เข้าสู่ระบบเมื่อบุปผาต่างขั้วสลับร่างเปลี่ยนวิญญาณ กายผสานกับวิญญาณที่เปลี่ยนผันจะมอบคืนวันอันสงบสุขได้อย่างไร?
ดูเพิ่มเติมเป้าหมายในการมีชีวิตอยู่คืออันใด
ไฉนตัวข้าผู้นี้ถึงไม่มี
แค่อยากชีวิตดี มีคนที่รักสักคน เหตุใดจึงยากเย็น
ไร้สหาย สิ้นคนรักข้างกาย ไม่มีผู้อาวุโสพึ่งพิง
ชีวิตนี้ว่างเปล่าเกินทน
ทุกวันอ้างว้าง ไร้แรงกำลังอยู่ต่อจริงๆ
สวีหลิงเยี่ยน
แคว้นต้าอันยิ่งใหญ่ สงบและรุ่งเรืองแห่งนี้ จักรพรรดิจ้าวเฉวียนให้ความสำคัญการร่ำเรียนอ่านเขียน มิแบ่งแยกชายหญิง
ทั่วแคว้น บุรุษสตรีเท่าเทียม มีสิทธิ์ได้เรียนรู้เท่ากัน ล้วนได้รับการขัดเกลา ร่ำเรียนและฝึกฝนศาสตร์ทุกแขนงจากสำนักศึกษาที่ก่อตั้งทั่วดินแดน
ผู้คนในทุกช่วงวัยจำต้องมีวิชาความรู้ติดกาย ถึงจะเรียกว่าได้ดีมีคุณธรรมค้ำจุนใต้หล้า
บุตรที่ขยันอดทนหมั่นพากเพียรมิหยุดหย่อน ย่อมได้รับการยกย่องเชิดชู ภายหน้าเติบใหญ่จะได้ดี มีสิทธิ์เข้ารับราชการเป็นขุนนางชายขุนนางหญิงผู้เลื่องลือ มียศถาบรรดาศักดิ์ เจริญรุ่งเรืองไม่สิ้นสุด
สำนักศึกษาชิ่นหลัน
สตรีนางหนึ่งก้มหน้าหลุบตาขณะค่อยๆ เดินผ่านกลุ่มสหายร่วมเรียนอย่างเงียบเชียบ สงบเสงี่ยมเจียมตัว ทว่าไม่เป็นผล เมื่อคนทั้งกลุ่มหันมามองนาง แววตาเหล่านั้นคล้ายรังเกียจเดียดฉันท์ สตรีผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างหยามหยัน
“หากวันนี้มิใช่เพราะคุณหนูไร้ค่าไม่ได้เรื่องอย่างเจ้า พวกเราอาจชนะการแข่งขันร่ายรำเพลงพิณก็เป็นได้”
ร่ายรำเพลงพิณนับเป็นศาสตร์สตรีที่สูงส่งมิต่างจากร่ายรำเพลงกระบี่ในวิชาต่อสู้ของเหล่านักรบที่ถูกยกย่องเป็นวีรบุรุษ
อีกคนเอ่ยเสริม “ใช่ ไฉนท่านอาจารย์ซ่งต้องให้เจ้ามาเข้ากลุ่มกับพวกข้าด้วย หากไม่มีเจ้าเป็นตัวถ่วง พวกเราชนะไปแล้ว”
“นั่นสิ บรรเลงพิณก็ไม่ได้ ออกท่าเริงระบำยังหกล้ม พาทุกคนลงไปกองกับพื้นจนหมด น่าอายนัก การจับกลุ่มวันนี้ อาจารย์ซ่งบอกว่ามีผลจนกว่าจะหมดวิชาเรียนฤดูร้อน นอกจากวิชาพิณกับร่ายรำ พรุ่งนี้ต้องวาดภาพต่อกลอนอีก ข้าคิดว่าพวกเราต้องแพ้ราบคาบจนไม่ได้เลื่อนระดับแน่ หากยังมีคุณหนูสวีผู้ไร้ประโยชน์อยู่ในกลุ่ม”
สตรีชุดฟ้าที่นิ่งเงียบอยู่นานเดินเข้ามาผลักไหล่
“นี่! สวีหลิงเยี่ยน พรุ่งนี้ไม่ต้องมาเรียนที่ก็ดีนะ ข้าเห็นท่าทางอ่อนแอไร้เรี่ยวแรงเหมือนซากศพเดินได้กับใบหน้าจืดชืดซื่อบื้อเหมือนคนไร้สมองของเจ้าแล้ว รู้สึกทนไม่ไหวจริงๆ อยากจะอาเจียน!”
เจ้าของนามได้ยินชัดทุกคนแต่ยังคงเงียบงัน ก้มหน้ามิกล้าสบตาท่าทีเต็มไปด้วยอาการตกประหม่าขลาดเขลาและไม่มั่นใจ
คุณหนูชุดเขียวเริ่มทนไม่ไหว นางเข้ามาผลักหน้าอกจนสวีหลิงเยี่ยนล้มตึง “ได้ยินหรือไม่? พรุ่งนี้ไม่ต้องโผล่หัวมาให้พวกเราเห็นหน้าอีก จะไปตายที่ไหนก็ไป”
“ข่ะ ข้าขอโทษ” สวีหลิงเยี่ยนค่อยๆ เอ่ยอย่างกล้าๆ กลัวๆ ทว่าหนักแน่น “ต่อไปข้าจะพยายามให้มากกว่านี้ จะทำให้ดีขึ้นแน่นอน พวกเจ้า ได้โปรดให้อภัยข้าเถิดนะ”
“เฮอะ! ให้อภัยหรือ? ชิ! ไร้ค่าจริงๆ”
ทุกคนสบถขณะพากันเดินจากไป
หลิงเยี่ยนเม้มปากน้ำตาคลอ ยกมือที่มีเลือดซิบเพราะถูกผลักจนล้มเมื่อครู่ขึ้นดู
ฝ่ามือนี้เคยช่วยสหายผู้หนึ่งเอาไว้ตอนอีกฝ่ายกำลังเดินเล่นอย่างซุกซนแล้วสะดุดล้ม นางรับแรงกระแทกนั้น จนกระดูกนิ้วบาดเจ็บเรื้อรัง มิอาจบรรเลงพิณได้สะดวก
จ้าวหมิงอวี่ปรายตามองฟ่านเจิ้งอย่างเย็นชา ทำเอาฟ่านเจิ้งตกใจ เขารีบพูดแก้ “นางคงไม่ได้มอง ข้าคิดไปเอง”ฝ่ายจ้าวหมิงอวี่ เขาจิบชานิ่งๆ ท่าทางคล้ายไม่ใส่ใจ ทว่าในแววตากังขาเผยความหงุดหงิดไม่ชอบใจออกมาชายหนุ่มหันไปสั่งเสียงต่ำเย็นชา “ฟ่านเจิน”“เพคะ”“ไปจับตาดูพวกเขา ไม่แน่คืนนี้อาจติดต่อกัน”ราตรีเย็นเยียบ รอบด้านเงียบสงัด ภายในเรือนหงซิ่ว ตะเกียงในห้องถูกดับไปนานแล้ว เสี่ยวปานอนหลับลึกเสมือนซ้อมตายนานแล้วเช่นกันหลิ่งหลินเองก็กำลังหลับสบาย คล้ายซ้อมตายอีกคน นางกำลังดำดิ่งห้วงฝันอันลึกล้ำ ในฝัน หลิ่งหลินกำลังยืนประจันหน้ากับสวีหลิงเยี่ยนใช่! เป็นสวีหลิงเยี่ยนตัวจริง ทว่าไม่นาน อีกฝ่ายก็กลายเป็นหลิ่งหลินและหลิ่งหลินก็กลายเป็นสวีหลิงเยี่ยนพวกเราสลับร่างกัน! หลิ่งหลินบอกไม่ถูกว่าควรโล่งใจหรือกังวลใจดีที่แท้ร่างของนางยามนี้ไม่ใช่เจียเย่ลูกน้องทรยศ ทว่าเป็นสวีหลิงเยี่ยนที่สัตย์ซื่อแต่อ่อนแอแทนจากนั้นภาพก็ตัดมาที่หลิ่งหลินกำลังห้อตะบึงม้าคู่ใจ ชุดสีแดงสดบนหลังม้าทำให้นางองอาจผึ่งผายเกินบรรยาย นางง้างธนูสุดสาย ยิงนกเหยี่ยวตัวใหญ่ยักษ์บนฟ้าตายตกทีละสิบตัว เลือดสดๆ สาดกระจาย สัตว์ปีก
เมื่อถึงเวลาเรียน ทุกคนก็นั่งเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่ละคนกลายร่างเป็นบัณฑิตตัวน้อยผู้รอคอยเพียงศึกษาเล่าเรียนหาความรู้เท่านั้นบรรยากาศในชั้นเรียนกลายเป็นเคร่งเครียดจริงจัง ไม่มีแล้วกิริยาไม่สำรวมเฉกเช่นเมื่อวันก่อน กระนั้นเมื่ออาจารย์หนุ่มผู้หนึ่งเดินเข้ามาปรากฏตัว บรรยากาศในห้องพลันเปลี่ยนไปอีกครา ดวงตาบรรดาสตรีเต็มไปด้วยแววแช่มชื่นมีชีวิตชีวา พวกนางต่างพากันจับจ้องเจ้าของร่างสูงสง่านั้นไม่วางตา ไม่เว้นแม้แต่หลิ่งหลิน เพียงแต่สาเหตุที่นางมองมิใช่ต้องการชื่นชม หากแต่เป็นพินิจพิจารณา หาจุดเชื่อมโยงกับผู้มาเยือนถึงเรือนของสวีจงสือในราตรีนั้นท่านอาจารย์ผู้ที่เข้ามาคือไป๋มู่เจ๋อ บุรุษผู้หล่อเหลา มีรอยยิ้มละมุนประดับใบหน้าตลอดเวลา เขาสวมชุดสีขาวปักลายเมฆสีเงินแลดูสุขุมเรียบง่าย สง่างามสมเป็นสุภาพชน ศิษย์หญิงแทบทุกคนในชั้นเรียนรู้สึกชมชอบเขามากกว่าองค์ชายสี่ ควรต้องทราบว่าจ้าวหมิงอวี่รูปงามกว่าแต่กลับไม่น่าเข้าหาสักเท่าใด มิใช่เพราะเขาสูงศักดิ์จึงทำให้มิกล้าเข้าใกล้ แต่เป็นเพราะเขาเย่อหยิ่งเย็นชาแผ่กลิ่นอายชวนเหน็บหนาวออกตลอดเวลาปานนั้น ทั้งยังเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่มีท่วงท่าน่าเกรงขาม ต
พ้นหุบเขาซับซ้อนคือหมู่บ้านจินซานเป็นทางผ่านก่อนเข้าตัวเมืองเซียนหยาง ระหว่างทางเป็นป่าเขารกร้าง ห่างจากเมืองหลวงมากโขขบวนเดินทางขององค์ชายรองจ้าวจื่อหวนมิใหญ่โต ทว่ากลับทำตัวยิ่งใหญ่คับแผ่นดิน กระทั่งงูเจ้าถิ่นยังอยู่มิได้ “หัวหน้าหมู่บ้านถูกฆ่าตัดคอไปแล้ว ทำอย่างไรดี” ชาวบ้านคนนั้นถามเสียงเครือ อกสั่นขวัญแขวนไม่หาย“เหตุใดต้องฆ่ากันด้วยเล่า” คนฟังถามกลับร้อนรนคนเดิมเล่าทั้งน้ำตา “เพราะหัวหน้าหมู่บ้านขัดขวางขบวนเดินทางของผู้สูงศักดิ์ปริศนามิให้เข้าหมู่บ้านเราปะไร”ไม่มีใครรู้ว่าขบวนผู้มาเยือนเพียงผ่านทางคือใคร และเหตุใดต้องผ่านโดยการเข้ามาในหมู่บ้านเช่นนี้ พวกเขาทำเพียงสังเกตจากรถม้าคันใหญ่หรูหราดั่งเรือนเคลื่อนที่ได้ แค่คนติดตามยังสวมเสื้อผ้าเนื้อดีราคาสูงลิ่วจึงพากันเรียกว่าเป็นผู้สูงศักดิ์ปริศนา ทว่าการกระทำช่างกักขฬะต่ำช้ายิ่งนัก พวกมันพากันฉุดคร่าเด็กสาวหน้าตาดี นำไปบำเรอคนสูงศักดิ์ในรถม้านั่นทุกคืน “เมื่อไรจะเคลื่อนขบวนไสหัวผ่านไปเสียที ชั่วร้ายนัก” คำด่าทออันรุนแรงนั้นช่างเบาแสนเบา ไม่กล้าให้ผู้นั้นได้ยินบนรถม้าคันใหญ่ ภายในกว้างขวาง ผนังคล้ายเคลือบทองงามอร่ามอย่างไม่กล
ทว่าเพียงครู่ เขาค่อยๆ คลายมือออก ยกมุมปากยิ้ม กล่าวอย่างสุภาพต่ออีกว่า “พอกระหม่อมได้รับข่าวว่าพระองค์บาดเจ็บกลับมาก็ให้นึกห่วงใยยิ่งนัก จำต้องเร่งเข้าเมืองหลวงมาดูใจ”คำว่าดูใจใช้กับคนใกล้ตายมิใช่หรือไร? ฟ่านเจิ้งมือกระตุกกระชับดาบอีกรอบ แต่พอเห็นสายตานายเหนือหัวก็ได้แต่กัดฟันอีกคราไป๋มู่เจ๋อทำหน้าเหลอหลา ไร้ความเคารพยำเกรง “อ่า...ไม่สิ ไม่ใช่! กระหม่อมพูดผิด กลับมาดูแลต่างหาก เห็นหรือไม่? กระหม่อมถึงขนาดเสนอชื่อตัวเองเข้ามาเป็นอาจารย์สอนวิชาศาสตร์ต่างๆ ให้พระองค์ หวังว่าจะตั้งใจศึกษาเล่าเรียน ไม่พิกลพิการเพราะถูกตีซ้ำพ่ะย่ะค่ะ”จ้าวหมิงอวี่ยังคงสงบเยือกเย็น “รีบมาเถิด ข้ารออยู่”“กระหม่อมจะทุ่มเทสอนสั่งอย่างสุดฝีมือพ่ะย่ะค่ะ”“ตามใจเจ้าเถอะ หวังว่าจะไม่แพ้ภัยตัวเองเสียก่อน”จ้าวหมิงอวี่กล่าวเสียงต่ำ หรี่ตาลงอย่างท้าทาย ในขณะที่ดวงตาไป๋มู่เจ๋อมีประกายหมายมาดดุดันทั้งเย็นชาและอาฆาตไม่ปกปิด ริมฝีปากบางแค่นยิ้มเย็นเชือดเฉือน ทุกกิริยาวาจาของไป๋มู่เจ๋อแสดงออกอย่างผ่าเผยและเถรตรงในความรู้สึกอย่างมิซ่อนเร้นไม่ว่าแค้นเคืองหรือตัดพ้อล้วนเผยออกมาจนสิ้นเขาประสานมือคำนับตามฐานะแล้วสะบัดแ
“นั่นปะไร ทางไปเรือนหมิงอัน พอเห็นตัวจริงแล้ว ยิ่งชัดเจนว่ารูปงามราวกับเซียน” คุณหนูมีความคิดเช่นนั้นในขณะที่คุณชายคิดต่างไป ผู้แซ่เติ้งสงสัย “ไปเรือนหมิงอัน? คงไปทักทายองค์ชายสี่กระมัง”“พวกเขาสนิทสนมกันหรือ?”“แน่นอนอยู่แล้ว” คุณชายผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น “ข้ารู้มาว่าบิดาผู้ล่วงลับของอาจารย์ไป๋มู่เคยเป็นแม่ทัพใหญ่รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับองค์ชายสี่มาก่อน”“อ้อ...เช่นนี้นี่เอง”หลิ่งหลินเองก็ลุกขึ้นมามอง อยากรู้อยากเห็นเช่นกัน นางเห็นเป็นบุรุษวัยฉกรรจ์ ผิวขาว ใบหน้าหล่อเหลาพอควร รูปร่างสูงยาวสมส่วน โดยรวมนับว่าสง่างามอยู่มาก แต่หากเทียบกับจ้าวหมิงอวี่ที่อายุน้อยกว่า...อืม คิดว่าภายหน้าเมื่อจ้าวหมิงอวี่อายุมากขึ้นเทียบเท่าไป๋มู่เจ๋อยามนี้ ย่อมรูปงามกว่าถึงห้าส่วน ในสายตาของหลิ่งหลิน ไม่ว่าใครหล่อเหลาปานใด แต่จ้าวหมิงอวี่รูปงามที่สุดเรือนหมิงอันฟ่านเจิ้งลุกขึ้นมายืนขวางทันทีเมื่อเห็นผู้มาเยือนจ้าวหมิงอวี่ที่ยืนคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่ริมหน้าต่างปรายตามองนิ่งๆ “ให้เขาเข้ามา”ฟ่านเจิ้งจึงค้อมศีรษะหลบไปยืนด้านข้างอย่างสงบไป๋มู่เจ๋อมิได้ถือสาท่าทางโอหังของฟ่านเจิ้งแม้แต่นิด เพราะเขาจะโอหังยิ
“ข้าอยากอุ่นเตียง”“จ่ะ เจ้า” ฟ่านเจิ้งอึ้ง “ฮึ! ข้าจะไปเผาเตียงซะ”“พี่ใหญ่ใจร้าย”สองพี่น้องเถียงกันไปมาแทบจะตีกันเหมือนทุกวัน ครั้นถึงคราวจริงจังก็กลับมาสุขุม“องค์ชาย มีรายงานเข้ามาว่าไป๋มู่เจ๋อเสนอชื่อเข้ามาประจำในตำหนักหมิงเฟิ่งแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ฟ่านเจิ้งว่า “บางที สวีหลิงเยี่ยนอาจรอเวลานี้” “ใช่ๆ ขอเพียงฝ่าบาทเห็นชอบ ย่อมเปิดทางให้เสือเข้ามาจับเหยื่อตัวอวบอ้วนถึงที่นี่” ฟ่านเจินเริ่มกังวล “องค์ชาย พวกเราหาวิธียับยั้งได้หรือไม่เพคะ”จ้าวหมิงอวี่ไม่รู้คิดอะไรอยู่ แววตาถึงได้เยือกเย็นนัก เขาเอ่ย “เมื่อเสด็จพ่อทรงรื่นรมย์กับการลับคมมีดให้โอรส ผู้ใดควรมาก็มาเถอะ”ฟ่านเจินว่า “องค์ชาย ให้หม่อมฉันเข้าไปแฝงตัวในเรือนพักของนางเถิด จะได้คอยจับตาดูตลอดเวลา พวกเขาต้องติดต่อกันแน่เพคะ”จ้าวหมิงอวี่โบกมืออนุญาตด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก เขาไม่อยากคุยเรื่องสวีหลิงเยี่ยนอีก นางอาจจะเหมือน ...แต่ก็เป็นเพียงบุคลิกนิสัย ถึงอย่างไร ก็ไม่ใช่คนเดียวกัน...ในชั้นเรียนวันนี้เรียกดวงตาของบรรดาศิษย์หญิงให้กระจ่างพร่างพราวปานนั้นเพราะอะไรน่ะหรือ?“เพราะมีอาจารย์คนใหม่เข้ามาน่ะสิ นามว่าอะไรนะ ไป๋












ความคิดเห็น