้งสวยทั้งตัวหอมจนผีเสื้อหลงคิดว่าเป็นดอกไม้อีกต่างหาก อะไรก็ดี๊ดี ดีไปหมด เสียอย่างเดียวที่มันไม่ใช่ความฝัน...
ถ้าเป็นแค่ความฝันก็รีบตื่นทีเถ๊อะ!!!
ถ้าเป็นแค่ความฝัน จะเจ็บจะตายก็ไม่เป็นอะไรหรอก แต่นี่ดันมาปรากฏตัวในร่างคนอื่น มีเลือดเนื้อ มีความรู้สึก มีชีวิต เกิดบาดเจ็บจนตายไปจริงๆ ขึ้นมา เจ้าของร่างนี้จะเป็นยังไง? ที่สำคัญกว่านั้นใครจะรับประกันได้ว่าถ้าตายในโลกนี้แล้วจะได้กลับร่างเดิมในโลกเก่า?
ยิ่งคิดอาจูก็ยิ่งคันหัวใจ ทั้งมโนธรรมทั้งความรักชีวิตทำเอาคนดวงกุดหลงยุคยิ่งโกรธตัวเองจนไม่รู้จะด่าตัวเองเป็นภาษาอะไรดี
อันที่จริง ได้ชะแวบมาอยู่ในร่างสาวสวยวัยขบเผาะ ได้เจอจอมยุทธหล่อๆ มาดเจ้าชายเย็นชาตรงตามสเปคพระเอกนิยายในดวงใจก็ฟินมากจริงๆ อย่างที่ว่านั่นแหละ แต่ไอ้เรื่องที่ต้องมาตายเพราะกินยาสลับขวดตั้งแต่วันแรกๆ ที่ฟื้นขึ้นมาในโลกต่างยุคต่างมิตินี่...มันออกจะดูโง่เกินไปหน่อย
ทั้งโง่และซวยบรมเลย!
ท่ามกลางความเงียบงัน ร่างอ้อนแอ้นอ่อนแรงพยายามเค้นเสียงตะโกนให้ดังที่สุดเท่าที่จะทำได้
“จ้าวหุบเขาผู้เมตตา...ได้โปรดรับข้าเป็นศิษย์”
ศิษย์...
ศิษย์...
ศิษย์...
เสียงสะท้อนหวานๆ ค่อนไปทางเย็นยะเยือกคล้ายภูตผีไร้เรี่ยวแรง ทำให้หุบเขาปักป้ายสลักอักษรจีนสั้นๆ ว่า ‘เดียวดาย’ ในยามนี้ ดูน่าขนลุกขึ้นหลายส่วน
ท่ามกลางบรรยากาศสั่นประสาท เจ้าของเสียงขยับมือกุมเข่าที่เจ็บจนชา เริ่มสงสัยว่าคนเราจะตายเพราะปวดเมื่อยได้หรือเปล่า
มือกุมเข่า สมองก็ก่นด่า ไม่กล้าปริปากให้เจ้าตัวเขาได้ยิน
โอย...ไอ้จ้าวหุบเขาหน้าหล่อใจหินนี่ ใจคอจะให้สาวน้อยคุกเข่าจนตายเลยหรือไง!
ผ่านไปหลายชั่วยาม หลังจากที่สมองน้อยๆ ค่อยๆ ว่างเปล่า ภาพเบื้องหน้าเริ่มหมุนคว้าง อาจูถึงได้แน่ใจว่าสิ่งที่ตัวเองคิดอาจจะจริง
อิตาจ้าวหุบเขาใจดำคนนี้ คงไม่แคล้วคิดจะปล่อยให้เธอตายไปทั้งอย่างนี้จริงๆ แล้ว...
“ปาป๊ามาม๊าบนสวรรค์...หนูจะตามไปหาแล้วนะ” อาจูพึมพำเป็นภาษาไทยเสียงสั่น ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงเลือกพูดออกมาเป็นภาษาไทย ทั้งๆ ที่สมองก้อนน้อยๆ หรืออาจเรียกว่าความคุ้นชินของร่างนี้ มักทำให้ทุกประโยคที่พูดออกมา กลายเป็นภาษาจีนที่เธอเองก็ไม่แน่ใจนักว่าเป็นภาษาจีนโบราณหรือไม่โบราณแค่ไหน บางทีเธอคงจะอยากตายในฐานะ ‘ป้อจู’ มากกว่าเด็กสาวความจำเสื่อมไร้ชื่อเรียกละมั้ง
เพียงเสี้ยววินาทีหลังเอ่ยประโยคนั้น ร่างน้อยๆ ดูบอบบางค่อยๆ เอนตัวล้มลงช้าๆ ชนิดที่ว่า ถ้าอาจูมีตาทิพย์มองเห็นตัวเองในตอนนี้ เธอคงยกมือขึ้นชี้หน้าตัวเองแล้วตะโกนใส่ดังๆ ว่า
“ละครมาก!”
แต่เธอไม่ได้เห็น...
เธอหมดสติไปทั้งอย่างนั้น
[1] หนึ่งชั่วยาม เท่ากับสองชั่วโมง
[2] ในที่นี้คือ Combo set หรือชุดคำสั่ง สำหรับนักเล่นเกม คอมโบหมายถึงชุดการโจมตีต่างๆ
[3] ป้อ 宝 แปลว่าของมีค่าหรือของวิเศษ และจูตัวนี้แปลว่าไข่มุก รวมกันแล้วหมายถึงไข่มุกล้ำค่า หรือ ไข่มุกวิเศษ **คนไทยเชื้อสายจีน ส่วนใหญ่เป็นชาวแต้จิ๋วค่ะ อาจูก็เป็นคนไทยเชื้อสายจีนแต้จิ๋ว
[4] something wrong
“อยู่เฉยๆ ” จอมเผด็จการบอกสั้นๆอาจูรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงใครมาเป่านกหวีดอัดหู หลังจากกะพริบตาหนึ่งปริบแล้วตั้งสตินึกๆ ดู ถึงได้รู้ว่าเป็นเสียงกรีดร้องในใจตัวเองนี่แหละฮรื้อออ เฮียขา นี่มันเซอร์วิสระดับไหนกัน! ไม่เอาแล้วค่า สามีอ๋อง สามีฮ่องเต้ หรือสามีแห่งชาติหน้าไหน ถ้ารอดตายได้กลับโลกปัจจุบันเมื่อไหร่ แม่จะเขียนนิยายให้พระเอกเป็นท่านจ้าวหุบเขาหน้านิ่งแต่ไวไฟออกมารัวๆไม่เพียงอุทิศตัวให้นั่งเปล่าๆ เก้าอี้มนุษย์กิตติมศักดิ์ยังนวดคลึงมือให้เธอต่อไปราวกับไม่มีอะไรผิดแปลกอีกด้วย อาจูจึงช่วยอำนวยความสะดวกด้วยการขยับตัวเอียงหน้าเข้าหาท่านจ้าวหุบเขาด้วยดวงตาซื่อใส เผื่อว่าเขาจะอยากอธิบายอะไรให้ฟังสักนิดซือฝุเจ้าขา...จะทำอะไรเจ้าคะ จวี๋ฮวาไม่เข้าใจจริงๆ นะ ❤อุ๊...! จู่ๆ ปอจูก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบ ขนแขนชูชันอะ...ไอ้ความรู้สึกแบบนี้มัน...“ซือฝุ...” คราวนี้น้ำเสียงที่เปล่งออกจากริมฝีปากจิ้มลิ้มอิ่มงามเจือไว้ด้วยความกังวล“เงียบ” เก้าอี้มนุษย์ออกคำสั่งเสียงต่ำยามเขาขยับริมฝีปากพูด ลมอุ่นร้อนจะราดรดหน้าผากอันน่ารักน่าชังของจวี๋ฮวา ทำให้คนเริ่มหวาดหวั่นอุ่นใจขึ้นเล็กน้อยต่อให้ผีร้ายนั่นป
“ซือฝุเจ้าขา...ท่านว่าที่นี่จะมีวิญญาณอาฆาตหรือไม่? ”ซือฝุผู้หล่อเหลาเหลียวมองตาเธอเล็กน้อย“ทำไม”ทำไมน่ะรึ?“นับตั้งแต่สามคืนก่อน ศิษย์รู้สึกไม่ค่อยดีนัก ฝันว่ามีผู้หญิงน่ากลัวมายืนจ้องอยู่ข้างเตียง แล้วนับจากนั้นก็ดูคล้ายจะฝันเห็นนางมาตลอด...” อาจูตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา กึ่งหวาดกลัว กึ่งไม่แน่ใจ ดวงตาคู่งามชวนให้นึกถึงกวางน้อยหลงทิศนี่เธอไม่ได้ตั้งใจจะใช้เรื่องนี้มาอ้อนเขาจริงๆ นะ!“ดูคล้าย? ”“เจ้าค่ะ” เสี่ยวจวี๋ฮวากะพริบตาหนึ่งปริบอย่างแช่มช้อยเชื่องช้า “ศิษย์จำได้เพียงเลาๆ มันคลับคล้ายคลับคลา...คล้ายกับว่าศิษย์จะฝันเห็นนาง รู้สึกราวกับว่านางยืนอยู่ตรงนั้น...” พอเล่าถึงตรงนี้ คนไม่แน่ใจว่าโดนผีหลอกหรือไม่ใช่ก็กัดริมฝีปากเบาๆ “ศิษย์...ศิษย์ไม่แน่ใจนัก แต่นอกจากนี้ ศิษย์คิดว่ามักจะมองเห็นนางที่หางตา บางครั้งภาพที่เห็นจะหายไปรวดเร็ว แต่บางคราว ต่อให้กะพริบตาสักกี่ครั้งก็ยังอยู่ ไม่นึกว่าพอศิษย์หันกลับไปมองตรงๆ กลับไม่เห็นสิ่งผิดปกติใดแม้แต่น้อย”พูดออกมาแล้วอาจูก็อยากจะกัดลิ้นตัวเองนักจริตจะก้านที่เธอใช้กำลังดี แต่คำพูดคำจาที่ทำหลุดออกจากปากนี่สิ...ถึงนี่จะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้
กลางเดือนสาม ดอกสาลี่และดอกท้อในหุบเขาบานสะพรั่ง...ทั้งอย่างนั้นดอกเบญจมาศก็ยังคงผลิดอกออกช่อ ราวกับลืมไปแล้วว่าควรผลิดอกควรแตกยอดในช่วงฤดูใดหลังจากผ่านไปครึ่งเดือน อาจูก็ปรับตัวเข้ากับวิถีชีวิตในหุบเขาและท่านจ้าวหุบเขาผู้มีบุคลิกนิ่งเฉยคล้ายหุ่นไม้ไร้อารมณ์ความรู้สึกได้ดีจนตัวเองยังตกใจเวลานี้เธอไม่อึดอัดที่ต้องตื่นตั้งแต่เช้าตรู่อีกต่อไป ปัญหาที่เคยเกิดขึ้นกับฝ่ามือก็แทบจะไม่เกิดขึ้นราวปาฏิหาริย์ อีกทั้งร่างกายอันบอบบางของจวี๋ฮวาก็ไม่ได้เหนื่อยง่ายเท่าเมื่อครั้งเริ่มทำงานจิปาถะตามคำสั่งท่านจ้าวหุบเขาอีกแล้ว กระทั่งวันนี้มีบุรุษกลุ่มใหญ่หามร่างตกเขาไร้สติข้ามหุบเหวมาขอให้ท่านจ้าวหุบเขาช่วยต่อกระดูก ยื้อชีวิต ผู้ช่วยจำเป็นอย่างเธอจึงโดนสั่งให้คล้องผ้าปกปิดใบหน้าไปมากกว่าครึ่งท่อนอย่างจริงจังและโดนสั่งให้หมกตัวช่วยคัดแยกสมุนไพรในห้องเก็บสมุนไพรแคบๆ จนดึกดื่น เธอก็ยังไม่ได้รู้สึกอึดอัดอ่อนล้าสักเท่าไหร่ ที่รบกวนจิตใจมีเพียงความง่วงงุน ซึ่งจู่โจมราวกับอดีตนักเขียนประเภทชอบทำงานหามรุ่งหามค่ำกินนอนไม่เป็นเวล่ำเวลาอย่างเธอเป็นสตรีอนามัยจัดที่ในแต่ละวันของชีวิตต้องเข้านอนตั้งแต่หัวค่ำค
รู้สึกหรือ...? ก็รู้สึกว่าท่านน่ากินมากยังไงล่ะ!แน่นอนว่าเธอตอบแบบนี้ไม่ได้...“มือเจ้า”เอ๋...? มือ?อาจูลดสายตาลงมองฝ่ามือน้อยๆ ของจวี๋ฮวาทันทีขาว...นอกจากความขาวอมชมพูดูมีเลือดฝาดก็ไม่ปรากฏร่องรอยอะไรให้ขัดตาแม้แต่น้อย!“รอยบวมช้ำพวกนั้น...”เขาบีบมือเธอเบาๆ “ทำแบบนี้เจ็บหรือไม่? ”“ไม่เจ้าค่ะ ไม่เจ็บแล้วสักนิด”“ดี” เขาปล่อยมือคู่น้อยแล้วผละจากไปทันทีเมื่อกิริยาไร้เยื่อใยและสีหน้าแววตานิ่งสนิทมารวมกัน อาจูจึงรู้สึกคล้ายโดนใครสักคนยกเท้ายันโครม ถีบตกจากสวรรค์ก่อนก้าวขาออกจากห้อง ราวกับท่านจ้าวหุบเขาจะนึกบางอย่างขึ้นได้เขาหยุดฝีเท้าแล้วออกคำสั่งเสียงขรึม“พรุ่งนี้ไม่จำเป็นต้องเริ่มงานตั้งแต่เช้าตรู่ เริ่มทำงานยามซื่อก็ยังไม่สาย จำไว้ว่านับแต่นี้ให้คล้องผ้าปกปิดใบหน้าเอาไว้ให้เป็นนิสัย ส่วนเรื่องกักบริเวณ...” เขาหยุดคิดเล็กน้อย “คืนนี้สำนึกผิดอยู่แต่ในห้อง ไม่ต้องออกไปไหนทั้งนั้น”หือ...? คล้องผ้า...?การคล้องผ้าปิดหน้านี่นับเป็นการลงโทษรูปแบบใหม่หรือไง? แล้วที่ว่ากักบริเวณให้อยู่แต่ในห้องอะไรนั่นก็ไม่ได้ต่างจากปกติสักหน่อย...?ไม่สิ...ไม่ถูก...หลังจากนึกไปนึกมา ใบหน้าเล็กๆ
แม้ภายในใจจะเอ็ดตะโรดังลั่น ลูกศิษย์ร่างน้อยก็ยังพยายามเก็บอาการ ปั้นหน้าซื่อใสไร้เดียงสาสุดฤทธิ์“ต่อให้เขากลับมาที่นี่อีก ก็ไม่กล้าทำเรื่องไร้หัวคิดอะไรแล้ว” ท่านจ้าวหุบเขาเอ่ยคล้ายจะปลอบให้เธอวางใจ แน่นอนว่าขณะพูดประโยคนี้ เขาก็ยังคงนวดคลึงฝ่ามือเธออยู่...คนโดนสัมผัสเพียงแผ่วเบาจู่โจมจนเสียจริตได้แต่แสร้งทำหน้าโง่งมจ้องมองใบหน้าซือฝุผู้สูงส่ง ปล่อยให้มือนุ่มนิ่มบอบบางโดนมืออันแข็งแกร่งรังแกเอาตามใจ ทุกครั้งที่เขาขยับปลายนิ้ว เธอจะรู้สึกถึงความร้อนที่แผ่ซ่านออกมาอย่างน่าประหลาด ความร้อนที่ว่านี้ไม่ได้ทำให้เจ็บปวด ตรงกันข้าม มันกลับทำให้รู้สึกผ่อนคลายระคนวาบหวามจนอดสงสัยไม่ได้ว่านี่เป็นเทคนิคประเภทไหนกันแน่เพราะเขาไม่พูด และเธอก็ไม่รู้จะพูดอะไร อาจูจึงคิดว่าจะเป็นการดีกว่าถ้าเธอจะปล่อยให้ความเงียบครอบงำ...เคยมีคนพูดไว้ว่าคนโง่ย่อมเป็นเหยื่อของคนฉลาด แต่คนฉลาดจะเป็นเหยื่อของคนแกล้งโง่ ในเมื่อจ้าวหุบเขาผู้นี้ยากจะต่อกรเกินไป ไม่ว่าเขาจะจงใจหรือไม่ หนนี้เธอจะแกล้งปล่อยให้เขาชนะและได้เป็นฝ่ายควบคุมไปก่อน ตราบใดที่ท้ายที่สุดแล้วเธอพึงพอใจและได้ประโยชน์ ใครจะเชิดหน้าชูคอว่าชนะแล้วอย่า
เพราะท่านจ้าวหุบเขาไม่ชิงช่วยต่อประโยคให้เหมือนครั้งก่อนๆ หน้า เธอจึงช่วยอำนวยความสะดวกด้วยการตั้งคำถามให้ชัดเจนยิ่งขึ้น “โจรแปลกหน้าผู้นั้นเป็นใครมาจากไหนกัน? ”“โจรไร้หัวคิดผู้นั้นคือคุณชายใหญ่ของสำนักคุ้มภัยสกุลซุน ซุนเย่” ท่านจ้าวหุบเขาตอบเสียงเรียบเธอจงใจเลือกใช้คำว่าโจรให้ตัวเองยิ่งดูอ่อนต่อโลก ไม่นึกว่าท่านจ้าวหุบเขาจะเลือกใช้คำเดียวกัน หนำซ้ำยังเติมคำว่าไร้หัวคิดให้อีกด้วยเอ...? ซือฝุเจ้าขา เท่าที่ข้าจำได้ สามวันก่อนท่านเคยพูดว่าคุณชายใหญ่สกุลซุนเป็นคนไข้เงินหนา แล้วเหตุใดวันนี้จึงกลายเป็นโจรไร้หัวคิดไปได้เล่า?ตอนนี้เธอเริ่มอยากรู้ขึ้นมาจริงๆ แล้ว“น่าแปลกนัก...เพราะเหตุใดคุณชายใหญ่จากสำนักคุ้มภัยจึงกลายเป็นโจรไปได้” เธอทำหน้าราวกับประหลาดใจที่โลกนี้ช่างเต็มไปด้วยเรื่องร้ายกาจเหนือความคาดหมายลูกศิษย์ผู้อ่อนต่อโลกเอียงคอเล็กน้อย ดวงตาซื่อใสฉายแววครุ่นคิด“ไม่ใช่ว่าเขาเคยเป็นคนไข้ของท่านหรือ? ”“เคยเป็น และกำลังเป็น”อะไรคือเคยเป็นและกำลังเป็น?ก่อนที่เธอจะได้ถามอะไร อีกฝ่ายก็ขยับริมฝีปากพูดต่อเสียก่อน“ไม่จำเป็นต้องใส่ใจหรือพูดเรื่องคนผู้นี้อีก เขาไม่ใช่ตัวดีอะไร”นี่ถ้าท่
Comments