ถูกดอกบัวขาวเล่นงานจนต้องจบชีวิตลงท่ามกลางความแค้นในความโง่เขลาของตนเองและสามี เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าตนเองยังไม่ถึงวัยปักปิ่นและยังไม่ได้แต่งงาน หนทางให้ได้แก้ไขชะตาของตนเองจึงได้เริ่มต้นขึ้น แม้ว่านางจะยังมีสัญญาหมั้นหมายกับคนสมควรตายผู้นั้นอยู่ แต่เฉินเจียวเจียวก็ได้ตั้งเป้าหมายเอาไว้แล้วว่า “สามีที่ดีก็คือสามีใหม่” กลับมาครั้งนี้นางไม่มีทางแต่งเข้าจวนอ๋องเป็นชายาเอกของหลี่ไท่หยางอย่างเด็ดขาด
더 보기สายลมเหมันต์อันเหน็บหนาวที่พัดพาความหนาวเย็นเข้ามาทางหน้าต่างไม่ได้ทำให้เฉินเจียวเจียวรู้สึกเบิกบานขึ้นมาเลยสักนิด ยามนี้นางกำลังยืนอยู่ที่ริมหน้าต่างปล่อยให้สายลมพัดพาความหนาวเย็นเข้ามาปะทะใบหน้าเพื่อยืนยันการรับรู้ของนางว่านางได้กลับมามีชีวิตอีกครั้งแล้ว อีกทั้งยังได้กลับมาในช่วงที่นางยังเป็นเพียงสาวน้อยวัยแรกรุ่นที่ยังไม่ได้เข้าพิธีปักปิ่นอีกด้วย
ละอองหิมะที่โปรยปรายด้านนอกหน้าต่าง เสียงสายลมอันหวีดหวิวยามค่ำคืนทำให้เฉินเจียวเจียวต้องหลับตาลงเพื่อใคร่ครวญถึงความทรงจำในกาลก่อนของตนเองอีกครั้ง ในฐานะพระชายาเอกของโซ่วอ๋องแห่งแคว้นต้าเยียนนางประพฤติตนอยู่ภายใต้กรอบระเบียบของประเพณีทุกประการ ปกครองจวนด้วยอำนาจและบารมี เอาอกเอาใจปรนนิบัติสามีอย่างโซ่วอ๋องเป็นอย่างดี เพื่อให้ได้ชื่อว่าเป็นคนดีมีเมตตาและมีจิตใจกว้างขวาง เมื่อเขามีความประสงค์อยากจะรับญาติผู้น้องที่น่าสงสารของนางเข้ามาอยู่ในจวนนางก็ไม่ได้คัดค้าน แม้ว่าในใจจะรู้สึกไม่พอใจมากเพียงใดก็ตามที แต่เพราะคิดว่าญาติผู้น้องคนนี้มีชีวิตที่น่าสงสารเมื่อเข้ามาอยู่ในจวนอ๋องแล้วไม่น่าจะสร้างเรื่องร้อนใจให้นางดังเช่นอนุคนอื่นๆ
ญาติผู้น้องแต่งเข้าจวนมาในฐานะพระชายารองถือว่าเป็นการป่ายปีนขึ้นสู่ที่สูงได้อย่างงดงาม แต่งเข้ามาไม่เท่าไหร่ครรภ์ของนางก็พลันมีความเคลื่อนไหว ไม่ว่าเฉินเจียวเจียวจะพยายามเก็บงำความรู้สึกมากเพียงใดแต่นางก็ไม่อาจจะรู้สึกดีขึ้นมาได้ แถมญาติผู้น้องผู้มีนามว่าหลินชิงเหมยผู้นี้ยังไม่ใช่คนไร้พิษสงอย่างที่นางเคยเข้าใจ สร้างเรื่องราวเรียกร้องความเห็นอกเห็นใจจากสามีมิได้หยุดหย่อนทำให้เฉินเจียวเจียวไม่เคยได้สบายใจ ชายารองตั้งครรภ์ก่อนนางที่เป็นชายาเอกไม่ว่าจะพยายามระงับอกระงับใจอย่างไรก็เป็นเรื่องที่ยากจะที่นางจะไม่หวั่นไหว เพียงแต่นางยังไม่ทันได้ลงมือทำอันใด ญาติผู้น้องตัวดีของนางก็ยัดเยียดข้อหาอันรุนแรงให้นางก่อนเสียแล้ว นางถูกกล่าวหาว่าวางยาพิษญาติผู้น้องของตนเองจนทำให้ญาติผู้น้องผู้ที่กำลังจะสั่นคลอนตำแหน่งพระชายาเอกของนางต้องสูญเสียลูกในครรภ์ไป
“เจียวเจียว! เจ้าช่างใจดำอำมหิตนักนี่คือลูกคนแรกของข้า แต่เจ้ากลับทำให้เขาต้องตายจากไปเพียงเพราะความริษยาของเจ้า” โซ่วอ๋องเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจพลางจ้องมองเฉินเจียวเจียวด้วยสายตาโกรธแค้นและชิงชัง
“ขอท่านอ๋องได้โปรดไต่สวนเรื่องนี้อีกครั้งด้วยเพคะ หม่อมฉันขอยืนยันว่าหม่อมฉันคือผู้บริสุทธิ์ ไม่ว่าอย่างไรนางก็เป็นญาติผู้น้องที่หม่อมฉันเคยให้ความเอ็นดูมาโดยตลอด ต่อให้ไม่พอใจในตัวนางอย่างไรหม่อมฉันก็ไม่มีทางใช้วิธีสกปรกเช่นนี้มาจัดการกับนางแน่เพคะ”
“ท่านอ๋อง ท่านอ๋องเพคะอาเหมยเจ็บเหลือเกินเพคะ” เสียงร้องของหลินชิงเหมยที่ดังออกมาจากห้องด้านในทำให้หลี่ไท่หยางหันไปจ้องมองภายในห้องด้วยสายตาเคร่งเครียดแล้วจึงได้หันกลับมามองเฉินเจียวเจียวอีกครั้ง
“สั่งการลงไปพระชายาจากสกุลเฉินมีจิตริษยา ประพฤติตนไม่เหมาะสมตำแหน่งพระชายาให้โบยตีนางสามสิบที สาวใช้ในเรือนของนางคนละสี่สิบทีแล้วกักขังพวกนางให้อยู่แต่ภายในเรือนหลักห้ามผู้ใดออกจากเรือนแม้สักก้าวเดียว หากผู้ใดกล้าฝ่าฝืนก็ให้ลงโบยจนตายไปเสีย” คำสั่งของหลี่ไท่หยางทำให้เฉินเจียวเจียวเจียวจ้องมองเขาอีกครั้งในทันที จริงอยู่ว่าโทษโบยสามสิบครั้งแม้ว่าอาจจะไม่ทำให้ถึงตายและพิการแต่สำหรับคนที่อยู่ในฐานะพระชายาเอกเช่นนางหากถูกโบยตีเช่นนี้แล้ววันหน้านางจะควบคุมผู้อื่นภายในจวนอ๋องแห่งนี้ได้อย่างไร
“ยังไม่รีบลงมืออีก ห้ามออมมืออย่างเด็ดขาด หากข้ารู้ว่าผู้ใดกล้าออมมือ ข้าก็จะลงโทษโบยตีคนผู้นั้นด้วย” คำสั่งของหลี่ไท่หยางทำให้มามาผู้คุมกฎรีบมาควบคุมตัวของเฉินเจียวเจียวเอาไว้แล้วพานางไปที่ลานลงทัณฑ์ในทันที
เฉินเจียวเจียวเม้มปากแน่นยามที่ถูกกดตัวให้นอนลงบนแท่นลงทัณฑ์ เสียงแผ่นไม้โบยตีลงมาทางด้านหลังทำให้นางต้องรีบเม้มปากเอาไว้เพื่อข่มกลั้นความเจ็บปวด ในฐานะคุณหนูใหญ่จากจวนผิงกั๋วกงสกุลเฉินไม่เคยมีสักครั้งที่นางจะได้รับการลงทัณฑ์เช่นนี้ ยิ่งได้หันไปเห็นว่าสาวใช้ข้างกายของตนและบรรดาข้ารับใช้ภายในเรือนต่างก็ถูกโบยตีเช่นกันนางก็เม้มปากเอาไว้แน่น พลางคิดในใจว่าความอัปยศครั้งนี้นางจะต้องทวงคืนอย่างแน่นอน ในเมื่อนางไม่ได้เป็นคนทำไม่ว่าอย่างไรความจริงก็ย่อมต้องปรากฏ เมื่อถึงเวลานั้นสิ่งที่นางจะทำกับหลินชิงเหมยย่อมไม่ใช่แค่เพียงการโบยตีเป็นแน่
“พระชายา พระชายาเพคะ!” เสียงร้องเรียกของตงผิงทำให้สติอันรางเลือนของนางพลันแจ่มชัดขึ้น ความปวดแปลบเบื้องล่างทำให้นางรีบก้มลงไปมอง ลานลงทัณฑ์ที่ปกคลุมด้วยหิมะในยามนี้เต็มไปด้วยเลือดซึ่งปริมาณเช่นนี้ย่อมไม่ใช่เพราะบาดแผลจากการโบยตีเป็นแน่ เฉินเจียวเจียวเม้มปากแน่นแล้วเอ่ยออกมาเสียงเบา
“ไปตามหมอหลวงมา ไปตามหมอหลวงมาให้ข้า” นี่คือคำสั่งสุดท้ายก่อนที่นางจะหมดสติไป
“ทำอย่างไรดี ยามนี้พระชายายังไม่ได้สติเลย” เสียงของตงผิงสาวใช้รุ่นใหญ่ข้างกายของนางที่ติดตามมาจากจวนผิงกั๋วกงเอ่ยขึ้นด้วยความร้อนใจและสั่นเครือ
“ข้าส่งคนไปตามหมอหลวงแล้ว บรรดามามาผู้ลงทัณฑ์ก็รีบส่งคนไปแจ้งท่านอ๋องแล้วเช่นกัน แต่ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใดเนิ่นนานขนาดนี้แล้วยังไม่มีผู้ใดมาเลย” เสียงของตงชิงสาวใช้อีกที่ดังขึ้นทำให้นางอยากจะลืมตาขึ้นมาแล้วเอ่ยถ้อยคำบางอย่างเพื่อสั่งการแต่ก็ไม่อาจจะทำได้ สุดท้ายเสียงร่ำไห้และเสียงพูดคุยของสาวใช้คนสนิทก็พลันจางหายไปเรื่อยๆ ท่ามกลางสติอันพร่าเลือนและความเจ็บปวดที่ได้รับเฉินเจียวเจียวได้แต่ร่ำร้องอยู่ในใจว่า
‘ไม่นะ! ข้าคงจะไม่ตายจากไปง่ายๆ เช่นนี้กระมัง’ แล้วสติของนางก็ดับมืดไป เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้งนางก็กลับมาอยู่ในช่วงเวลาที่นางยังไม่ถึงวัยปักปิ่นอีกครั้ง
เฉินเจียวเจียวได้แต่พรั่งพรูลมหายใจอันเย็นยะเยือกออกมา ยามนี้นางมีอายุเพียง 14 ปี ยังอยู่ในการดูแลของฮูหยินผู้เฒ่าจวนสกุลเฉิน ส่วนบิดาของนางผิงกั๋วกงผู้มีนามว่าเฉินเซียวในยามนี้ยังคงประจำชายแดนทางเหนือและยังไม่มีกำหนดกลับ ท่านอาของนางเองก็เช่นกัน ยามนี้ในบ้านของนางมีเพียงนาง ฮูหยินผู้เฒ่าผู้เป็นย่า มารดาเลี้ยง ครอบครัวของบ้านรองและบ้านสามที่อาศัยอยู่ในจวนผิงกั๋วกงแห่งนี้
"นี่ไม่ใช่ความฝันและข้ายังไม่ตาย" เฉินเจียวเจียวพึมพำออกมาพลางยื่นมือออกไปนอกหน้าต่างเพื่อสัมผัสกับเกล็ดหิมะที่กำลังโปรยปรายลงมาด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
หลังเสร็จสิ้นงานเลี้ยงเฉินฮองเฮาจึงได้ปลีกตัวกลับตำหนักอันหนิงไปก่อนเหลือเพียงหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ที่ทรงเรียกน้องชายเข้ามาตักเตือนเป็นการส่วนพระองค์โดยมีองค์ชายทั้งสองประทับอยู่ด้วย“จนถึงยามนี้แล้วเจ้าก็ยังคิดไม่ได้อีกหรือ น้องรองพระชายาของเจ้าผู้นี้แม้ว่าจะไม่ได้งดงาม รูปร่างก็ใหญ่โตแต่สิ่งที่นางมีเหนือผู้อื่นก็คือความจริงใจ แม้ว่าจะดุดันและไม่ช่างเอาอกเอาใจแต่เจ้าก็ไม่ต้องคอยระมัดระวังตัวและคอยคาดเดาอารมณ์ของนาง นางโกรธเจ้าก็รู้ นางโมโหเข้าก็แค่ถูกด่าหลังจากถูกโบยตีไม่กี่ทีนางก็กลับไปเป็นปกติแล้ว” หลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสพลางถอนพระปัสสาสะออกมา“ในขณะที่คนงามส่วนใหญ่กลับซับซ้อนมากกว่านั้นภายใต้สีหน้ายิ้มแย้มของพวกนางมีความคิดมากมายซุกซ่อนอยู่ภายในใจ ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่มีทางจะคาดเดาความคิดของนางได้แน่ น้องรองเจ้าโชคดีแล้วที่ได้โม่หลันเป็นพระชายา อย่าได้คิดหาเศษหาเลยแล้วทำให้ชีวิตของตนเองต้องตกต่ำอีกเลย” เมื่อหลี่ไท่หลงฮ่องเต้ทรงตรัสเช่นนี้โซ่วอ๋องที่คุกเข่าขอรับผิดอยู่ตรงหน้าก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ“เสด็จพี่! แล้วพระองค์ทรงไม่เคยหวั่นไหวบ้างเลยหรือ มีคนงามมาอยู่ตรงห
เฉินฮองเฮาแห่งแคว้นต้าเยียนทรงสิริโฉม เต็มเปี่ยมไปด้วยสติปัญญา ได้รับความรักและความให้เกียรติจากสวามีจนสตรีทั่วแคว้นต่างโจษจันกันไปจนทั่ว สตรีทุกนางล้วนริษยาในความพรั่งพร้อมและสมบูรณ์พูนสุขของพระนางนาง พระนางประสูติพระโอรสสองพระองค์พระธิดาหนึ่งพระองค์แม้ว่าจะทรงมีพระชันษามากแล้วความงามของพระนางก็ยังคงเป็นที่กล่าวขานถึง“นี่ใช้คำว่ารักและให้เกียรติได้อย่างไรกัน ต้องใช้คำว่ารักและเคารพมากกว่า” หลี่เทียนหลงองค์รัชทายาทแคว้นต้าเยียนเอ่ยกับพระอนุชาด้วยสุรเสียงแผ่วเบา“รักหรือไม่ข้าไม่แน่ใจ แต่เคารพและเกรงกลัวข้าขอยืนยันว่าเป็นความจริง เสด็จพี่ทรงทอดพระเนตรดูขุนนางที่ไม่รู้จักตายนั่นสิ พยายามจะยัดเยียดบุตรสาวโฉมงามให้เสด็จพ่อ แถมยังโอ้อวดว่าทั้งร่างกายและจิตใจบุตรสาวของเขาล้วนงดงามพิสุทธิ์หาผู้ใดเทียม ช่างไม่ดูเสียบ้างว่ายามนี้สีพระพักตร์ของเสด็จพ่อซีดเซียวเสียยิ่งกว่าไก่ในโถน้ำแกงเสียอีก” หลี่เทียนเฮ่าผู้เป็นองค์ชายรองเอ่ยกับพระเชษฐาด้วยน้ำเสียงซุกซน โดยไม่สนพระทัยหลี่เทียนหรูพระขนิษฐาพระองค์เล็กที่ในยามนี้หลบไปนั่งอยู่กับบรรดาสตรีในจวนผิงกั๋วกงแล้ว ค่ำคืนนี้เป็นงานเลี้ยงฉลองเทศกาลหยวนเซี
หลังจากเสร็จสิ้นพิธีอภิเษกไปเพียงไม่กี่วัน เฉินเจียวเจียวก็ต้องสวมชุดไว้ทุกข์ให้แก่จ้าวไทเฮา แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่คาดเดาได้อยู่แล้ว แต่เพลิงพิโรธของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ผู้เป็นราชบิดาของสามีก็ยังทำให้นางอดใจสั่นไม่ได้“เจ้าลูกเลว! หากเจ้าไม่ส่งคนไปบอกยามนี้พระนางก็คงจะยังทรงดำเนินชีวิตได้ตามปกติ” พระสุรเสียงที่ทรงตรัสออกมาทำให้เฉินเจียวเจียวที่คุกเข่าอยู่ทางด้านข้างขององค์รัชทายาทไม่กล้าเงยหน้าขึ้น“ลูกก็แค่คิดว่าไม่ควรจะหลอกลวงพระนางอีกต่อไป”“ยังไม่สำนึกอีก! หลี่ไท่หลงนางคือเสด็จย่าของเจ้านะ นางคือแม้แท้ๆ ของข้า และก็เป็นนางที่ผลักดันจนข้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้จวบจนทุกวันนี้” ถ้อยคำนี้ของหลี่เซียวหลงฮ่องเต้ทรงเต็มไปด้วยกระแสอารมณ์อันเศร้าโศกและโกรธเกรี้ยว เฉินเจียวเจียวที่ก้มหน้าอยู่อดเหลือบมองสวามีของตนเองที่ยามนี้เงยหน้าขึ้นไปทุ่มเถียงกับพระราชบิดาของตนเองไม่ได้“แต่ก็เป็นพระนางที่วางแผนปลิดชีพพระมารดาของลูก เป็นพระนางที่ยึดครองพระราชอำนาจของเสด็จพ่อไปตั้งนานหลายปี แล้วก็เป็นพระนางที่สนับสนุนสกุลจ้าวให้ทะเยอทะยานและก้าวล้างพระราชอำนาจของเสด็จพ่ออยู่หลายครั้ง ลูกเข้าใจในความรักความผูกพัน
พิธีอภิเษกขององค์รัชทายาทและคุณหนูใหญ่จวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ บุรุษของจวนผิงกั๋วกงเดินทางเข้าเมืองหลวงพร้อมกันอีกครั้งเพื่อเข้าร่วมในพิธีครั้งนี้ เฉินเจียวเจียวแต่งกายอย่างดงามสวมมงกุฎหงส์และผ้าคลุมหน้าที่ปักลวดลายอันวิจิตรนั่งเกี้ยวเข้าวังหลวงอย่างยิ่งใหญ่ การแต่งงานในชาตินี้นับว่าเป็นการแต่งงานที่ยิ่งใหญ่กว่าในชาติที่แล้ว คนที่รอรับนางลงจากเกี้ยวก็ไม่ใช่คนเดิม นางจึงไม่กล้าตั้งความหวังต่อชีวิตการแต่งงานเท่าใดนัก ไม่คาดหวังก็ย่อมจะไม่ผิดหวัง เรื่องนี้นางสามารถเรียนรู้มาจากชาติที่แล้ว ในชาตินี้ชีวิตของนางจึงถูกเติมเต็มไปด้วยความสุข“ฮู่ว ในที่สุดก็ได้พบหน้ากันโดยไม่ต้องปีนกำแพงเสียที” องค์รัชทายาทเอ่ยหลังจากที่ใช่คันชั่งเปิดผ้าคลุมหน้าของนางแล้ว เขาจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่งด้วยสายตาอันแวววาว แล้วจึงได้เอ่ยถ้อยคำชื่นชมออกมาอย่างที่ควรจะเป็น“เจ้างามมาก” คำพูดประโยคนี้ของเขาทำให้นางอดยิ้มออกมาไม่ได้ฝ่าบาททรงประทานงานเลี้ยงฉลองให้แก่ผู้มาร่วมงานภายในวัง แต่เพราะเขามีฐานะเป็นถึงองค์รัชทายาทจึงไม่ต้องออกไปคารวะสุรามงคลให้แก่ผู้ใด ยามนี้ภายในห้องหอจึงมีเพียงเขาและนางเพียงเท่านั้น
พิธีปักปิ่นของคุณหนูใหญ่ของจวนผิงกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ในฐานะว่าที่พระชายาองค์รัชทายาท ย่อมมีเจ้าหน้าที่จากกรมพิธีการมาช่วยเหลือในการดำเนินพิธี เฉินเจียวเจียวนั่งอยู่ท่ามกลางเหล่าฮูหยินผู้เต็มไปด้วยโชคลาภทั้งหลายด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม พวกนางช่วยหวีผมให้พร้อมคำอวยพรอันเป็นมงคลปิ่นแรกที่ปักลงมาบนมวยผมคือปิ่นพระราชทานจากเฉียวกุ้ยเฟย ตามมาด้วยปิ่นของพระนางเต๋อเฟย และบรรดาพระสนมที่เฉินเจียวเจียวเคยพบ ฮูหยินผู้เฒ่าจวนผิงกั๋วกงและฮูหยินผู้เฒ่าจวนสกุลหยวนนำปิ่นมาปักลงบนมวยผมของเฉินเจียวเจียวด้วยตนเอง ต่อมาก็เป็นสตรีอาวุโสในจวนและสตรีอาวุโสที่มีความสัมพันธ์กันดีกับจวนผิงกั๋วกงเมื่อเสร็จสิ้นพิธีปักปิ่นเฉินเจียวเจียวก็ลูกขึ้นคารวะขอบคุณอย่างเต็มพิธีการสามครั้งแล้วจึงเข้าสู่งานเลี้ยง เฉินเจียวเหม่ยและเฉินเจียวมี่ที่ได้รับหน้าที่ถือพานใส่หวีและปิ่น ต่างรีบจับจูงนางกลับเรือนด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม มีคุณหนูจากหลายจวนที่มีความสัมพันธ์อันดีมาร่วมแสดงความยินดีด้วย แน่นอนว่าคนที่มาย่อมขาดหวังฮุ่ยหลิงและองค์หญิงเก้าหลี่ถังหรูไม่ได้เหตุการณ์ปราบกบฏสกุลเจ้าเกิดขึ้นเร็วกว่าในชาติที่แล้ว ในชาตินี้เซียว
เมื่อบ้านเมืองสงบสุขชีวิตความเป็นอยู่ของชาวประชาก็กลับมาดำเนินไปตามปกติ เกิดแก่เจ็บตายล้วนเป็นไปตามยถากรรมของโลก ในเมื่อหลินชิงเหมยไม่สามารถทนรับความบอบช้ำของร่างกายไม่ไหว นางจึงได้ตายจากไปในที่สุด ในตอนที่นางจะตายนางยังเคยอดสงสัยไม่ได้ว่า หากนางไม่ทะเยอทะยาน หากนางไม่คิดจะร่วมมือกับสกุลจ้าวชีวิตของนางจะต้องจบลงเช่นนี้ไหม น่าเสียดายที่ต่อให้นางสงสัยมากเพียงใดก็ไม่อาจจะทำอันใดได้แล้วแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นแต่นางกลับรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่า การตายเช่นนี้กลับดีมากแล้ว เพราะในความฝันของนาง นางเคยต้องเผชิญกับความตายที่น่ากลัวกว่านี้ ทั้งถูกทุบตี ทั้งถูกรุมย่ำยีแถมยังถูกทารุณกรรมจนไม่เหลือสภาพความเป็นคน อยากตายก็ไม่ได้ตาย ลืมตาขึ้นมาในแต่ละวันต้องร้องไห้ทุกครั้งที่พบว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่ การถูกโบยจนตายน่าจะเป็นการตายที่สวรรค์ปรานีสำหรับนางมากแล้ว นี่คือความคิดสุดท้ายในห้วงความนึกคิดของนาง ตอนที่โซ่วอ๋องมารับร่างที่ไร้ลมหายใจของนางจึงได้เห็นว่าแม้ในยามหลับบนใบหน้าของนางก็ยังมีรอยยิ้มประดับอยู่หลินชิงเหมยตายแล้ว โซ่วอ๋องจะทุกข์ใจหรือไม่เฉินเจียวเจียวไม่ได้ให้ความสนใจอีกแล้ว เรื่องราวในกาลก่อนราวกับ
댓글