เข้าสู่ระบบ"ในเมื่อพ่ออยากให้แต่งงานกันนัก งั้นก็เอาบอดี้การ์ดทำผัวไปเลยแล้วกัน" ++++++++++++++++++++ ชีวิตของคุณหนู รุณสา เอกเดชาพิพัฒน์ ไม่มีอะไรง่าย แม่และตาที่เป็นที่พึ่งเดียวเสียชีวิต พ่อฮุบบริษัทตาซ้ำยังมีลูกกับเมียน้อย เธอเลยต้องเอาทุกอย่างคืนมาโดยความช่วยเหลือจากบอดี้การ์ดที่ผันตัวจากมิตรไปเป็นศัตรู ++++++++++++++++++++ "นายช่วยเข้ามาใกล้ๆ หน่อยได้ไหม ฉันรู้ว่ามันงี่เง่า ฉันรู้ว่านายเกลียดฉัน แต่เข้ามาใกล้ๆ ที"
ดูเพิ่มเติม[Reinist’s part]
สนามบินสุวรรณภูมิ
บริเวณประตูทางออกหมายเลข 10 มีความวุ่นวายเกิดขึ้นเล็กน้อย ผู้คนต่างพากันป้องปากซุบซิบแล้วมองมายังจุดนี้เป็นตาเดียว บ้างก็นินทา บ้างก็ชื่นชม บ้างก็เดาไปต่างๆ นาๆ ว่ายัยคนสวยขายาวสวมเดรสสีแดงสดและรองเท้าส้นเข็มสูงปรี๊ดซ้ำยังมีชายชุดดำเดินตามถึงสองคนคนนี้คือใคร
ฉันเริ่มจะชินซะแล้วล่ะกับสายตาพวกนี้ที่มองมา ในฐานะของคุณหนู รุณนสา เอกเดชาพิพัฒน์ ทายาทรุ่นต่อไปของ AC-Groups ชื่อบริษัทที่ครอบครองธุรกิจหลากหลายประเภทจนคนชินตา การถูกจ้องมองด้วยสายตาแบบนี้เป็นเรื่องปกติมากๆ
แต่ผู้คนที่นี่อาจไม่ได้มองเพราะชื่อเสียงของฉัน เพราะผู้หญิงชุดแดงหาที่ไหนก็หาได้ แต่คนที่หุ่นดีขาเรียวยาวซ้ำยังรูปร่างเข้ากับการดีไซน์ของชุด แล้วยังมีผิวขาวที่โดดเด่นรับกับชุดสีทับทิมนี่เป็นอย่างดี จะมีสักกี่คนกัน
แต่ว่านะ...ใต้ความสวยชีวิตฉันก็มีเรื่องน่ายกนิ้วกลางให้อยู่ ทั้งชีวิตของการรับบทคุณหนูมีแต่เรื่องที่ทำให้ฉันต้องหมดความศรัทธาในสถาบันครอบครัวมากขึ้นเรื่อยๆ
พ่อแต่งงานกับแม่เพื่อใช้นามสกุลของคุณตา ทิ้งแม่ที่ป่วยให้ตายโดยไม่ยอมพยายามรักษาอย่างเต็มที่ ส่งลูกสาวอย่างฉันไปเรียนต่อฮ่องกงทั้งที่คุณตาเองก็ป่วยเป็นโรคเดียวกัน แล้วจากนั้นไม่นาน คุณตาก็เสีย...
ฉันไม่ได้รับอนุญาตให้กลับไทยซ้ำยังมีบอดี้การ์ดมาตามคุมตัวตลอดเวลา ถูกแฮกมือถือปิดกั้นข่าวของครอบครัวจากประเทศไทย แต่สุดท้ายฉันก็ได้รู้...เขาเปิดตัวเมียน้อยที่มีลูกด้วยกันวัย 2 ขวบ ทั้งที่แม่ฉันเพิ่งตายได้แค่ไม่กี่เดือน และตาฉันก็เพิ่งเสียเถ้ากระดูกยังไม่ทันเย็นด้วยซ้ำ
น่าเจ็บใจตรงที่กว่าฉันจะรู้ ทุกอย่างก็ผ่านไปแล้วถึง 5 ปี วันที่ฉันได้รับอนุญาตให้กลับบ้าน เป็นวันเดียวกับวันเกิดครบรอบ 7 ขวบของลูกชายเขา
ลูกชายที่ฉันไม่เคยนับว่าเป็นน้อง...
คิดว่าจากเรื่องที่ฉันเล่ามา มันทำให้ชีวิตฉันดูแย่พอแล้วใช่ไหม เปล่าเลย ไอ้ที่รอฉันอยู่จากนี้ต่างหากคือของจริง
“ไปได้แล้ว จากนี้บอดี้การ์ดของคุณหนูมีแค่ฉันเท่านั้น” ชายหนุ่มในชุดสูทสีดำสวมอินเอียร์เช่นเดียวกับบอดี้การ์ดสองคนที่เดินตามฉันมาได้ออกคำสั่ง ขณะที่ดวงตาคู่คมมองมาที่ฉันด้วยอารมณ์นิ่งเฉย
เขาคือ ไนธ์ ผู้ชายที่ฉันเกลียดเข้ากระดูกดำ!
ผู้ชายที่โตมากับฉันในฐานะของพี่ชาย เพื่อนเล่น พี่เลี้ยง ครูคนแรก และอะไรหลายๆ อย่าง ฉันเคยให้ความไว้เนื้อเชื่อใจเขาในฐานะพิเศษกว่าคนอื่นๆ จนกระทั่งวันที่รู้ความจริง จึงได้รู้ว่าที่เขาเข้ามาสนิทด้วยเมื่อก่อน เพราะพ่อจงใจให้เขามาจับตาดูฉันแค่นั้นเอง
แม้แต่ตอนนี้ที่ฉันอยู่ในจุดต่ำสุดของชีวิตอย่างที่พ่อต้องการ ก็ยังเป็นเขาที่กลับมาอยู่ข้างกายฉันอีกครั้ง แต่เป็นในฐานะหมารับใช้ของพ่อน่ะนะ
“เงินเดือนที่พ่อให้มันคงไม่พอสินะ ถึงได้มารับจ๊อบเป็นบอดี้การ์ดเพิ่ม”
ฉันกอดอกมองเขาหัวจรดเท้าแล้วยกยิ้มมุมปากนิดๆ ใจอยากจะพุ่งไปกระชากผมทรงรากไทรนั่นให้หลุดติดมือมาสักกระจุก แต่ไม่อยากเป็นเป้าสายตาคนทั้งสนามบินแล้วกลายเป็นข่าวหน้าหนึ่งตั้งแต่วันแรกที่มาถึง
“ผมจะคิดว่านั่นเป็นคำว่า สวัสดี จากคุณก็แล้วกัน” เขาตอบกลับมาหน้าตาย ยิ่งทำให้ฉันอารมณ์เสียยิ่งกว่าเดิม
“อย่ามากวนฉันนะ ถอยไป ถ้าพ่อให้นายมารับฉันก็จะขับรถเอง ฉันไม่ไว้ใจอะไรที่มาจากเขาทั้งนั้น”
พูดจบฉันก็ทำท่าจะเดินขึ้นรถที่เขาขับมาจอดก่อนหน้านี้ แต่กลับถูกมือหนารั้งต้นแขนเอาไว้
“หยุดดื้อได้แล้ว คุณไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะ”
หยุดดื้อ? เขาคิดว่าฉันยังเป็นเด็กหญิงคนนั้นเมื่อ 10 ปีก่อนหรือยังไง ตื่นเนอะ เมื่อก่อนฉันอาจจะมองเขาเป็นเหมือนพี่ชายเลยเชื่อฟังเขาทุกอย่าง แต่ตอนนี้สถานะของเราเปลี่ยนไปแล้ว
เขาคือคนของพ่อ เป็นศัตรูของฉัน
“ฉันรู้ตัวก่อนนายอีกว่าตัวเองไม่เด็กแล้ว ไม่ต้องมาสอน”
แขนที่ถูกจับอยู่ได้สะบัดน้อยๆ เพื่อให้เขาปล่อยให้เป็นอิสระ ซึ่งเขาก็ยอมปล่อยแต่โดยดี ตามมาด้วยการถอนหายใจราวกับกำลังเหนื่อยใจกับสิ่งที่ฉันทำอยู่
ฉันต่างหากที่ต้องทำอย่างนั้นไม่ใช่เขา
เอาเถอะ ในเมื่อเขาอยากขับรถนักฉันเองก็ไม่คิดเอาตัวเองไปเหนื่อยฟรีๆ หรอก ไว้กลับถึงบ้านค่อยจัดการเอาเขาออกจากตำแหน่งบอดี้การ์ดนี่ก็ไม่สาย ยังไงตลอดเวลาที่ฉันอยู่ฮ่องกงฉันก็ทำให้คนตกงานมานับสิบคนแล้วนี่ มีเพิ่มมาอีกคนจะเป็นไรไป
“กลับบ้านให้เร็วที่สุด ฉันอยากไปให้ทันงานวันเกิดน้องชายสุดที่รัก” พอเข้ามาในรถได้ฉันก็รีบคาดเข็มขัดนิรภัยแล้วสั่งเขาที่นั่งอยู่ตำแหน่งคนขับ ทว่าชายหนุ่มกลับมองฉันผ่านกระจกมองหลังแล้วพูดเสียงเรียบ
“ท่านประธานสั่งให้ผมไปส่งคุณที่คอนโด”
“ว่าไงนะ?”
ไอ้พ่อบ้านั่น...มันกล้าดียังไง นั่นมันบ้านของฉัน บ้านของคุณตาที่ท่านสร้างมาด้วยน้ำพักน้ำแรง ซ้ำท่านยังเสียชีวิตไปโดยที่ฉันไม่มีโอกาสได้เคารพศพด้วยซ้ำ เขาจะมีเมียใหม่กี่คนก็ช่างเขาสิ แต่จะมาทำอย่างนี้กับฉันไม่ได้
“นั่นบ้านฉัน บ้านของคุณตา ของแม่ฉัน เขาไม่มีสิทธิ์ห้ามฉันเข้าไป” ฉันเริ่มจะโกรธจนปากสั่นพูดไม่รู้เรื่อง ทั้งที่พยายามเก็บความโกรธเอาไว้ในใจตั้งแต่รู้เรื่องจนถึงตอนนี้ แต่ไม่คิดว่าจะถูกสะกิดต่อมเอาได้ง่ายๆ เพราะคำพูดไม่กี่คำ
ไอ้บ้านั่น...มันไม่สมควรถูกเรียกว่าพ่อ
“ผมต้องทำตามหน้าที่” เขาตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงเฉยชาแบบสุดๆ แทบจะไม่สนใจเลยว่าฉันกำลังโมโหแค่ไหน
“งั้นลงไปจากรถ ฉันจะขับเอง” ฉันทำท่าจะปลดเข็มขัดนิรภัยแล้วสลับไปนั่งตรงที่นั่งคนขับ แต่เขากลับเถียงอีกครั้ง
“ผมขับรถคันนี้มา ถ้าคุณอยากไปที่อื่นคนที่ลงจากรถต้องไม่ใช่ผม”
“ไอ้...ไอ้...” ยิ่งได้ยินคำพูดของคนที่นั่งอยู่ด้านหน้า อารมณ์ของฉันมันก็ยิ่งพุ่งปรี๊ด “รู้หรอกว่านายมันเลียเจ้านายเก่ง แต่บางเรื่องมีศีลธรรมบ้างก็ได้ปะ”
“ผมรู้คุณจะพูดอะไร”
“ตาฉันก็เลี้ยงนายมาอย่างดี ดูแลเหมือนกับหลานแท้ๆ ของท่าน ฉันได้อะไรนายก็ได้ด้วย แล้วดูที่นายทำสิ ทรยศคนในครอบครัวฉันแล้วไปเข้าพวกกับ...”
พวกสารเลวนั่น...ฉันอยากจะพูดอย่างนี้ออกไปเหลือเกิน แต่คำว่าพ่อมันก็ยังค้ำคอทำให้ฉันยั้งใจได้อยู่บ้าง
ฉันไม่เหมือนพวกนั้น...แม้จะแค้นจนอยากฆ่าให้ตาย แต่ฉันเป็นคนดีเกินกว่าจะลดตัวลงไปทำเรื่องต่ำช้าเหมือนพวกเขา
"ฉันจะไม่พูดอะไรที่มันซ้ำซาก ถ้าไม่อยากเดือดร้อน ไปส่งฉันที่บ้านเดี๋ยวนี้!"
[Nithe’s part]งานแต่งตั้งประธานเป็นอะไรที่วุ่นวายไม่น้อย ผมเดินตามเรนนี่ตลอดเวลาทำหน้าที่บอดี้การ์ดของตัวเองที่ห่างหายไปหลายเดือน ยอมรับว่าเป็นความรู้สึกที่แปลกอยู่เหมือนกัน แต่พอเห็นใบหน้าที่ยิ้มกว้างของเรนนี่อย่างที่ไม่ได้เห็นมานาน ผมเองก็อดยิ้มตามเธอไม่ได้เธอดูมีความสุขมากจริงๆ มากกว่าเมื่อก่อนมาก ผมดีใจที่พอผมกลับเข้ามาในชีวิตสิ่งแรกที่เห็นคือรอยยิ้มของเธอ และหวังว่าจะได้เห็นมันไปนานๆ ตลอดไปเลยยิ่งดี“คลั่งรักเมียนะมึงอะ มองไม่พัก มองขนาดนี้แล้ววันนั้นหมาตัวไหนครับบอกว่าถ้าได้เอาคนนี้เอาหมาดีกว่า”เสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นมาที่ข้างตัว ผมเกือบลืมไปว่าวันนี้เชิญเพื่อนสุดที่รักมาด้วย หันไปเจอไอ้ ชาวี เพื่อนรักตัวแสบยืนทำหน้าแป้นน่าถีบอยู่ข้างๆ เห็นแล้วอยากจะหันไปแจกหมัดให้สักทีสองที“คนพูดนั่นไม่ใช่กูครับเพื่อน” ผมตอบยิ้มๆ สายตาก็มองกลับเข้าไปในงาน เรนนี่กำลังทักทายแขกเหรื่อในงานโดยมีไอ้เจ็ดเดินตามไม่ห่าง ผมเลยถือโอกาสหันมาคุยกับเพื่อนบ้างวันนี้มากัดหมดทั้ง นาวี ชาวี รวมทั้งไอ้นักรบ แล้วไหนจะสาวๆ เมียพวกมันอีกครบทีม ผมคิดว่างานสำคัญอย่างนี้พาพวกเธอมาเจอกันหน่อยก็ดี ซ้ำคุณหนูเอวา[1] เอ
ฉันมองเงาของตัวเองที่สะท้อนอยู่ในกระจก หญิงสาวในเดรสสีแดงสดแต่งหน้าจัดเต็มทาปากสีนู้ด ผมยาวสลวยถูกย้อมเป็นสีดำขลับแล้วรีดตรงทำให้เธอดูสง่าและภูมิฐานกว่าเมื่อก่อนเป็นไหนๆ สไตลิสของฉันวนรอบตัวแล้วปรบมือแล้วปรบมืออีกด้วยความภาคภูมิใจ ที่หล่อนสามารถเปลี่ยนลุคของฉันจากสก๊อยเป็นท่านประธานสาวได้สำเร็จ“สวย เริ่ด ปัง”“พอเถอะ เธออวยจนฉันเริ่มจะอึดอัดแล้ว”“ฉันอวยตัวเองเถอะ เมื่อก่อนเธอแต่งตัวไม่มีคลาสเอาซะเลย ตอนนี้เหรอ เหอะ อย่าว่าแต่มองเหลียวหลัง ผู้ชายที่ไหนเห็นก็ต้องวิ่งเข้ามากราบขอเป็นผัวค่ะ”“ขนาดนั้นเชียว?”เราสองคนเข้ากันได้ดีเป็นปี่เป็นขลุ่ยอย่างที่ฉันเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไม คงเพราะอายุไม่ห่างกันมาก แล้วก็ทะเลาะกันมาตลอดเลยทำให้สนิทกันง่าย ทุกวันนี้การมีไข่มุกอยู่เป็นเพื่อนก็ไม่แย่เท่าไหร่“เธอไปแต่งตัวเถอะ เดี๋ยวไปพร้อมกัน” ฉันว่าพลางกลับมานั่งเล่นมือถือที่โซฟา ไม่ลืมที่จะถอดส้นสูงออกเพราะรู้ว่าไปงานยังไงก็คงไม่ได้ถอดไปอีกหลายชั่วโมง“ไม่เอาล่ะ เธอไปเถอะ ฉันเป็นแค่สไตลิสจะไปทำไม”“เธอเป็นเมียพ่อฉัน เป็นแม่เลี้ยงฉันนี่”“เธอ...ไม่ใช่ลูกของคุณเดชไม่ใช่เหรอ?”“อือ แล้วไงล่ะ ฉันก็เรียก
[Nithe’s part]ขอโทษ...คำนี้มันคงจะสายเกินไปที่จะพูดแล้วในตอนนี้ แหวนที่เธอคืนให้มา มันคือการตัดความสัมพันธ์อย่างชัดเจนแต่ผมกลับไม่สามารถมูฟออนไปได้เลย“ผมเข้าใจนะว่าลูกพี่กำลังอกหัก แต่ดื่มเยอะๆ อย่างนี้มันไม่ดีนะพี่ คุณหนูเขามีความสุขแล้ว ผมเองก็ดูแลให้อย่างดี”คงมีแต่ไอ้เจ็ดที่เข้าใจว่าผมรู้สึกยังไง เรื่องที่เราเลิกกันไม่ได้ประกาศออกไป เลยมีแค่คนที่ผมสนิทที่สุดเท่านั้นที่รู้ แม้แต่นาวี ชาวี หรือแม้แต่ไอ้นักรบก็ไม่รู้เรื่องนี้ หลายครั้งที่เจอกันพวกมันยังแซวเรื่องของผมกับเรนนี่อยู่เลย ผมเองก็ไม่อยากบอกใครว่าจริงๆ ความสัมพันธ์นั้นมันได้จบลงแล้ว“กูไม่ได้อกหัก” ผมปฏิเสธคำพูดของไอ้เจ็ด ด้วยไม่อยากยอมรับว่าตัวเองเลิกกับเธอแล้วจริงๆ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะกระดกเหล้าเพียวๆ เข้าปากอีกอึกไม่รู้ว่าตัวเองดื่มจนเมาปลิ้นอย่างนี้มานานแค่ไหนแล้ว รู้แค่ว่าทุกวันหากคิดถึงเธอ รสขมปร่าของเหล้าเป็นสิ่งเดียวที่ช่วยผมได้ดื่มแล้วก็เมา เมาแล้วก็นอน นอนแล้วก็ตื่นมาดื่มใหม่ ชีวิตผมเป็นอย่างนี้มาสามเดือนแล้ว โคตรขี้แพ้เลยเนอะไอ้เจ็ดก็เลิกงานเมื่อไหร่เป็นต้องมาดื่มเป็นเพื่อนผม บางวันมันก็บ่นว่าดื่มไม่ไหวแล้วขอก
ฉันไม่เคยรู้สึกเลยว่าตัวเองเสียไปหมดทุกอย่าง จนกระทั่งตัวเองมาเจอเรื่องนี้เมื่อก่อนฉันเสียแม่ เสียตา แต่ยังมีเป้าหมายในการทวงทุกอย่างคืนมาจากพ่อพอให้ได้มีแรงสู้ต่อ แต่วันนี้ฉันได้ทุกอย่างคืนมาแล้ว แม้แต่ตาก็อยู่กับฉัน แต่กลับไม่มีความสุขเลย“ตรงนี้อ่านว่า กอ อา กา แค่นี้ก็ไม่รู้เนอะ”“ก็เราไม่เคยเรียนหนังสือนี่”“ไม่เอาน่าหลานๆ อย่าเพิ่งทะเลาะกันสิ”อีกอย่างที่ฉันได้มา นั่นก็คือครอบครัวที่ใหญ่ขึ้น ฉันว่าบ้านหลังนี้มันใหญ่เกินกว่าจะอยู่คนเดียว เลยให้ยัยไข่มุกย้ายกลับเข้ามา ด้วยเหตุผลแรกคือ ฉันอยากให้ราอุลได้เรียนที่ดีๆ มีสังคมดีๆ ไม่ต้องลำบาก สองคืออยากให้หลินหลินได้มีเพื่อนอ้อ ฉันรับหลินหลินเป็นลูกบุญธรรมเรียบร้อยแล้ว ถึงจริงๆ เธอจะเรียกฉันว่าพี่สาวก็เถอะตอนนี้ในบ้านฉันเลยเต็มไปด้วยเสียงของเด็กสองคนทะเลาะกันแทบทุกวัน ตามด้วยเสียงคุณตาที่บอกว่าอย่าทะเลาะกันส่วนฉันก็มีงานใหญ่ต้องทำ“ชุดเห่ย”ยัยแม่เลี้ยงปากเสียว่าพลางมองฉันหัวจรดเท้า เธอเบะปากให้ชุดเดรสสีแดงเรียบๆ ที่ฉันเลือกมาด้วยความตั้งอกตั้งใจยัยไข่มุกรับหน้าที่เป็นสไตลิสชั่วคราวให้ฉัน เพราะช่วงนี้ฉันยังไม่อยากพบเจอผู้คน
‘แม่คะ อันนี้ดอกอะไรคะแม่ สวยมากเลย’‘ไซคลาเมนลูก ความหมายของมันไม่ค่อยดีเท่าไหร่หรอก บางคนก็เชื่อว่ามันเป็นสัญลักษณ์ของการจากลา แต่สำหรับแม่ หมายถึงความรักของแม่ จะยังคงอยู่ตลอดไป แม้ว่าจะตายจากกัน’‘แม่อย่าพูดถึงเรื่องตายแบบนั้นสิคะ เรนไม่ชอบเลย’‘เรนนี่ลูก วันหนึ่งคนเราก็ต้องจากกัน แค่ว่าจะช้าหรือเร็วเท่านั้น แต่หนูไม่ต้องห่วงนะ ถ้าแม่ไปก่อน แม่จะไปรอลูกอยู่ที่นั่นนะจ๊ะ’ภาพของแม่ที่ฉันไม่เคยฝันถึงเลยตลอดหลายปีที่ผ่านมา ฉันมองรูปของแม่ทุกวัน หวังว่าจะได้เจอแม่ในฝันสักครั้ง แต่ทุกอย่างกลับกลายเป็นความว่างเปล่า มีเพียงคราบน้ำตาเท่านั้นที่ยังคงอยู่ในทุกคืนแต่ไม่รู้ทำไมวันนี้ฉันถึงได้ฝันถึงแม่ แม่ที่ตายจากไปแล้วหลายปี ฉันถามแม่ว่าคุณตาอยู่ไหน แต่ท่านก็ไม่ตอบแล้วเดินไกลออกไป‘แม่คะ...อย่าทิ้งหนูไป’ เสียงของฉันในความฝันเรียกชื่อแม่ สองขาพยายามวิ่งตามท่าน แต่เหมือนว่ายิ่งวิ่งมากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งห่างไกลกันมากขึ้นเรื่อยๆแม่...อย่าทิ้งหนูไป“แม่คะ...แม่อย่าทิ้งหนู”“เรนนี่” เสียงหนึ่งดังแทรกเข้ามาในความฝัน ฉันหันหลังไปแล้วก็เจอกับใบหน้าของชายหนุ่มที่เหมือนจะคุ้นเคย แต่ก็จำไม่ได้ว่าเคยเ
“เรื่องการเข้ารับตำแหน่งที่บริษัท ฉัตรจะจัดการให้เองนะคะคุณหนูไม่ต้องห่วง ตอนนี้พักผ่อนไปก่อน เอาสุขภาพตัวเองเป็นหลักนะคะ”คงเป็นความโชคดีของฉันอย่างหนึ่ง คือตอนที่ฉันรู้สึกแย่ฉันไม่เคยต้องอยู่คนเดียว ตอนที่เพื่อนไม่ว่างและฉันต้องการกำลังใจ ก็มีคุณฉัตรที่คอยเป็นธุระให้แทบทุกอย่าง แล้วยังอาสามาอยู่เป็นเพื่อนในบางวันเธอช่วยฉันตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ จนไม่รู้แล้วว่าต้องเริ่มขอบคุณเธอจากตรงไหนดี“ขอบคุณนะคะคุณฉัตร แค่นี้ก็ลำบากคุณมากพออยู่แล้ว” ฉันกล่าวขอบคุณออกไปอย่างจริงใจ นั่นคงเป็นสิ่งเดียวที่ฉันทำได้ในตอนนี้“ไม่รบกวนหรอกค่ะ ยังไงฉันก็ต้องทำงานให้คุณในฐานะทนายในการแต่งตั้งประธานบริษัทอยู่แล้ว ตอนนี้เราต้องเตรียมตัวเพื่อจะไปแสดงตัวว่าเป็นทายาทที่ถูกต้องตามกฎหมาย ฉัตรเตรียมเอกสารไว้ให้แล้ว คุณเรนค่อยดูตอนที่รู้สึกดีขึ้นนะคะ”“ขอบคุณค่ะ”“งั้นวันนี้ฉัตรจะรอเมย์บีมาก่อนค่อยไป คุณเรนอยากดื่มอะไรสักหน่อยไหมคะ ฉัตรไปชงให้”“ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณนะคะ”เฮ้อ...ฉันต้องอยู่คนเดียวให้ได้ ต้องไม่จิตตก ต้องไม่คิดถึงเขาสิรู้ไหมว่าอะไรยากที่สุดของการอยู่คนเดียว คือเมื่อเราได้มีใครสักคนเข้ามาในชี






ความคิดเห็น