จางเหม่ยอวี้ วาดฝันว่านางจะได้ตบแต่งกับบัณฑิตสกุลกัว ไฉนสวรรค์จึงลงทัณฑ์นางให้ต้องแต่งเข้าตระกูลแม่ทัพชีวิตที่ควรมีความสุขสงบของนางจะมีความสุขไปได้อย่างไร
ดูเพิ่มเติมแคว้นสือจ้าว…
ดรุณีน้อยวัยแรกแย้มอายุราวสิบสี่ปี พยายามเดินฝ่าฝูงชนที่เบียดเสียดยัดเยียดเข้ามา ซึ่งในเวลานี้ผู้คนมากมายต่างมายืนมุงกันอย่างแออัด เพื่อเฝ้ารอการมาถึงของกองทัพจูเชว่ กองทัพที่มีความสำคัญไม่แพ้
ผู้มีอำนาจสูงสุดของแคว้นยามเมื่อเห็นขบวนแม่ทัพเคลื่อนใกล้เข้ามา เสียงโห่ร้องสรรเสริญของผู้คนมากมายก็ดังขึ้นพร้อมกัน สร้างความปลื้มปีติและขวัญกำลังใจให้แก่ทหารกล้าได้ไม่น้อย
ดูเอาเถอะ! ในครั้งนี้ท่านแม่ทัพเฉินสร้างความดีความชอบมากมาย ฝ่าบาทจะต้องประทานรางวัลใหญ่ให้เป็นแน่” ชายหนุ่มในกลุ่มชาวบ้านที่มายืนดูพูดขึ้น ก่อนที่อีกฝ่ายจะหันมาถามด้วยความสนใจ
“เจ้าคิดว่าอย่างนั้นหรือ”
“ก็แน่ล่ะสิ ทำคุณงามความดีเสียขนาดนี้แล้ว จะได้ของกำนัลเล็กๆ น่ะหรือ ไม่มีทางเป็นเช่นนั้นแน่ เจ้ารอดูต่อไปเถอะ”
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังเซ็งแซ่ไปตลอดถนน บ้างก็มีการวางเดิมพันถึงรางวัลพระราชทานที่อีกฝ่ายจะได้รับ
แต่ก็มีข่าวเล่าลือกันไปทั่วว่า ราษฎรทั่วแคว้นล้วนชื่นชอบวีรบุรุษผู้กล้า ในขณะที่ฮ่องเต้กลับชื่นชอบขุนนางฝ่ายบุ๋นมากกว่าฝ่ายบู๊ ขนาดขอทานหรือเด็กน้อยยังรู้เรื่องนี้ จึงไม่แปลกที่เสียงวิพากษ์วิจารณ์จะขจรขจายไปทั่ว เมื่อกล่าวถึงประเด็นรางวัลตอบแทนที่เหล่ากองทัพผู้กำชัยจะได้รับ
“คราวนี้ไม่ใช่แค่ต้าน แต่บุกยึดสามเมืองจากแคว้นต้าโจวได้เลยต่างหาก” ชาวบ้านยังคงพูดถึงเรื่องนี้กันไม่หยุด ยิ่งมีคนเข้ามาเสริมแต่งเรื่องราวต่าง ๆ ด้วยแล้วก็ทำให้การสนทนาเป็นไปอย่างครึกครื้น
หลายคนพยักหน้าเห็นด้วย โดยเฉพาะเมื่อกล่าวถึงคนที่พวกเขาให้ความสำคัญอย่างท่านแม่ทัพ
ตั้งแต่ครั้งแรกที่ผู้บัญชาการกองทัพจูเชว่ ของตระกูลเฉินรุ่นที่แปดปรากฏกายขึ้นทุกอย่างก็คล้ายว่าจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
ว่ากันว่าตระกูลเฉินเฝ้าปราการแดนใต้มาเนิ่นนาน แต่ฝ่าบาทกลับไม่เคยตกรางวัลใหญ่เพื่อตอบแทนความจงรักภักดีให้เลยสักครั้ง มากสุดก็เป็นที่ดินห้าสิบหมู่ บ่าวไพร่ ตลอดจนหญิงงาม แต่ถึงกระนั้นก็ไม่สมกับผลงานที่ตระกูลเฉินได้ทุ่มเทแลกมาด้วยหยาดเหงื่อและการเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเลยแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ดี เรื่องนี้ถูกลือกันไปอย่างหนาหูว่า เหล่าผู้บัญชาการกองทัพของแคว้นสือจ้าวนั้นได้ดิบได้ดีถ้วนหน้า
ผู้บัญชาการกองทัพชิงหลงแดนตะวันออกครองบรรดาศักดิ์หนาน
ผู้บัญชาการกองทัพไป๋หู่แดนตะวันตกครองบรรดาศักดิ์หนานเหมือนแดนตะวันออก
ส่วนผู้บัญชาการกองทัพเสวียนอู๋แดนเหนือนั้น ยิ่งใหญ่เกรียงไกรกว่าเขตแดนใด เนื่องจากได้นั่งครองบรรดาศักดิ์จื่อ ซึ่งสูงกว่ากองทัพชิงหลงกับกองทัพไป๋หู่
ในขณะที่ผู้บัญชาการกองทัพจูเชว่กลับไร้ยศถาบรรดาศักดิ์ดูต่ำต้อยด้อยค่าในสายตาฝ่ายทหารจนแลดูน่าเวทนา จนไม่อาจคะเนได้ว่าน้ำหนักพระทัยของฝ่าบาทที่มีต่อกองทัพทั้งสี่นั้นแตกต่างกันถึงเพียงนี้ด้วยเหตุใด
ระหว่างที่ผู้คนมากมายต่างรายล้อม และไปร่วมแสดงความยินดีกับการกลับมาของเหล่ากองทัพ อีกด้านหนึ่งได้มีสองสาววัยแรกแย้มรีบเร่งเดินสวนผู้คนไปยังที่นัดหมายด้วยสีหน้ากระวนกระวาย
“คุณหนู! ระวังเจ้าค่ะ” สาวใช้คนสนิทที่เดินนำหน้าคอยกันผู้คนไม่ให้โดนตัวคุณหนูของนาง
“เร็วเข้าจื่อผิง ป่านนี้พี่เต๋อรอนานจนเบื่อแย่แล้ว” ฝ่ายผู้เป็นนายเอ่ยเร่งเร้าสาวใช้ด้วยความเร่งรีบ
“เจ้าค่ะ คุณหนู” สาวใช้นามว่าจื่อผิงรีบขานรับ พร้อมกับใช้สองมือแหวกกลุ่มคนออกอย่างยากลำบาก ตัวนางนั้นเล็กนิดเดียวแต่ก็ไม่คิดยอมแพ้ พยายามกวาดต้อนผู้คนให้เปิดทาง พร้อมทั้งหันมองคุณหนูโฉมงามเป็นระยะ แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่วายหน้านิ่วคิ้วขมวด
“พวกกองทัพจูเชว่นี่ก็กระไร ทำไมต้องเคลื่อนทัพกลับเมืองหลวงวันนี้ด้วยนะ”
“จื่อผิง อย่ามัวแต่บ่นอยู่เลย เรารีบไปเร็วเข้าเถอะ”
คุณหนูคนงามเอ่ยกับสาวใช้คนสนิท เพราะตอนนี้ล่วงเลยเวลานัดหมายมานานมากแล้ว นางสาวเท้าอย่างเร่งรีบ ในขณะที่จื่อผิงยังคงพร่ำบ่นไม่เลิก จนผู้เป็นนายเริ่มนึกรำคาญ
“พวกเขาจะมาเมื่อไรนั้นล้วนไม่เกี่ยวกับพวกเรา อีกทั้งยังเป็นถึงคนสำคัญของแคว้น พวกเราต่างหากที่ต้องหลบหลีก ฉะนั้นเลิกบ่นแล้วรีบไปเถอะ ข้าไม่อยากให้พี่เต๋อรอนานไปมากกว่านี้”
เมื่อได้ฟังคำพูดของผู้เป็นนาย จื่อผิงก็ได้แต่นิ่งเงียบ เพราะนางเผลอทำเรื่องที่ไม่ควรเข้าเสียแล้ว อีกทั้งสาเหตุที่ทำให้คุณหนูของนางไปตามเวลานัดหมายกับบุรุษที่คบหาดูใจล่าช้า ก็เป็นเพราะคุณหนูใหญ่คอยหาเรื่องกลั่นแกล้ง ไม่ยอมให้คุณหนูของนางออกมาพบกับคุณชายกัว
คอยดูเถอะ! กลับไปเมื่อไร นางจะเอาเรื่องนี้ไปฟ้องฮูหยินผู้เฒ่า
‘เหอะ! พูดไปก็น่าอายยิ่งนัก คุณหนูใหญ่หมายตาคนรักของน้องสาวตัวเอง หากมีใครล่วงรู้เข้าไม่รู้ว่าตระกูลจางจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน’
ประโยคเหล่านี้จื่อผิงได้แต่นึกคิดในใจ ถึงอย่างไรนางก็เป็นเพียงบ่าวไพร่ การนินทาเจ้านายถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
หญิงสาวรูปร่างบอบบางสวมชุดกระโปรงผ้าโปร่งแขนกว้างสีชมพูหวาน ทว่าช่างน่าเสียดายนัก ที่ไม่เคยมีผู้ใดเคยได้ยลความงดงามบนดวงหน้าที่ซุกซ่อนไว้ภายใต้หมวกสานที่ถูกคลุมไว้อย่างมิดชิด
“เป็นอะไรไปจื่อผิง ทำไมต้องทำสีหน้าเหมือนคนไม่สบอารมณ์เช่นนั้นด้วย”
“ปะ...เปล่าเจ้าค่ะ บ่าวเพียงแค่คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้นเอง”
จื่อผิงหัวเราะแห้ง ๆ พลางสาวเท้าเดินแหวกผู้คนเพื่อหาทางออก ปากก็ร้องขอทางไปเรื่อย
“พี่ชาย ช่วยหลีกทางให้คุณหนูของข้าหน่อยได้หรือไม่”
จื่อผิงไม่กล้าบอกว่าตนเองกำลังแอบนินทาคุณหนูใหญ่อยู่ในใจ นางยอมรับว่ารู้สึกไม่พอใจที่คุณหนูใหญ่ชอบเข้ามาหาเรื่องคุณหนูรองอยู่เป็นประจำ
คุณหนูใหญ่เป็นบุตรสาวที่เกิดจากอนุภรรยา นางเป็นคนมีนิสัยเย่อหยิ่งจองหองและชอบทำตัวสูงส่ง ประหนึ่งว่าตนเองเป็นหญิงงามที่มีความงามหาใดเปรียบ ชนิดที่ว่าหากเป็นเซียนสาวมาแข่งขันก็อาจแพ้พ่ายไป
แต่ก็น่าแปลกที่สตรีที่หลงตัวเองเป็นที่หนึ่งเช่นนั้น ยังมีแก่ใจมาอิจฉาริษยาน้องสาวต่างมารดาของตนจนออกนอกหน้า ทว่ามารดาก็ช่างเปรียบเสมือนไม้หลักปักบนโคลนตมเสียจริง เพราะนอกจากจะไม่คิดสั่งสอนตักเตือนบุตรสาว ซ้ำร้ายยังช่วยกันหาเรื่องข่มเหงรังแกคุณหนูของนางอยู่เนือง ๆ
ช่างเป็นคู่แม่ลูกที่น่ารังเกียจยิ่งนัก!
“คุณหนูของเจ้า…หมายถึงคุณหนูรองสกุลจางอย่างนั้นรึ!”
เสียงบุรุษหนุ่มในอาภรณ์ผ้าเนื้อหยาบดังขึ้น ใบหน้าของเขาฉายแววฉงน เนื่องจากเขาคุ้นหน้าของสาวใช้นางนี้ เนื่องจากนางมักมาเดินซื้อข้าวของแถวนี้บ่อยๆ และทุกครั้งที่มาก็มักจะมาพร้อมกับรถม้าของสกุลจาง
“ถูกแล้ว! คุณหนูรองของข้ากำลังจะไปเหลาอวิ๋นเซียน” จื่อผิงใช้ร่างกายของตนบดบังคุณหนูรอง ด้านหน้ามีผู้คนมากเกินกว่าที่แรงของนางจะฝ่าไปได้จึงขอใช้วิธีลัด บอกกล่าวศักดิ์ฐานะของผู้เป็นนายเพื่อให้คนที่
ได้ยินช่วยเปิดทาง“ใช่ที่นัดหมายกับคุณชายกัวหรือไม่?” ชายหนุ่มผู้นั้นชะโงกหน้าเข้ามาถามด้วยความสงสัย ดวงตาทอประกายระยิบระยับ สีหน้าอยากรู้อยากเห็นเป็นที่สุด เขามองจื่อผิงสลับกับหญิงสาวที่สวมหมวกสานปิดบังใบหน้าจนมิดชิด ในใจนึกชื่นชมอยู่ไม่น้อย
‘คู่หยกงามแห่งเมืองหลวง’
ใครบ้างไม่รู้จักคู่รักที่โด่งดังไปทั่วใต้หล้า หนึ่งคือบุรุษสกุลกัวนามว่ากัวจิ้นเต๋อ ว่าที่บัณฑิตหนุ่มอนาคตไกล ซึ่งกำลังเตรียมตัวสอบเค่อจู่ปลายปีนี้ สามอันดับสำคัญ จอหงวน ปั๋งเหยียน ทั่นฮวา มาตรว่าต้องมีนามของเขาติดหนึ่งในสามอันดับนั้นแน่นอน
อีกหนึ่งคือหญิงงามสกุลจาง นามว่าจางเหม่ยอวี้ ดรุณีผู้เพียบพร้อมและโดดเด่นในศิลปะทั้งสี่ กาพย์ กลอน เดินหมาก วาดภาพ งานเรือนคล่องแคล่ว จรรยามารยาทล้วนดีเลิศ
ตอนพิเศษ 2.2ส่วนคุณหนูรองจางเหม่ยอวี้ ดูเหมือนว่าจะมีนิสัยตรงกันข้ามกับพี่สาว หยิ่งผยองเงียบขรึมพูดน้อย ดื้อรั้นเอาแต่ใจ รักความสงบเงียบ ไม่ค่อยสุงสิงเข้าสังคม แต่นับเป็นคนมีวาสนาดี เพราะคบหาอยู่กับคุณชายกัว ชาวเมืองครหาไว้อย่างนั้นแต่เพราะแม่ทัพปั๋วเฉินชิงซงอยู่ท่ามกลางสมรภูมิรบมาทั้งชีวิตย่อมเข้าใจเรื่องที่ว่า ‘การศึกไม่เคยหน่ายอุบาย’ ฉะนั้นเสียงนกกาสุนัขหมาป่าเห่าหอนที่ชาวเมืองคอยเต้าข่าว เขาไม่คิดเชื่อ ต้องพิสูจน์ด้วยตัวเองชายหนุ่มต้องการดูเนื้อแท้ของสองตัวเลือก เพราะพวกนางหนึ่งในนี้จะต้องกลายเป็นสตรีที่เคียงข้างกายเขาไปตลอดชีวิต ในใจเขาจึงคิดไว้ว่านางต้องอ่อนโยนรู้กาลเทศะ ละเอียดลออเคร่งครัดจนไร้ช่องโหว่ อีกทั้งยังต้องฉลาดหัวไว ใจเยือกเย็น รู้เท่าทันเล่ห์อุบายต่ำทรามนานา เพราะจะได้สามารถเอาตัวรอดจากภัยอันตรายที่ซุ่มซ่อน ในขณะที่แม่ทัพเช่นเขาออกศึกไม่พำนักอยู่จวนทาสอัปลักษณ์หลังค่อมเดินลัดเลาะมาถึงระเบียงทางเดินดักรอคุณหนูรอง ส่วนคุณหนูใหญ่ยังคงอยู่แต่ในเรือนนอนไม่ได้ออกไปไหน“โอ๊ย! เดินอย่างไรไม่ดูตาม้าตาเรือ” จื่อผิงเอะอะโวยวายขึ้นหลังมีทาสชายหลังค่อมถอยมาชนปึก!ทาสอัปลักษณ
ตอนพิเศษ 2.1“เจ้าว่าอะไรนะ”ขุนนางฝ่ายบู๋ลำดับศักดิ์ปั๋ว ตระกูลเฉินนามชิงซง หรือแม่ทัพกองทัพจูเชว่คุ้มครองแดนใต้เงยหน้าขึ้นจากรายงานทางการทหาร หว่างคิ้วยับย่นฉับพลัน อดย้อนถามอย่างตกใจไม่ได้ หลังฟังคำบอกเล่าจากปากลูกน้องคนสนิท“เมื่อครู่ใครมาเข้าพบท่านแม่ แล้วชี้นำให้ท่านแม่ทำอะไรนะ...เปลี่ยนตัวเจ้าสาวพระราชทานอย่างนั้นหรือ” น้ำเสียงของแม่ทัพหนุ่มเปี่ยมด้วยความสนอกสนใจ ความรู้สึกหลายอย่างเกิดขึ้น ทั้งสับสนสงสัย ทั้งตะลึงและประหลาดใจ ก่อนตบท้ายด้วยขุ่นเคือง หากสิ่งที่ได้ฟังมาเป็นความจริง‘ตระกูลจางคิดจะสลับตัวเจ้าสาว’รองผู้บัญชาการกองทัพจูเชว่เผิงเสียนจือ ลอบกลืนน้ำลายด้วยความประหม่า อดคิดในใจไม่ได้ว่าท่านแม่ทัพจะเพิกเฉย ไม่นึกยี่หระเสียอีก เขามารายงานตามปกติประจำวันไม่ได้เน้นเสียง หรือจงใจให้เจ้านายหันเหสนใจเรื่องดังกล่าวแต่งคนไหนก็เหมือนกันมิใช่รึ อย่างไรก็ไม่ได้แต่งด้วยความรัก รองแม่ทัพหนุ่มชะงักพักหนึ่งหยุดไปประมาณห้าอึดใจ จึงเริ่มเล่าวกเรื่องเมื่อครู่อีกครั้ง“ฮูหยินผู้เฒ่าโมโหไม่น้อยเลยขอรับ” คนรายงานตามจริงถอนใจเศร้าๆ หลายครา นึกสงสารชะตากรรมคุณหนูรองที่มีแม่เลี้ยงเฉกเช่นอ
ตอนพิเศษ 1.2ชายหนุ่มกำลังจะโผกายสวมกอดภรรยา ทว่านางบีบจมูกและย่นหว่างคิ้ว เขาจึงเข้าใจทันทีว่า มันเป็นเพราะกลิ่นกายตนที่ทำให้อีกฝ่ายอาเจียนมากมายขนาดนั้น จึงไม่กล้าผลีผลามเข้าใกล้อย่างคราแรก ๆ อีกทว่าในจังหวะแห่งความปลื้มปีตินั้นเอง อยู่ ๆ รองแม่ทัพเผิงวิ่งเข้ามาขัด พร้อมรายงานด่วนทางการทหาร บอกแก่เขาว่ามีข้าศึกโจมตี ทำให้แม่ทัพหนุ่มจำต้องโบกมืออำลาภรรยาที่กำลังแพ้ท้องอย่าหนักหน่วงด้วยความห่วงอาลัยยิ่ง“พี่จะรีบกลับมา น้องหญิงรอพี่ก่อนนะ” เขากล่าวคำลาด้วยใจที่ย่ำแย่ มองใบหน้าฮูหยินคนงามที่มองเขาตอบด้วยสายตาอย่างยากจะคาดเดาออกในวันนั้นจางเหม่ยอวี้ไม่มีคำลาใด ๆ หรืออวยพรให้เขาชนะศึก การกระทำที่นิ่งเฉยของนาง ทำเอาแม่ทัพผู้เด็ดเดี่ยวใจสั่นไหว เสมือนมีมือที่มองไม่เห็นมาบีบหัวใจจนปวดหนึบนับจากวันอำลา เฉินชิงซงรู้สึกเดียวดายเปล่าเปลี่ยวยิ่งนัก เขาเอาแต่คิดถึงใบหน้าหวานของภรรยาตลอดทั้งวันทั้งคืน ความห่วงหาอาทรแผ่ซ่านทุกห้วงอณู ศึกก็ต้องรบ ทว่าหัวใจหดหู่ทำให้ส่งผลกระทบต่อการวางแผนกลศึก กระทั่งเหล่านายกอง รวมถึงรองแม่ทัพต่างวิตกว่าสุขภาพของท่านแม่ทัพจะย่ำแย่ จึงแนะนำให้เขาเขีย
ตอนพิเศษ 1.1หลังจากเข้าพิธีสมรสได้หนึ่งเดือน เฉินชิงซงต้องวุ่นวายกับการโยกย้ายจวน เดินทางจากเมืองหลวงลงแดนใต้ กว่าจะถึงเมืองชายแดนจูเชว่ต้องใช้เวลาไปอีกหนึ่งเดือนครึ่ง ระยะนี้เขากับฮูหยินตัวน้อยจึงมิได้สานสัมพันธ์แนบแน่นกันเลยวันนี้ตั้งใจแน่วแน่ จะร่วมคืนวสันต์แสนหวานกับผู้เป็นภรรยา แค่คิดเรื่องสัปดน หัวใจก็เต้นโครมครามยากระงับไหว เลือดลมสูบฉีดจนใบหน้าคมคายแดงซ่าน ดวงตาคมทอประกายวาบวาม มิต่างอันใดกับทะเลยามราตรีที่เต็มไปด้วยคลื่นใต้น้ำ“อวี้เอ๋อร์ เจ้ากำลังรอเหมือนพี่อยู่หรือไม่นะ” แม่ทัพหนุ่มรำพึงรำพันด้วยความสุขล้น สองมือเร่งหยิบรายงานทางการทหารที่กองพะเนินมาเปิดอ่าน เขาต้องประทับตราลงนามให้เสร็จแล้วรีบกลับจวนเฉินชิงซงใจเริ่มคุ้นชินกับการมีจางเหม่ยอวี้อยู่ข้างกาย ไม่ว่าตอนตื่นลืมตาช่วงเช้า รับสำรับมื้อแรกช่วงสาย ปิ่นโตมื้อกลางวัน และสำรับเย็นที่เรือนท่านแม่ก่อนปิดท้ายวันด้วยการเข้านอนทว่าพอถึงเวลาค่ำคืนของสามีภรรยา เขากับนางกลับทำเพียงแค่โอบกอด แล้วพากันสู่นิทรามิได้ลึกซึ้งเหมือนเช่นคืนเข้าหอแต่ในคืนนี้เฉินชิงซงตั้งใจเป็นมั่นเป็นเหมาะว่า เขาจะต้องร่วมหอกับภรรยาตัวน้อยให้จงไ
บทส่งท้าย บทสรุปของคำว่าครอบครัว(3) จากประโยคนี้ของสามี จางเหม่ยอวี้ถึงกับโผเข้าไปสวมกอดเขาเอาไว้ บุรุษผู้นี้ช่างดีต่อนางยิ่งนัก นางทำตัวร้ายกาจ วางแผนสังหารคนขนาดนี้ แต่เขาก็ยังเลือกที่จะอยู่เคียงข้างและปกป้องนาง เช่นนี้แล้วนางจะไม่เปิดรับเขาเข้ามาอยู่ในใจได้อย่างไร“ท่านพี่ขอบคุณท่านมาก ขอบคุณ”“ไม่ต้องขอบคุณแล้ว เราเป็นสามีภรรยากัน ไม่มีเรื่องที่ต้องเกรงใจ”เฉินชิงซงยิ้มให้กับภรรยา หลังจากนี้เขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะไม่มีเรื่องใดผ่านเข้ามาทำให้ภรรยาของเขาต้องเคร่งเครียดและเสียน้ำตาอีกแล้วจวนปั๋วเฉินแห่งแดนใต้จูเชว่หนึ่งปีแล้ว หลังจากโยกย้ายครอบครัวมาอยู่แดนใต้ เริ่มแรกก็ยุ่งเหยิงวุ่นวายยกใหญ่ จางเหม่ยอวี้สตรีเมืองหลวงผู้เพียบพร้อมจรรยามารยาทงดงาม ไม่คุ้นชินกับชาวบ้านชนบทที่พูดจาเสียงดัง ท่าทางกร่างจัด ไม่เคารพธรรมเนียมปฏิบัติ หลักการข้อไหนก็ไม่ยึดถือจางเหม่ยอวี้โชคดีที่มีสามีคอยแนะนำ มีแม่สามีสอนสั่ง ประเพณีที่นี่เป็นเช่นไร พึงศึกษาอยู่ไม่นานนักก็สามารถปรับตัวได้ทางด้านจื่อผิงออกเรือนแต่งเป็นอนุให้รองแม่ทัพเผิง ไม่รู้ไปต้องตาพึงใจกันตอนไหน จื่อผิงอยู่ชนชั้นทาสมาตั้งแต่เกิด
บทส่งท้าย บทสรุปของคำว่าครอบครัว(2)เตียง ทั้งสองแลกเปลี่ยนจุมพิตกันอย่างยาววนาน ก่อนจะเริ่มเพิ่มความเร่าร้อนขึ้น ด้วยการสอดประสานกายเป็นหนึ่งเดียวกัน เช้าวันรุ่งขึ้น สองสามีภรรยาเดินทางไปยังกองบัญชาการแห่งทัพจูเชว่ ซึ่งจางเหม่ยอวี้ได้พบกับจือหมิ่น น้องสาวของจือลิ่ว อดีตคนสนิทของอนุหลินจริง ๆ ทันทีที่จือหมิ่นเห็นว่าคนที่ก้าวเข้ามายังห้องที่นางถูกควบคุมตัวไว้เป็นใครก็มีสีหน้าซีดเผือด แข้งขาของเจ้าตัวพลันอ่อนแรง ล้มลงไปนั่งกองกับพื้น ปากคอสั่นจนหาเสียงตนเองไม่พบ“ดูท่าเจ้าคงจดจำนางได้สินะ”เฉินชิงซงมองอีกฝ่ายอย่างจับผิด และคนตรงหน้าก็ยิ่งตัวสั่นกว่าเดิม เมื่อมองไปยังจางเหม่ยอวี้ที่จ้องมองมาอย่างไม่วางตา“คุณหนูรอง”“เจ้ารู้จักข้าด้วย ทั้งที่เราไม่เคยพบกันแท้ ๆ” จางเหม่ยอวี้กล่าวเหมือนนึกทึ่ง พลางเดินเข้าไปนั่งอยู่ต่อหน้าอีกฝ่ายที่คุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยร่างกายที่สั่นเทาจากนั้นเฉินชิงซงก็เริ่มสอบถามเรื่องราวต่าง ๆ และแม้ว่าเขาจะไม่ได้ใช้วิธีทรมานใด ๆ เพื่อให้จือหมิ่นยอมพูดความจริง หญิงสาวตรงหน้าที่มีความผิดบาปฝังมาในใจเนิ่นนานแล้วก็สารภาพออกมาอย่างหมดเปลือกและแล้วเรื่องราวตลอ
บทส่งท้าย บทสรุปของคำว่าครอบครัว(1)“นี่ข้าวของของข้า เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงโยกย้ายมันโดยพลการ!”ภายในจวนปั๋วเฉินเกิดความวุ่นวายขึ้น เสียงแว้ด ๆ ที่ดังอยู่ผู้เดียวจะเป็นใครได้ หากไม่ใช่น้องสาวของรองแม่ทัพเผิงชิ่นหลิงถลึงตามองจางเหม่ยอวี้ ดวงตาวาววับแทบลุกเป็นไฟ นางจะไม่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟได้อย่างไร จู่ ๆ ภรรยาของแม่ทัพที่เพิ่งตบแต่งได้ไม่นานก็ทำท่าวางอำนาจ ฉวยโอกาสตอนนางออกไปเที่ยวใช้ทาสมาเก็บข้าวของในเรือนรับรองใส่หีบ“เพราะข้าเป็นฮูหยินของจวนเฉินอย่างไรเล่า เจ้าเล่า! มีสิทธิ์อันใดอาศัยที่นี่ กาฝากรึ” จางเหม่ยอวี้ตอกกลับได้อย่างแสบทรวง “อีกประการข้าถามท่านพี่กับท่านแม่แล้ว พวกเขาไม่ได้เต็มใจต้อนรับเจ้า เพียงแต่ยังเกรงใจท่านรองแม่ทัพเผิงเท่านั้น”“นี่เจ้า!” เผิงชิ่นหลิงกรีดร้องด้วยความเดือดดาล นางชี้นิ้วใส่เฉินเย๋ปั๋วฟูเหรินอย่างไร้มารยาทยิ่งจางเหม่ยอวี้ที่ดำรงตำแหน่งภรรยาของจวนแม่ทัพไม่มีท่าทีโกรธเกรี้ยว นอกเสียจากเหยียดยิ้มชั่วร้ายให้กับท่าทางของสตรีที่ทำตัวไม่ต่างกับหนูสกปรกตัวหนึ่ง“ท่านรองแม่ทัพเคลื่อนกำลังพลกลับจูเชว่ตั้งแต่ราชโองการออกมาแล้ว เจ้ายังหน้าด้านอยู่จวนเฉินอีกรึ”“เจ้
บทที่ 15สุขทุกข์ร่วมแบ่งเบาเฉินชิงซงเห็นภรรยามีท่าทีไม่สบายใจมาหลายวันแล้ว อีกทั้งหลายครั้งนางก็เหมือนจะเหม่อลอย เวลาเขาสนทนาด้วยบางทีก็ตอบช้าไปกว่าทุกครั้งคล้ายมีเรื่องครุ่นกังวล“น้องหญิง เจ้ากังวลเรื่องใดหรือ เหตุใดพักนี้เจ้าจึงเหม่อลอยพิกล”แม่ทัพหนุ่มเอ่ยถามออกมาด้วยความห่วงใย ฝ่ายผู้เป็นภรรยาทำสีหน้าไม่ถูก ที่ผ่านมานางถูกสอนสั่งให้เอาใจใส่สามี เมื่ออีกฝ่ายพูดออกมาเช่นนี้จึงรู้สึกไม่สบายใจ กังวลไปว่าตนเองบกพร่องในหน้าที่ฮูหยินของเขาหรือไม่“ขออภัยเจ้าค่ะท่านพี่”“ไม่มีเรื่องใดต้องขอโทษ เจ้าไม่สบายใจ พี่ควรช่วยเจ้าแบ่งเบา มีอะไรก็ว่ามาเถิด เราสองคนเป็นสามีภรรยากันแล้วนะ”เขาเว้นคำพลางมองลึกเข้าไปในดวงตาที่หม่นแสงของภรรยา ฉวยจับมือเล็กไว้มั่น แม้แต่งงานกันได้ไม่นาน แต่เขาก็เอื้ออาทรในตัวของจางเหม่ยอวี้อย่างยิ่ง จึงไม่ต้องการเห็นนางมีเรื่องหม่นหมองในใจ“จำไว้...ไม่มีเรื่องใดที่บอกกล่าวพี่ไม่ได้”แววตาของสามีที่ทอดมองมาอ่อนโยนยิ่งนัก หญิงสาวเห็นแล้วก็รู้สึกซาบซึ้งในใจ เฉินชิงซงอาจเป็นคนเย็นชาพูดน้อย แต่แท้จริงกลับใส่ใจทุกเรื่องของนาง ขนาดเขาออกไปตรวจค่ายทหารทุกวัน และเจอนางไม่
ตอนที่14.2 มดปลวกรวมตัว(2)ฉางทิงกับบ่าวฉกรรจ์อีกสามคนฉุดกระชากลากถูคนร้ายไปตามระเบียงไม่คิดไว้ไมตรีทะนุถนอมอันใด ฟู่หว่ากรีดร้องจนสุดเสียงก็ไม่มีใครยื่นมือเข้าช่วยฮูหยินผู้เฒ่ายืนทอดสายตามองฟู่หว่า เด็กสาวที่นางเลี้ยงดูมากับมือทว่ากลับหลงเดินทางผิดถูกคนเลวหลอกใช้“ท่านแม่ อากาศเย็นแล้ว กลับเข้าห้องเถอะเจ้าค่ะ” จางเหม่ยอวี้ปั้นหน้าแย้มยิ้มระรื่น ทำเป็นมองไม่เห็นแม่สามีที่กำลังตรอมตรม“อือ รบกวนเจ้าแล้ว” หรูหรั่นเซียงถอนหายใจ ล้วงผ้าเช็ดหน้าซับหยดน้ำตา แล้วให้ลูกสะใภ้ประคองเข้าห้องนอน“แม่ขอโทษนะที่ตัดวาสนาของเจ้ากับคุณชายกัว”“อย่าคิดมากเลยเจ้าค่ะ เรื่องมันผ่านไปแล้ว” จางเหม่ยอวี้สั่นศีรษะพร้อมกับส่งยิ้มให้กับแม่สามีอย่างจริงใจ “ลูกรู้สึกว่าตนเองนั้นช่างโชคดีนัก ที่วันนั้นท่านแม่เลือกให้ลูกมาเป็นสะใภ้”“ไม่เคืองจริงหรือ” แม่สามีเย้าลูกสะใภ้ โดยที่มีจินหรงมามาอมยิ้มปลื้มปริ่มเดิมตามหลัง“ความจริงครั้งแรกก็รู้สึกโกรธเคืองไม่น้อยเจ้าค่ะ เพราะลูกฝึกฝนจรรยาฮูหยินเรือนหลังจวนขุนนางฝ่ายบุ๋นอย่างลำบากมานาน” ลูกสะใภ้หัวเราะเบาๆ อย่างเหนียมอายแม่สามีพยักหน้าเล็กน้อยอย่างเข้าอกเข้าใจ จรรยาสตรี
ความคิดเห็น