“พะพาย” นักศึกษาแพทย์แผนจีนจบใหม่ที่ถูกวิญญาณตนหนึ่งนำพาให้ข้ามมายังภพที่ไม่รู้จัก ก่อนจะเข้าไปอยู่ในร่างของหญิงสาวนาม “หวงหลี่อิง” ที่พึ่งจบชีวิตลง แต่แล้วตัวตนนี้กลับไม่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุขเพราะมีคนรู้ว่าเจ้าของร่างได้ตายไปแล้ว หญิงสาวจึงต้องเปลี่ยนแปลงตัวตนใหม่อีกครั้งในนามของ “เซียวหลี่อิง” และยังต้องทำภารกิจให้สำเร็จนั้นก็คือการทำให้พระรองและนางได้ลงเอ๋ยกันตามที่วิญญาณตนนั้นขอร้อง “หวังหรูอี้” วิญญาณที่นำพาพะพายมายังชาติภพใหม่ นางเป็นมารดาของพระรองจากซีรีส์ที่พะพายดู เพื่อไม่ให้บุตรชายต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวนางจึงทำทุกทางเพื่อให้ชายหนุ่มสมหวังในรัก จำต้องดึงวิญญาณของคนที่นางคิดว่าเหมาะสมมาจากภพอื่นเพียงเพื่อให้ทั้งคู่ได้รักกันก่อนที่นางจะต้องจากไป “หวังชิงเฟิง” บุตรชายเสนาบดีผู้กุมเส้นทางการค้าของแคว้น บุรุษหนุ่มรูปงาม อ่อนโยน สุขุม ตามเนื้อเรื่องของซีรีส์ที่พะพายดู แต่ในความเป็นจริงนั้นนอกจากจะไม่ตรงกับที่หญิงสาวรู้แล้วยังมีความหวาดระแวงต่อกันอยู่เนือง ๆ จากเหตุการณ์หลายอย่างที่ชวนให้เข้าใจผิด
ดูเพิ่มเติม“อืม” เสียงครางแหบแห้งในลำคอ พร้อมกับเปลือกตาที่เปิดขึ้น เผยให้เห็นดวงตากลมโตสีน้ำตาลอ่อนแวววาว
“ที่ไหนเนี่ย” หญิงสาวลุกขึ้นนั่งพร้อมกับหันมองไปรอบๆ ก่อนจะพบว่าตัวเองนั้นนอนอยู่กลางทุ่งหญ้ารกชัฏที่ไหนสักแห่ง
“นังหนู”
จู่ๆ ก็มีร่างโปร่งแสงปรากฏขึ้นตรงหน้าเธอ“เห้ย!” พะพายตกใจจนสติสตังหายหมด เมื่อมีบางอย่างโผล่มาตรงหน้า
“นังหนูใจเย็นๆ ไม่ต้องกลัว ข้าไม่ทำอะไรเจ้าหรอก”
ร่างโปร่งแสงเอ่ยกับหญิงสาว“เย็นก็บ้าแล้ว” พูดจบพะพายก็ดีดตัวลุกขึ้นอย่างรวดเร็วพร้อมกับออกวิ่งทันที
“อ่าวเห้ย นังหนูรอข้าก่อน” ร่างนั้นล่องลอยตามพะพายมาติดๆ
“รอก็โง่นะสิ เป็นผีก็อยู่ส่วนผีสิ จะมาตามหลอกหลอนกันทำไมเล่า” เมื่อรู้แล้วว่าสิ่งที่เห็นไม่ใช่คน พะพายก็ยิ่งสับขาวิ่งเร็วขึ้นไปอีก
“ข้าก็ไม่ได้อยากตามหลอกเจ้านะ แต่ข้าไม่รู้จะไปไหน พอโผล่ออกมาเจ้าก็มองเห็นข้า ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่ต้องเหงาแล้ว เพราะสามารถสื่อสารกับเจ้าได้ ก็เลยตามเจ้ามา”
“ท่านรู้ได้ไงว่าหนูมองเห็นท่าน” พะพายถามกลับไป ทั้งที่ยังวิ่งไม่หยุด
“ก็เจ้าตกใจตอนที่ข้าโผล่ไปตรงหน้าเจ้าไม่ใช่หรือ นั้นก็แสดงว่าเจ้ามองเห็นข้า” ว่าแล้ววิญญาณตนนั้นก็ลอยมาอยู่ตรงหน้าของพะพาย
“อ๊าก!!” หญิงสาวตกใจจนสะดุดขาตนเองล้มลงไปนั่งกับพื้น
“เจ็บหรือไม่” วิญญาณตนนั้นนั่งลงตรงหน้าแล้วเอ่ยถามด้วยความรู้สึกผิด
“เจ็บสิถามได้” พะพายตอบพร้อมกับทำหน้ามุ่ยใส่วิญญาณตนนั้นอย่างลืมกลัวไปชั่วขณะ
“เจ้าก็ดูไม่ได้กลัวข้าขนาดนั้นนี่” วิญญาณตนนั้นเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นท่าทีของหญิงสาวตอนนี้
“ไม่กลัวกับผีนะสิ” พะพายโต้กลับทั้งที่ยังนั่งจุมปุ๊กอยู่กับที่
“ข้าเป็นวิญญาณต่างหาก”
“มันต่างกันตรงไหน กวนปะเนี่ย” พะพายกล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจเล็กน้อย
“.....”
“เฮ้อ มีอะไรก็ว่ามา” สุดท้ายหญิงสาวก็ต้องยอม แล้วเลือกที่จะถามความต้องการของวิญญาณตนนั้นแทน
“ไม่วิ่งแล้วเหรอ” วิญญาณตนนั้นเอ่ยถามพร้อมกับเอียงคอมองหน้าพะพาย
“ไม่ เหนื่อยแล้ว” ยังจะมีหน้ามาถามอีกนะ พะพายคิดในใจ
“ข้ามีเรื่องจะขอร้องให้เจ้าช่วย” วิญญาณตนนั้นกล่าวก่อนจะเริ่มพูดในสิ่งที่ตนต้องการ
“เดี๋ยว ก่อนจะขอให้ช่วยท่านบอกหนูก่อนว่าที่นี่ที่ไหน” พะพายยกมือขึ้นเบรก ก่อนจะถามสิ่งที่สงสัย
“ที่นี่คือแคว้นต้าเหลียง ตรงที่เจ้าอยู่ตอนนี้คือชายป่าของหมู่บ้านอีถง”
วิญญาณตอนนั้นตอบข้อสงสัยของพะพาย“แคว้นอะไรนะ หมู่บ้านอะไร ทำไมไม่เห็นจะเคยได้ยินมาก่อนเลย” พะพายถามขึ้นมา เมื่อสิ่งที่อีกฝ่ายพูดไม่คุ้นหูเลยสักนิด
“จะเคยได้ยินได้อย่างไรเล่า ก็ในเมื่อเจ้าไม่ใช่คนของที่นี่แต่แรก เจ้าไม่ได้สังเกตตนเองหรือ” คำกล่าวนี้ทำให้พะพายชะงักก่อนก้มลงสำรวจตนเองอย่างละเอียดและพบว่าชุดที่ใส่อยู่นั้นไม่ใช่ชุดที่ใส่อยู่เป็นประจำ แต่มันเหมือนจะเป็นชุดของจีนที่ชอบเห็นในซีรีส์จีนโบราณมากกว่า
“ไม่จริงใช่ไหม” พะพายนิ่งอึ้งไปชั่วขณะก่อนจะพูดขึ้นอย่างเหม่อลอยพร้อมกับหันไปมองวิญญาณตนนั้นและพบว่าเครื่องแต่งกายของนางเองก็เป็นชุดแบบเดียวกับที่หญิงสาวสวมอยู่
ย้อนกลับไปก่อนหน้านั้น
กรุงเทพปี 2024
“คุณหมอพะพาย เมื่อไรคุณมึงจะได้เริ่มงานสักทีจ๊ะ” เสียงจากเพื่อนสนิทของพะพายดังขึ้นเมื่อกลับมาถึงห้องแล้วเห็นหญิงสาวนอนดูซีรีส์อย่างสบายใจอยู่
“รอเอกสารเรียกตัวอยู่นะ” พะพายตอบโดยที่ไม่ได้ละสายตาจากจอสี่เหลี่ยมที่ถืออยู่
“แล้วนี่ แกคิดว่าจะได้ทำในตำแหน่งที่ต้องการหรือเปล่า” เสียงของเพื่อนพะพายยังคงถามขึ้นอีกครั้ง
“ไม่รู้สิ ฉันเรียนแพทย์แผนจีนมา ก็ไม่รู้ว่าเขาจะให้ฉันไปลงตำแหน่งอะไร” พะพายตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก
“ที่ที่แกยื่นไปไม่มีแผนกนี้หรือยังไง” เธอถามด้วยความสงสัย
“มีนะ ไม่งั้นฉันจะยื่นไปทำไมละ”
“งั้นก็คงได้ทำตำแหน่งที่แกต้องการแหละ” เพื่อนพะพายกล่าว
“สาธุ หึหึ” พะพายเงยหน้าขึ้นมามองเพื่อนพร้อมกับยกมือพนมขึ้นเหนือหัวทั้งยังหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
“ทำเป็นเล่นไป ฉันไปอาบน้ำก่อนเดี๋ยวกลับมาคุยด้วย” ว่าแล้วเธอก็เดินจากไป
“อืม” พะพายมองตามหลังเพื่อนเดินไปจนลับตาแล้วค่อยกลับมาสนใจซีรีส์ตรงหน้าต่อ
“ทำไมพระรองแสนดีอย่างนี้นะ ถ้าเป็นฉันคงเลือกพระรองไปแล้ว ไม่เอาหรอกพระเอกแบบนั้น แต่ก็อย่างว่าแหละ พระเอกเป็นของนางเอกส่วนพระรองเป็นของคนดู อิอิ”
“แล้วอยากได้ไหม” เสียงหนึ่งเอ่ยถามขึ้น
“อยากสิ เอะ วูบ….” และแล้วทุกอย่างก็มืดลงพร้อมกับสติที่ขาดหายไปของพะพาย
กลับมาปัจจุบันที่พะพายอยู่
“นี้ คุณเป็นคนพาฉันมาเหรอ” พะพายที่เมื่อนึกได้แล้วว่าตนเองมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรถึงกับยกนิ้วชี้ไปที่หน้าวิญญาณตนนั้นทันที
“เมื่อกี้ยังเป็นท่านกับหนูอยู่เลย”
“ไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่อง บอกมานะ คุณทำอะไรกับฉัน แล้วฉันจะกลับไปได้ยังไง” พะพายเอ่ยถามอย่างตื่นตระหนก
“กลับไม่ได้แล้ว”
วิญญาณตนนั้นกล่าวเสียงแผ่ว“ว่าไงนะ” พะพายถึงกับหน้าถอดสีเมื่อได้ฟังคำตอบ
“ก็ ข้าดึงวิญญาณของเจ้าออกมาจากร่างแล้วนำมาใส่ในร่างนี้ ส่วนร่างนั้นของเจ้าก็น่าจะโดนญาติพี่น้องของเจ้านำไปทำพิธีและเผาแล้วละ” น้ำเสียงแผ่วเบาเอ่ยบอกอย่างรู้สึกผิด
“ห๊ะ แล้วที่นี่จะทำยังไงละ” พะพายถึงกับยกมือขึ้นกุมขมับอย่างหมดหนทาง
“เจ้าก็อยู่ในร่างนี้ไง” วิญญาณตนนั้นกล่าวเสียงใสพร้อมรอยยิ้ม
“แล้วร่างนี้เป็นใคร มาจากไหนฉันก็ไม่รู้แล้วจะให้อยู่ในร่างนี้ได้ยังไง” พะพายโวยวายเสียงสั่นเครือ
“อยู่ได้ ข้าตรวจดูแล้ว ยังไงเจ้าก็ต้องตายภายในวันนั้น ข้าก็เลยพาเจ้ามาอยู่ในร่างนี้แทน เพื่อที่เจ้าจะได้มีชีวิตอยู่ต่อและก็จะได้ครองคู่กับบุตรชายของข้าด้วย” วิญญาณตนนั้นเอ่ยปลอบหญิงสาวให้ใจเย็นลง
“เดี๋ยวนะ เดี๋ยวก่อน เมื่อกี้พูดว่าอะไรนะ ใครจะครองคู่กับใคร” จากที่กระวนกระวายพะพายถึงกับหยุดชะงักเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น
“ก็ตอนนั้นที่ข้าถาม เจ้าเป็นคนตอบเองนี่น่า” พะพายถึงกับต้องเค้นความทรงจำของตนเองออกมาโดยด่วน ว่าไปตอบรับคำขอของวิญญาณตนนี้ตอนไหน
“เดี๋ยวนะ คงไม่ใช่อย่างที่คิดใช่ไหม นี้อย่างบอกนะว่า เสียงนั้นเป็นคุณเหรอ ลูกชายคุณคือพระรองในซีรีส์ที่ฉันดู” เมื่อลองเค้นความทรงจำที่มีอยู่ก่อนหน้า ก็เห็นจะมีอยู่แค่จุดเดียวที่พะพายเอ่ยตอบอะไรออกไป
“ใช่แล้ว ว่าแต่ซีรีส์คืออะไรเหรอ” วิญญาณตนนั้นเอ่ยถมอย่างไม่เข้าใจ
“ฉันอยากจะบ้าตาย” พะพายถึงกับต้องเอามือขึ้นตบหน้าผากตนเองได้แต่คิดในใจว่าฉิบหายแล้ว
“ทำไมละ ไม่ดีหรือ บุตรชายข้าออกจะรูปงาม ฉลาดและเก่งออกปานนั้น”
วิญญาณตนนั้นกล่าวอย่างภาคภูมิใจในตัวบุตรชาย“จ้ะ ไม่เถียง ว่าแต่คุณยังไม่บอกฉันเลยว่านี้ร่างของใคร” พะพายวกกลับมาเรื่องนี้อีกครั้ง
“จริงสิ ว่าแต่เปลี่ยนเป็นเจ้ากับข้าแทนได้หรือไม่ คำเรียกของเจ้าฟังดูแล้วรู้สึกไม่คุ้นชินเอาเสียเลย”
“จะเรียกอะไรก็ช่างเถอะ ตอนนี้บอกรายละเอียดมาก่อน” หญิงสาวกล่าว
“ก็ได้ งั้นเจ้าหลับตานะ” พะพายหลับตาลงตามที่วิญญาณตนนั้นบอกก่อนจะรู้สึกเย็นไปทั่วทั้งร่าง
เจ้าของร่างนี้มีชื่อว่า หวงหลี่อิง ปีนี้อายุ 17 แล้ว เกิดในครอบครัวยากจนในหมู่บ้านเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในหุบเขา บิดาเสียชีวิตจากการไปล่าสัตว์ ส่วนมารดานั้นจากไปเนื่องจากอาการป่วยเมื่อไม่นานมานี้ ส่วนที่ว่าทำไมร่างนี้ถึงได้ไปอยู่ที่ชายป่า นั้นเป็นเพราะว่าลูกชายของผู้ดูแลหมู่บ้านปรารถนาในตัวหญิงสาวและคิดจะรังแก หวังให้ได้ไปเป็นเมีย แต่หญิงสาวหนีรอดออกมาได้สุดท้ายก็พลัดตกจากเขาตายอยู่ดี คงต้องบอกว่าชีวิตของร่างนี้มีบุญมาเพียงเท่านี้จริง ๆ
“หวงหลี่อิง ชื่อนี้ไม่เคยได้ยินในเรื่องแหะ” พะพายพึมพํากับตัวเองเบา ๆ
“เรื่องอะไรเหรอ” วิญญาณตนนั้นยื่นหน้าเข้าไปถามพะพายใกล้ ๆ
“เห้ย! ตกใจหมด”พะพายถึงกับผะงะไปนิดหนึ่งก่อนจะยกมือขึ้นลูบอกตนเอง
“หายตกใจได้แล้วมัง ข้าก็อยู่กับเจ้าตั้งนานแล้วนะ”
“จะอยู่นานหรือไม่นานก็ไม่มีใครชินกับการที่ต้องมานั่งคุยกับวิญญาณหรอกนะคะ ว่าแต่คุณ...เอ่อ ท่านชื่ออะไรเหรอ” พะพายเปลี่ยนคำเรียกขานตามที่วิญญาณตนนั้นขอแล้วเริ่มสอบถามเรื่องราวบ้าง
“ข้าชื่อ หวังหรูอี้” วิญญาณตนนั้นตอบ
“หวังหรูอี้ พระรองชื่อหวังชิงเฟิง แซ่หวังเหมือนกันมีความเป็นไปได้ว่านางจะไม่ได้โกหก” พะพายเอ่ยพึมพำอยู่คนเดียว
“ข้าไม่ได้โกหกนะ ข้าเป็นมาดารของชิงเฟิงจริงๆ” วิญญาณตนนั้นยืนยันหนักแน่นเมื่อได้ยินสิ่งที่พะพายพูด
“แต่เท่าที่ดูซีรีส์มา มารดาของหวังชิงเฟิงคือหวังเหลียนฮวาไม่ใช่เหรอ” พะพายเอ่ยถามอย่างสงสัย
“นางเป็นภรรยาที่แต่งกับสามีข้าหลังจากที่ข้าตายไปได้ 3 ปี” หวังหรูอี้เอ่ยบอก
“ตอนที่ท่านจากไป บุตรชายท่านอายุเท่าไรแล้ว” พะพายยังคงถามต่อ
“5 ปี” หวังหรูอี้ตอบพร้อมรอยยิ้มเมื่อนึกถึงหน้าบุตรชายตัวน้อยในตอนนั้น
“5 ปีหรือ หากดูจากความฉลาดของหวังชิงเฟิงเขาก็น่าจะจำได้ว่ามารดาที่แท้จริงเป็นใครถูกหรือไม่” พะพายลองวิเคราะห์ดู
“ไม่ผิด”
“แล้วเหตุใดข้อมูลตรงนี้ถึงไม่เคยมีบอกในซีรีส์เลยละ โอ๊ย! ฉันไม่รู้ด้วยแล้ว” พะพายถึงกับจนปัญญาจริง ๆ แล้ว
วิญญาณของหวงหลี่อิงนั้นไม่ได้ต้องการอันใดเพียงแค่อยากมาดูเท่านั้นว่าร่างตนเป็นอย่างไรบ้าง“ข้าขอโทษนะที่ทำให้เจ้าไม่สบายใจ” หวงหลี่อิงเอ่ยขึ้นขณะที่นั่งอยู่ตรงหน้าหลี่อิง“ไม่เป็นไร ตอนแรกข้าก็กังวล พอรู้เช่นนี้ก็สบายใจขึ้น” หญิงสาวเอ่ยบอกพร้อมรอยยิ้มยินดี หลี่อิงคิดว่านี้น่าจะเป็นฝันที่อีกคนสร้างขึ้นเพื่อพูดคุยกับนางเป็นแน่“จริงสิ ข้ารบกวนเจ้าหน่อยได้หรือไม่” หวงหลี่อิงเอ่ยขึ้นอย่างเกรงใจ“อะไรหรือ”“ข้ามีเรื่องหนึ่งที่อยากทำมาตลอดแต่ก็ไม่สามารถทำได้ ถ้าจะรบกวนเจ้าให้ทำให้จะขอมากไปหรือไม่”“พูดมาเถอะ” หลี่อิงบอก“ข้าอยากไปที่วัดแห่งหนึ่งที่หวงโจ มันเป็นความปรารถนาของท่านแม่ข้าก่อนที่นางจะตาย”“ได้ข้าจะไปให้ เจ้าต้องการให้ข้าทำอะไรให้ที่นั่นหรือ” หญิงสาวเอ่ยถามความต้องการของหวงหลี่อิง“มีคำพูดหนึ่งที่นางมักจะบอกข้าเสมอว่าหากมีโอกาสได้ไปวานข้าบอกกับเจ้าอาวาสที่นั่น”“…..”“แม้ชีวิตนี้ของข้าจะได้ทำเพียงหน้าที่อุ้มชูร่างของคนผู้หนึ่ง แต่ข้าก็ยินดีที่จะให้ความรักทั้งหมดกับคนผู้นั้น เมื่อวิญญาณของนางมาถึงหวังว่าท่านจะดูแลอุ้มชูให้มีความสุขสงบดังที่นางตั้งใจให้เป็นไป ข้าเพียงมาทวงสัญญา”“อ
“พวกท่านจะตะโกนทำไมเจ้าค่ะ อายคนอื่นเขาไหมนั้น”หวังเยว่ชิงเอ่ยอย่างตื่นตระหนก“เอาละ ๆ พอแล้ว พวกเจ้าก็เหมือนกันน้องโตเพียงนี้แล้ว อีกไม่นานก็ต้องออกเรือน ท่านพี่ก็ด้วย”หวังเหลียนฮวาเอ่ยปราม“จริงเจ้าค่ะท่านแม่”หวังเยว่ชิงเดินเข้าไปเกาะแขนมารดาเอาไว้อย่างออดอ้อน ทำให้บุรุษตระกูลหวังได้แต่มองอย่างไม่ยินยอม“เอาเป็นว่าพวกเราแยกย้ายกันไปเที่ยวตามที่ตนเองต้องการ แล้วค่อยกลับมารวมตัวกันตรงนี้ก่อนยามจื่อ (23.00-00.59) นะเจ้าค่ะ”หลี่อิงเอ่ยขึ้น เมื่อนัดแนะกันเรียบร้อยแล้ว ทุกคนก็ต่างแยกย้ายกันไปเดินเที่ยวตามที่ต้องการและแน่นอนว่าหวังชิงเฟิงย่อมชิงตัวหลี่อิงออกมาก่อนใครทั้งคู่เดินชมบรรยากาศตามท้องถนน จนมาหยุดยืนอยู่ตรงสะพานที่มองเห็นทิวทัศน์สองฝั่งแม่น้ำที่ถูกประดับตกแต่งด้วยโคมไฟมากมายงดงาม“ใกล้ถึงเวลาจุดพลุแล้ว อยู่ตรงนี้จะเห็นได้ชัดมากกว่า”หวังชิงเฟิงเอ่ยขึ้น มือหนาเอื้อมไปจับมือเรียวนุ่มเอาไว้และไม่นานเสียงพลุก็ดังขึ้น หลี่อิงมองพลุที่ถูกจุดขึ้นตาเป็นประกาย พร้อมรอยยิ้มกว้าง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นตกอยู่ภายใต้การมองของชายหนุ่มทั้งหมด“ไม่ว่าจะดูกี่ครั้งก็ยังงดงามมากเช่นเดิมท่านว่าหรือไ
ในยามนี้ที่จวนตระกูลเซียวทุกคนต่างก็พร้อมหน้ากันที่โต๊ะอาหารเรียบร้อยแล้ว ในขณะที่ทุกคนเริ่มลงมือทานอาหารนั้นหลี่ซินก็เดินเข้ามาแจ้งว่าหวังชิงเฟิงมาถึงแล้วตอนนี้อยู่ที่ห้องโถง หลี่อิงกวาดสายตามองทุกคนที่กำลังสนใจนางอยู่ตอนนี้ก็เอ่ยขอตัวออกมาหญิงสาวเดินออกมาถึงห้องโถงก็เจอกับสายตาเรียบนิ่งที่มองมาอย่างแง่งอน หญิงสาวส่ายหน้าเบาๆ พร้อมกับอมยิ้มนิด ๆ ก่อนจะเดินเข้าไปหาชายหนุ่ม“เป็นอันใดเจ้าค่ะ”“เจ้าไม่รอข้า” เขาพูดอย่างแง่งอนที่หญิงสาวไม่รอให้ตนเองมาถึงก่อนค่อยเริ่มฉลองเทศกาลกัน“ท่านเป็นเด็กหรือเจ้าค่ะ ท่านพ่อท่านแม่มาถึงแล้วอย่างไรก็ไม่ควรให้รอ อีกอย่างท่านติดธุระอื่นอยู่ไม่รู้จะเสร็จเมื่อไร ท่านจะใจร้ายปล่อยให้พวกท่านหิ้วท้องรอได้หรือ”หญิงสาวเอ่ยอธิบายด้วยรอยยิ้มเอ็นดูคนรัก แต่นางก็เข้าใจชายหนุ่มว่าต้องการฉลองเทศกาลอย่างพร้อมหน้ากับทุกคน“ข้าขอโทษเจ้าที่เอาแต่ใจ” ใบหน้าคมคายเอ่ยอย่างออดอ้อน มือหนาคว้ามือนุ่มมานวดคลึงเบา ๆ ให้คลายอารมณ์ขุ่นมัวถึงแม้จะเป็นแค่การแกล้งแสดงออกของหญิงสาว“ข้าไม่ได้โกรธเจ้าค่ะ และเข้าใจท่านด้วย เอาอย่างนี้ดีหรือไม่ หลี่ซิน”หญิงสาวเอ่ยเรียกสาวใช้คนสนิท แล
“ข้าจะบอกอะไรให้นะเจ้าคะ สตรีอย่างเราล้วนต้องการเป็นภรรยเดียว ท่านก็เช่นเดียวกันไม่ใช่หรือ ไม่อย่างนั้นท่านคงไม่หาทางขายหลี่ซินออกมา สามีท่านเป็นคนที่ไม่เคยพอในเรื่องของสตรี ถ้าเป็นข้า ข้าจะทำให้เขาไม่สามารถเสพสมกับสตรีใดได้อีก”หลี่อิงเอ่ยเสียงเรียบดวงตากลมโตจ้องมองฟงกั๋วหมิงก่อนจะเลื่อนสายตาต่ำลงไปเล็กน้อยจนชายหนุ่มเผลอก้าวถอยหลังรู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้นมาทันที“เจ้ากล้าหรือ บุรุษอย่างเรามีสามภรรยาสี่อนุยังได้ แต่สตรีเช่นเจ้าหากชื่อเสียงเสียหายก็ไม่มีใครต้องการแล้ว” ฟงกั๋วหมิงกล่าวอย่างฉุนเฉียว“เจ้าค่ะ สตรีอย่างเราต้องรักษาชื่อเสียงอย่างดีถึงจะสามารถมีชีวิตที่ดีได้ ไม่เหมือนบุรุษเช่นท่านจะเลวจะชั่วอย่างไรก็ยังมีคนให้ท้าย แต่ถ้าเกิดไปเหยียบหางเสือร้ายเข้า ยังจะมีใครกล้าออกหน้าให้อีกหรือไม่เล่าข้าก็อยากรู้เสียจริง”“หึ เจ้าเปรียบตนเองสูงไปหน่อยหรือไม่” ชายหนุ่มกล่าวอย่างเย้ยหยัน“ข้าไม่กล้าเปรียบตนเองเป็นเสือร้ายหรอกเจ้าค่ะ แต่ท่านรู้ดีว่าข้าหมายถึงใคร”ร่างบางฉีกยิ้มหวานจับใจให้ชายหนุ่ม แต่มันกลับดูไม่น่าไว้ใจเลยสักนิดในสายตาของฟงกั๋วหมิง“หวังชิงเฟิงนะหรือ เขามีคู่หมั้นแล้วและอีกอ
“เอ่อ ไม่ดีเจ้าค่ะ” หญิงสาวรีบปฏิเสธ“ทำไมเล่า”“นี้มันห้องสตรีนะเจ้าค่ะ” หลี่อิงเอ่ยขึ้นทันที ดวงตากลมโตมองชายหนุ่มราวกับเห็นผี“แต่เจ้าเป็นคู่หมั้นข้าแล้ว” หวังชิงเฟิงก็ไม่น้อยหน้าเอ่ยอ้างถึงสถานะของเจ้าตัวตอนนี้“แค่ข่าวลือที่ท่านปล่อยออกไปเจ้าค่ะ” หญิงสาวเอ่ยค้านทันที“หากข้าไม่ต้องการเพียงแค่ข่าวลือเล่า” สายตาคมมองหลี่อิงอย่างเจ้าเล่ห์“ถึงอย่างไรนั้นก็เป็นเพียงข่าวลือเจ้าค่ะ” หญิงสาวตอกย้ำความเป็นจริง“แต่ก็เป็นข่าวลือที่มีมูลความจริง” ชายหนุ่มเองก็ไม่ยอมแพ้เช่นกัน“……”“เจ้ากังวลอะไรอยู่” ชายหนุ่มมองเห็นความลังเลไม่มั่นคงในแววตาของหญิงสาว“เรื่องราวของพวกเรา มันไม่เร็วไปหรือเจ้าค่ะ” หลี่อิงถามขึ้นน้ำเสียงมีความกังวลอย่างเห็นได้ชัด“หากเจ้าคิดว่ามันเร็วไป ข้าก็จะรอจนกว่าเจ้าจะพร้อม แต่ระหว่างนี้เรื่องหมั้นของเรา เจ้าคิดเห็นอย่างไร” หวังชิงเฟิงจ้องมองเข้าไปในดวงตาของหญิงสาวอย่างจดจ่อและคาดหวังว่าคำตอบนั้นจะตรงกับใจของเขาเช่นกัน“….. ข้ายินดีเจ้าค่ะ” หญิงสาวเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะตอบรับคำขอของชายหนุ่ม หวังชิงเฟิงยิ้มกว้างอย่างยินดี“ข้าจะให้ท่านพ่อจัดการทุกอย่างให้เร็วที่สุด”“เจ้า
กลุ่มคนที่พากันมาเยือนจวนผู้อื่นแต่เช้าตอนนี้กำลังนั่งรอเจ้าของจวนอย่างสงบอยู่ที่โถงรับรอง สายตาหลายคู่มองไปรอบโถงนี้อย่างริษยาเครื่องตกแต่งถึงจะดูเรียบง่ายแต่กลับมีราคายิ่ง“เป็นเจ้าบ้านอย่างไรปล่อยให้แขกรอ” สตรีวัยกลางคนผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น นางคือฮูหยินของเจ้าเมืองต้าถงวันนี้ได้ข่าวที่ไม่ค่อยจะรื่นหูเท่าไรเกี่ยวกับหญิงสาวเจ้าของจวนจึงรบเร้าให้ผู้เป็นสามีพานางกับบุตรสาวมาที่นี่เพื่อพิสูจน์ว่าข่าวนั้นเป็นเพียงข่าวลือ“แล้วเป็นแขกอย่างไรถึงกล้าถือวิสาสะเข้าจวนผู้อื่นทั้งที่ยังไม่ได้รับอนุญาต”เสียงหวานนุ่มเอ่ยขึ้นพร้อมกับมองผู้พูดอย่างไม่พอใจนัก“นี่….” นางกำลังจะเอ่ยต่อว่าผู้ที่กล้าด่านาง แต่เมื่อมองไปยังผู้พูดแล้วก็ได้แต่กลืนทุกอย่างลงคอไป ร่างเพรียวระหงของหวังเหลียนฮวาเดินเข้ามาพร้อมกับผู้เป็นสามี ด้านหลังคือหลี่อิงกับหวังชิงเฟิง ทั้งสองคู่บังเอิญเจอกันที่หน้าห้องโถงพอดีทั้งยังได้ยินคำพูดที่ไม่น่าฟังของผู้มาเยือน หวังเหลียนฮวาเลยอาสาเป็นผู้จัดการแทนหญิงสาวเพราะอย่างไรนางก็เป็นผู้ใหญ่กว่าให้หลี่อิงออกหน้าเองคงไม่เหมาะ“ท่านเสนาบดี ฮูหยินหวัง” ถงกวนหลี เจ้าเมืองต้าถงลุกขึ้นทำความเคารพทันท
ความคิดเห็น