เขาเหลือบสายตามองแก้มบางที่อยู่ไม่ห่างจากปาก จมูกน้อย ๆ ของนางคลอเคลียอยู่ที่ลำคอของเขาเมื่อก้าวเดิน เขาไม่คิดให้เสียเวลา ลดฝีเท้าในการเดินให้ช้าที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วคิดกำไรด้วยการจูบมุมปากและหอมแก้มของเธออย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ก็แผ่วเบานุ่มนวล เพราะไม่อยากทำให้นางตื่นจนเสียโอกาส มือไม้ก็ลูบไล้ความนุ่มเนียนจนลื่นมือของผิวแท้ ที่มีเพียงผ้าผืนน้อยปิดกั้นไว้ “สตรีขี้เมามันไม่งาม แต่ข้าก็ชอบถ้าเป็นเจ้า” เขาพึมพำชิดริมฝีปากอวบอิ่ม ประทับจูบลงไปแนบแน่นเมื่อวางร่างของนางลงบนเตียงเรียบร้อยแล้ว...
view more“ถึงไหนแล้วยิป พวกเราจะเมากันหมดแล้วนะ”
(ลิ้นพันแบบนี้ฉันว่าพวกแกเมาแล้ว ไม่ใช่จะเมาหรอก)
“ไม่ต้องมายอกย้อนตอนนี้หล่อนถึงไหนแล้ว”
(ใกล้ถึงแล้ว อีกไม่เกินสิบนาที แค่นี้นะ)
“ว่าไงนังแวน ไอ้ยิปซีมันถึงไหนแล้ว” เพื่อนชายใจหญิงที่ชื่อปลาหมึกถามเสียงอ้อแอ้
“อีกสิบนาทีถึงชัวร์ แกไปรอรับที่หน้าร้านได้เลย”
“ไปไม่ไหวแล้ว ขืนไปฉันคงโดนหนุ่ม ๆ ที่แอบมองฉุดไปข่มขืนแน่” ปลาหมึกทำเสียงวี้ดว้ายน่าหมั่นไส้
“แกขย่มมันหรือมันขย่มแกล่ะนังหมึก คิก ๆ ๆ”
“หยาบคายที่สุดนังปลา ข่มขืนย่ะไม่ใช่ขย่ม” ปลาหมึกทำปากขมุบขมิบแล้วสะบัดหน้าจนคางเชิด
“แวนแกดูกะเทยควายงอนสิ” ปลาหัวเราะดังลั่นกับท่าทีของเพื่อนชายใจหญิง
“กรี๊ด!.. พวกแกว่าฉันเป็นกะเทยควายเหรอ ถ้าไอ้ยิปมาเมื่อไหร่ฉันจะให้มันจัดการพวกแกคอยดู” ปลาหมึกทำเป็นโวยวายเสียงดังลั่น แต่เธอก็รู้ว่าเพื่อนหยอกเพราะรัก และพวกเธอก็มักจะเล่นกันแบบนี้เสมอจนถือเป็นเรื่องปกติ
“พูดถึงไอ้ยิปแล้วฉันก็เห็นใจมันจริง ๆ นะ เรียนปีหนึ่งเสียพ่อ พอเรียนจบปริญญาโทก็มาเสียแม่ไปอีก แล้วยังเกิดเป็นลูกคนเดียวอีก ญาติพี่น้องก็อยู่ไกลแทบไม่เคยติดต่อกัน ความสนิทสนมจึงไม่มี ถ้ามันไม่มีพวกเรามันจะเป็นยังไงบ้างวะ” แวนรำพันถึงเพื่อนด้วยความเห็นใจ เพราะเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยมัธยมจึงรู้เรื่องดีทุกอย่าง
แม้ความสูญเสียของเพื่อนจะผ่านมาเป็นปี แต่ก็ยังจำได้ดี
“ถ้าสงสารมันก็อย่าหนีไปมีผัวก่อนก็แล้วกัน ให้มันมีก่อนแล้วพวกเราค่อยมีทีหลัง”
“แกคิดได้ไงวะนังปลา” แวนใช้สายตาตำหนิเพื่อน แล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “แกคิดว่าหน้าตาอย่างพวกเราจะขายออกก่อนยิปซีเหรอวะ ยังไงมันก็ขายออกก่อนพวกเราอยู่แล้ว”
“ขำ ๆ น่านังแวน แต่ฉันว่าเป็นยิปซีก็ดีเหมือนกันนะ ไม่ต้องมีห่วงอะไร ผิดกับพวกเราลิบลับ ที่ยังต้องส่งเสียครอบครัวอยู่ คนเก่ง ๆ อย่างมันไม่ลำบากหรอก เรียนเก่งจบปริญญาโทแค่อายุยี่สิบสอง กีฬาก็เก่ง กับข้าวก็เก่ง สวย หุ่นดี ภาษาก็เก่งทั้งไทย จีน อังกฤษ ฝรั่งเศส ล่าสุดได้ข่าวแว่วมาว่าบ้าเกาหลี ไปแอบเรียนมาซะคล่องเชียว ใครกล้าสู้มันวะ ฉันว่าพ่อกับแม่ของมันไปอย่างหมดห่วงแล้ว เพราะท่านส่งเสียให้มันเรียนจนความรู้มันล้นสมองแล้ว” พูดจบก็ยกแก้วค็อกเทลมาดื่มแก้กระหายไปอึกใหญ่
“พวกแกเล่าเรื่องพ่อยิปซีให้ฉันฟังบ้างสิ แกก็รู้ว่าฉันรู้จักพวกแกทีหลัง” นังปลาหมึกของเพื่อน ๆ ร้องขอ เพราะส่วนตัวแล้วหล่อนก็นิยมชมชอบความเก่งของเพื่อนจนยกให้เธอเป็นไอดอล แต่ก็ไม่เคยรู้เรื่องบิดาของเธอมากนัก เพราะไม่เคยถามสักที
“ฉันเล่าเอง” แวนยกมือเสนอตัว “พ่อยิปซีเป็นเจ้าของค่ายมวยที่อยู่ติดกับบ้านฉันทุกวันนี้ไง พ่อรักมันมาก สอนให้มันต่อยมวยตั้งแต่เด็ก แล้วให้เรียนวิชาป้องกันตัวสารพัด ถึงขนาดได้ลงแข่งเลยนะแก ส่วนแม่ของมันก็กลัวว่าลูกจะเป็นทอมก็เลยส่งให้ไปเรียนพวกดนตรี ภาษา เย็บปักถักร้อย แล้วก็สอนให้ทำอาหาร ทำขนม
แต่พอมันสอบติดมหาลัยเข้าปีหนึ่งยังไม่ทันไรพ่อมันก็ตายเพราะโรคหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน แม่มันก็เลยตัดสินใจขายค่ายมวยให้เพื่อนพ่อ เอาเงินมาเป็นทุนการศึกษาให้มันนั่นแหละ แล้วแม่มันก็ป่วยกระเสาะกระแสะมาตลอด ตอนหลังก็ต้องเลิกขายของ แต่ไอ้ยิปซีมันก็ใกล้จบแล้วตอนนั้น ไม่นานแม่มันก็ป่วยหนักแล้วก็จากมันไป ฝืนทนจนลูกเรียนจบแล้วจึงไปอย่างสบายใจไร้กังวล” เธอสรุปส่งท้าย
“แกเคยคุยกับแม่มันเหรอถึงรู้ลึกขนาดนั้นน่ะ” ปลาขัดขึ้น
“วันนี้แม่ฉันอาจจะมาหาแกก็ได้นังปลา” เสียงห้วน ๆของคนที่ยืนอยู่ข้างหลังทำให้ทุกคนให้ไปมอง
“ยิปซี!” อุทานออกมาพร้อมกัน
“เออฉันเอง” กล่าวจบก็นั่งลงข้างเพื่อนชายใจหญิงของตัวเอง แล้วจุ๊บแก้มใส ๆ นั้นหนึ่งที “เดี๋ยวนี้สวยกว่าฉันอีกนะปลาหมึก”
ปลาหมึกมองเพื่อนสาวตั้งแต่หัวจรดเท้า ใบหน้าแต้มด้วยรอยยิ้มเพราะได้รับคำชมที่ถูกใจ จิ้มนิ้วไปที่หน้าผากของเพื่อนรักด้วยความหมั่นไส้
“แค่แกชมว่าฉันสวยครึ่งหนึ่งของแกฉันก็ดีใจแล้วย่ะ ไม่ต้องมากกว่าแกหรอก คนอะไรหุ่นก็ดี หน้าก็สวย เก่งไปหมดทุกอย่าง เลิศไม่มีที่ติ ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าแกเคยเป็นนักมวย”
“ใครบอกนักมวย ยูโด เทควันโด ฟันดาบฉันก็เป็นนะแก ลองกันสักตั้งมั้ย” แล้วหัวเราะเมื่อเห็นหน้าตาของเพื่อนรัก
“ฉันขอแค่ความสวยกับหุ่นของแกก็พอ เรื่องอื่นฉันยอมแพ้” ปลาหมึกยกมือทั้งสองข้างขึ้นสูงเพื่อยืนยันคำพูด เรียกเสียงหัวเราะของเพื่อน ๆได้ดี
เพื่อนทั้งสี่ดื่มสังสรรค์ ผลัดกันเล่าเรื่องที่ต่างประสบพบเจอแลกเปลี่ยนกันอย่างออกรส
“ทำไมแกไม่ไปเป็นไกด์วะยิป ได้ใช้ความสามารถเต็มที่ด้วย”
“ก็ที่นี่เงินมันดีนี่หว่า ไม่ต้องเดินทางให้เหนื่อยด้วย”
“ไม่ต้องเดินทางตรงไหนวะ ฉันโทรหาแกทีไรแกก็ออกพื้นที่ตลอด ระวังนะโว้ย ฉันเคยอ่านข่าวพวกที่ไปทวงหนี้แล้วถูกยิงตาย ฉันเป็นห่วงแกนะ” ปลาหมึกเตือนเพื่อนที่เป็นฝ่ายเร่งรัดหนี้สินของบริษัทการเงินแห่งหนึ่ง
“นั่นปากเหรออีหมึก!” ปลาตวาดเพื่อนแล้วชี้หน้าแบบคาดโทษ
“อะไรยะ ฉันพูดเพราะเป็นห่วงยิปมันหรอกนะ” ปลาหมึกเชิดหน้าโต้ตอบเพื่อน
“หยุด! กินเหล้า ๆ อย่ามาทะเลาะกัน ชนแก้วโว้ยชนแก้ว” แวนห้ามทัพแล้วยกแก้วรอชน
“ฉันชอบทำงานแบบนี้นะ สนุกดี เดินทางบ้างก็ช่างมันเพราะแค่ในเมืองไทย แต่ถ้าเป็นไกด์ก็ต้องบินไปต่างประเทศ ซึ่งฉันปรับตัวกับอากาศไม่ค่อยไหวน่ะ ฉันมันคนผิวบางพวกแกก็รู้” หญิงสาวทำหน้าทะเล้นใส่เพื่อน
“ผิวบางหรือกลัวหนาวกันแน่ แกไม่ต้องมาทำเป็นผู้ดีหรอก” แวนดักคออย่างรู้ทัน เพราะเพื่อนของเธอคนนี้ไม่ชอบอากาศหนาว ถ้าอากาศเริ่มเย็นเมื่อไหร่ภูมิแพ้จะกำเริบ ต้องพึ่งยาอยู่ตลอดเวลา
“พวกแก..ตกลงเรื่องลาพักร้อนว่ายังไง ลาได้ตรงกันหรือเปล่า” ยิปซีหรือพุทธิญาชี้หน้าเพื่อนทีละคนเพื่อเอาคำตอบ “ดีมาก ต่อไปก็มาโหวตกันว่าจะไปเที่ยวที่ไหนดี”
ผู้ติดตามทั้งสี่ที่นั่งคุยกันอยู่อีกโต๊ะใกล้ ๆ กัน ลุกขึ้นยืนพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย เมื่อเห็นอวี่หย่วนเจี่ยเข้ามาแทะโลมท่านหญิงถึงที่โต๊ะ“พวกเจ้านั่งลงเถิด” เธอหันไปพูดกับผู้ติดตาม ส่งสายตาบอกพวกเขาว่าไม่เป็นไร“ความงามของแม่นางทำให้ใคร ๆ ก็อยากยื่นมือทำความรู้จัก” หย่วนเจี่ยมองหนุ่มสาวที่โต๊ะข้างเคียง ไม่ได้คิดสักนิดว่าพวกนั้นมากับหญิงสาว แต่คิดว่าสามีของพวกนางทนความงามของหญิงสาวไม่ได้ ต้องการยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือมากกว่า“คราวที่แล้วเจ้าคงเจ็บจนเลอะเลือนสินะ” หญิงสาวอมยิ้ม ที่เธอพูดแบบนี้ก็เพราะคราวที่แล้วเขาก็เจอกับพวกนั้น ถ้าจำไม่ผิดเขาน่าจะเจอพวกนั้นก่อนโดนเธอทุ่มนะเฮ้อ! วันนี้มันวันอะไรนะ ทำไมเจอแต่ผู้ชายชีกอ คิดแล้วจึงยกถ้วยน้ำเต้าหู้ขึ้นซดทีละนิด ๆ เพราะความร้อนของมันชายหนุ่มเห็นหญิงสาวใช้เพียงสองนิ้วหนีบถ้วยขึ้นมาและเป่าก่อนดื่ม ก็มั่นใจว่านางไม่ใช่คนแคว้นนี้แน่ ทำให้ยิ่งลำพองใจ เพราะอะไรที่อยากทำก็คงง่ายดายขึ้นมาก เขาอมยิ้มพึงพอใจกับความคิดของตัวเอง“เจ้าไม่ได้ยินที่ข
“ท่าเรือแห่งนี้ยาวสุดลูกหูลูกตามาก เดินทั้งวันก็คงไม่สุดท่า” เธอหันไปคุยกับเสี่ยวหลัน “ถ้าท่านหญิงเดินแบบนี้สองวันก็คงไม่ทั่วเจ้าค่ะ” “แต่ถ้านั่งรถม้าแล้วเลือกชมเฉพาะจุดที่น่าสนใจก็ได้นะเจ้าคะ หรือไม่ก็ไปดูท่าเรือที่ท่านอ๋องเทียบท่าขนส่งเกลือก็ได้ ตรงนั้นจะมีแต่เรือเกลือและมีโรงงานเกลือของท่านอ๋องอยู่ด้วยเจ้าค่ะ” เสี่ยวซิงเสนอ “ข้าก็อยากไปดูอยู่หรอก แต่ท่านอ๋องของพวกเจ้ากำชับเราตั้งแต่นั่งอยู่ในรถม้าว่าห้ามไปเด็ดขาด เพราะอะไรพวกเจ้ารู้มั้ย” เธอถามกับทุกคนด้วยความอยากรู้ องครักษ์ฉียิ้มอยู่ในใจเพราะรู้คำตอบอยู่เต็มอก ก็ท่าเรือทิศนั้นมีหอคณิกาอยู่มากมาย รวมถึงหอร้อยบุปผาของคุณชายอวี่หย่วนเจี่ยด้วยน่ะสิท่านอ๋องคงกลัวความงามของนางถูกตาต้องใจบ
คิดแล้วก็รีบลงมือทันที ริมฝีปากของเขาพรมจูบไปทั่วร่างของนาง สัมผัสหยอกเย้าเนิ่นนานกับบางจุดที่ไวต่อความรู้สึกอย่างรู้ดี ไม่นานร่างบางก็เริ่มตอบรับด้วยความเต็มใจพุทธิญาแอ่นกายรับสัมผัสของเขา ครางด้วยความซ่านเสียวที่แผ่ไปทั่วร่าง โมโหตัวเองที่เผลอใจไปกับเขา สาวมั่นอย่างเธอทำไมต้องมาตกหลุมคนเจ้าเล่ห์แบบเขาด้วยนะแล้วความคิดก็เลื่อนลอย แปรเป็นความหฤหรรษ์เกินห้ามใจในทันที นั่นก็เพราะปลายชิวหาพลิกพลิ้วของเขาใบหน้าคมคายของชายหนุ่มผงกขึ้นจากลำตัวของหญิงสาว มองใบหน้าเคลิบเคลิ้มแดงระเรื่อแล้วยิ่งฮึกเหิม จัดการปลดเปลื้องเสื้อผ้าตัวเอง แล้วยัดเยียดความสุขกระสันที่ตัวเองต้องการให้นางได้รับเช่นกัน“อา!” เธอสะดุ้งและอุทานด้วยความเจ็บแปลบ เมื่อเขาประสานกายเข้ามาสุดแรงอย่างรวดเร็ว แต่มันก็แปรเปลี่ยนเป็นความหอมหวานปานน้ำผึ้งเมื่อเริ่มเคลื่อนไหวนานแสนนานที่เขาใช้เวลาพลอดรักกับเธอ นานจนแทบขาดใจตายกับการทรมานของเขา เขาไม่ยอมพาเธอไปพบกับแก่นแท้ของความสุขสักที ทั้ง ๆ ที่เธอใกล้จะพบกับมันหลายครั้งแล้ว“ท่านอ๋อง ยิปซีไม่ไหวแล้ว” เธออ้อนวอนเสียงสั่นพร่า“เจ้าหายโกรธข้าแล้วใช่มั้ย” ถึงจะสุขสมและเสียวซ่านกับ
พุทธิญามองแกงเลียงกับไข่ลูกเขยที่เธอตั้งใจทำให้คนรักกินแล้วก็อมยิ้ม ‘ป่านนี้เขาคงได้ลองชิมแล้ว’ เธอคิดแล้วตักแกงเลียงมาทานเล่น ตามด้วยไข่ลูกเขยอีกครึ่งลูก“อิ่มแล้วหรือท่านหญิง” เสี่ยวหลันถามเมื่อเห็นนางวางช้อนแล้วดื่มน้ำ“อือ เอาไปเก็บเถอะ”“แต่ท่านหญิงแทบไม่ได้แตะอาหาร” เสี่ยวซิงแย้ง“ข้าไม่ค่อยหิวเท่าไหร่ เอาไปเก็บเถิด เสร็จแล้วเจ้าสองคนก็ไปพักผ่อนได้เลย ที่เหลือข้าจัดการเอง” จะให้เธอบอกหรือว่าที่กินไม่ลงเพราะไม่มีเขาอยู่ด้วย พวกนางได้แอบหัวเราะเยาะเอานะสิสาวใช้ทั้งสองทำตามคำสั่ง แต่เพิ่งเดินพ้นออกมาจากประตูไม่ถึงสิบก้าวก็ต้องหยุดเท้า“ท่านอ๋อง” ทั้งสองรีบวางโต๊ะอาหารแล้วทำความเคารพเห็นอาหารบนโต๊ะแทบไม่พร่องหัวคิ้วจึงกระตุกเข้าหากัน“ท่านหญิงกินข้าวแล้วหรือ”“เรียนท่านอ๋อง ท่านหญิงแทบไม่ได้แตะอาหาร นางเพียงชิมน้ำแกงกับไข่เล็กน้อยเท่านั้นค่ะ” เสี่ยวหลันรายงาน นางรู้ดีว่าทำไมท่านหญิงถึงกินน้อย ก็เพราะไม่ได้กินพร้อมกับท่านอ๋องนั่นแหละ“ไปจัดอาหารชุดใหม่เข้ามา ข้าจะกินกับนาง”“เจ้าค่ะ” เสี่ยวหลันรับคำด้วยความดีใจ......................“คิดไว้ไม่ผิดจริง ๆ ท่านอ๋องต้องกลับมากินข้าวกับ
กุ้ยหย่งหมิงนั่งพูดคุยกับแขกที่มาเยือนถึงคฤหาสน์ ตอนที่เขากลับมาถึงพ่อบ้านก็รายงานว่าคุณชายอวี่กับคุณหนูหมิ่งฟู่มารอพบตั้งนานแล้ว แรกทีเดียวที่ได้ยินชื่อของชายหนุ่มเขานึกอยากจะตัดคอมันให้หลุดจากบ่า แต่ก็ทนทำเฉยไว้ เพราะมันได้รับบทเรียนจากนางไปแล้ว“บ่าวบอกกับทั้งสองแล้วว่าอีกนานกว่าท่านอ๋องจะกลับ แต่พวกเขายืนยันว่าจะรอ บ่าวก็จนปัญญา”“ไม่ต้องพูดแล้ว” เขานึกถึงตอนที่พ่อบ้านรายงาน ถ้ารู้อย่างนี้เขาคงใช้วิชาตัวเบาทะยานขึ้นหลังคาแล้วกลับไปที่เรือนใหญ่ ปล่อยให้พี่น้องคู่นี้รอเก้อต่อไป“ท่านอ๋อง ไม่ลองชิมอาหารกับขนมฝีมือฟู่ฟู่สักหน่อยหรือเจ้าคะ” หญิงสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน ใช้คำพูดแบบสนิทชิดเชื้อ หลบสายตาที่มองมาด้วยความเอียงอาย“ข้าเป็นคนกินยาก อาหารผิดรสมือก็ทำให้ข้าบันดาลโทสะแล้ว”คำปฏิเสธแบบไม่รักษาน้ำใจของเขา ทำให้หญิงสาวถึงกับวางสีหน้าไม่ถูก ทั้งอับอายทั้งเสียใจอวี่หย่วนเจี่ยเห็นน้องสาวหน้าแดงปากสั่นก็สงสารยิ่งนัก นึกโมโหชายหนุ่มที่ไม่รักษาน้ำใจของนาง“ถ้าท่านอ๋องได้กินของที่นางทำมา ข้ามั่นใจว่าต้องถูกปากท่านสักเก้าส่วน” เขาไม่ได้ป้อยอแต่น้องสาวเขามีฝีมือเรื่องการทำอาหารจริง ๆ
ชายหนุ่มมองสำรวจหญิงสาวตรงหน้าพร้อมกับรอยยิ้มหวานละมุนนั้นทั่วทั้งร่าง“งามมาก” ความหมายของเขารวมถึงเสื้อผ้าที่ตัดเย็บอย่างแปลกตาไปจากชุดที่เคยเห็น และคนสวมใส่ที่อยู่ในอาภรณ์แบบไหนก็งามไร้ที่ติ“ต้องชมซินเหม่ยเจ้าค่ะ” เธอชี้ไปที่ช่างตัดเสื้อ“เจ้าหรือซินเหม่ย”“เพคะท่านอ๋อง”“เงยหน้าขึ้น” เขาออกคำสั่งเมื่อได้ยินน้ำเสียงที่ผิดเพี้ยนกับชื่อของอีกฝ่ายสายตาที่จ้องมาของอ๋องกุ้ยหย่งหมิง ทำให้ซินเหม่ยต้องเบนสายตาไปทางอื่นด้วยความเกรงกลัว เหงื่อกาฬไหลท่วมกายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน.. เจอกับสายตาดูถูกเหยียดหยามและคำด่าว่าหยาบคายของชาวบ้านสารพัดชนิดยังไม่เคยกลัว แต่กับท่านอ๋องคนนี้เขารู้สึกถึงรัศมีความอำมหิตที่เปล่งแสงออกมา“ท่านอ๋อง” มือบางวางลงบนบ่าของชายคนรักเสี่ยวหลันและเสี่ยวซิงหันมองหน้ากันโดยมิได้นัดหมาย พวกนางไม่อยู่แค่สามวันทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไปมากโข ท่านหญิงของพวกนางกล้าแตะต้องท่านอ๋องได้อย่างสนิทชิดเชื้อขนาดนี้เชียวหรือในทางกลับกัน ถ้าเป็นผู้อื่นแตะต้องท่านอ๋องแบบนางเล่า คนผู้นั้นจะมีโทษขนาดไหนกันหนออย่าว่าแต่ท่านหญิงที่เปลี่ยนเลย ท่านอ๋องก็เปลี่ยนไปมาก“ข้าจะให้เจ้ามาเป็นช่างตัดเสื
Mga Comments