คุณหนูรองตระกูลไป๋ เสียพรหมจรรย์ในคืนที่คุณหนูใหญ่แต่งงาน และยังเป็นบุรุษที่ชังน้ำหน้านางอย่างกับอะไรดี แล้วเช่นนี้ลูกในท้องของนางจะทำเช่นไรดี !?
Voir plus'ระหว่างเขาที่หยิ่งทระนง กับนางที่เขารังเกียจ
จะเกิดความรักขึ้นมาได้อย่างไรกัน
หรือมันจะเป็นเพียงความสัมพันธ์อันเลืองรางมองเห็นเป็นหมอกควันเพียงเท่านั้นหรือ'
บทนำ
ฝันร้าย
แคว้นซิ่น เมืองหลวง ณ คฤหาสน์ตระกูลไป๋
ค่ำคืนแห่งความชื่นมื่น เสียงดนตรีดังอึกทึกกลบทุกสิ่ง ใต้เสียงนั้นมีเสียงสตรีกรีดร้องขอความช่วยเหลือ หวังว่าจะมีผู้ใดเข้ามาช่วยนางให้รอดพ้นจากเงื้อมมือปีศาจตรงหน้า แต่ทว่าเสียงนางมิอาจส่งถึงผู้ใดได้เลย
ปีศาจในคราบบุรุษเย่อหยิ่งทระนง รังเกียจเดียดฉันท์นางราวกับของสกปรก แทบไม่เคยย่างกรายเฉียดเข้าไปใกล้นางแม้แต่น้อย
แต่บัดนี้เขากำลังเอื้อมมือฉุดร่างนางเข้ามากอด ย่ำยีความบริสุทธิ์ เขาขยี้บีบเคล้นร่างกายนาง และกล่าวเรียกขานนางว่า ‘มี่เอ๋อร์’
นางนอนแน่นิ่งใต้เรือนร่างใหญ่ของเขา ไม่อาจสู้แรงขัดขืนได้อีก น้ำตาไหลอาบลงด้านข้างขมับ จ้องดวงตาดุดันที่เหมือนสัตว์ป่ากระหายเบื้องหน้าด้วยความกลัวจับใจ
ร่างกายนางถูกตรึงติดอยู่กับพื้นไม้ แรงมือเขาจับลงมาคล้ายกับว่าจะบีบแขนนางให้หัก รสจูบที่เขาบดเบียดผสมรสสุราที่ขมขื่นใจ
นางกำลังถูกบุรุษตรงหน้านี้หยามเกียรติ ให้นางเป็นตัวแทนของพี่สาวต่างมารดา เขาพร่ำเรียกชื่อมี่เอ๋อร์ด้วยความรักอย่างหมดใจ
เขาจะรู้หรือไม่ ว่าสตรีที่นอนใต้ร่างนั้นคือสตรีที่เขาใช้หางตามองนางอย่างนึกรังเกียจมาตลอด
“ข้ากลัวแล้ว...ปล่อยข้าเถิด ข้าเจ็บไปหมดแล้ว” เสียงกล่าวอย่างหวาดกลัว น้ำตาร่วงรินตกมายังหมอน
ดวงหน้างามอาบชโลมไปด้วยเม็ดเหงื่อ สองมือเกร็งจิกลงที่นอน ริมฝีปากปริออกกล่าวขอความเมตตา คำแล้วคำเล่า
ความเจ็บนี้กรีดลึกลงหัวใจ เป็นฝันร้ายที่กัดกินนางทุกค่ำคืน ความเจ็บปวดทางร่างกายเทียบไม่ได้กับความบอบช้ำทางใจ
“คุณชายจิ้นพอเถิด…อึก ฮึก ข้าเจ็บข้าเจ็บ” คำกล่าวอ้อนวอนไม่ได้ช่วยให้เขาผ่อนแรงลงแม้แต่น้อย
“เจี่ยเจียช่วยข้าด้วย...ฮือๆ” นางกรีดร้องขอความช่วยเหลือจากพี่สาว สองมือถูกมัดรวบขึ้นด้านบนด้วยผ้าม่านในศาลากลางสวน
อึก! ปล่อยข้า!…ข้าสะดุ้งกายตื่นขึ้น ผ่อนลมหายใจออกทางจมูก และหายใจเข้าออกอย่างหนักหน่วง คล้ายกับว่าก่อนหน้านั้นได้ออกแรงวิ่งทางระยะไกลมาอย่างไรอย่างนั้น
มันคือฝันร้ายที่ตามหลอกหลอนอยู่ทุกคืน เป็นเวลาเกือบหนึ่งเดือนหลังจากคืนงานแต่งงานของเจี่ยเจียกับคุณชายเยี่ย
มือทั้งสองและต้นขากระตุกสั่นไม่หยุด เหมือนกับไม้เซียมซีที่ถูกเขย่า น้ำตาไหลหยดลงมาด้วยความผวาเมื่อหวนนึกถึงเหตุการณ์นั้น ข้าไม่อาจบังคับให้ตัวเองหยุดอาการเหล่านี้ได้เลยทันที
มันทรมานเหลือเกิน แต่ละคืนต้องวนเวียนอยู่ในฝันร้าย ความเจ็บยังคงอยู่ ถึงแม้ว่าร่างกายจะหายดีแล้วก็ตามที
ข้านั่งกอดตัวเองบนเตียง กลืนน้ำลายลงคอที่แห้งเหือด ภาวนาว่าจะมีสักคืนที่ฝันร้ายนี้จะจางหายไปบ้าง
“ท่านแม่...ฮือๆ” น้ำตาพรั่งพรูออกมา เรื่องน่าอับอายและเลวทรามเหล่านี้เหตุใดต้องเกิดขึ้นกับข้า
ไฉนฟ้าถึงลิขิตกำหนดให้ข้าต้องอยู่อย่างอัปยศ ไร้เกียรติ
“ท่านแม่ให้พรลูกด้วย ให้ลูกหลุดพ้นจากความทุกข์นี้ที” นี่คือคำขอที่กล่าวมาตลอดหลายคืน แต่กลับไม่มีสิ่งใดลดทอนความทรงจำนั้นให้ดีขึ้นมาได้
สตรีที่ถูกข่มขืนนำมาซึ่งความอับอายของตระกูล ไม่ควรค่าที่จะแต่งเป็นภรรยาผู้ใด ผู้คนจะนินทา และมองมาอย่างเหยียดหยาม
ข้าจะอดทนแบกรับมันทั้งหมดได้อย่างไร...
จิ๊บๆ...เสียงนกร้องที่เข้ามาเกาะตรงขอบหน้าต่างดังปลุกทำให้ข้ารู้สึกตัวตื่นขึ้นมา เมื่อคืนนอนร้องไห้จนเผลอหลับไปยามไหนข้าเองก็จำไม่ได้ หัวหนักอึ้งราวกับมีก้อนหินอยู่ด้านใน ทอดมองเพดานเตียงและถอดหายใจออกมาอย่างเหนื่อยล้า
ในทุกๆ เช้าข้าจะมีอาการมึนและวิงเวียนที่หัว ช่วงหลังมานี้ยังมีอาการมวนท้องคลื่นเหียน ท้องไส้ปั่นป่วนอย่างบอกไม่ถูก มีอาเจียนออกมาบางครั้งบางครา สาเหตุเหล่านี้คงจะเกิดจากความเครียดและนอนน้อยกระมัง เล่นผวาตื่นมายามดึกทุกคืนเช่นนี้
กว่าจะข่มตาหลับก็ใช้เวลาสองชั่วยามได้
ข้ายันกายลุกขึ้นเดินออกไปเรียกบ่าวให้ยกน้ำเข้ามาล้างหน้าบ้วนปาก ตั้งใจว่าสายๆ จะไปนั่งเล่นในสวน ปักผ้าเย็บผ้าจะได้เลิกคิดฟุ้งซ่านเสียที ถึงแม้ว่ามันจะช่วยไม่ค่อยได้ก็ตามทีเถิด แต่อย่างน้อยๆ จะได้มีช่วงเวลาหนึ่งที่หยุดคิดถึงฝันร้ายนั่นได้บ้าง
“คุณหนูจะไปรับมื้อเช้าที่คฤหาสน์หรือในเรือนเจ้าคะ” สาวใช้ตัวน้อยเอ่ยถามผู้เป็นนาย
“สายๆ หน่อย เจ้าค่อยไปจัดสำรับมื้อเช้าให้ข้าที่ศาลาในสวนใหญ่” ข้าตอบนาง หยิบหวีขึ้นมาแปรงปลายผมที่พันกัน พินิจมองใต้ตาที่บวมแดงจนเห็นได้ชัด
เฮ้อ...สภาพดูไม่ได้เลย เหตุใดต้องเป็นข้าผู้เดียวที่ทนทุกข์จากการกระทำของเขา บุรุษคนนั้น! สมควรถูกแช่งไม่ให้ตายดียิ่งนัก!
“คนเลวทราม หากเวรกรรมมีจริง ขอให้ท่านทนทุกข์ยิ่งกว่าข้าสองเท่าสามเท่า!” ข้าลั่นวาจาสาปแช่งออกมา ภาวนาให้คำกล่าวนี้สัมฤทธิผล จะช้าจะเร็วก็ขอให้เขาพบเจอในชาตินี้
พอสายๆ ก็จัดเตรียมให้บ่าวขนผ้าและอุปกรณ์ตัดเย็บไปยังศาลา วันนี้อากาศค่อนข้างสดชื่น ไม่ร้อนไม่เย็นมากเกินไป เหมาะแก่การนั่งจิบชา ปักผ้าให้สบายใจมากนัก
ข้านั่งสูดอากาศดมกลิ่นหอมของดอกกุหลาบที่เริ่มโรยราผลัดกลีบลงพื้นอบอวลภายในสวนแห่งนี้ เสียงนกร้องยามสาย สายลมอ่อนๆ ล้วนแต่เป็นยาปลอบประโลมให้หัวใจรู้สึกผ่อนคลายลงได้บ้าง
“คุณหนู สำรับมื้อเช้ามาแล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้เดินถือสำรับตรงเข้ามาในเรือน และวางลงบนตรงโต๊ะหิน ก่อนจะเปิดฝาออกทีละถ้วย
“เอามาหลายอย่างเชียว มีแต่ของมันๆ ทั้งนั้น นี่เจ้าต้องการให้ข้าอ้วนรึ” ข้ากล่าวบ่นสาวใช้ออกไป อาหารเช้าควรที่จะเป็นอะไรเบาๆ มิใช่ขาหมูตุ๋นน้ำผึ้ง แป้งทอด ซาลาเปา นกกระทาอบดิน ดูหนังของมันเข้าสิ! มันเยิ้มด้วยน้ำมันซึมออกมาจนมิน่ากิน
“ขะ ขออภัยด้วยเจ้าค่ะ บ่าวเพิ่งมาใหม่” สาวใช้ตอบน้ำเสียงเลิ่กลั่ก ก้มหน้างุดจนปลายจมูกทิ่มเข้าอก
“ข้าวต้มกับปลาป่นก็พอ ไปเอามาใหม่” ข้ากล่าว ยกมือโบกไล่นางให้ไปเอามาอีกรอบ
“เหตุใดน้ำเสียงถึงเป็นเช่นนั้น” ข้าหันหลังกลับไปมอง พลันก็เห็นหมอเจิ้งที่ยืนอยู่สวมใส่อาภรณ์สีฟ้าของหมอหลวงสนทนากับหมอหลวงอีกสามคนตรงมุมของสวน พวกเขาทั้งสามสนทนากันด้วยสีหน้ายิ้มแย้มสงสัยจะสนทนากันสนุกไม่น้อย หมอเจิ้งถึงได้ยิ้มกว้างออกมาเช่นนั้น...ข้าละความสนใจจากเขามามองเสี่ยวเมิ่งต่อ“ฮูหยินน้ำตกตรงนั้นสวยมากนัก พวกเราไปดูใกล้ๆ กันเถิดเจ้าค่ะ” เสี่ยวเมิ่งกล่าวเสียงฉะฉาน ชี้นิ้วไปด้านหน้าเพื่อหลบเลี่ยงจะตอบคำถามก่อนหน้านี้“สวยจริงด้วย...” ว่าแล้วก็สาวเท้าเดินไปชมมันใกล้ๆ เสียหน่อยด้านล่างน้ำตกมีบัวน้อย ปลาน้อยหลากสีแหลกว่ายอยู่ด้านใน พลันพอเมื่อถึงคิมหันตฤดูจะได้ให้ความรู้สึกเย็นสบายตา และให้ความรู้สึกสบายผิวเมื่อชมสวนจนอิ่มใจ สูดอากาศมากพอแล้ว ก็ถึงครากลับเข้างานเลี้ยง เพราะนี่ก็ออกมาได้สามเค่อแล้ว และเป็นจังหวะเดียวกันที่ข้ากำลังเดินกลับเข้าไปงานเลี้ยงก็เจอเข้ากับกลุ่มหมอหลวงที่กำลังเดินเข้าไปพอดิบพอดี“ฮูหยินไป๋” เจิ้งเหรินอี้กล่าวทักทายอย่างเป็นมิตร และเรียกขานนางตามสถานะในยามนี้“หมอเจิ้ง” ข้าเอ่ยเรียกเขาอย่างดีใจก้มหัวลงเล็กน้อย“ไม่คิดว่าจะเจอกันในงานเลี้ยง ว่าแต่ท่านสบายด
พอถึงเวลาออกเดินทาง ข้าก็เดินไปหน้าจวน โดยมีเสี่ยวเมิ่งติดตามเข้าวังหลวงไปด้วยในวันนี้ มิใช่คราแรกที่เคยเข้าวังหลวง สมัยยามเด็กก็เคยนั่งรถม้าติดเข้าไปกับเจี่ยเจียด้วย จึงไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอันใดมากมายข้ามองเห็นแผ่นหลังใหญ่ในชุดสีม่วงเข้มกลมกลืนกับสีผิวสองสีที่ค่อนไปทางเข้มของคุณชายจิ้นยามนี้ เขานั่งอยู่บนหลังม้าสีดำ นำอยู่ด้านหน้ารถม้าที่ข้ากำลังจะเดินขึ้นไปด้านใน จึงมิรู้ว่ายามนี้เขาแสดงออกทางสีหน้าแบบไหนรถม้าเคลื่อนตัวออกจากจวน ข้าก็เลิกผ้าม่านขึ้นมองภาพบรรยากาศสองข้างทางอย่างรื่นรมย์ ยามเย็นเริ่มมีหมอกลงบางเบา มองเห็นเป็นสีขาวมัวๆ เพียงเล็กน้อยเท่านั้น มันอาจจะไม่ใช่หมอก อาจจะเป็นไอระเหยจากกระทะร้านรถเข็นข้างทาง หรือเป็นไอร้อนจากจอกชาที่ผู้คนยกดื่มความรู้สึกเย็นชื่น ผสมกับความรู้สึกอุ่นๆ ที่ลอยขึ้นจากพื้นถนนทะลุเข้ามาในรถม้าที่นั่งอยู่ ทำให้รู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูกเมื่อจัดสวนเสร็จข้าตั้งใจว่าจะลองฝึกทำอาหารดูเสียน้อย...พิณ ชงชา หมากล้อม กวี ทุกอย่างล้วนเรียนมาตั้งแต่เยาว์วัย เหลือทำอาหารก็น่าสนใจอยู่ไม่น้อย หากทำตัวยุ่งๆ อยู่ตลอดยาม ความหนักอกหนักใจทั้งหลายก็ทุเลาลงมาบ้างห
“จริงรึ!” ข้าเอ่ยขึ้นอย่างดีใจ ยิ่งมันน่ารักมากเท่าไร นับว่ายิ่งดีมากเท่านั้นข้ารับกล่องไม้นั้นขึ้นมาเปิดออก พินิจมองของที่วางเอาไว้ด้านใน และหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่“ฮ่าๆ”เสี่ยวเมิ่งที่ได้ยินเสียงหัวเราะก็ยิ้มตามเสียงหัวเราะนั่นไปด้วย นางหลุบตามองของด้านใน และลองจินตนาการเป็นภาพทับซ้อนของจิ้นฝานในหัว“เหลือเสื้อคลุมตัวนอกเท่านั้นเจ้าค่ะ ข้าแวะไปถามความคืบหน้ามาแล้วว่า ต้องรออีกแปดวันถึงจะเสร็จดี” เสี่ยวเมิ่งรายงานอีก“เจ้านี่ทำงานได้ดีจริงๆ” ข้ายื่นมือไปตบบ่านาง และเอ่ยชมอย่างถูกใจในความรู้งานนี้ นับว่าเจี่ยเจียเลือกบ่าวมาได้ดีถูกใจข้านักส่วนจิ้นฝานที่นั่งประชุมขุนนางในโถงพระโรง พลันก็รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ตรงหลังขึ้นมาเสียดื้อๆ ความรู้สึกนี้มันทำให้เขารู้สึกขนลุกแปลกๆ เขายกมือขึ้น ดึงคอเสื้อออกเล็กน้อยให้หายใจคล่องคอเข้าวันที่สี่ ข้าไปยกน้ำชาตอนเช้า อยู่ร่วมทานอาหารมื้อเช้าพร้อมกับท่านแม่และท่านย่ารอง ส่วนคุณชายจิ้นก็เป็นเวลาสามวันแล้วที่ไม่ได้พบหน้าเขา เพราะติดงานราชการจึงกลับจวนดึกดื่นทุกวัน“ว่าแต่หลานสะใภ้มิกลับไปเยี่ยมตระกูลรึ...” ฮูหยินเฒ่าที่นั่งวางท่าบนเก้าอี้วางจอกชาลง
เฮ้อ...ก่อนหน้านี้คงจะรีบร้อนไปหน่อย ไม่ได้สำรวจความเรียบร้อยให้ดี จึงใส่ต่างหูเปื้อนดินให้อับอายเช่นนี้ทางด้านจิ้นฝานเดินถือตะเกียงเข้าห้องทำงาน นั่งลงอ่านรายงานที่ได้รับวันนี้จากซิ่นสืออย่างถี่ถ้วน ดวงหน้าค่อนไปทางดุดันมีสีหน้าราบเรียบได้แปรเปลี่ยนไปทางเคร่งขรึมขึ้นมาเล็กน้อยเพียงครู่เดียวเท่านั้น พลันก็มีเงาคนมาปรากฏทางหน้าต่างอย่างเงียบเชียบ“คุณชายจิ้น อีกครึ่งชั่วยามเจอที่หอโคมแดงขอรับ” เสียงอันเย็นเฉียบดังมาพร้อมเสียงหวีดของสายลม“หลิง...” จิ้นฝานเลิกคิ้วขึ้น หันหน้าไปมองดวงหน้ามนของหนุ่มน้อย“ขอรับ” หลิงนับคำ“ข้าทราบแล้ว” จิ้นฝานตอบรับอย่างเข้าใจหอโคมแดงจิ้นฝานควบม้าออกจากจวนตามหมายเชิญของสหาย ขึ้นไปยังชั้นบนสุด ที่สามารถมองเห็นทิวทัศน์ได้ทั่วเมืองหลวง สาวงามมากมายต่างแหวกทางออกให้เขาเดินได้สะดวกมากขึ้น เป็นที่รู้กันว่าเขานั้นไม่ได้มาเที่ยวสตรี แต่มาหาสหายคนสนิทที่นัดหมายมานั่งที่นี่เป็นประจำ“เสี่ยวสือ มี่เอ๋อร์...เอ่อ ฮูหยินใหญ่” จิ้นฝานเอ่ยทักคนทั้งสองอย่างแปลกใจ เลื่อนตาไปมองเยี่ยเปาที่นั่งร่วมโต๊ะด้วย“เสี่ยวฝานรีบเข้ามานั่ง” ไป๋มี่อิงเร่งรัด ยามนี้นางมิอาจอยู่ได้นาน
ค่อนข้างมีความรู้สึกช้าเหมือนบิดาของเขา และกล่าวบอกว่าอย่าได้โกรธเคืองบุตรชายนางนานเลย ข้ามิได้โกรธ แค่นอนสาปแช่งเขาก่อนนอนทุกคืนก็เท่านั้นเองข้าเดินมาถึงทางเข้าเรือน ยืนมองบ่าวขนต้นไม้เข้าไปวางไว้ในสวนในเมื่อเรือนนี้คุณชายจิ้นยกให้แล้ว ก็มิจำเป็นต้องขออนุญาตก่อนกระมัง“คุณหนูนั่งพักตรงระเบียงก่อนเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวบ่าวไปหยิบจอบอันเล็กมาให้” เสี่ยวเมิ่งพยุงนายหญิงมานั่ง จัดเบาะเอาไว้ใต้ก้น ก่อนจะวิ่งเข้าไปในเรือนอย่างกระฉับกระเฉงบ่าวที่ทำการขนต้นไม้ดอกไม้เสร็จแล้วนั้นก็เดินมาหาฮูหยินที่นั่งอยู่ตรงระเบียง พลางลอบมองด้วยความสนใจ สตรีรูปร่างบางเป็นถึงขั้นฮูหยินชมชอบปลูกดอกไม้ จับจอบจับดินให้มือแตกเสียอย่างงั้น นับว่าแปลกนัก“บ่าวขนหมดแล้วเจ้าค่ะ” บ่าวน้อยกล่าวบอกอย่างนอบน้อม“ขอบใจมาก หมดธุระแล้วก็ไปเถิด” ข้ากล่าวบอกพวกนางทั้งสี่คนที่ยืนวางมือบนหน้าขา ก้มหน้าอยู่“เจ้าค่ะ” พวกนางทั้งหมดยอบกายลง และเดินออกจากเรือนซือซือไปข้าลุกขึ้นไปยืนดูดอกไม้ด้วยความสุข และเดินสำรวจสวนด้านข้างและด้านหน้าเรือนไปด้วย พลางวางผังคร่าวๆ เอาไว้ในหัว ว่าต้องการจัดสวนแบบไหนทางซ้ายด้านหน้า น่าจะลงต้นไผ่ทองด้า
ปลักษณ์ภายนอกของนางไม่“เจ้าค่ะท่านพี่” ฮูหยินหม่านรับคำด้วยสีหน้ามีความหวังเมื่อย้อนความมาถึงอดีตแล้วนั้น ก็ควรจะย้อนความไปอีกเล็กน้อย เพื่อกล่าวถึงตระกูลไป๋ให้กระจ่างมากขึ้น ต้นตระกูลของไป๋ซิงหนี่ว์ คือตระกูลไป๋ ไป๋ที่แปลว่าสีขาว แต่ทว่าสีประจำตระกูลกลับเป็นสีดำล้วน ผู้ก่อตั้งคือบุรุษเก็บวิญญาณที่เหล่าคนตระกูลไป๋ได้ขนานนามไว้ หรือที่เป็นที่รู้จักกันดีคือเทพกึ่งปีศาจที่ถูกเรียกขานว่า จงขุยความน่ากลัวและเบื้องลึกมิใช่มีเพียงเท่านี้ ตระกูลนี้เป็นอันดับหนึ่งในสิบตระกูลมหาอำนาจในยุทธภพผู้นำหอหลิวลี้คนปัจจุบันคือ ไป๋มี่อิง ผู้บัญชาเหล่าดวงวิญญาณที่ทำพันธะ หารายได้จากการขายข่าวและข้อมูล อีกทั้งยังเปิดโรงเตี๊ยมทั่วแผ่นดิน ทุกหัวเมืองจะมีโรงเตี๊ยมตระกูลไป๋ตั้งอยู่ความหลังก็เป็นประการเช่นนี้ จึงเป็นเหตุให้สองสามีภรรยารีบทำการสู่ขอไป๋ซิงหนี่ว์เข้ามาในจวนอย่างเร่งด่วน มิเช่นนั้น พญามัจจุราชอาจจะมาเยือนที่จวนตระกูลจิ้นก่อนถึงเวลาอันควรฮูหยินเฒ่าบีบมือเข้ากับที่วางแขนมองตาเขียวไปทางหลานสะใภ้ มิรู้ว่าเหตุใดสตรีสมัยนี้ถึงทำตัวใจง่ายกันเช่นนี้ มิคิดถึงชื่อเสียงตระกูลหรืออย่างไรกัน“อาเซ่าอาหม่า
Commentaires