ธีรัช เซลล์แมนหนุ่มฝีมือฉกาจ ผู้มีทั้งเสน่ห์และวาทศิลป์เป็นอาวุธ อดีตเคยเป็นเพียงเด็กกำพร้าที่ต้องดิ้นรนไต่เต้าจนสามารถมีชีวิตที่มั่นคง แต่โชคชะตากลับเล่นตลกกับเขาอย่างโหดร้าย คืนหนึ่ง หลังจากดื่มสังสรรค์กับลูกค้า เขากลับประสบอุบัติเหตุร้ายแรง และเมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง กลับพบว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในยุคเดิมอีกต่อไป เขากลายเป็น "ไอ้อิน" ทาสหนุ่มแห่งเรือนข้าราชการในยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น ร่างกายกำยำแต่สถานะต่ำต้อย ยังไม่ทันตั้งตัวดีธีรัชก็ได้ทราบว่า อินเจ้าของร่างได้ไปรับรู้ความลับต้องห้ามของเจ้านายเข้าอย่างจัง! "หลวงพิชิตเดโช" หรือ "คุณเปรม" ขุนนางดูแลการค้าและการคลัง ผู้สูงศักดิ์ เฉลียวฉลาด และภักดีต่อราชสำนัก ในสายตาผู้คน เขาคือบุรุษรูปงามผู้เพียบพร้อมทั้งบารมีและอำนาจ แต่ภายใต้ภาพลักษณ์ที่สมบูรณ์แบบนั้น กลับมีความลับดำมืดที่ไม่อาจเปิดเผยแก่ผู้ใด... เขาเป็นชายผู้หลงใหลในบุรุษด้วยกัน! และบัดนี้ อิน ทาสหนุ่มที่มีวิญญาณของเซลล์แมนยุคปัจจุบัน กลายเป็นผู้ล่วงรู้ความลับนั้นโดยไม่ตั้งใจ! จากที่เคยเป็นเพียงข้ารับใช้ธรรมดา ชะตากลับดึงเขาให้เข้าไปพัวพันกับเรื่องราวที่ทั้งอันตรายและลึกซึ้งจนยากจะถอนตัว จนก่อเกิดความรักต้องห้ามขึ้น
View Moreบรรยากาศร้อนระอุของบ่ายแก่ๆ เสียงเครื่องปรับอากาศภายในบ้านจัดสรรสไตล์โมเดิร์นหลังใหญ่ ทำงานราวกับจะกลบเสียงแมลงน่าร้อนที่ส่งเสียงระงมอยู่ด้านนอก ชายหนุ่มในชุดสุภาพยืนอยู่ท่ามกลางบรรยากาศที่คึกคัก การสนทนาที่อยู่ตรงหน้าเขามันชวนให้น่าดึงดูดมากกว่าอากาศร้อนด้านนอก
ดวงตาของธีรัช ส่องประกายด้วยความมั่นใจ ขณะยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนวัยกลางคนสามถึงสี่ท่าน ที่ดูเหมือนจะตั้งใจมองหาบ้านหลังใหม่ เขาไม่สนใจความร้อนระอุที่มีเพียงความมุ่งมั่นที่จะปิดดีลนี้ให้สำเร็จ
ธีรัชในชุดสุภาพ เสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงสแล็กสีดำ สวมให้ลุควันนี้ดูเรียบหรูน่าเชื่อถือ พร้อมกับผมสีดำขลับ ที่เซ็ดไว้อย่างดี ดูเหมือนว่าเขาคือมืออาชีพที่มีประสบการณ์สูงในการขาย และตอนนี้ก็เป็นเวลาที่เขาจะใช้มันจริงๆ เพราะเขารู้ดีว่าลูกค้าทั้งสามคนนี้ คงไม่ใช่คนที่จะปฏิเสธการซื้อบ้านง่ายๆ
"บ้านหลังนี้ สถานที่ดีมากนะครับ ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้า ถ้าคิดถึงอนาคต อยากได้บ้านที่ทั้งสะดวกสบายและเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า หลังนี้ถือว่าตอบโจทย์ที่สุด"
ธีรัชพูดด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจ ปล่อยให้ลูกค้าฟังไปขณะใช้สายตาสอดส่องไปตามแต่ละมุมของบ้าน
ลูกค้าหญิงคนหนึ่งซึ่งดูจะมีอายุมากที่สุดจากทั้งสามคน พยักหน้าและเอ่ยขึ้น
"ก็เป็นบ้านที่ดีนะ แต่ราคามันค่อนข้างสูงไปหน่อยน่ะพ่อหนุ่ม" เธอกล่าวออกมาอย่างตรงไปตรงมา
ธีรัชยิ้มบางๆ "เข้าใจครับ แต่ถ้าดูจากทำเลและการออกแบบแล้ว ราคานี้ถือว่าเป็นราคาที่คุ้มค่า
"ไม่ใช่แค่บ้านธรรมดาๆ นะครับ แต่มันคือการลงทุนที่คุณจะได้ผลตอบแทนระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นความสะดวกสบายและมูลค่าในอนาคต"
เขาตอบอย่างฉะฉานและมั่นใจในสิ่งที่พูด
ทันทีที่เขาพูดจบ ลูกค้าสองคนที่เหลือก็พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ เห็นได้ชัดว่าธีรัชทำการบ้านมาอย่างดี และรู้จักวิธีอ่านใจลูกค้าของตัวเอง
หลังจากนั้น ธีรัชก็เดินมาหยิบเอกสารราคาบ้าน พร้อมส่งยิ้มให้ลูกค้าทั้งสาม
"ถ้าสนใจ ผมสามารถเสนอดีลที่ดีกว่านี้ได้ครับ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคุณทั้งสามคน"
คำพูดของเขาทำให้ลูกค้าทั้งสามหยุดนิ่ง และเริ่มสนใจมากขึ้น พวกเธอกลับมานั่งที่โต๊ะในบ้าน ขณะที่ธีรัชก็ใช้โอกาสนี้ในการหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู
สายจากกิ๊ฟ เพื่อนร่วมงานที่เป็นสายเซลล์เหมือนกันกำลังโทรเข้ามา ธีรัชรับสายทันที
"เฮ้ ว่าไงกิ๊ฟ " เขาทักทายด้วยน้ำเสียงเบาๆ
"ธีรัช นี่กิ๊ฟเอง มีบ้านใหม่มาขายต่อให้อีกหลังนะ ขายง่ายมาก ฉันแค่ฝากให้เเกไปจัดการหน่อย ราคาดี มีส่วนลดให้อีก ถ้าขายได้ฉันจะตอบแทนให้"
"โอเคป่ะ"
ธีรัชก้มมองเอกสารในมือพลางยิ้ม
"โอเคคกิ๊ฟ รับปากไว้แล้ว เดี๋ยวไปจัดการให้เร็วที่สุดครับ"
ก่อนที่เขาจะพูดต่อ โทรศัพท์ของเขาก็ถูกเปลี่ยนสายมาเป็นของเจน ลูกค้าผู้หญิงที่เขาค่อนข้างรู้สึกว่าเธอหมายปองเขามากกว่าแค่การซื้อบ้าน
"ธีรัชคะ... คุณจะว่างไปดื่มกับเจนไหมคะ?" เสียงของเจนดังออกมาจากปลายสายอย่างเป็นกันเองจนฟังแล้วยากจะปฏิเสธ
ธีรัชมองสายตาลูกค้าทั้งสามที่ยืนฟังเขาพูด และตัดสินใจตอบกลับ
"ขอบคุณครับคุณเจน... แต่ตอนนี้อาจต้องขอโทษไว้ก่อนนะครับ ผมคงไม่ว่างจริงๆ วันนี้คุยธุรกิจเยอะแล้ว"
เขาพูดเสียงเรียบ แต่ไม่ได้แสดงความรู้สึกใดๆ ก่อนจะวางสายและหันกลับไปสู่การต่อรองราคากับลูกค้า ธีรัชมองเห็นสายตาของพวกเธอแล้วรู้ว่าเขามาถูกทางแล้ว...
.
.
.
.
.
หลังจากดีลราคาบ้านกับสามสาววัยกลางคนเสร็จ เขาก็เดินทางมาหาลูกค้าดีลบ้านคนต่อไปที่กิ๊ฟเป็นคนฝากไว้ กว่าจะเดินทางมาถึงภัตตาคารที่นัดลูกค้าไว้เวลาก็ปาไปเกือบทุ่ม ระยะทางที่ไกลและบรรยากาศรถติดของกรุงเทพมหานครมันช่างน่าหงุดหงิด แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มาก
พอหาที่จอดรถได้ ขายาวก็รีบก้าวฉับๆเข้าไปในร้านอาหารแห่งนี้ทันที แต่ใครจะไปรู้ละ ว่าบ้านที่กิ๊ฟฝากขาย คนซื้อจะเป็นคุณเจนน่ะ
ธีรัชยิ้มมุมปากขณะนั่งอยู่ที่โต๊ะกับลูกค้าผู้หญิงหน้าตาคุ้นเคย ซึ่งเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่เขาตั้งใจปิดการขายในคืนนี้ เธอสวยและมั่นใจ ทำให้ธีรัชรู้สึกได้ถึงความท้าทายในการปิดดีลนี้ แต่มันก็ไม่ได้ยากเกินไป เพราะเขารู้วิธีอ่านคน รู้ว่าเธอชอบอะไรและต้องการอะไร
"คุณธีรัชคะ" ลูกค้าผู้หญิงเอ่ยขึ้นในน้ำเสียงหวาน
"วันนี้คุยธุระจนรู้สึกสนุกจังเลยค่ะ แล้วตอนนี้... เจนอยากจะชวนคุณไปดื่มต่อได้มั้ยคะ? พอดีมีร้านใหม่ที่เปิดไม่นานมานี้ "
ธีรัชยิ้มกว้าง รู้ว่าคำชวนนี้มันมีความหมายมากกว่าการดื่มแค่แก้วเดียว เขาหยิบแก้วไวน์ขึ้นจิบเบาๆ ก่อนจะตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ยังคงมีเสน่ห์
"ขอบคุณครับ คุณเจน... แต่ผมว่าขอแค่พอแค่นี้จะดีกว่า วันนี้งานค่อนข้างเยอะ พรุ่งนี้ยังต้องไปจัดการเรื่องหลายอย่าง"
เขาทิ้งคำตอบแบบสุภาพไป ก่อนที่จะหยิบกระเป๋าสะพายขึ้น และลุกออกจากโต๊ะเพื่อเดินไปยังทางออก แผนการในหัวยังคงคิดถึงลูกค้ารายอื่นที่เขาต้องพบเจอในวันพรุ่งนี้ แต่ในใจเขาก็ยังมีความรู้สึกบางอย่างที่ไม่สามารถปฏิเสธได้
"แค่ดื่มสักแก้วไม่เสียหายหรอกค่ะ" เสียงของเธอดังขึ้นตามหลังมา แต่ธีรัชเลือกที่จะไม่หันไปมอง รู้ดีว่าความสัมพันธ์แบบนี้มันไม่ควรเกินเลยมากไปเดิมทีตอนนี้เขาเองก็ถูกยัยลูกค้าคนสวยมอมไปหลายแก้วแล้ว
เขาพยักหน้าให้กับลูกค้าสาวพร้อมรอยยิ้มบางๆ แล้วเดินออกมาจากร้าน การปฏิเสธคำชวนที่ดูเหมือนจะเป็นเพียงแค่เรื่องเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่รู้สึกเสียใจเลยแม้แต่น้อย
แต่ทว่าเมื่อเขาก้าวออกไปจากร้านแล้ว ความเมาที่เริ่มจะมีมากขึ้นในตัวเขาก็ทำให้การเดินไปที่รถยนต์ของตัวเองนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย โลกหมุนไปมาเหมือนกับเขากำลังอยู่ในโหมดหลับตาเดิน แต่เขาก็ยังฝืนตัวเองขับรถกลับบ้าน ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรทำมากๆ เลยล่ะ
ท่ามกลางความมึนงงจากแอลกอฮอล์ เขายังคงพยายามตั้งใจขับรถไปตามเส้นทางที่คุ้นเคย และในที่สุดก็เริ่มรู้สึกว่าอาการแย่ลงทุกขณะ แต่เขาก็ยังคงกดคันเร่งไปข้างหน้า
"แค่ถึงบ้านก็พอ..." เขาบ่นกับตัวเอง ก่อนที่ทุกอย่างจะค่อยๆ มืดลงจนเขาหลับตาลงโดยไม่รู้ตัวพรัอมกับสติที่จางหายไป
เอี๊ยดดด!! โครม!!
เสียงล้อเสียดสีกับถนนดังลั่น ก่อนที่รถยนต์คันหรูจะเสียหลัก พุ่งไถลออกจากไหล่ทางราวกับถูกฉุดกระชาก แสงไฟหน้าสะท้อนกับราวสะพานเพียงเสี้ยววินาที ก่อนที่ตัวรถจะทะยานออกไปในอากาศ แล้วดิ่งลงสู่ผืนน้ำเบื้องล่างอย่างไร้หนทางหวนกลับ
ตูม!!
เสียงกระแทกกับพื้นน้ำดังสนั่น ความมืดกลืนกินทุกอย่างรอบตัว รถทั้งคันจมหายไปใต้สายน้ำเย็นเยียบ ทิ้งไว้เพียงฟองอากาศที่ลอยขึ้นสู่ผิวน้ำเงียบๆ ราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น...
.
.
.
.
.
แสงแดดอ่อน สาดส่องกระทบเปลือกตา ธีรัชค่อยๆ ลืมตาขึ้น รู้สึกเหมือนกับว่าโลกทั้งใบหมุนไปรอบตัว สายตาที่มองเห็นคือเพดานไม้เก่าๆ ที่ส่องแสงรางๆ ผ่านช่องเล็กๆ ของบ้านที่เก่าและโทรม เขารู้สึกงุนงงอย่างที่สุด เมื่อได้ยินเสียงน้ำไหลในหู และลมหายใจหนักๆ ที่เหมือนจะทำให้ทุกอย่างดูมืดมนไปหมด เขาค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง หัวใจเต้นรัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน และมองไปรอบๆ ด้วยความสงสัย
ที่นี่มันที่ไหนกัน?
ไม่ใช่บ้านของเขาแน่ๆ คำถามนี้ลอยขึ้นในหัวโดยไม่รู้ตัว เขารู้สึกไม่คุ้นเคยกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เห็น ทั้งห้องที่แคบและลานพื้นไม้ที่เก่าหยาบ บรรยากาศรอบๆ ชวนให้รู้สึกว่าเขามาอยู่ในที่ที่แปลกประหลาดเกินไป
เมื่อเขาพยายามจะขยับตัวเพื่อจะลุกออกจากที่นอน ความรู้สึกหนักๆ ก็ส่งมาอีกครั้ง บางอย่างไม่คุ้นเคยในร่างกายตัวเอง ช้าๆ เขาหันไปมองอีกมุมหนึ่ง ก่อนจะพบกับชายหนุ่มวัยรุ่นคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงมุมห้อง ใส่โจงกระเบนสีเข้มที่ดูเก่าและขาดๆ ซึ่งเหมือนจะผ่านการใช้งานมาอย่างหนัก ร่างกายของเขาคล้ำแดดราวกับคนใช้แรงงาน
ชายคนนั้นมองเขาด้วยสีหน้าท่าทางงุนงง แต่แล้วเมื่อธีรัชสะดุดตากับความมึนงงในสายตานั้น ก็ไม่สามารถทนถามได้อีก
“ที่นี่ที่ไหนครับ?”
ธีรัชถามออกไปเสียงต่ำ ขณะที่ยังคงพยายามทำใจให้สงบ แต่ก็รู้สึกเหมือนกับว่าสมองยังทำงานช้าๆ ไม่เต็มที่
ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ไม่รอช้า พลางหัวเราะออกมาอย่างเบิกบาน แล้วก็ลุกขึ้นเดินเข้ามาใกล้เขา ก่อนจะตบเบาๆ ที่ไหล่ของธีรัชในท่าทีคุ้นเคย
“ฮ่าๆๆ จมน้ำจนเพี้ยนไปแล้วรึ ไอ้อิน?” ชายคนนั้นพูดจาอย่างสนิทสนมเหมือนกับเคยรู้จักกันมานาน ไม่ได้ดูแปลกใจอะไรกับสถานการณ์นี้
ธีรัชขมวดคิ้วขึ้น ท่าทางไม่เข้าใจสักนิด ก่อนที่ชายหนุ่มคนเดิมจะพูดต่อด้วยน้ำเสียงท่าทางเหมือนรู้จักกันดี
“ที่นี่น่ะ มันเรือนทาสไง มึงจำไม่ได้เหรอ? กูก็คือไอ้สิงค์ เพื่อนมึงไง ?”
ธีรัชยังคงยืนงงอยู่อย่างนั้น สองมือขยับไปมาเหมือนจะหาเหตุผลแต่ไม่สามารถหาคำตอบได้ สิ่งที่ชายคนนี้พูดมันไม่ตรงกับสิ่งที่เขารู้เลย แม้แต่นิดเดียว เขายังยืนยันในใจว่าตัวเองเป็นธีรัช ไม่ใช่ใครอื่น แต่ทำไมเขาถึงอยู่ในสถานที่แปลกประหลาดนี้? ทำไมเขาถึงมีชื่อว่า “ไอ้อิน” ?
ท่ามกลางความสับสน ธีรัช เขาเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติของร่างกาย มันทั้งหนัก ทั้งอ่อนล้าไปหมด ราวกับเพิ่งผ่านความตายมาอย่างหวุดหวิด แขนขาที่เคยแข็งแรงกลับรู้สึกปวดระบมไปทุกส่วน เขาขมวดคิ้วมองมือตัวเองที่ทั้งกร้านและดำคล้ำจากการทำงานกลางแดดจัด แล้วสายตาก็ค่อยๆ ปรับรับกับแสงรำไรในเรือนแคบๆ ที่ดูเก่าโทรม ราวกับถูกใช้งานมาเป็นเวลานาน
ก่อนจะทันได้ตั้งคำถาม เสียงห้าวๆ ของใครบางคนก็ดังขึ้นข้างกาย
"เองจะมัวมึนเมาน้ำไปถึงไหนวะไอ้อิน! ลุกได้แล้วโว้ย! มึงต้องไปตักน้ำตักท่า แล้วก็พายเรือให้คุณเปรมท่าน"
ธีรัชสะดุ้ง หันไปมองต้นเสียงก็เห็นชายหนุ่มร่างกำยำ ผิวคล้ำแดด นุ่งโจงกระเบนสีหม่นเปื้อนดิน ผมเผ้ายุ่งเหยิงแต่ดวงตามีแววขี้เล่น เขายืนกอดอกอยู่ข้างๆ ฟากเรือนด้วยท่าทางที่ดูสนิทสนมราวกับรู้จักกันมานาน
ธีรัชยังไม่ทันจะตั้งตัว เขาชี้นิ้วเข้าหาตัวเองด้วยความงุนงง
"ผมหรอ?"
"ก็เอ็งน่ะสิวะ! จะให้ข้าไปเรียกไอ้เปรื่อง ไอ้มั่นรึไง?" เจ้าของเสียงกระแทกไหล่มาแรงๆ
"นอนป่วยให้กูต้องกระเตงทำงานแทนตั้งสามวันสามคืน นี่หายดีก็รีบลุกไปทำงานให้มันเสร็จๆ ได้แล้วโว้ย!"
ธีรัชกะพริบตาปริบๆ หัวสมองยังสับสนว่าตัวเองกำลังฝันไปหรือไม่ แต่ยังไม่ทันจะได้ทบทวนอะไรให้มากกว่านั้น เจ้าหนุ่มที่เรียกตัวเองว่า ‘ไอ้สิงห์’ ก็กระชากแขนเขาให้ลุกขึ้นมานั่ง พอขยับตัวได้ เขาก็มองไปรอบๆ และสิ่งที่เห็นก็ทำให้หัวใจเขาเต้นแรงขึ้นกว่าเดิม
เขาอยู่ในเรือนทาส… และนี่ไม่ใช่โลกที่เขารู้จักอีกต่อไปแล้ว
รอบกายเต็มไปด้วยผู้คนที่เคลื่อนไหวไปมาอย่างไม่หยุดพัก หญิงชายในชุดพื้นเมืองเก่าๆ กำลังจัดแจงงานของตัวเองอย่างคล่องแคล่ว บางคนขนฟืน บางค
นหาบน้ำ บ้างก็กำลังตำข้าวอยู่ใต้ถุนเรือน เสียงสนทนาวิ่งสวนกันไปมาพร้อมเสียงสากตำข้าวกระทบครกเป็นจังหวะ ทุกคนล้วนดูยุ่งวุ่นวายราวกับมดงาน และไม่มีใครสนใจเขาเลยแม้แต่น้อย
ธีรัชกลืนน้ำลายลงคอ แม้อากาศจะอ้าวจัด แต่เขากลับรู้สึกหนาวเยือก
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันวะเนี่ย…?!
หลังจากพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลครบกำหนดสองวันตามคุณหมอสั่ง ธีรัชก็ได้กลับมาที่บ้านของตนเองอีกครั้ง บ้านที่เขาควรจะเคยคุ้นแต่กลับรู้สึกแปลกตา เหมือนกลายเป็นแค่ฉากในละครที่ไม่ได้ฉายให้ใครดู เขาเดินช้า ๆ ผ่านห้องนั่งเล่น มองเครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องครัวล้ำสมัย ตู้เย็น ทีวี และโซฟานุ่ม ๆ ที่เคยนั่งดูซีรีส์กับตัวเองในทุกคืนวันศุกร์จนลากไปเช้าของอีกวัน... ชีวิตที่สะดวกสบายและบ้านหลังใหญ่โตที่เขาสร้างมันขึ้นจากน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง ด้วยความภาคภูมิใจที่แต่ก่อนเขาต้องรู้สึกดีใจและมีความสุขทุกครั้งที่ได้กลับมาเหยียบที่แห่งนี้แต่ครั้งนี้ทำไมมันกลับไม่อุ่นเหมือนอ้อมแขนของใครบางคนที่เขาคิดถึงจับใจ หรือเพียงเพราะโลกใบนี้ ไม่มีคุณเปรมอยู่ด้วย...ธีรัชนั่งลงกับพื้นเบา ๆ ตรงระเบียงหลังบ้าน ลมฤดูหนาวพัดแผ่วผ่านใบหญ้า เสียงนกกระจอกยังคงร้องเจื้อยแจ้วไม่รู้วันเวลาผ่านไปแค่ไหนสำหรับพวกมัน ต่างจากหัวใจของธีรัชที่เหมือนหยุดเดินตั้งแต่วันนั้น วันที่เขาจาก “บ้าน” หลังหนึ่งในยุคต้นรัตนโกสินทร์กลับมาเขาหลับตา สูดลมหายใจเข้าเต็มปอด แต่ก็ไม่ได้กลิ่นดอกมะลิที่เคยหอมกรุ่นในยามเช้า กลิ่นหอมน้ำอบไทยที่มักจะติดต
ทินกรรุ่งอรุณ แสงแดดอุ่น ๆ สาดผ่านม่านผืนบาง ละไล้ลงบนใบหน้าของอินที่ยังนอนนิ่งอยู่บนเตียง เปรมยืนอยู่มุมห้องอย่างเงียบเชียบ จนเมื่อหมอที่เขาเรียกมาตรวจอาการเดินออกมาจากห้อง อินหันไปมองด้วยสายตาเป็นกังวล“เขาเป็นอย่างไรบ้างขอรับท่านแพทย์?” เสียงเปรมเต็มไปด้วยความห่วงใยแพทย์หมอถอนหายใจเบา ๆ ก่อนเอ่ยคำวินิจฉัย “จากที่ฉันตรวจดูทั้งหมดแล้ว คิดว่านายคนนี้น่าจะแพ้พิษบางอย่างที่สะสมในร่างกาย และเพิ่งจะแสดงอาการออกมา โชคดีที่ตรวจพบเร็ว ฉันจัดยาไว้ให้แล้ว ให้กินเช้าเย็นนะหลวงเปรม”เปรมพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเครียด“ที่สำคัญ ช่วงนี้อย่าให้เขาใช้ร่างกายหนัก ๆ ยิ่งถ้ามีไข้ พิษจะยิ่งกระจายเร็วขึ้น ต้องระวังให้ดี”“ขอรับ… ขอบพระคุณมากขอรับท่านแพทย์ขอบคุณจริง ๆ”คุณเปรมส่งหลวงแพทย์หมอจนลับสายตา ก่อนจะรีบกลับเข้าห้อง เขาเปิดประตูเบา ๆ เหมือนกลัวเสียงจะไปรบกวนคนป่วย บนเตียง อินนอนเอนพิงหมอนอยู่ก่อนแล้ว ดวงตากลมใสสบกับเขาอย่างแนบแน่น มีแววซุกซนผสมความอ่อนล้าอยู่ในนั้น“ไม่ต้องทำหน้ากังวลขนาดนั้นก็ได้นะครับ” อินพูดเบา ๆ น้ำเสียงพยายามกลั้วหัวเราะ “ผมสบายดีม๊ากก ตอนนี้ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรแล้ว ไม่เป็นไรหรอกน
แสงแดดยามสายทอดผ่านม่านโปร่งบางภายในโถงของเรือนหลังใหญ่ เสียงจิบน้ำชาดังแผ่วเบาท่ามกลางความเงียบสงบที่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของใบชาและมะลิอบแห้งเปรมนั่งเอนหลังบนเบาะรองตัวยาว ร่างกายที่เคยแบกรับภาระหนักอึ้งมาหลายวันคล้ายได้หย่อนคลายเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน เขาสวมเสื้อผ้าเรียบง่าย ผ้าคลุมบางสีอ่อนพาดบ่า ใบหน้าเริ่มมีรอยอ่อนล้าจาง ๆ แต่แววตายังคงหนักแน่นและแน่วแน่เช่นเดิมอินนั่งอยู่พื้นข้าง ๆ มือหนึ่งหยิบหนังสือ อีกมือก็ไม่วายวางไว้บนขาของคนรัก พยักหน้าเบา ๆ รับฟังอย่างตั้งใจ แม้บทสนทนาที่เอ่ยออกมาจะชวนให้ใจสั่นไม่น้อย“อีกไม่กี่วัน…” เปรมเอ่ยเสียงเรียบ ขณะทอดสายตามองออกไปยังสวนหลังบ้าน“หลวงวิษณุจะถูกนำตัวไปประหาร พร้อมกับ พักพวกอีกสามคน”อินชะงักมือที่กำลังเปิดหน้ากระดาษ เสียงคำว่า “ประหาร” กระแทกเข้าหูราวกับสายลมหนาวเฉียบ เขาเงยหน้ามองอีกคน ดวงตาเต็มไปด้วยความตกใจ แต่ไม่ได้เอ่ยขัด เพราะเข้าใจดีว่านี่ไม่ใช่เรื่องของความแค้นส่วนตัวธรรมดา หากแต่เป็น ความยุติธรรมที่คนบาปสมควรได้รับเปรมวางถ้วยชาอย่างแผ่วเบา ก่อนจะหันมาสบตาอินตรง ๆ“ข้ารู้ว่าเจ้าหวั่นใจ แต่การลอบสังหาร เจตนาโค่นล้มอำนาจ
แสงแดดยามสายทอดผ่านหมู่เมฆลงมากระทบผิวน้ำในท่าเรือ เกลียวคลื่นเบาๆ ซัดกระทบข้างลำเรือสำเภาอย่างสม่ำเสมอ เสียงเชือกเสียดสีกับเสากระโดง สลับกับเสียงกลาสีเรือร้องสั่งงานก้องไปทั่วท่าเรือ เปรมยืนอยู่ที่หัวท่า ชุดเครื่องแบบขุนนางขอบทองดูขรึมขลัง เขากำลังไล่ตรวจตราสินค้าที่ถูกขนลงจากเรือ สำรวจบัญชีรายชื่อสินค้าจากแดนไกลพลางใช้แววตาเคร่งขรึมพินิจทุกรายละเอียดทว่ากระแสลมเย็นที่พัดมากลับนำพาบางสิ่งมาให้เขา กลาสีเรือชาววิลาทคนหนึ่งเดินตรงเข้ามาหา มอบจดหมายเก่าๆ ซองขาดปลายให้โดยไม่เอ่ยคำใด เปรมรับไว้ด้วยความสงสัย ครั้นเปิดจดหมายอ่าน ความสงบของเช้าวันนั้นก็ถูกฉีกทึ้งข้อความที่เขาได้อ่านนั้นสั้น เรียบง่าย แต่ราวกับเสียงระเบิดในอก> “รีบกลับมาดูผลงานข้าสิขอรับคุณพี่เปรม ก่อนที่มันจะตายน่ะ”เส้นเลือดที่ขมับเขาปูดพองขึ้น มือข้างหนึ่งกำกระดาษจนยับยู่ยี่ ขณะที่อีกมือแทบสั่นเทา ใจของเปรมกระโจนไปข้างหน้าเร็วกว่าความคิด เขารู้ดี ใครเป็นคนทำเรื่องนี้ได้ และมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่กล้าเยาะหยันเขาเช่นนี้ หลวงวิษณุ“รีบส่งกำลังตามจับหลวงวิษณุเดี๋ยวนี้!” เขาสั่งเสียงกร้าวกับทหารที่ติดตามมาด้วย" มันยังอยู่พ
เสียงฝีเท้าดังสม่ำเสมอบนพื้นไม้สักของตำหนักฝ่ายในเรือน เปรมเดินกลับมายังห้องพักชั้นบนอย่างเหนื่อยล้า แขนเสื้อถูกร่นขึ้นครึ่งหนึ่ง เหงื่อชื้นผุดบนหน้าผากแต่ไม่ทันได้ซับ เจ้าตัวก็ทรุดตัวลงกับเก้าอี้ไม้ฝังลายอย่างหมดแรงบนโต๊ะข้างเตียงมีจดหมายหนึ่งฉบับวางอยู่เรียบร้อย ลายมือเจ้าหนุ่มคนรักวางซองกระดาษไว้แนบด้วยใบไม้สีเขียวที่แห้งไปบ้างจากการเดินทางไกล เปรมมองมันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะแกะเปิดด้วยมือที่ยังเปรอะหมึกจากเอกสารเมื่อบ่ายเขาอ่านมันช้าๆ เงียบๆ ไม่มีใครในที่นี้รู้ว่าอินเขียนอะไรในนั้น ไม่มีเสียงหัวเราะ ไม่มีน้ำตา มีเพียงรอยยิ้มบางที่คลี่ออกบนใบหน้าของชายหนุ่มผู้เก็บงำความรู้สึกจนคนรอบตัวเรียกเขาว่า ‘คุณเปรมจอมบึ้งตึง’เปรมยกใบไม้นั้นขึ้นแนบจมูก สูดกลิ่นจาง ๆ ที่หลงเหลืออยู่พลางหลับตาลงอย่างเงียบเชียบ ก่อนจะเปิดสมุดบันทึกเก่าหนังวัว หย่อนใบมะลิลงบนหน้าหนึ่งที่ยังว่าง แล้วจดบางสิ่งไว้ด้วยลายมือเรียบร้อยเพียงไม่กี่คำ"ยังมีบ้านให้กลับเสมอ"เขามองออกไปยังท้องฟ้ากลางคืนผ่านหน้าต่าง บนฟ้าคืนนี้เต็มไปด้วยหมู่ดาว และพระจันทร์ทรงกลดก็สุกสว่างอย่างสงบ เป็นค่ำคืนที่สวยงามเกินกว่าจะเก็บไว้ในควา
หลายต่อหลายวันผ่านไปไวเหมือนโกหก เพราะวันนี้กลับเป็นวันที่ต้องส่งคนรักออกไปทำงานไกลตัวเสียแล้ว รุ่งเช้าตรู่ แสงแดดแรกของวันทอดผ่านหน้าต่างเรือนไทยส่องสะท้อนกับผืนน้ำที่สงบเงียบ เสียงไก่ขันยังไม่ทันจางหาย อินก็ตื่นขึ้นมาอย่างรู้งาน เขาเตรียมน้ำท่าร้อนอุ่นอย่างพอดี กลิ่นมะลิจากเกลืออาบน้ำที่ตั้งใจผสมด้วยมือของตนเองลอยคลุ้งทั่วห้อง อินขัดผิวและเช็ดตัวให้เปรมอย่างอ่อนโยน ทุกจังหวะของนิ้วและฝ่ามือเหมือนตั้งใจจดจำสัมผัสของคนรักไว้ในใจ“คุณเปรม…” อินพูดขึ้นในขณะที่กำลังติดกระดุมเสื้อผ้าให้ “ถ้าเดินทางไปถึงที่โน่นแล้ว อย่าลืมเขียนจดหมายมาหาผมนะครับ อย่างน้อยก็...เดือนละสองฉบับก็ยังดี”เปรมยกมือขึ้นลูบศีรษะของอินเบา ๆ “เจ้าจะไม่เขียนตอบกลับข้ารึ?”“ผมกลัวว่าจะเขียนไม่ทันคุณเปรมต่างหาก” อินแสร้งเบะปาก พลางส่งยิ้มละมุน “แค่คิดถึงก็แทบจะเขียนทุกวันอยู่แล้ว”เปรมหัวเราะในลำคอเบา ๆ ก่อนจะกดจูบลงที่หน้าผากอีกฝ่ายแผ่วเบา เป็นจูบที่เต็มไปด้วยความรัก ความห่วงใย และความเสียดายเมื่อถึงเวลาต้องไปที่ท่าเรือ อินช่วยขนของและจัดแจงทุกอย่างอย่างคล่องแคล่ว เขายกกระเป๋า ผูกเชือกมัดปากถุง เดินขึ้นลงเรือจนเหงื่
Comments