ในวันที่เด็กน้อย ‘เจโคบี้’ ทายาทมหาเศรษฐีวัยเจ็ดขวบ และ ‘นรินทร์นารถ’ พี่เลี้ยงสาวชาวไทย ถูกพาตัวไปจากคฤหาสน์ชาร์ลสตัน ไม่มีใครคาดคิดว่าชะตากรรมของทั้งคู่จะเป็นอย่างไรต่อไป แต่แล้วชีวิตของเด็กชายและหญิงสาวก็ต้องเปลี่ยนไปตลอดกาล เมื่อเหตุการณ์อันเลวร้ายกลับชักนำให้เธอกลายเป็นนางในฮาเร็มของ ‘อัลเฟรโด วาลเดซ อัลทาซา’ มหาเศรษฐีหนุ่ม พ่อค้าอาวุธสงครามผู้ทรงอิทธิพลแห่งโมร็อกโก หากไม่ว่าอย่างไร เพื่อรักษาคำสัญญาที่มีต่อผู้มีพระคุณ นรินทร์นารถจะต้องหาทางดิ้นรนจากเงื้อมมือของอัลเฟรโด และนำตัวเจโคบี้กลับไปคืนยังแผ่นดินอังกฤษอีกครั้งให้ได้ แม้จะต้องแลกด้วยชีวิตของตัวเธอเองก็ตาม...
View Moreเพล้ง!!
เสียงแจกันดอกไม้บนโต๊ะริมผนังถูกมือหญิงสาวชาวจีนกวาดกระเด็นลงไปกระทบพื้นจนแตกกระจายไม่มีชิ้นดี คิ้วของเธอขมวดแน่น ขณะที่ดวงตาชั้นเดียวตวัดมองไปยังชายหนุ่มรูปร่างสูงเพรียวที่ยืนก้มหน้านิ่งอยู่อีกฟากของห้องด้วยแววตาเกรี้ยวกราด ริมฝีปากบางเฉียบถูกเม้มกัดจนแน่น ทำให้ใบหน้างดงามของเธอดูร้ายกาจราวกับคนละคน
“ไม่รู้ล่ะ! ยังไงคราวนี้คุณก็ต้องเอาเงินไอ้แก่นั่นมาให้ได้!” หญิงสาวตวาดลั่น ยิ่งเห็นสามีชาวอังกฤษเอาแต่ก้มหน้าก้มตา ไม่ยอมพูดจาอะไร โรสก็ยิ่งเกิดโทสะ กระทืบรองเท้าส้นสูงลงบนดอกลิลีสองสามช่อที่ร่วงกระจายอยู่โดยไม่ใส่ใจว่าเศษแจกันอาจทิ่มตำพื้นรองเท้าของเธอจนทะลุได้
ทำไมอัลเบิร์ตถึงไม่ได้เรื่องได้ราวขนาดนี้นะ... เสียแรงที่เป็นถึงลูกชายของมหาเศรษฐี กับอีแค่เงินแสนสองแสนปอนด์ เขาก็ยังไม่มีปัญญาหามาให้เธอได้... แล้วที่เธอยอมแต่งงานอยู่กินกับเขามาจนถึงป่านนี้มันเพื่ออะไรกัน... เพื่อเศษเงินที่พ่อผัวขี้เหนียวโยนมาให้ใช้เดือนละไม่กี่เพนนีอย่างนั้นน่ะหรือ...
“ผมก็อ้อนวอนพ่อจนแทบจะกราบอยู่แล้วนะโรส แต่ในเมื่อท่านไม่ยอมให้ แล้วคุณจะให้ผมทำยังไงได้ล่ะ...” ผู้เป็นสามีตอบเสียงอ่อย ยืนคอตก ไหล่ห่อลู่จนร่างสูงเพรียวและซูบผอมดูคล้ายจะหดเล็กลงไปอีก
อัลเบิร์ต ชาร์ลสตัน นึกอยากจะหาเหตุผลอะไรแย้งออกไปสักอย่างแต่ก็ไม่กล้า เพราะนับตั้งแต่เขาพบรักกับนักร้องสาวชาวจีนในบาร์เหล้าเมื่อสิบกว่าปีก่อน กระทั่งแต่งงานมีบุตรชายด้วยกันจนถึงป่านนี้ ไม่เคยเลยสักครั้งที่ชายหนุ่มจะกล้ามีปากเสียงหรือขัดใจเธอ จึงได้แต่ส่ายหน้าด้วยความเหนื่อยอ่อน หันไปมองนอกหน้าต่างอย่างคนอับจนปัญญา ปล่อยให้แสงแดดที่ส่องลอดผ้าม่านเข้ามาทาทาบใบหน้าซีดเผือดและตาโหลลึก เขียวช้ำ ราวกับคนอดนอนมาตลอดทั้งชีวิต
ทำไมอัลเบิร์ตจะไม่รู้ว่าที่ผ่านมา เคนเน็ธ ชาร์ลสตัน บิดาของเขา หมดเงินไปกับเขาและภรรยาเป็นจำนวนมากมายมหาศาลแค่ไหน ไม่ว่าจะเป็นเงินสดในธนาคารจำนวนยี่สิบล้านปอนด์ หรือแม้แต่แมนชั่นมูลค่าร่วมสิบล้านที่ปัจจุบันติดจำนองอยู่และมีแนวโน้มอย่างมากว่ากำลังจะถูกยึดในไม่ช้า
เพราะสองสามีภรรยาใช้เวลาช่วงกลางวันหมดไปกับการนอน ตื่นขึ้นมาก็แต่งตัวเข้าบ่อน เล่นไพ่ ดื่มเหล้า ไม่คิดทำงานทำการเหมือนคนอื่นเขา การใช้ชีวิตประจำวันอย่างนี้นี่เองที่ทำให้มรดกส่วนน้อยที่ได้รับมาเป็นของขวัญเมื่อครั้งแต่งงานต้องมีอันมลายหายไปในเวลาไม่กี่ปี และมันก็ไม่น่าแปลกใจนักหรอกที่มหาเศรษฐีเฒ่าเคนเน็ธจะต้องทำใจแข็ง หยุดให้ความช่วยเหลือด้านการเงินเพื่อเป็นการดัดนิสัยลูกชายเสเพลและสะใภ้ผู้เหลวแหลก ก่อนสมบัติทุกอย่างที่เขาสั่งสมมาชั่วชีวิตจะถูกผลาญไปจนหมดสิ้น
“จะให้คุณทำยังไงอย่างนั้นเหรอ! ฉันสิที่ต้องเป็นฝ่ายถามคุณ คุณจะให้ฉันทำยังไง!!... เหตุผลเดียวที่ฉันยอมตกลงแต่งงานกับคุณก็เพราะฉันเชื่อคุณ!!... คุณบอกว่าคุณเป็นลูกชายมหาเศรษฐี คุณจะเลี้ยงดูฉันให้สุขสบายไปตลอดชีวิตไม่ใช่เหรอ!!... แล้วนี่มันอะไร หา!... ชีวิตที่ต้องคอยแบมือรับเศษเงินอาทิตย์ละสี่ห้าพันนี่น่ะเหรอที่เรียกว่าสุขสบาย!... ทุเรศที่สุด!!”
ได้ยินคำพูดถากถางจากปากของผู้หญิงที่เขารัก ใบหน้าของอัลเบิร์ตก็ร้อนวูบไปด้วยความโกรธ แทบจะเผลอตัวตวาดกลับไปว่า ถ้าเธอไม่ได้แต่งงานกับเขา ป่านนี้เธอก็ยังเป็นนักร้องในบาร์เก่าๆ ยอมให้พวกคนงานขี้เมาลูบสะโพกจับหน้าอกแลกกับการเลี้ยงเหล้าไปวันๆ อยู่ไม่ใช่หรือ
แต่ประกายความเดือดดาลในดวงตาสีเขียวก็จางหายไปแทบจะทันทีเมื่อสบเข้ากับดวงตาเรียวเล็กของโรส ชายหนุ่มจึงได้แต่ก้มหน้า ซ่อนสายตาไม่ให้ผู้เป็นภรรยารู้สึกถึงความคิดอันเป็นปฏิปักษ์
“ที่จริง... ตอนแต่งงาน... พ่อก็ให้เรามาตั้งเยอะแล้วไม่ใช่เหรอโรส...”
“นั่นมันตั้งเป็นสิบปีแล้วนะอัลเบิร์ต... ไอ้แก่นั่นให้เงินคุณมาแค่ก้อนเดียว... แค่ครั้งเดียว... แล้วเงินสดอีกตั้งไม่รู้กี่ร้อยล้านล่ะอยู่ที่ไหน... คุณเป็นลูกชายคนเดียวของมันนะ... ถ้าแม้แต่เงินแค่แสนเดียวคุณก็ยังขอมาไม่ได้ คุณก็รอให้ไอ้แก่ขี้งกนั่นหอบเอามรดกทุกอย่างที่คุณควรได้ลงโลงไปด้วยเถอะ แต่ฉันไม่ขอทนรออยู่กับคุณอย่างนี้แน่ๆ!!” หญิงสาวแผดเสียงลั่นพลางสะบัดตัวกลับ ทำท่าจะก้าวออกไปจากห้อง ทว่าฝ่ามือผอมซูบของสามีชาวอังกฤษก็รีบฉวยต้นแขนของเธอเอาไว้ได้ทัน
“คุณ... คุณหมายความว่ายังไง แล้วนี่คุณจะไปไหน...”
“ฉันก็จะไปจากบ้านเฮงซวยหลังนี้เสียทีน่ะสิ! ฉันไม่ยอมอยู่อย่างอดๆ อยากๆ กับคุณอย่างนี้หรอกนะ! ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้ ปล่อยสิ!!” โรสกรีดร้องพร้อมกับกระชากแขนของตัวเองออก
“คุณอย่าทำอย่างนี้สิโรส... คุณก็เห็นนี่ว่าผมก็บากหน้าไปพบพ่อทุกครั้ง พยายามทำทุกอย่างตามที่คุณสั่งแล้ว...”
“แต่คุณก็ไม่เคยทำสำเร็จ!!” เธอแค่นเสียงใส่ ตวัดหางตามองเขาราวกับคนที่เกลียดชังกันมานานแสนนาน “ฉันคิดว่าสิบปีที่ผ่านมา ฉันเสียเวลาไปกับคุณมากพอแล้วล่ะอัลเบิร์ต... เราหย่ากันเถอะ!”
“โรส!!...” ชายหนุ่มเบิกตาโพลง ละล่ำละลักออกมาด้วยความตกใจ “นี่คุณพูดเล่นใช่ไหม!... คุณไม่ได้หมายความอย่างนั้นจริงๆ ใช่ไหม...” เขาเคยชินกับคำขู่และการตั้งท่าจะหนีออกจากบ้านของภรรยาสาวชาวจีนมาหลายปีแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเอ่ยปากขอหย่าออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“ฉันไม่ได้พูดเล่น! ในเมื่อคุณมันไม่เอาไหน ทำให้ฉันสุขสบายไม่ได้อย่างที่เคยสัญญา! ฉันก็จะไปหาคนอื่น... คนที่เขาทำให้ฉันได้ เข้าใจไหม!”
“ได้โปรดเถอะ... อย่าทำอย่างนี้เลยนะที่รัก...” อัลเบิร์ตทรุดตัวลงบนพื้นที่เต็มไปด้วยเศษเล็กเศษน้อยของกระเบื้องแจกันอย่างหมดเรี่ยวแรง แขนทั้งสองข้างรั้งสะโพกอีกฝ่ายเข้ามาแนบชิดใบหน้า ก่อนจะเงยขึ้นมองหญิงสาวด้วยแววตาวิงวอน “คุณก็รู้นี่นาว่าผมรักคุณ ผมขาดคุณไม่ได้... อย่าทำร้ายผมอย่างนี้เลยนะ... ผมยอมแล้ว ผมยอมทำทุกอย่าง ผมจะกลับไปขอร้องพ่ออีกครั้ง...” เสียงชายหนุ่มคร่ำครวญ
หญิงสาวเชิดหน้าอย่างผู้มีชัยชนะพลางเหยียดริมฝีปากยิ้มสาสมใจ “ถ้าคุณไม่อยากให้ฉันหย่า พรุ่งนี้คุณก็ต้องกลับไปเอาเงินของพ่อคุณมาให้ได้ซักก้อน!”
“แต่... คุณรออีกซักอาทิตย์ไม่ได้เหรอ... ผมเพิ่งไปหาท่านมาเมื่อสามวันก่อนเองนะ แล้วพ่อเองก็เพิ่งจะขู่เรื่องตัดผมออกจากกองมรดก...”
“ไอ้แก่นั่นมันไม่กล้าหรอก ยังไงคุณก็เป็นลูกชายคนเดียว!”
“มันก็จริง... แต่ถ้าจะให้ผมบากหน้ากลับไปอีกในวันพรุ่งนี้... ยังไงพ่อก็ไม่มีทางยอมให้อยู่ดี...”
“คุณไม่มีทางเลือกแล้วนะอัลเบิร์ต เจ้าหนี้แต่ละคนก็นับวันรอแต่จะมาเคาะประตูบ้านแล้ว คุณไม่รู้เลยหรือไง! เราไม่มีเงินแล้วนะ! เข้าใจไหมว่าเราไม่มีเงินเหลือแล้ว!”
“ผมรู้ ตะ...แต่ว่า...” ชายหนุ่มค่อยๆ ก้าวลุกขึ้นจากพื้น ดึงมือภรรยาชาวจีนขึ้นมากุมไว้ที่อกด้วยความรักใคร่ สายตาก็ถ่ายทอดความกลัดกลุ้มใจให้อีกฝ่ายได้เห็นโดยไม่ปิดบัง
“ฉันเข้าใจว่าคนหัวอ่อนอย่างคุณคงจะขูดเกลือมาจากไอ้แก่นั่นได้ยาก... แต่อย่าลืมสิ อัลเบิร์ต... เรายังมีเครื่องต่อรองชั้นดีอยู่...” จู่ๆ โรสก็ก้าวเข้าไปใกล้แล้วกระซิบกระซาบ ดวงตาเรียวเล็กจ้องมองอีกฝ่ายอย่างคนที่มีแผนการอยู่ในใจ
“เครื่องต่อรองอย่างนั้นเหรอ” คิ้วของอัลเบิร์ตขมวดมุ่นด้วยความสงสัย
“ก็เจค็อบ... ลูกชายของเรายังไงล่ะ”
ทันทีที่ประตูห้องชั้นบนสุดของตึกหน้าเปิดออก อัลเฟรโดก็ดึงแขนนรินทร์นารถซึ่งมีท่าทีไม่เต็มใจ ให้เดินตามเข้าไปจนถึงชุดโซฟาสำหรับนั่งพักผ่อนด้านใน ก่อนที่เขาจะนั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่งเป็นการบังคับกลายๆ ให้เธอนั่งตามตั้งแต่เขาพาตัวเธอและเจโคบีกลับมาถึงคฤหาสน์ทะเลทราย ชายหนุ่มก็เอาแต่นิ่งเงียบ ไม่ยอมพูดอะไรอีกแม้แต่คำเดียว ทำให้ในใจของนรินทร์นารถเต็มไปด้วยความวิตกกังวล กลัวว่าหลังนี้เขาจะควบคุมตัวเธอเอาไว้แต่ในตึกหลังโดยไม่อนุญาตให้เจอกับเจโคบีเพื่อป้องกันไม่ให้เธอมีโอกาสพาเด็กชายหนีไปอีก“คุณอัลเฟรโดคะ...” หลังจากทิ้งตัวลงบนโซฟายาวที่อยู่เยื้องกัน ถึงจะยังหวั่นๆ กับความผิดของตัวเอง แต่หญิงสาวก็ตัดสินใจเอ่ยปาก ดีกว่าต้องทนอยู่ในบรรยากาศที่น่าอึดอัดอย่างนี้ต่อไป “ฉันรู้ว่าทำให้คุณโกรธ... แต่ว่าฉัน...” เธอเคยบอกเขาหลายครั้งแล้วว่าเธอจำเป็นต้องพาเจโคบีกลับไปคืนให้เคนเน็ธ“ฉันไม่ได้โกรธเธอ...” ชายหนุ่มพูดขัดคอด้วยน้ำเสียงที่คาดเดาไม่ถูก“แล้วคุณ... พาฉันมาที่นี่ทำไมคะ...”นรินทร์นารถไม่เข้าใจว่าเขาต้องการอะไร แต่ไม่คิดว่าอัลเฟรโดจะพาเธอขึ้นมาถึงที่นี่เพื่อลงโทษด้วยการร่วมรักอย่างโหดเหี้ยมอำมห
“นะ...นี่ตกลงว่าจะเอายังไงกันแน่!” เขาตะคอกอย่างลืมตัว“ฉันทิ้งลูกชายเอาไว้ที่ตลาด... ให้ฉันไปรับตัวเขามาที่นี่ก่อน ไม่อย่างนั้นฉันก็ยังให้ของคุณไม่ได้หรอกค่ะ...”ดวงตาสีฟ้าจ้องเขม็งมายังใบหน้าของหญิงสาวชาวเอเชีย ตอนแรกเขาคิดว่าถ้าเธอเกิดเปลี่ยนใจอย่างกะทันหันเพราะเสียดายตุ้มหูเพชรคู่นั้นขึ้นมา เขาก็ยังพอตัดใจได้ แต่เมื่อได้เห็นสร้อยเพชรที่น่าจะหนักมากกว่าสามสิบกะรัต สตินึกคิดและความยับยั้งชั่งใจก็ขาดผึง“อย่าต่อรองกับฉันดีกว่าน่า! หรืออยากจะให้ฉันเรียกตำรวจมาก่อน หา!”กัปตันเรือสินค้าวัยกลางคนปักใจเชื่อว่านรินทร์นารถจะต้องเป็นทาสหรือไม่ก็นางบำเรอของเศรษฐีคนใดคนหนึ่งที่พยายามหลบหนีไปจากที่นี่พร้อมๆ กับของมีค่าที่เธอขโมยมา แล้วเรือของเขาก็เป็นทางเดียวที่จะช่วยเธอได้... เพราะฉะนั้น อย่างน้อยๆ เขาก็น่าจะรีดเอาเครื่องเพชรของเธอมาได้มากกว่าแค่ตุ้มหูคู่นั้น จึงเจตนาข่มขู่ให้เธอหมดทางเลือก...“ฉัน... ฉันไม่ไปกับคุณแล้ว... ฉันจะกลับไปหาเจค็อบ...” หญิงสาวละล่ำละลัก สภาพการณ์ที่เห็นทำให้เธอเกิดไม่ไว้เขาขึ้นมาหลังจากผ่านเหตุการณ์มากมาย ถูกสองกุ๊ยชาวจีนลักพาตัวมาขังบนเรือประมง ถูกคนหัวล้านท่าทาง
ขณะที่ยืนลังเลตัดสินใจอะไรไม่ถูกอยู่นั้น จู่ๆ เธอก็ได้ยินเสียงเอ็ดตะโรที่ท่าเรือด้านใน จึงรีบหันไปมองด้วยความตกใจ หญิงสาวพบว่าเจ้าของเสียงเป็นชายวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่ เขากำลังยืนชี้นิ้วตวาดคนงานที่ขนลังสินค้าอะไรสักอย่างขึ้นไปบนเรือขนาดใหญ่ลำหนึ่งชายคนนั้นมีศีรษะล้านเลี่ยน หนวดเครารุงรัง ดูจากการแต่งตัวลำลองแบบชาวตะวันตกและท่าทางวางอำนาจกับเหล่าคนงานพื้นเมืองแล้ว ทำให้เดาได้ไม่ยากว่าเขาจะต้องเป็นกัปตันของเรือขนส่งสินค้าลำนั้นอย่างแน่นอน...ถึงแม้ว่าใบหน้าที่เธอมองเห็นจะบอกถึงความดุร้ายเจ้าอารมณ์ แต่สิ่งที่ทำให้ดวงตานรินทร์นารถต้องเบิกกว้าง หัวใจเต้นระทึก ก็คือรูปร่างหน้าตาของเขา... มันเป็นลักษณะของชาวตะวันตกอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะดวงตาสีฟ้าอมเทา ผมสีทอง หรือผิวที่กลายเป็นสีแดงจัดเพราะถูกแดดเผา...“เอ่อ... ขอโทษนะคะ ไม่ทราบว่าคุณพอจะพูดภาษาอังกฤษได้หรือเปล่า...” ด้วยเวลาแห่งความปลอดภัยที่มีเหลืออยู่เพียงน้อยนิด หญิงสาวไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว นอกจากเสี่ยงดวงเดินเข้าไปทักเขาตรงๆ“มีอะไร” เขาถามเธอกลับแทนคำตอบ “เห็นหรือเปล่าว่าฉันกำลังยุ่งอยู่ เธอมีธุระอะไรกับฉันก็รีบว่ามาเร็วๆ” น้ำเสียง
“เฮ้ย! อย่ามานอนแถวนี้ ลุกออกไปเร็วๆ เข้า ลุกๆ!” เสียงโหวกเหวกโวยวายของชายแปลกหน้าชาวโมร็อกโกปลุกร่างสองร่างที่ซุกตัวอยู่ใต้ผ้ากระสอบผืนใหญ่ให้ตื่นขึ้นด้วยความตกใจ ขณะที่เขาไม่สนใจปฏิกิริยาของคนทั้งคู่ เดินเข้ามายกลังไม้เปล่าๆ สองสามใบที่ตั้งอยู่ข้างๆ เธอกลับออกไปถึงแม้จะไม่เข้าใจภาษาอาหรับที่เขาใช้ แต่ดูจากสีหน้าท่าทางของเขาเมื่อสักครู่ เธอก็รู้ว่าเขาไม่ต้องการให้เธอและเจโคบีอยู่ที่นั่นต่อนรินทร์นารถรีบประคองเด็กชายยืนขึ้น เขายังมีสีหน้างัวเงีย แต่ก็ยอมลุกเดินตามเธอออกจากซอกอาคารแคบๆ แห่งนั้นโดยดีหญิงสาวเหลือบมองชายวัยกลางคนคนเดิมวางลังไม้ลงบนพื้นแล้วปูด้วยเสื่อเก่าๆ ผืนหนึ่ง จากนั้นก็เดินเข้าไปยกเอาลังกระดาษใบใหญ่จากด้านในตัวอาคารมาวางตั้ง ก่อนที่จะหยิบอินทผลัมสุกหลายทะลายในลังออกมาวางเรียงรายบนนั้น“ยังจะมองอะไรอยู่อีก! ไปๆๆ! อย่ามายืนขวางหน้าร้าน” เขาเงยหน้าขึ้นพูดด้วยถ้อยคำที่เธอยังคงฟังไม่รู้เรื่องพลางโบกไม้โบกมือไล่ “แต่งเนื้อแต่งตัวก็ดี หอบหิ้วลูกออกมาเร่ร่อนเป็นขอทานซะได้... ไม่ไหวจริงๆ ผู้หญิงสมัยนี้...” พ่อค้าผลไม้คนเดิมบ่นไล่หลังชายคนนั้นไม่ได้แปลกใจที่เห็นเธอและเจโคบี
เช้าตรู่วันนั้น ภายในตึกเล็กของคฤหาสน์ทะเลทรายก็เกิดความวุ่นวายโกลาหล เมื่อบุตรชายของอัลเฟรโดพบว่าน้องชายคนใหม่ของเขาเกิดหายตัวไปจากห้องอย่างลึกลับ ตอนแรกอิสซามเข้าใจว่าเด็กชายคงจะตื่นและลงไปเดินเล่นที่สวนหน้าตึก แต่เมื่อถามจากปากยามซึ่งมีหน้าที่ดูแลประตู เขาจึงรู้ว่ามีเรื่องไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อคืน“ใครบอกแกว่าเมื่อคืนนี้อัลวาโรไม่สบาย อามีน” อิสซามตะคอกใส่ยามวัยกลางคนที่กำลังยืนก้มหน้างุด ข้างๆ ยังมียามหนุ่มอีกคนซึ่งมีสีหน้าหวาดหวั่นไม่ต่างกันถึงแม้จะมีวัยแค่สิบขวบ แต่เด็กชายผิวคล้ำหน้าตาคมเข้มก็เป็นทายาทเพียงคนเดียวของพ่อค้าอาวุธสงครามผู้ทรงอิทธิพล โดยเฉพาะสติปัญญาอันเฉลียวฉลาดและบุคลิกเปี่ยมด้วยอำนาจที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากผู้เป็นพ่อ ทำให้ไม่มีใครในคฤหาสน์ของอัลเฟรโดมองเขาเป็นแค่เด็กตัวเล็กๆ คนหนึ่ง“สะ...สาวใช้ที่ราเนียส่งมาดูแลครับ คุณอิสซาม...” อามีนตอบตะกุกตะกัก“ไอ้โง่! บอกแค่นั้นแกก็ยอมให้เข้ามาในตึกแล้วหรือไง ถ้าทำงานได้แค่นี้ฉันบอกให้พ่อเลี้ยงหมายังจะดีซะกว่า”“ไอ้หนู เอ่อ คุณอัลวาโร... หายไปอย่างนั้นเหรอครับ” อีกฝ่ายถามกลับอย่างกล้าๆ กลัวๆ“ก็ใช่น่ะสิ รอให้พ่อ
“หนาวไหมจ๊ะ” นรินทร์นารถกระซิบถามเจ้าของร่างน้อยๆ ที่เดินอยู่เคียงข้างเด็กชายส่ายหน้าแทนคำตอบ แต่การที่เขาคอยเป่าลมหายใจใส่อุ้งมือทั้งสองข้างตลอดเวลามันก็บอกชัดเจนอยู่แล้วว่าเจโคบีไม่ต้องการให้เธอเป็นห่วงจริงอยู่ที่ทาร์ฟายาเป็นเมืองท่าติดทะเล ได้รับอิทธิพลจากลมทะเลในตอนกลางวัน ทำให้มีอุณหภูมิเย็นสบายตลอดทั้งปี แต่สภาพภูมิประเทศส่วนใหญ่ยังคงรายล้อมไปด้วยทะเลทราย เมื่อถึงเวลากลางคืนอากาศจึงเย็นจัดเนื่องจากพื้นที่ที่เป็นทรายจะไม่สามารถกักเก็บความร้อนเอาไว้ได้เหมือนพื้นดินหญิงสาวเปลื้องผ้าคลุมบนศีรษะ ย่อตัวลงนั่งคุกเข่าตรงหน้าเขาก่อนจะห่มผ้าผืนนั้นให้“ผมไม่หนาวหรอกฮะ... นีนาเอาเก็บไว้ห่มเองเถอะ...” ปากบอกอย่างนั้นแต่ฟันกระทบกันเสียงดังกึกกักพี่เลี้ยงสาวไม่ฟังคำพูดของเขา กระชับผืนผ้าให้แน่นแล้วยัดชายทั้งสองข้างใส่ไว้ในมือน้อยๆ“ห่มเอาไว้ จะได้ไม่เป็นหวัด...” ยกมือขึ้นหยิกแก้มของเขาเบาๆ “เจค็อบเหนื่อยหรือยัง... อดทนอีกหน่อยนะจ๊ะ อีกไม่นานก็จะถึงในเมืองแล้ว...”“ทำไมเราไม่ไปตามถนนล่ะฮะ... ตอนที่มากับพวกโจรสลัดเราไม่เห็นต้องเดินบนทรายอย่างนี้เลย...”เจโคบีหันไปมองรอบๆ ตัวที่มีแต่ผืนทรายก
Comments