ทันทีที่ฉินเจียวเยี่ยนข้ามมิติมา ก็จัดการรวบหัวรวบหางท่านอ๋องเจ้าสำราญที่เป็นพระเอกธงแดงของละครสั้นแพลตฟอร์มออนไลน์ที่นางกำลังเล่นละครอยู่ จะทำอย่างไรดี เพราะตัวละครที่นางข้ามมานั้น มันไม่ใช่นางเอก แต่เป็นนางร้ายที่โดนปักธงตายต่างหาก แถมยังเป็นธงตายจากท่านอ๋องที่นางกำลังนั่งคร่อมอยู่ด้วย เอาเถอะ ธงตายนั้นเป็นเรื่องของอนาคต แต่ซิกแพคแน่น ๆ ใต้ร่างนี้ เป็นเรื่องปัจจุบัน กองทัพต้องเดินด้วยท้อง นางขอกินให้หนำใจก่อน เรื่องที่เหลือค่อยว่ากัน!? ..... เมื่อครู่ ใครเป็นคนพูด แม่นางตรงหน้าก็ไม่ได้ขยับปากแต่อย่างใด แต่เหตุใด ข้าจึงได้ยินเสียงเล่า? หรือว่า... นี่คือเสียงในใจของนาง?
View Moreกลิ่นหอมหวานฟุ้งกระจายไปทั่วห้อง ควันสีขาวลอยอบอวลอยู่เหนือกระถางกำยานรูปสัตว์มงคลสีทองบนโต๊ะกลมอย่างดีในเรือนชุยจู ซึ่งเป็นเรือนรับรองแขกที่เงียบสงบท่ามกลางสวนไผ่ของจวนซ่านเต๋อโหว
“เฮือก!!”
ร่างหญิงสาวในชุดเสื้อในสีขาวพิสุทธิ์กำลังหอบหายใจถี่ ราวกับเพิ่งได้มีโอกาสหายใจ ทั่วร่างสั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัว ใบหน้าหวานซีดเผือด ดวงตาจิ้งจอกเบิกกว้าง พลางกวาดสายตาสำรวจไปทั่วเรือน
ที่นี่ที่ไหน เมื่อกี้ เรากำลังจมน้ำในกองถ่ายละครไปนี่...
“โอ๊ย” มือเรียวยกขึ้นกุมขมับทั้งสองข้าง เจ็บปวดราวกับถูกค้อนหนักทุบตี
ภาพความทรงจำในอดีตหลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสาย ทำให้เธอเข้าใจสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นได้อย่างทันที
ตัวเธอในตอนนี้ คือ ฉินเจียวเยี่ยน คุณหนูรองแห่งจวนซ่านเต๋อโหว
ฉินเจียวเยี่ยน...
นี่มันนางร้ายในละครสั้นแพลตฟอร์มออนไลน์ที่เธอกำลังเล่นอยู่นี่น่า
แต่บทที่ตัวเธอเล่นนั้น เป็นบทนางเอกที่ชื่อว่า ฉินเยี่ยนฟาง ซึ่งเป็นคุณหนูใหญ่แห่งจวนโหว
“เหอะ ถ้ารู้ว่า จะได้มาเกิดเป็นตัวละครที่มีชื่อเหมือนกับตัวเอง จะได้ชิงไปเปลี่ยนชื่อที่สำนักงานเสียก่อน” ฉินเจียวเยี่ยนพึมพำอย่างเสียดาย
เพราะการที่ได้เกิดมาเป็นนางเอกหรือนางร้ายนั้น ชะตากรรมในเรื่องย่อมต่างกันอย่างลิบลับ
นางเอกแสนดีที่มีแต่คนรุมล้อม พร้อมเอาอกเอาใจ มีอายุขัยยาวนานด้วยความรักที่มากล้นของพระเอก
ขณะที่นางร้ายเกิดมาก็มีแต่ความอิจฉาเต็มอก โง่เขลาเบาปัญญา ไร้ความสามารถ และคุณธรรม กลายเป็นที่นินทาของทุกคนในเมืองหลวง อีกทั้งยังจบชีวิตได้อย่างน่าอนาถอีกต่างหาก
“กลิ่นนี้ มัน...” จมูกโด่งฟุดฟิด เมื่อได้กลิ่นกำยานเหมยเซียงซาน
ฉินเจียวเยี่ยนรำพึงด้วยความตกใจ “กำยานปลุกกำหนัดนี่”
ฉินเจียวเยี่ยนเพิ่งจะสังเกตเห็นว่า ตัวเองนั้น กำลังนั่งคร่อมอยู่บนร่างของชายหนุ่ม บุรุษผู้มีเรือนร่างกำยำในชุดอาภรณ์สีดำสนิททั่วร่าง ใบหน้าหล่อเหลาคมคายกำลังหลับสนิท ลมหายใจเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ
ผู้ชายคนนี้...
หญิงสาวหลับตานึกถึงเรื่องราวในละครอย่างเร่งด่วน เพื่อตามหาช่วงเวลาที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้
“นี่ เราข้ามมิติมาตั้งแต่ตอนต้นเรื่องเลยหรือ?”
ละครเรื่องนี้ เปิดฉากในงานวันเกิดของซ่านเต๋อโหว บิดาบังเกิดเกล้าของฉินเจียวเยี่ยน ซึ่งได้จัดงานเลี้ยงร่ำสุรา เชิญบรรดาขุนนางบุ๋นบู๊มามากมาย รวมถึงบรรดาท่านอ๋องต่าง ๆ ก็มาร่วมงาน เพื่อสร้างสายสัมพันธ์อันดีในสังคม
โดยเฉพาะ เซียวชิงเฟิง หรือ เฟิงอ๋อง ผู้เป็นพระเอกของเรื่องที่ฉินเจียวเยี่ยนเฝ้าตกหลุมรักมานาน เพราะเฟิงอ๋องเคยช่วยชีวิตนางไว้ในวัยเด็ก แม้ว่าจะเป็นความบังเอิญ แต่ฉินเจียวเยี่ยนก็ได้สลักความรู้สึกดีนั้นไว้ในใจเรียบร้อยแล้ว
ถึงแม้ว่า ในสายตาของทุกคนในเมืองหลวง เฟิงอ๋องจะเป็นเพียงท่านอ๋องเจ้าสำราญ ใช้ชีวิตสนุกสนานไปวัน ๆ แต่ด้วยรูปโฉมดุจหยก หล่อเหลาราวกับเทพบุตร ก็สามารถล่อลวงแม่นางทั่วทั้งเมืองหลวงให้หลงใหลคลั่งไคล้ได้ไม่ยาก
วันนี้ จึงเป็นโอกาสดี
ฉินเจียวเยี่ยนอาศัยฐานะเจ้าของจวน คิดแผนการวางยาฤทธิ์แรงลงในสุราของท่านอ๋อง ก่อนที่จะกล่อมบิดาให้ดูแลท่านอ๋อง โดยให้พามาพักที่เรือนชุยจูเสียก่อน เพื่อรักษาชื่อเสียงในฐานะเจ้าบ้านที่ดี
ก่อนที่ฉินเจียวเยี่ยนจะลอบเข้ามาในเรือนชุยจู จุดกำยานเหมยเซียงซานหรือผงเสน่ห์หอม แล้วปลดเปลื้องอาภรณ์ สร้างสถานการณ์ว่า นางถูกท่านอ๋องทำมิดีมิร้าย หวังบังคับให้ท่านอ๋องสู่ขอตนเป็นพระชายาเอก
หากแต่สิ่งที่ฉินเจียวเยี่ยนและทุกคนในเมืองหลวงไม่รู้ คือ เฟิงอ๋องเพียงแสร้งเป็นอ๋องเจ้าสำราญเท่านั้น
แท้จริง เซียวชิงเฟิงเป็นแม่ทัพหน้ากากเหล็ก ผู้ครอบครองกองทัพธงดำ ผู้เป็นตำนานไร้พ่ายของแคว้นต้าเซี่ยที่จะปรากฏตัวเฉพาะยามที่แคว้นกำลังมีภัยสงครามเท่านั้น
กำยานเพียงเท่านี้ หาได้มีผลต่อเขาไม่
หลังจากฉินเจียวเยี่ยน ซึ่งกำลังมึนเมาด้วยฤทธิ์กำยานได้ที่ เฟิงอ๋องก็ลุกขึ้นแต่งตัวแล้วเดินจากไป สั่งองครักษ์ลับให้โยนขอทานสองคนที่จับตัวได้ริมถนนให้เข้ามาในเรือนแทนที่ตน ก่อนจะสะบัดเสื้อคลุมจากไปอย่างไม่ไยดี
ขณะที่ชุนเถา สาวใช้คนสนิทของฉินเจียวเยี่ยนกำลังดำเนินการตามแผนการ โดยไปพาทุกคนในงานเลี้ยงมาที่เรือนชุยจู เพื่อเห็นสถานการณ์ดังกล่าว
จากที่นางจะได้เป็นพระชายาเอกของเฟิงอ๋อง แต่ต้องกลับกลายเป็นการสร้างความอัปยศให้แก่ตนเองและตระกูล
ส่วนต่อจากนั้น...
ฉินเจียวเยี่ยนสะบัดศีรษะอย่างแรง เพื่อควบคุมสติที่ค่อย ๆ จางหายไปทีละน้อย ร่างกายทวีความร้อนรุ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามฤทธิ์ของกำยาน “ช่างเถอะ ๆ ช่างมันก่อน เดี๋ยวจะไม่ทันกาลเอา”
ฉินเจียวเยี่ยนเลิกระลึกถึงเนื้อหาในละครต่อจากนี้
นางต้องหาทางจัดการปัญหาที่กำลังนอนอยู่ใต้ตัวนางในตอนนี้เสียก่อน
ชุนเถาและชุนหลิ่วสบสายตากันอย่างสงสัยนี่ ยังเป็นคุณหนูของพวกตนอยู่หรือไม่?ปกติคุณหนูรองเกียจคร้านในการลงมือทำสิ่งต่าง ๆ แต่เหตุใดวันนี้จึงลุกขึ้นมาทำนั่นทำนี่ได้เล่า?ชุนหลิ่ว “แล้วน้ำมันนวดนี่ ต้องทำอย่างไรเจ้าคะ?”“ยามนี้เป็นหน้าหนาว ดอกไม้มีน้อย ทำน้ำมันนวดกลิ่นดอกเหมยก็แล้วกัน”ชุนเถา “ดอกเหมยหรือเจ้าคะ? เมื่อยามเหม่า ข้าเก็บดอกเหมยมาประดับเรือนคุณหนูมากมายเลยเจ้าค่ะ”เพราะฉินเจียวเยี่ยนชอบดอกเหมยมาตั้งแต่เด็ก ๆ ซ่านเต๋อโหวและหลินซื่อจึงได้ปลูกดอกเหมยล้อมรอบเรือนให้นาง และเปลี่ยนชื่อเรือนเป็นเรือนเหมยฮวาตั้งแต่นั้นมาชุนเถาเองก็มักจะตัดดอกเหมยมาปักแจกันประดับไว้ในเรือนเหมยฮวาให้เจ้านายเป็นประจำ“เช่นนั้น ชุนหลิ่วไปนำน้ำมันหมูมาให้ข้าที”“เจ้าค่ะ”ตลอดบ่ายวันนั้น ฉินเจียวเยี่ยนพาสองสาวใช้คัดแยกดอกเหมยที่สมบูรณ์สวยงาม นำมาล้างทำความสะอาด ก่อนจะผึ่งให้แห้ง แล้วจึงนำดอกเหมยใส่ลงในหม้อดินเผา เทน้ำมันหมูที่ใช้เป็นน้ำมันพื้นฐานลงจนท่วมดอกเหมยชุนหลิ่วถามอย่างสงสัยในขณะที่มองหม้อ “แล้วทำอย่างไรต่อเจ้าคะ? คุณห
เพื่อให้ตัวนางที่ตอนนี้เป็นฉินเจียวเยี่ยนจะต้องไม่โดนปักธงตาย มีชีวิตยืนยาวถึงช่วงแก่ชรา สามารถเกษียณอายุในบั้นปลายชีวิต ท่ามกลางความรักของลูกหลานให้จงได้!นอกจากฉินเจียวเยี่ยนจะเป็นคนใหม่ เป็นคนดีของครอบครัวและสังคมแล้ว ก็น่าจะช่วยส่งเสริมให้พระนางได้ลงเอยกันโดยไวอีกด้วย...อืม แต่พระเอกนางเอกย่อมคู่กันอยู่แล้ว นางคงไม่จำเป็นต้องสอดมือเข้าไปช่วยกระมัง?คิดไปคิดมา การที่มีพี่เขยเป็นถึงองค์ชาย เป็นท่านอ๋องเจ้าสำราญก็นับว่าดีไม่น้อยจะทำสิ่งใดก็ได้ จะเดินกร่าง อวดอ้างบารมีพี่เขยไปทั่วเมืองหลวงก็ยังได้...พูดถึงพี่เขยอย่างเฟิงอ๋องแล้ว ก็นึกถึงหุ่นล่ำ ๆ แซ่บ ๆ ที่ได้กินไปเมื่อคืนไม่รู้ว่า ใครกันแน่ที่โดนกิน เริ่มแรกนางก็ได้กินเขา แต่ไม่นาน บทบาทพวกเขากลับสลับกันเสียอย่างนั้นเซียวชิงเฟิงพลิกบทบาทกลับมาเป็นฝ่ายรุก ยึดครองพื้นที่ด้านบนตัวนางตลอดค่ำคืน เอวสอบขยับเคลื่อนไหวราวกับอาชาหนุ่มจากต่างแดน โยกกระแทกเข้าใส่ตัวนางอย่างบ้าคลั่ง จนช่วงล่างของนางร้าวระบมไปหมดไม่รู้ว่าเป็นเพราะตัวของเขาเองหรือเพราะฤทธิ์ยาที่นางบังคับให้เขากินเข้าไ
ส่วนเรื่องราวที่ต่อเนื่องจากเมื่อคืน...หลังจากที่ฉินเจียวเยี่ยนได้สร้างความอับอายให้กับจวนโหวด้วยการมีความสัมพันธ์กับขอทานที่เฟิงอ๋องสั่งให้องครักษ์จับโยนเข้ามาในเรือนบรรดาแขกเหรื่อที่ตามมานั้น ก็นำเรื่องอื้อฉาวของฉินเจียวเยี่ยนไปเล่ากันสนุกปาก จนเป็นที่รู้กันในเมืองหลวง ยิ่งสร้างภาพลักษณ์ตุ๊กตากระเบื้องของนางให้แย่ลงไปอีกทำให้ฉินเจียวเยี่ยนต้องหลบซ่อนตัวอยู่แต่ในจวน ไม่กล้าออกไปไหน จนกว่าเรื่องจะเงียบลงสวนทางกับฉินเยี่ยนฟางที่ได้ออกไปเที่ยวงานเทศกาลโคมไฟ บังเอิญเจอเฟิงอ๋องและฉีอ๋อง ซึ่งกำลังกลุ้มใจกับคดีทุจริตของขุนนาง แม้ว่า จะมีพยานและหลักฐานครบถ้วนแล้ว แต่ก็จับได้เพียงขุนนางตัวเล็ก ไม่สามารถสืบไปถึงตัวการเบื้องหลังฉินเยี่ยนฟาง ด้วยฉายาไข่มุกแห่งเมืองหลวงที่พรั่งพร้อมด้วยรูปโฉม ฐานะ และความสามารถทั้ง 4 ด้าน คือ พิณ หมากล้อม อักษรศิลป์ และจิตรกรรม จึงได้ช่วยแนะนำ จนเห็นเบาะแสและเจอหลักฐานชิ้นสุดท้ายในที่สุดฉีอ๋องตอบแทนความช่วยเหลือนี้ ด้วยการขอพระราชทานตำแหน่งท่านหญิงให้แก่ฉินเยี่ยนฟาง ถือเป็นการลบล้างความอับอายจากฉินเจียวเยี่ยนให้แก
แต่ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดี...หลินซูเยียน บุตรสาวจากตระกูลพ่อค้าผู้ร่ำรวยในเมืองหลวงเกิดอุบัติเหตุ และได้ซ่านเต๋อโหวบังเอิญช่วยไว้ จึงเกิดตกหลุมรักและอยากตบแต่งเข้าจวนโหวบิดาของหลินซูเยียนดีดลูกคิดรางแก้วในใจ แม้จวนซ่านเต๋อโหวจะว่างเปล่า แต่ก็ถือว่า เป็นตระกูลขุนนางคำว่า โหว คงจะช่วยเกื้อกูลการค้าของตนได้ไม่มากก็น้อย จึงได้ยินยอมตบปากรับคำบุตรสาว ยอมให้หลินซูเยียนออกเรือนสมความปรารถนาเมื่อหลินซูเยียนแต่งเข้ามาในจวน ซ่านเต๋อโหวมีคำขอเพียงข้ออย่างเดียว คือ ห้ามไม่ให้หลินซื่อรังแกฉินเยี่ยนฟาง ซึ่งหลินซื่อก็รับคำ มอบความรักและดูแลฉินเยี่ยนฟางประหนึ่งลูกแท้ ๆ ของตนเองจนกระทั่งหลินซื่อตั้งครรภ์ และได้คลอดบุตรสาวอย่าง ฉินเจียวเยี่ยน ให้แก่จวนโหว ความรักความทุ่มเททุกอย่างของนางจึงมามอบให้ฉินเจียวเยี่ยนทั้งหมดฉินเยี่ยนฟางในวัยห้าขวบที่ผ่านช่วงมรสุมของจวน จนต้องกัดก้อนเกลือกิน สวมใส่เสื้อผ้าบาง ๆ ในเหมันต์ฤดู จวบจนมีหลินซื่อเข้ามาในจวน ความเป็นอยู่โดยรวมของนางจึงได้ดีขึ้น และกลับมาเพียบพร้อมสมบูรณ์อีกครั้งประกอบกับความรักในช่วงแรกขอ
“...” ฉินเจียวเยี่ยนเลิกคิ้วบางดั่งกิ่งหลิวขึ้นอย่างแปลกใจเกิดอะไรขึ้น?ตามเนื้อเรื่องเดิม ชุนเถา คือ ผู้ที่ไปตามทุกคนในโถงด้านหน้า ให้มาที่เรือนชุยจูหากแต่เมื่อคืน นางก็ได้สั่งห้ามชุนเถาไปแล้ว แล้วใครกันที่จะรู้เรื่องราวลับ ๆ ในเรือนชุยจูระหว่างนางกับเฟิงอ๋อง?“แล้วเมื่อคืน เสียงของข้ากับท่านอ๋อง มันดังออกมานอกเรือนเลยรึ?”ชุนเถาส่ายหน้าราวกับกลองป๋องแป๋งด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ “ข้ายืนเฝ้าอยู่หน้าเรือน แทบจะไม่ได้ยินเสียงใดเล็ดลอดออกมาเลยเจ้าค่ะ”“ถ้าเช่นนั้น จะมาอ้างว่า ได้ยินเสียงก็คงไม่ได้สินะ”แสดงว่า ต้องมีคนเห็นนางลอบเข้าเรือนท่านอ๋อง หรือว่า รู้อยู่แล้วว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นที่เรือนชุยจู...ฉินเจียวเยี่ยนหรี่ตาลงอย่างใช้ความคิด พลางกดมือนวดเอวเบา ๆชุนเถาถามขึ้น “คุณหนูปวดเมื่อยส่วนใดหรือเจ้าคะ?”“ก็เมื่อยเอวอยู่นะ เมื่อคืน เฟิงอ๋องไม่รักหยกถนอมบุปผาแล้วเสียเลย” ฉินเจียวเยี่ยนบ่นอุบอิบ วาจาที่ใช้ทำให้สองสาวใช้มีใบหน้าแดงก่ำยิ่งขึ้นค
“อึก อื้อ” เสียงครางในลำคออย่างอ่อนแรงดังขึ้น ทั่วร่างกายมีแต่ความเมื่อยล้าเข้าจู่โจมในทุกครั้งที่ฉินเจียวเยี่ยนขยับตัวดวงตาจิ้งจอกกะพริบถี่ขึ้น ก่อนจะมองเห็นเพดานห้องที่คุ้นตานางหลับตาลงอีกครั้ง พลางนึกถึงเหตุการณ์น่าอภิรมย์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนมาถึง ก็ได้กินพระเอกของเรื่องเลยรึ...เฮ้อ... แต่ก็เป็นเนื้อที่อร่อยมากจริง ๆฉินเจียวเยี่ยนถอนหายใจอย่างอิ่มเอม แล้วจึงลุกขึ้นนั่งบนเตียง ก่อนจะส่งเสียงเรียกสาวใช้คนสนิทที่ยืนรออยู่หน้าเรือน“ชุนเถา ชุนหลิ่ว”“เจ้าคะ คุณหนู” ชุนเถารีบประตูเรือน เดินเข้ามาทันทีที่ได้ยินเสียงเรียกสาวใช้คนสนิทมาคุกเข่าที่ข้างเตียง ถามขึ้นด้วยเป็นความเป็นห่วง “คุณหนูเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ?”เมื่อคืน พวกนางกลัวกันแทบตาย ไม่ว่าจะเป็นเฟิงอ๋องที่อยู่ในเรือนกับคุณหนู หรือองครักษ์ลับหน้าตายสองคนของเฟิงอ๋องที่ยืนขวางอยู่หน้าประตูชุนหลิ่วยกเท้าข้ามธรณีประตู ก้าวตามเข้ามาในห้องรีบถามต่อ “คุณหนูหิวแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ?”ฉินเจียวเยี่ยนไม่ตอบ หากแต่ถามทั้งสองคนกลับไป “ยามใดแล้ว?”ชุนเถา “
ฉินเจียวเยี่ยนนอนแผ่หลาหอบหายใจด้วยความเหนื่อยอ่อน ในขณะที่เซียวชิงเฟิงยังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยพละกำลัง กลิ่นอายบุรุษเพศลอยอบอวลไปทั่วห้องหญิงสาวมองร่างกำยำที่ลุกขึ้นจากเตียง อวดโฉมแผ่นหลังที่เต็มไปด้วยร่องรอยการสู้รบ ทั้งจากสนามรบและบนเตียงเมื่อครู่ รอยเล็บทั้งจิกและข่วนปรากฏไปทั่ว ทำให้ฉินเจียวเยี่ยนอดไม่ได้ที่จะเม้มริมฝีปากด้วยความเขินอาย ก่อนจะดึงผ้าห่มมาปิดหน้าทำไปได้นะเรา...มุมปากเซียวชิงเฟิงวาดโค้งขึ้นน้อย ๆ เมื่อได้ยินเสียงความคิดของแม่นางน้อยบนเตียงที่มีต่อเขา พลางสวมเสื้อผ้าสีดำของเขาที่กองอยู่ที่พื้น“ฉินเจียวเยี่ยน”“เพคะ?” ฉินเจียวเยี่ยนโผล่หน้าออกจากผ้าห่ม ให้เห็นเพียงแค่ดวงตาจิ้งจอกที่กำลังวาววับเป็นประกายด้วยความอิ่มเอมระคนเขินอาย“เจ้ากำลังนอนทับเสื้อคลุมข้า”นอนทับเสื้อคลุม?ฉินเจียวเยี่ยนรีบยันกายลุกขึ้น ก่อนจะเหลือบเห็นว่า เสื้อคลุมสีดำขลิบทองของเขาถูกใช้เป็นผ้าปูเตียงยับยู่ยี่เรียบร้อยแล้ว “ขออภัยเพคะ”นางรีบลุกไปอีกด้าน แล้วหยิบเสื้อคลุมส่งให้ เช่นเดียวกับเซียวชิงเฟิงที่หยิบเสื้อชั
สองปลายลิ้นเกี่ยวกระหวัดกันอยู่ภายใน ลิ้นสากสอดแทรกบุกรุกเข้าไปยึดครองอย่างเป็นเจ้าของ สลับกันรุกสลับกันรับจนเกิดเสียงสัมผัสดังก้องภายในหูฉินเจียวเยี่ยนยกแขนเรียวขึ้นโอบ รั้งอีกฝ่ายให้ลงมาแนบชิดมากยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับฝ่ามือสากที่ลูบไล้ไปตามเนื้อนวลเนียนใต้ร่างอาภรณ์สีขาวถูกสะบัดโยนลงจากเตียงอย่างไม่ไยดี ในขณะที่ชุดคลุมสีดำถูกกางออกกลายเป็นผ้าปูเตียงอีกชั้นหนึ่งเซียวชิงเฟิงแยกสองขาเรียวออกกว้าง เพื่อแทรกตัวเข้าไปตรงกลางหว่างขา หน้าท้องของเขาสัมผัสได้ถึงความเปียกแฉะที่เจิ่งนองเซียวชิงเฟิงหอบหายใจหนัก ก่อนจะผละริมฝีปาก กดจูบไปตามซอกคอชื้นเหงื่อ “นี่ เจ้ายังไม่เคยจริงหรือ?”“อ๊ะ อา อ่า” เสียงครางกระเส่าดังขึ้นเป็นจังหวะ โดยเฉพาะยามที่ปลายลิ้นร้อนแตะลงบนจุดอ่อนไหวทีละจุดยิ่งออกแรงมากเท่าใด หยาดเหงื่อที่เจือกลิ่นดอกเหมยประจำตัวนางก็ยิ่งลอยอบอวล ชวนให้เขาสูดดมเข้าเต็มปอดปลายเล็บจิกลงบนบ่าหนา ร่างบางแอ่นตัวไปด้านหน้าตามการเล้าโลมของชายหนุ่มฉินเจียวเยี่ยนตอบเสียงกระเส่า “ยะ ยังไม่เคย”“แต่เจ้าดูไม่เหมือนแม่นางในห้องหอเลยน
บานประตูเรือนชุยจูถูกฉีอ๋องผลักเล็กน้อย ก็เปิดกว้างอย่างง่ายดาย เมื่อลองกวาดสายตาเพียงครั้งเดียวก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ไม่มีผู้ใดอยู่ในเรือน มีเพียงผ้าปูเตียงที่ยับยู่ยี่ บ่งบอกว่า เคยมีคนนอนบนนี้มาก่อนก่อนที่ฉีอ๋องและคนอื่น ๆ จะได้ก้าวเข้าไปตรวจสอบภายในเรือนตงไฮ่ องครักษ์คนสนิทของเฟิงอ๋องก็เดินออกมาจากทางด้านข้างเรือน ยืนทำความเคารพอยู่ที่หน้าประตู“กระหม่อมขอคารวะฉีอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”“อ้าว ตงไฮ่นี่เอง แล้วเสด็จพี่เล่า?” ฉีอ๋องเลิกคิ้วถาม“เฟิงอ๋องพักที่นี่อยู่ชั่วครู่ก็รู้สึกดีขึ้น จึงเสด็จกลับไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ตงไฮ่หันไปทำความเคารพซ่านเต๋อโหวพลางเอ่ย “ท่านอ๋องฝากขอบคุณท่านโหวที่ให้ยืมเรือนพักผ่อน และจะเข้ามาขอบคุณด้วยตนเองในโอกาสหน้าขอรับ”“อ่อ ไม่เป็นไร ๆ แค่ท่านอ๋องมาแสดงความยินดีในวันเกิดของข้า ข้าก็ยินดีมากแล้ว” ซ่านเต๋อโหวยิ้มแย้ม ก่อนจะเอ่ยชวนทุกคนให้กลับไปร่ำสุราที่งานเลี้ยงกันต่อ “เชิญฉีอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”ฉีอ๋องยกยิ้มเล็กน้อย “เชิญท่านโหว&rdquo
Comments