จากองค์หญิงศักดิ์สิทธิ์ผู้สูงส่ง ตกเป็นนางบำเรอของแม่ทัพที่โหดเหี้ยมต่ำช้า หนิงซิน องค์หญิงองค์รองของแคว้นป๋าย ต้องทุกข์ระทม หลั่งน้ำตาดุจธาราในหน้าฝน ในแต่ละวันถูกกระทำย่ำยีเยี่ยงสัตว์เดรัจฉาน แม้สิ้นสติไปแล้ว บุรุษต่ำช้าที่ใต้หล้าครั่นคร้าม ก็ยังไม่ยอมรามือ ข่มเหงรังแกนางอย่างไม่ปรานีปราศรัย ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวของความสงสารเห็นใจสักนิด จากสูงส่งเสียดฟ้า กลายเป็นดอกหญ้าให้คนย่ำเล่น หนิงซินที่ตกเป็น 'เชลย' ในมือศัตรูที่ร้ายกาจที่สุด จะเอาตัวรอดอย่างไรไหว...
View Moreยามจื่อ[1]วันนี้ ท้องฟ้าหม่นครึ้มถูกย้อมจนแดงฉานด้วยเปลวเพลิง รอบข้างแว่วเสียงร่ำไห้ผสานเสียงไฟผลาญไม้ลั่นเปรี๊ยะๆ เสียดแก้วหู ต่อให้ปิดตาฟังก็ยังรู้ว่าเป็นคืนแสนวิปริต
เลี่ยงจินอู่...หนึ่งในเมืองป้อมปราการสำคัญก่อนเข้าสู่เขตเมืองหลวงแคว้นป๋าย ครั้งหนึ่งเคยงดงามด้วยอาคารบ้านช่องจากอิฐ ดิน และไม้เนื้อขาว ดูสะอาดสะอ้าน ตามรายทางพื้นถนนหินตัดและสะพานขาวพิสุทธิ์เคยเปล่งประกายด้วยโคมไฟสีขาวและธงปักไหมทองวิจิตรบรรจง เปี่ยมกลิ่นอายมงคล ยามนี้มองไปทางทิศใดกลับเห็นเพียงซากปรักหักพังเปรอะคราบเขม่าควัน เพราะน้ำมือกองทัพชุดเกราะเกล็ด[2]ดำทมิฬเรือนแสนจากเฮยเซ่อเย่ว์
ท่ามกลางเปลวไฟและควัน หนิงซิน ธิดาองค์เล็กผู้โด่งดังและเป็นที่โปรดปรานของป๋ายอ๋อง ผู้ครองแคว้นป๋าย ก้าวขาลงจากรถม้าอย่างมั่นคงและงามสง่า เดินผ่านเหล่าข้ารับใช้ที่ทำหน้าราวกับคนตกน้ำใกล้ขาดใจ มุ่งตรงไปข้างหน้าอย่างไม่กลัวเกรง ทั้งๆ ที่รู้ว่าเบื้องหน้ามีสิ่งใดรออยู่
“ผู้ใดรนหาที่ตาย...” เสียงแหบแห้งเหี้ยมเกรียมที่ดังขึ้นต้อนรับ อาจทำให้นางกำนัลและทหารองครักษ์จำนวนเท่าหยิบมือของนางสั่นกลัว แต่นางไม่
“ท่านก็คือแม่ทัพใหญ่เฮยเซ่อเย่ว์ที่ ‘รบพันลี้ไม่มีล้า’ ผู้นั้นกระมัง...ข้ามาแล้ว ชีวิตของข้าใช่หรือไม่ ที่พวกท่านเฮยเซ่อเย่ว์ต้องการ” นางถาม ดวงตาฉ่ำน้ำฉายแววแกร่งกร้าว ไม่กลัวตาย “ในเมื่อได้ในสิ่งที่ต้องการแล้ว ก็อย่าได้ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่เช่นนี้ต่อไปอีกเลย สั่งให้คนของท่านหยุดมือเสีย การทำให้เมืองอันงดงามเมืองหนึ่งต้องกลายเป็นซากปรักหักพังเช่นนี้ นอกจากความเพลิดเพลินแล้วก็หาประโยชน์อันใดมิได้กระมัง เพียงเพื่อให้ได้ตัดหัวองค์หญิงแพศยาชั่วช้าผู้เดียว เหตุใดพวกท่านกองทัพทมิฬอันเลื่องชื่อ ต้องลดตัวมากระทำเรื่องยุ่งยากเกินจำเป็นถึงเพียงนี้”
“เจ้านั่งรถม้าเล็กๆ นั่น ลอบออกจากเมืองหลวงมาถึงนี่ เพราะอยากให้พวกเราเฮยเซ่อเย่ว์ยุติการโจมตี?” เขาถาม
แม้ศีรษะขององค์หญิงผู้หนึ่งจะสูงส่ง...โดยเฉพาะยิ่งแล้วเมื่อนางเป็นถึงสตรีศักดิ์สิทธิ์อันเป็นที่สักการะบูชาของแว่นแคว้นที่เป็นดั่งศูนย์กลางของนิกายแสงสว่าง นิกายซึ่งผู้คนให้การยอมรับนับถือมากที่สุดในใต้หล้า... หนิงซิน ละวางสถานะทั้งปวง ค้อมศีรษะลงเล็กน้อย ตอบรับคำกล่าวนั้น
ที่นางต้องการมากที่สุดในยามนี้ คือยุติเรื่องวุ่นวายทั้งหมดที่เกิดขึ้นก็เพราะนาง แม้จะต้องแลกด้วยชีวิต นางก็พร้อมเต็มใจยอมรับคำพิพากษานี้ ถึงแม้ว่าตั้งแต่ต้นจวบจนบัดนี้ นางก็ยังไม่รู้เลย ว่าตนเองได้กระทำสิ่งใดผิดพลาดไปกันแน่
“ไม่” แม่ทัพเฮยเซ่อเย่ว์ประกาศเสียงแข็ง “ผู้ชนะลิขิตชะตาผู้แพ้พ่าย เรื่องนี้ล้วนถูกต้องตามทำนองคลองธรรม”
หนิงซินกำมือแน่นจนเล็บจิกเนื้อ มีเพียงวิธีนี้เท่านั้น ที่ช่วยให้นางยังคงประคองสติสัมปชัญญะอยู่ได้
ท่ามกลางบรรยากาศชวนอึดอัดและทุกสายตาที่จับจ้อง ม้าตัวเขื่องสีดำมะเมื่อมแววตาน่าขนลุก ค่อยๆ เยื้องย่าง พาร่างที่ดูราวสูงใหญ่กว่าแปดฉื่อ[3]ในชุดเกราะเกร็ดเหล็กกล้ารมดำ แหวกกองทัพนักรบบนหลังม้าหน้าตาดุดันออกมาหยุดยืนเบื้องหน้านาง ลมหายใจฟืดฟาดที่ม้าศึกพ่นใส่ ทำเอา หนิงซินตัวแข็งทื่อเพราะความกลัว
หนิงซินจ้องลึกลงในดวงตาพยัคฆ์คู่คม พยายามค้นหาเศษเสี้ยวความเมตตาและความดีงามข้างในนั้น กลับพบเพียงแววตามืดทะมึนสุดประมาณ และความเย็นเยียบดุจเหมันต์ไร้ที่สิ้นสุด
นี่คงจะเป็น...แม่ทัพใหญ่เฮยเซ่อเย่ว์กระมัง...
เพียงเข้าใกล้ก็สัมผัสได้ถึงไอเย็นของความตาย อีกทั้งทั่วทั้งร่างยังเต็มไปด้วยกลิ่นอายอัปมงคลชวนอึดอัดกดดันเช่นนี้...ต่อให้ไม่มีใครบอก นางก็พอจะเดาได้ไม่ยาก
สิ่งที่คาดเดาได้นี้ ทำให้นางยิ่งไม่กล้าขยับเขยื้อน
อันที่จริงนางแทบไม่กล้าหายใจแล้วด้วยซ้ำ
แม่ทัพใหญ่เฮยเซ่อเย่ว์จ้องนางราวกับมองสัตว์เล็กๆ ไร้ค่าตัวหนึ่ง
เขาถามเสียงเย็น “เพียงแค่ปรากฏตัว พูดจาไม่กี่คำ ก็คิดว่าสามารถสั่งให้พวกเรากองทัพทมิฬอันเลื่องชื่อของสมรภูมิทมิฬ[4] หยุดกระทำเรื่องที่พวกเราเดินทัพมาเพื่อกระทำ เจ้าคิดว่าตนเองเป็นผู้ใด”
“ดังที่พวกท่านรู้...ถูกแล้ว ย่อมต้องรู้ ข้าคือหนิงซินกงจู่[5] ธิดาในอิ๋งอ๋องแคว้นป๋าย เจ้าของแผ่นดินที่พวกท่านย่ำเหยียบ” นางพยายามควบคุมน้ำเสียงให้เป็นปกติ
หนิงซินพยายามได้ดีเป็นอย่างยิ่ง อย่างน้อยก็ในความรู้สึกของนาง
ทว่าประโยคที่อีกฝ่ายตอบกลับ ยโสโอหังยิ่ง!
“ไม่ใช่อีกแล้ว องค์หญิงน้อย...” แม่ทัพเฮยเซ่อเย่ว์บังคับม้าให้เดินหน้าเบี่ยงออกเล็กน้อย ทำให้ร่างกายใหญ่ยักษ์นั่นขยับเข้าใกล้กายนางในระยะน่าหวาดหวั่น
แม้เวลานี้จะเป็นยามราตรี อีกทั้งทั่วทั้งเมืองในยามนี้ล้วนเต็มไปด้วยเขม่าและควันไฟ แต่จากตรงนี้ นางสังเกตเห็นคราบเลือดตามตัวม้า เสื้อเกราะ แขน ขา และใบหน้าบุรุษผู้นี้ได้ชัดถนัดตา
ดูจากแววตากร้าวแกร่งไร้ร่องรอยความอ่อนล้าและท่วงท่าขี่ม้าอันสูงส่งเย็นชาทว่าห้าวหาญในที ไม่ต้องเพ่งตาดูให้ดีก็เดาได้...
หยาดเลือดที่แทบจะชโลมทั่วร่างม้าและแม่ทัพผู้นี้ ล้วนมาจากคนแคว้นป๋ายทั้งสิ้น!
ไม่ผิดแล้ว...คนผู้นี้คือบุรุษที่นำทัพเข่นฆ่าผู้คนไปทั่วหล้า
คนผู้นี้คือบุรุษที่สังหารทหารกล้าของนาง
คนผู้นี้คือบุรุษที่สังหารชาวเมืองของนาง
หนิงซินขอบตาร้อนผ่าว ยามนี้นางทั้งโกรธทั้งเกลียดทั้งเจ็บใจที่ตนเองไร้พละกำลังความสามารถจนอยากจะร้องไห้ แต่ยังพยายามแข็งใจ เอ่ยเสียงเรียบ “ที่นี่ยังเป็นแผ่นดินเรา” แม้กลิ่นความตายจะเลื้อยรัดรอบร่าง นางยังหาญสู้ “ที่พวกท่านได้ครอบครองยามนี้ ดีที่สุดก็ยังเป็นเพียงเมืองหน้าด่าน เป็นเพียงอีกหนึ่งป้อมปราการ ไม่ใช่วังหลวงแคว้นป๋าย” นางจ้องดวงตาดุเข้มเย็นชาคู่นั้นไม่หลบสายตา เอ่ยเน้นคำ “พวกท่านยังไม่ได้ประกาศชัยชนะ”
“เจ้าทำให้ข้านึกขึ้นได้ ว่าสมควรรีบไปประกาศชัยชนะ”
“ข้ามาที่นี่พร้อมข้อเจรจา” นางรีบบอกเสียงดัง “สั่งให้ทหารของท่านยุติการโจมตี หยุดทำลายบ้านเมือง หยุดเข่นฆ่าคนแคว้นนี้ แล้วพวกเราแคว้นป๋ายจะพิจารณายอมรับปากเฮยเซ่อเย่ว์ทุกเงื่อนไข” หนิงซินบอกชัดถ้อยชัดคำ แม้ทุกถ้อยคำเปรียบดั่งคมมีดกรีดใจนาง
แว่นแคว้นที่นางรักกำลังจะล่มสลาย บ้านเมืองถูกแผดเผาทำลาย ผู้คนมากมายล้มตายเหมือนใบไม้ร่วง แม้จะฟังดูน่าอัปยศอดสู ทว่าตัวนางในตอนนี้นับได้ว่าไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วนางก็มีแต่จะต้องดิ้นรนรักษาม้าตายเยี่ยงม้าเป็น[6]
“ทุกเงื่อนไขเช่นนั้นรึ” แม่ทัพเฮยเซ่อเย่ว์ถาม
“ใช่ ทุกเงื่อนไข” นางยืนยัน แม้ยังไม่แน่ใจ ว่าบิดาและน้องชายคนโตที่เป็นรัชทายาทจะยอมตกลงหรือไม่
ที่จริงแล้วครั้งนี้นางลอบหลบหนีออกมาจากวังหลวงมาได้ ก็เพราะความใจอ่อนของน้องชายคนรอง ล้วนแล้วแต่ตัดสินใจเอาเองโดยพละการทั้งสิ้น
เรื่องครั้งนี้อาจฟังดูเป็นการตัดสินใจที่โง่เง่า ทว่า...ทว่าหากสงครามครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะนาง เช่นนั้นแล้วไม่สู้ให้คนเหล่านี้ได้ตัวนางสมใจดังที่พวกเขาได้ป่าวประกาศเอาไว้ตั้งแต่แรก...ให้พวกเขาได้นำนางไปทรมาน เอาไปแห่ประจาน นำตัวไปบั่นคอให้พวกเขาโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘ต้าอ๋อง เทียนหลง’ ผู้ครองแคว้นเฮยเซ่อเย่ว์ในยามนี้หายแค้นยังดีกว่า เผื่อว่าพวกเขาจะเมตตา ยอมเหลือทางรอดให้ราชวงศ์สกุลอิ๋งและผู้คนแคว้นป๋ายสักหนึ่งสาย…
หนิงซินมีความคิดของนาง ผู้จ้องมองนางก็มีความคิดเป็นของตนเองเช่นกัน
นี่น่ะรึ หญิงงามที่สร้างความวุ่นวายไปทั่วแผ่นดิน
นี่น่ะรึ หญิงงามที่ล่มบ้านล่มเมือง...ล่มมาแล้วไม่รู้กี่แคว้นต่อกี่แคว้น
นี่น่ะรึ หญิงงามที่ทำให้พี่น้องของข้าต้องตายตก
นี่น่ะรึ หญิงงามที่แคว้นป๋ายกับพวกคลั่งศาสนาพากันสรรเสริญบูชาและหวงแหนราวกับไข่มุกล้ำค่าที่ประคองเอาไว้บนฝ่ามือยังกลัวหาย ยามนี้ถึงกับต้องพาตัวออกจากอารามศักดิ์สิทธิ์ นำกลับไปซุกซ่อนไว้ในตำหนักใหญ่โตข้างในใจกลางวังหลวงอีกชั้น ไม่สนใจแล้วว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์มีหน้าที่ใด
นี่น่ะรึ หญิงงามที่กล่าวกันว่าร้อยปีจึงจะมีถือกำเนิดขึ้นมาสักครั้ง?
“หึ...หึหึ ฮ่าๆ ฮ่า ฮ่า ฮ่า!” ท่าทีองอาจไม่กลัวภัยจากหญิงงามรูปร่างอ้อนแอ้นอ่อนเยาว์อาจดูน่าประทับใจ แต่อีกนัยก็ช่างน่าขันนัก
“ตอนบอกให้ส่งตัวมาก็ยึกยักท่ามากไม่ยอมส่งให้ เพียงเห็นว่าจะสู้ไม่ได้ก็รีบกลับลำเรือ ยอมกลืนน้ำลาย พายเรือทวนน้ำ เหอะ! ประเสริฐยิ่ง! เจ้านายแคว้นนี้ ส่งสตรีมาต่อรอง สิ้นหวังกันถึงเพียงนี้แล้วงั้นรึ!”
“ข้ามาของข้าเอง!” นางรีบบอกตามตรง
การจะปล่อยให้พระเกียรติของเสด็จพ่อและเจ้านายของแผ่นดินนี้ถูกหยามหมิ่นนั้น...นางยอมไม่ได้จริงๆ!
“เหอะ ช่างกล้าหาญองอาจดีเสียจริง” ถึงถ้อยคำที่เอ่ยจะเป็นคำชม แต่น้ำเสียงกลับแฝงไว้ด้วยความรังเกียจเหยียดหยาม “ทว่ากล้าหาญก็ส่วนกล้าหาญ โง่เขลาก็ส่วนโง่เขลา เห็นทีอิ๋งอ๋องแคว้นป๋ายคงฟูมฟักองค์หญิงคนโปรดเอาไว้ก็แต่ในตำหนักฟุ้งเฟ้อโอ่อ่าที่รายรอบด้วยทะเลดอกไม้ดังคำเล่าลือไม่ผิดแล้วกระมัง นางจึงไม่เพียงเติบโตขึ้นมา ‘กลิ่นกายหอมฟุ้งยิ่งกว่ายอดบุปผชาติจากสรวงสวรรค์ ผิวพรรณผ่องใสราวกับจะคั้นน้ำออกมาได้’ ดังที่ผู้คนโจษจัน แต่ยังมองว่าโลกใบนี้ล้วนมีก็แต่เรื่องราวงดงามดั่งภาพเขียนวิจิตรบรรจงและแพรพรรณนุ่มละมุนในตำหนักโอ่อ่างดงามนั่น”
จบประโยค เหล่าทหารชำนาญศึกจากเฮยเซ่อเย่ว์ก็ประสานเสียงหัวเราะดังกึกก้อง
ชายผู้คล้ายจะเป็นแม่ทัพใหญ่รอให้เสียงหัวเราะซาลง ถึงค่อยเอ่ยประโยคถัดไป เขาจ้องมองนางจากที่สูงด้วยแววตาเย็นเยียบ เอ่ยชื่อนางตรงๆ ด้วยน้ำเสียงดุเข้มทรงอำนาจดุจพญามังกรดำ
“หนิงซิน...รู้หรือไม่ รอจนพวกเรากองทัพทมิฬเข้าเหยียบย่ำจนเมืองหลวงของพวกเจ้าแหลกสลายไม่เหลือซาก ถึงตอนนั้นหากอยากได้สิ่งใด พวกเราเหล่าเฮยเซ่อเย่ว์ย่อมหยิบฉวยเอาได้ทุกอย่าง ทุกเวลา” แม่ทัพใหญ่ซึ่งกล่าวได้ว่ายังหนุ่ม ไล่สายตามองริมฝีปากบางใสทว่าอิ่มงามบนใบหน้ารูปหัวใจเรียวเล็ก ไหปลาร้า...ไล่ลงมาจนถึงร่างกายที่ถูกลมพัดอาภรณ์แนบร่างจนมองเห็นทรงอกอวบอัด เอวคอดกิ่ว สะโพกกลมกลึง และเรียวขาอันงดงามราวเทพเซียนบรรจงปั้น จากนั้นก็ไล่สายตาจากเรียวขางามกลับขึ้นมาสบตานางอีกหน พร้อมกับเอ่ยประโยคที่ทำให้หนิงซินถึงกับลมหายใจสะดุด เผลอลืมหายใจไปชั่วขณะ หนังศีรษะชาวาบไปหมด
“แม้แต่เจ้า”
แม้แต่...ข้า...?
หนิงซินกัดริมฝีปากแน่นพยายามรักษาความสงบเยือกเย็น
นางรวบรวมความกล้า ตอบด้วยน้ำเสียงฉะฉาน
“ท่านแม่ทัพเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า ‘สุนัขขนตรอกหรือไม่’ หากข้าองค์หญิงเป็นสุนัข ยามถูกไล่ต้อนจนไร้ทางหนี ข้าองค์หญิงย่อมต้องสู้ยิบตา แม้ว่าท้ายที่สุดข้าอาจต้องเจ็บหนัก หรือแม่แต่ล้มตาย แต่ผู้ที่คิดร้ายไล่ต้อนข้า ก็จะต้องเสียเลือดเสียเนื้อ หรืออาจถึงขั้นบาดเจ็บล้มตายเช่นกัน”
แม่ทัพใหญ่เฮยเซ่อเย่ว์เหยียดยิ้มเหี้ยมเกรียมเมื่อได้ยิน
หนิงซินยังกล่าวต่อไป
“ตรอกแห่งนี้คือถิ่นของข้า พวกท่านไม่คุ้นเคยกับตรอกที่ข้าเกิดและเติบโตมา จะรู้ได้อย่างไร ว่า ณ ตรอกแห่งหนึ่งที่พวกตนกำลังไล่ต้อนสุนัขอย่างสนุกสนาน แท้จริงแล้วมีฝูงสุนัขซุกซ่อนอาศัยมากมายเพียงใด มีสุนัขกี่ตัวที่ต่อให้ยอมตายก็ไม่ยอมแพ้ และมีสุนัขที่ยังคงมีกำลังวังชากล้าแข็งอีกกี่ตัว กำลังเฝ้าลับเขี้ยวและกรงเล็บคมกริบไว้รอ” ดวงตาที่เปล่งประกายอ่อนโยนของนางดูเด็ดเดี่ยวห้าวหาญขึ้น เมื่อสะท้อนเปลวไฟ
นางยังกล่าวต่อไปด้วยเสียงอันดัง
“ท่านมีไฟ...พวกข้าก็มี ท่านมีหอก...พวกข้าก็มี ท่านมีธนูแหลมคม พวกเราชาวแคว้นป๋ายเองก็มี แต่สิ่งหนึ่งที่แตกต่างก็คือ พวกเราชาวแคว้นป๋าย นับตั้งแต่เมืองหน้าด่านนี้ ดังที่ท่านเห็น พวกเราได้สร้างป้อมปราการเอาไว้มากมายหลายชั้น...พวกเรามีป้อมปราการอันมั่นคง แต่พวกท่านมีเพียงม้าศึกเท่านั้น หากคิดจะใช้กำลังหักหาญตีเมืองเอาเองเช่นนั้น...อย่างเร็วที่สุดก็คงกินเวลาถึงสองสามเดือนกระมัง พวกท่านจากบ้านเรือนมา ออกรบเนิ่นนานถึงเพียงนี้แล้ว ยังอยากตั้งค่ายล้อมเมืองสามเดือน หกเดือน หรืออาจถึงขั้นต้องเสียเวลาอยู่ที่นี่นับปีสองปีอีกหรือ”
นางเชิดหน้าขึ้นเอ่ยประโยคถัดไปอย่างเน้นถ้อยเน้นคำ
“ข้าเห็นแล้ว พวกท่านมีกำลังทหารมากเพียงใด ข้ารู้แล้วว่าพวกเราสู้กลศึกสู้พละกำลังของพวกท่านมิได้ แต่อย่าลืม...คนเฮยเซ่อเย่ว์ แม้แต่สุนัขยังรักชีวิต ยามที่สุนัขมันจนตรอก ก่อนยอมตาย พวกมันคงต้องกัด คงต้องข่วน คงต้องสู้ยิบตา ทำร้ายคนที่ถือไม้ไล่ตี ไล่ฆ่า ไล่ต้อนพวกมันจนจนมุม ให้ได้แผลเหวอหวะกันบ้างล่ะ”
ขาดคำ ดาบดำทะมึนด้ามใหญ่เปื้อนโลหิตสีแดงฉานก็ตวัดขึ้นวางพาดบ่านางทันที
“พวกเราชาวแคว้นป๋ายยินดียอมจำนน” นางย้ำสิ่งที่เคยพูดไปแล้ว โดยไม่ละสายตาจากดวงตาดุเข้มคู่นั้น และไม่ถอยหนีแม้เพียงครึ่งก้าว “ท่านจะตวัดดาบสังหารสตรีไร้ประโยชน์เช่นข้าเสียตรงนี้ก็ย่อมได้ ทว่าต่อให้ไม่เห็นแก่ชีวิตชาวเมืองผู้บริสุทธิ์ ก็ขอให้เห็นแก่ชีวิตเหล่าทหารกล้าของท่าน...เห็นแก่ทุกความเหนื่อยยากที่พวกเขาจะได้รับ ได้โปรดไตร่ตรองสิ่งที่ข้าเพิ่งจะกล่าวกับท่านให้ดี”
“พูดได้ดี...สำหรับสตรีที่เป็นชนวนสงคราม” แม่ทัพใหญ่กองทัพทมิฬลากดาบที่วางพาดบ่านางบนเสื้อคลุมกันลมสีพุทราแห้ง เช็ดโลหิตออกจากเนื้อโลหะทั้งด้านหน้าและด้านหลัง
ถ้าตอนนี้หนิงซินตัวสั่นแม้เพียงนิด หรือแขนขาอ่อนแรง เป็นลมล้มพับลงไป คมดาบอาจแฉลบเชือดคอขาวผ่องของนางได้ทุกเมื่อ
ในช่วงวินาทีแห่งความตื่นตระหนก พวกนางกำนัลผู้ภักดีที่ติดตามนางมาจากวังหลวงต่างลุ้นระทึก ทั้งเป็นห่วงผู้เป็นนายทั้งหวาดกลัวจนตัวสั่น น้ำตาไหลพราก ฝ่ายองครักษ์ที่ติดตามอารักขาก็ล้วนกำด้ามดาบแน่นจนเห็นเส้นเอ็น พร้อมสู้ตายถวายชีวิตปกป้ององค์หญิงที่ตนถวายความจงรักภักดี ถึงแม้บางส่วนในกลุ่มเริ่มจะคล้อยตามดังที่แม่ทัพเฮยเซ่อเย่ว์ว่า
“องค์หญิงที่เป็นชนวนสงคราม...หญิงงามล่มแคว้น”
สตรีที่เป็นชนวนสงคราม...
หญิงงามล่มแคว้น...
เรื่องนี้หนิงซินรู้ตัวดียิ่งกว่าใครทั้งหมด
นาง...องค์หญิงที่ยามนี้อยู่ในฐานะสตรีศักดิ์สิทธิ์ของนิกายแสงสว่างแห่งแคว้นป๋าย คือต้นตอของเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นในตลอดหลายปีมานี้ คือสาเหตุให้บุรุษมากมายประลองยุทธกันดุเดือดถึงขั้นเอาชีวิต จากนั้นเรื่องราวก็ลุกลามบานปลาย กลายเป็นการประกาศสงคราม รบราฆ่าฟันกันทั่วทั้งแผ่นดิน...นำมาซึ่งกองทัพอันโหดเหี้ยมของพวกเขาชาวเฮยเซ่อเย่ว์ในวันนี้...
“มีอะไรจะสั่งเสียหรือไม่” บุรุษบนหลังม้าถาม นัยน์ตาเปล่งประกายสีเลือด ดูโหดเหี้ยมอำมหิต
“ที่ควรพูดก็พูดหมดแล้ว ผู้ที่เป็นชนวนสงครามเช่นข้า จะยังเหลือสิ่งใดให้สมควรพูดอีกเล่า”
ในสายตาคนอื่น จนถึงตอนนี้หนิงซินก็ยังมิเคยแสดงท่าทีขลาดกลัวแม้สักนิด แต่ในความเป็นจริงแล้ว...นางก็แค่ซุกซ่อนความกลัวเอาไว้ได้อย่างแนบเนียนเท่านั้น
ที่จริงแล้วนางกลัวจนแทบก้าวขาไม่ออก ส่วนลึกในใจนางร่ำร้องอยู่ตลอดเวลาว่าอยากทิ้งตัวลงปิดหน้าร่ำไห้ ไม่อยากมองภาพอันน่าอดสูของเมืองนี้ ไม่อยากเห็นภาพกองทัพทมิฬเรือนแสนที่อยู่ด้านหลังแม่ทัพใหญ่ผู้นี้ และยิ่งไม่อยากต้องเชิดหน้าขึ้นสบตาสนทนากับบุรุษที่รอบกายเต็มไปด้วยไอสังหารผู้นี้!
แต่แม้จะเป็นสตรีโสมมที่ทำให้ผู้คนมากมายตายตก นางก็ยังอยู่ในฐานะองค์หญิงศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับการยกย่องว่าสูงส่งและสง่างามที่สุดของแคว้นป๋าย นางไม่อาจกระทำตนเช่นนั้นให้ผู้คนดูหมิ่นหยามหยัน ดูถูกดูแคลนมาถึงแคว้นป๋าย ราชวงศ์สกุลอิ๋ง และอารามศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้คนทั่วหล้าให้ความเคารพนับถือ
ต่อให้วันนี้ต้องตาย นางก็ต้องตายโดยที่ยังคงสามารถรักษาเกียรติเอาไว้ได้...อย่างน้อยก็ในความรู้สึกของนางเอง
“ดี” ปากบอกว่าดี แต่ผู้กล่าวกลับรู้สึกว่าสตรีตรงหน้าช่างโอหัง อวดดี
กลุ่มก้อนโทสะระเบิดโพลงในใจแม่ทัพเฮยเซ่อเย่ว์ในยามนั้น
เขาเงื้อดาบสูงขึ้น แม้จะมีองครักษ์แคว้นป๋ายที่ทนไม่ไหว คิดก้าวออกมาปกป้ององค์หญิงของตน ทว่าไม่ทันขยับตัวก็โดนคนของเฮยเซ่อเย่ว์ปราดเข้าปลดอาวุธ กดร่างลงแนบกับพื้นเกรอะกรังอย่างน่าอดสู
“ปล่อยข้า!” หัวหน้าองค์รักษ์คับแค้นใจที่ไม่อาจสู้จำนวนอีกฝ่าย
หนิงซินไม่อาจปล่อยให้ผู้ติดตามขัดขืนคนเหล่านี้จนกลายเป็นทำร้ายตนเองเช่นนั้น นางรีบปรามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนราวต้องการปลอบประโลม แต่ไม่รู้ว่าต้องการปลอบประโลมพวกเขาหรือตนเองมากกว่ากัน
“ก็ไหนก่อนออกจากวัง พวกเจ้ารับปากแล้วอย่างไรเล่า ว่าจะไม่สร้างปัญหาใดใดให้ตนเองทั้งนั้น...” นางแย้มยิ้มขมขื่น “หากเพียงพบหน้า ท่านแม่ทัพผู้เกรียงไกรไม่ทันส่งสารรายงานต้าอ๋องของตน กลับต้องการเห็นข้าตาย พวกเจ้าก็ปล่อยให้ข้าได้จากไปอย่างสงบเช่นนี้เถอะ อย่าได้ดิ้นรนสร้างปัญหาใดใดให้ตนเองต้องลำบากเจ็บตัวเพื่อข้าเลย...” คาดไม่ถึงว่าหลังจากกล่าวออกมาเช่นนี้แล้ว นางจะรู้สึกตัวเบาลงมาก ราวกับน้ำหนักที่ซื่อว่า ‘หน้าที่’ และ ‘ความรับผิดชอบ’ ซึ่งกดทับตนเองอยู่ตลอดเวลา สลายหายไปในชั่วอึดใจสั้นๆ
หนิงซินยิ้มน้อยๆ ก่อนปิดเปลือกตา ยืนรอความตายอย่างสงบ ไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวความลังเลให้เห็น
หากนางตาย เฮยเซ่อเย่ว์ที่ไหนจะยังเหลือเหตุผลให้ทำร้ายแคว้นป๋าย
บางทีจบลงเช่นนี้ก็อาจจะดีเหมือนกัน...
ตุบ!
จบลงแล้วสินะ...
หนิงซินปล่อยวาง ปล่อยกาย ปล่อยใจ ปล่อยให้ทุกอย่างผ่านเลยไป
นึกไม่ถึงว่าเมื่อมีเสียงตุบแรกแล้วกลับมีเสียงตุบที่สอง สาม และสี่ ดังตามมาอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักก็มีเสียงสตรีร้องขอความเมตตาแทนนางดังระงม
“ท่านแม่ทัพ ท่านแม่ทัพ! ได้โปรด...ได้โปรดอย่าทำร้ายองค์หญิงเลย!”
“ท่านแม่ทัพ! องค์หญิงถูกปรักปรำ!”
“องค์หญิง...ที่แท้แล้วองค์หญิงเป็นผู้บริสุทธิ์!”
เสียงพวก...นางกำนัล...?
นี่มันอะไรกัน?
รออยู่นาน ไม่เพียงไม่รู้สึกว่าตัวเองถูกบั่นคอโลหิตท่วมทะลัก ยังเกิดเหตุการณ์อะไรก็ไม่รู้ หนิงซินเปิดเปลือกตาขึ้นมองอย่างไม่เข้าใจ
นี่...นี่คอของนางยังอยู่บนบ่า ดาบนี่ก็ยังไม่ได้ขยับบั่นศีรษะนางอย่างที่เข้าใจผิดไป?
“รับดาบ” ชายบนหลังม้าสั่งเสียงเข้มขรึม
ระ รับดาบ?
ไม่ทันที่หนิงซินจะเข้าใจ เสียงโลหะกระแทกโลหะก็ดังกึกก้อง ก่อนที่ร่างน้อยๆ ของนางจะโดนฉุดให้ลอยขึ้นไปบนหลังม้า
“อย่าห่วงเลย...ข้าไม่ให้เจ้าได้ตายง่ายๆ เช่นนั้นหรอก ข้าจะทำให้เจ้าร้องขอความตาย” เสียงกระซิบแหบแห้งดุจผีร้ายจากบุรุษร่างใหญ่ที่ฉุดตัวนางขึ้นมา ทำเอาหนิงซินขนลุกเกรียวไปหมด
ก่อนที่นางจะได้ขยับหนี ฝ่ามือสวมเกราะเกร็ดแข็งกระด้างอย่างชาวแดนไกลก็ตวัดเชือกบังคับม้ามัดมือนางไว้แน่นหนา ดึงรั้งร่างนางเข้าแนบชิด
เขาตะคอกใส่คนของนางเสียงดังยิ่งกว่าเสียงฟ้าผ่า
“กลับไปรายงานป๋ายอ๋องสกุลอิ๋งนายของเจ้า ว่าข้า แม่ทัพใหญ่กองทัพทมิฬ รับข้อเสนอ หนิงซินกงจู่” แม่ทัพใหญ่ประกาศกร้าว “แต่ก่อนหน้าที่จะเจรจาอะไร ภายในสามวัน อาวุธ ดินดำ น้ำมันดิน เชือก ค้อน ขวาน เคียว กระทั่งเข็มเย็บปัก ทุกอย่างที่ใช้เป็นอาวุธได้กับชุดเกราะทั้งหมดจะต้องถูกขนออกมาที่นี่ จนกว่าจะถึงตอนนั้นหนิงซินกงจู่จะอยู่ที่นี่ในฐานะเชลยสงคราม ชาวแคว้นป๋ายจัดการได้ตามนี้แล้ว พวกเราสองแคว้นถึงค่อยเจรจา!”
หนิงซินกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก
ไม่ใช่เพราะเงื่อนไขเหล่านี้ แต่เป็นเพราะแผงอกกร้าวแกร่งหุ้มเกราะแข็งกระด้างเย็นจัดด้านหลัง กับท่อนแขนใหญ่ๆ ที่โอบรัดเอวนางไว้แน่นอย่างถือสิทธิ์
การกระทำอันป่าเถื่อนไร้มารยาทเช่นนี้...
คนผู้นี้...คนผู้นี้ไม่เพียงไม่ให้เกียรตินางในฐานะองค์หญิง ยังไม่ไว้หน้ารักษาไมตรีหรือใส่ใจมารยาทธรรมเนียมที่พึงปฏิบัติต่อนางในฐานะสตรีผู้หนึ่งเลยด้วยซ้ำ!
“กลับค่าย!” แม่ทัพใหญ่เฮยเซ่อเย่ว์สั่งเสียงเข้ม จากนั้นก็พานางห้อม้ากลับที่พัก ทิ้งเหล่าผู้คนซึ่งติดตามนางออกมาจากวังหลวง ที่ตกอยู่ในสภาพสิ้นหวังอย่างที่สุด ไว้ท่ามกลางซากปรักหักพังและฝุ่นควันจากฝีเท้าม้านับแสน ไม่สนใจว่าสิ่งที่ได้กระทำลงไปนั้นเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมสักนิด
[1] 23.00 – 24.59 น.
[2] ชุดเกราะชนิดหนึ่ง สร้างขึ้นโดยการขึ้นรูปโลหะ แล้วนำมาถักร้อยเป็นเสื้อเกราะที่คงทนแข็งแรง
[3] หนึ่งฉื่อ ยาวประมาณ 1/3 เมตร หรือ 33.33 เซนติเมตร
[4] เฮยเซ่อเย่ว์ ในที่นี้ แปลตามอักษร หมายถึง ขวานหรือสนามรบสีดำ ในที่นี้สื่อถึงสมรภูมิทมิฬ
[5] ตำแหน่งองค์หญิง หรือบุตรสาวผู้เป็นประมุข
[6] พยายามทำทุกวิถีทาง พยายามกอดความหวังสุดท้าย แม้รู้ดีว่าแทบจะไม่มีหวังอีกต่อไป
แม้หมอหลวงสวี่จะเป็นหนึ่งในผู้ที่รั้นจะตามมาในกองทัพใหญ่เฮยเซ่อเย่ว์ ด้วยเห็นว่าชีวิตของตนเองอยู่มาจนป่านนี้ก็ไม่มีเรื่องใดให้เสียดายอีกแล้ว ห่วงแต่ว่าจะไม่ได้ทำประโยชน์ให้แก่ท่านแม่ทัพที่ยืนกรานออกศึกด้วยตนเองหลายต่อหลายครั้ง ทว่าอยู่มาจนป่านนี้ กลับได้ข่าวว่าอนุที่เยาว์วัยที่สุดของตนเกิดตั้งครรภ์และเพิ่งจะคลอดบุตร นับๆ ดูแล้วก็มั่นใจว่าเป็นทายาทของตนเป็นแม่นมั่น แม้ใจหนึ่งอยากกลับไปรับขวัญบุตรชายที่ได้มาราวปาฏิหาริย์ แต่การศึกยังติดพัน จึงได้แต่ตั้งใจอบรมสอนสั่งหมอทหาร เพื่อให้แน่ใจได้มากขึ้นอย่างน้อยๆ ก็อีกสองส่วน ว่ากองทัพเฮยเซ่อเย่ว์ที่เกรียงไกรจะไม่สูญเสียกำลังทหารจนพลาดพลั้งแพ้พ่าย... มิใช่ว่าไม่เชื่อใจผู้นำทัพ ในฐานะผู้ที่ติดตามกองทัพมาทั้งที่ไร้วรยุทธป้องกันตัว สวี่ซีซวนก็เพียงแต่ต้องการเพิ่มความแน่นอนปลอดภัยให้ชีวิตของตนเองเท่านั้นก่อนออกศึก ท่านแม่ทัพมิได้ทิ้งผู้ชราที่จู่ๆ ก็เกิดหวงชีวิตขึ้นมาเช่นตนไว้ที่เลี่ยงจินอู่เพียงเพื่อให้คอยกำกับดูแลหมอคนอื่นๆ ที่ล้วนกำลังทุ่มเทความสามารถรักษาเยียวยาทหารที่ได้รับบาดเจ็บหนัก แต่ยังมอบหมายอีกหนึ่งหน้าที่สำคัญให้ด้วยเ
นับตั้งแต่วันที่หยางหยางนำทัพใหญ่ออกเดินทางไปยังเมืองหลวงแคว้นป๋าย หนิงซินก็รู้สึกเหมือนมีก้อนหินหนักอึ้งถ่วงอยู่ในอก ความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของเขาและสถานการณ์การรบ บีบรัดหัวใจจนนางแทบหายใจไม่ออก แม้จะพยายามฝืนกินอาหารตามเวลา แต่อาหารทั้งหมดกลับจืดชืดไร้รส ยามพยายามข่มตาหลับ ภาพเงาร่างสูงใหญ่ของบุรุษที่เคยโอบกอดหยอกเย้ารวมถึงปลอบโยนนางจนหลับไหลซึ่งกำลังต่อสู้กับศัตรูก็ปรากฏขึ้นในห้วงนิทรา ทำให้นางสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยความหวาดกลัวไม่รู้กี่คืนต่อกี่คืนวันแล้ววันเล่าผ่านไป หนิงซินได้แต่เฝ้ารอข่าวคราวจากสนามรบอย่างกระวนกระวาย จนกระทั่งข่าวที่ว่ากองทัพของหยางหยางบุกเข้าวังหลวงได้แล้วแพร่สะพัดไปทั่ว ทั่วทั้งจวนพลันเต็มไปด้วยความโกลาหล พร้อมๆ กับที่ผู้คนในเรือนหลักยิ่งพากันหน้าดำคร่ำเคร่ง พยายามระมัดระวังเอาใจใส่นาง ด้วยบ้างก็ยิ่งหวาดกลัวยำเกรงแม่ทัพใหญ่ บ้างก็อกสั่นขวัญผวาหวั่นเกรงว่าองค์หญิงรองที่ตนต้องดูแลปกป้องให้ปลอดภัยดีทุกอย่างจะคิดสั้นหรือล้มป่วยลงสำหรับหนิงซิน ข่าวนี้กลับทำให้หัวใจของนางเต้นรัวราวกับกลองศึก ความดีใจที่หยางหยางประสบชัยชนะ ปะปนกับความหวาดกลัวในอ
คำพูดของหยางหยางทำให้หนิงซินรู้สึกเจ็บปวดไปทั้งหัวใจนางรู้ดีว่าสงครามไม่มีผู้ชนะที่แท้จริง และทุกชีวิตที่ต้องสูญเสีย ล้วนนำมาซึ่งความโศกเศร้า“ข้าขอร้อง...”หนิงซินพยายามจะพูดอะไรบางอย่างอีกครั้ง เขารู้ว่านางจะพูดอะไร เขาเองก็ฟังมามากพอแล้วเช่นกันหยางหยางส่ายหน้าเบาๆ“ได้เวลาแล้ว” เขาพูดเสียงเรียบ “รอข้าอยู่ที่นี่”เมื่อสวมเกราะสุดท้ายเสร็จสิ้น แม่ทัพทมิฬก็เดินออกไปจากห้อง ทิ้งให้เงาร่างบอบบางยืนมองส่งเขาอย่างเดียวดายหนิงซินเม้มริมฝีปากแน่นก่อนตัดสินใจเดินตามไป ทว่าไม่ทันจะก้าวขาออกจากประตู เหล่าสาวใช้ที่รอปรนนิบัติดูแลนางอยู่ด้านนอกก็พากันคุกเข่าลง ใบหน้าเผือดสีหนิงซินเข้าใจในความหวาดกลัวของคนเหล่านี้ จึงไม่กล้าทำให้พวกนาง ทหารยาม และองครักษ์ทั้งหลายลำบากใจ ได้แต่เฝ้ามองเงาร่างของอีกฝ่ายหายลับไปจากประตูวงเดือนด้วยความรู้สึกผสมปนเปกันไปหมดนางได้พูดกับเขาแล้วรึยัง ว่านางเองก็อยากให้เขาดูแลตนเองให้ดี และปลอดภัยกลับมาเช่นกัน...แต่...คนผู้นั้นคือแม่ทัพใหญ่ฝ่ายศัตรู...
หยางหยางลูบผมของนางเบาๆ ก่อนปัดปอยปมที่ระใบหน้านางออกอย่างอ่อนโยนดีใจ...อย่างนั้นหรือ...?จริงก็ช่าง เท็จก็ช่าง...เขาไม่สนใจนางคือสตรีของเขา ทุกคำพูดมีไว้เพื่อเขา ทุกสายตา...ก็ควรมีไว้เพื่อเขาเช่นกันต่อให้นางยังไม่ตระหนักในตอนนี้ แต่สุดท้ายแล้วนางจะรู้...ชีวิตนี้นางไม่อาจถอยห่างจากเขาได้หยางหยางกระชับอ้อมแขนโอบรอบนางแน่นเข้าอย่างไม่รู้ตัว ดวงตาฉายแวววูบไหวลึกซึ้งเมื่อนึกถึงตอนที่นางกำลังจะเอื้อนเอ่ยว่าเขาเป็นคนสำคัญแต่เขาฟังไม่ได้ เขาไม่อาจทนฟังได้เพราะเขารู้ว่านางจะบอกว่าเขาคือคนสำคัญ นางจะต้องพูดเช่นนั้นเพื่อบ้านเมืองของนาง เพื่ออาณาประชาราษฎร์ของนาง เพื่อความถูกต้อง...ทว่าเขาไม่มีทางรู้เลยว่านางพูดด้วยความรู้สึกที่แท้จริงด้วยหรือไม่ หากใช่ เทียบกันแล้ว ระหว่างเขากับ ‘คนอื่น’ ค่าของเขาในใจนางแท้จริงแล้วนับว่ามีน้ำหนักน้อยมากเพียงใด จึงได้แต่ใช้การกระทำที่ตรงไปตรงมาที่สุดบีบให้นางแสดงความปรารถนาในส่วนลึกออกมาเท่านั้นอย่างน้อยเรื่องที่นางเป็นของเขาเพียงผู้เดียวก็เป็นเรื่องจริง
หนิงซินไม่อยากฟังถ้อยคำน่าอายใดใดทั้งนั้น นางขยับสะโพกเคลื่อนไหวให้รวดเร็วขึ้นอีก ทว่าอีกฝ่ายกลับพูดพร่ำคำหวานอย่างที่ไม่เคยกระทำ กระซิบกระซาบถ้อยคำเหล่านั้นกรอกหูนางต่อจนได้“ตั้งแต่เด็กจนเติบใหญ่ ข้าไม่เคยรู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจ หรือรู้สึกอบอุ่นเช่นนี้มาก่อน...ไม่เคยรู้สึกเหมือนได้ลิ้มรสหวานละไมชุ่มฉ่ำไปทั้งวิญญาณเช่นนี้มาก่อน...” เขาโอบกอดนางไว้แน่นขณะที่ขยับสะโพกเข้าหาตามจังหวะที่นางควบคุม “แต่เมื่อพบเจ้า ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป...มันเปลี่ยนไปทั้งหมด...หนิงซิน เจ้าคิดว่าสิ่งนี้ใช่ความสุขหรือไม่"หนิงซินชะงักเพราะประโยคสุดท้ายเหตุใดจู่ๆ นางจึงรู้สึกหวิวโหวงในอก สะท้อนใจนางไม่เคยรู้มาก่อน...ไม่เคยรู้ว่าชายตรงหน้านางเคยผ่านชีวิตเช่นใดมา ไม่เคยรู้ว่าเขาเคยเจ็บช้ำตรอมตรมหรือลำบากยากเข็ญเพียงใดถึงกระนั้น ในตอนนี้ ยามนี้...นางเพียงแต่อยากให้คนผู้นี้มีความสุขหนิงซินไล้กรอบหน้าหล่อเหลาคมคายอย่างแผ่วเบา น้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ยนุ่มนวลราวกับต้องการปลอบขวัญคนตรงหน้า"หากท่านสบายใจ อบอุ่นในหัวใจ ยิ้มได้ และรู้สึกได้อย่างที่ว่า เช่
“ข้า...” นางพยายามจะตอบ แต่กลับกลายเป็นว่าพูดไม่ออก “ท่าน...สำหรับข้า...”หยางหยางคำรามเสียงแผ่วต่ำ ก่อนเคลื่อนตัวออกหนิงซินร้อนใจ หวาดผวา กลัวว่าความสับสนฟุ้งซ่านชั่วขณะจะทำให้เสียเรื่องกำลังจะเค้นเสียงตอบ กลับถูกหยัดเอวเข้าหานางอย่างรุนแรงแนบแน่น“อ๊า!!!” นางถึงกับหลุดเปล่งเสียงน่าอายออกมาดังลั่น“เป็นหรือไม่...” เขาเคลื่อนตัวออกเล็กน้อย...ก่อนจะกระแทกกลับเข้ามาอีกครั้ง “ตอบสิ...”“ฮึก...หยะ...หยุดนะ...มัน...ข้า...” คนผู้นี้กำลังจะทำให้นางเป็นบ้า!“หรือว่าที่ไม่ตอบ เพราะอยากให้ข้าถามย้ำบ่อยๆ”น้ำเสียงของเขาเปลี่ยนเป็นเย้าหยอก ขณะที่ช่วงล่างถอยห่างออกเกือบสุดแล้วกระแทกกลับเข้าไปอีกครั้ง ครั้งนี้มันช่างรวดเร็ว รุนแรงกว่าครั้งไหนๆ“ฮึก...” หนิงซินน้ำตาคลอหน่วย มือทั้งสองเกาะไหล่เขาเอาไว้ ริมฝีปากอ้าค้าง ได้แต่หอบหายใจ ก่อนครวญครางออกมาอีกครั้งอย่างไร้ความหมายเมื่อเขาพัวพันขยับเขยื้อนอีกครา อีกครา และอีกครา ท้ายที่สุด
Comments