ถูกดอกบัวขาวเล่นงานจนต้องจบชีวิตลงท่ามกลางความแค้นในความโง่เขลาของตนเองและสามี เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าตนเองยังไม่ถึงวัยปักปิ่นและยังไม่ได้แต่งงาน หนทางให้ได้แก้ไขชะตาของตนเองจึงได้เริ่มต้นขึ้น แม้ว่านางจะยังมีสัญญาหมั้นหมายกับคนสมควรตายผู้นั้นอยู่ แต่เฉินเจียวเจียวก็ได้ตั้งเป้าหมายเอาไว้แล้วว่า “สามีที่ดีก็คือสามีใหม่” กลับมาครั้งนี้นางไม่มีทางแต่งเข้าจวนอ๋องเป็นชายาเอกของหลี่ไท่หยางอย่างเด็ดขาด
ดูเพิ่มเติมสายลมเหมันต์อันเหน็บหนาวที่พัดพาความหนาวเย็นเข้ามาทางหน้าต่างไม่ได้ทำให้เฉินเจียวเจียวรู้สึกเบิกบานขึ้นมาเลยสักนิด ยามนี้นางกำลังยืนอยู่ที่ริมหน้าต่างปล่อยให้สายลมพัดพาความหนาวเย็นเข้ามาปะทะใบหน้าเพื่อยืนยันการรับรู้ของนางว่านางได้กลับมามีชีวิตอีกครั้งแล้ว อีกทั้งยังได้กลับมาในช่วงที่นางยังเป็นเพียงสาวน้อยวัยแรกรุ่นที่ยังไม่ได้เข้าพิธีปักปิ่นอีกด้วย
ละอองหิมะที่โปรยปรายด้านนอกหน้าต่าง เสียงสายลมอันหวีดหวิวยามค่ำคืนทำให้เฉินเจียวเจียวต้องหลับตาลงเพื่อใคร่ครวญถึงความทรงจำในกาลก่อนของตนเองอีกครั้ง ในฐานะพระชายาเอกของโซ่วอ๋องแห่งแคว้นต้าเยียนนางประพฤติตนอยู่ภายใต้กรอบระเบียบของประเพณีทุกประการ ปกครองจวนด้วยอำนาจและบารมี เอาอกเอาใจปรนนิบัติสามีอย่างโซ่วอ๋องเป็นอย่างดี เพื่อให้ได้ชื่อว่าเป็นคนดีมีเมตตาและมีจิตใจกว้างขวาง เมื่อเขามีความประสงค์อยากจะรับญาติผู้น้องที่น่าสงสารของนางเข้ามาอยู่ในจวนนางก็ไม่ได้คัดค้าน แม้ว่าในใจจะรู้สึกไม่พอใจมากเพียงใดก็ตามที แต่เพราะคิดว่าญาติผู้น้องคนนี้มีชีวิตที่น่าสงสารเมื่อเข้ามาอยู่ในจวนอ๋องแล้วไม่น่าจะสร้างเรื่องร้อนใจให้นางดังเช่นอนุคนอื่นๆ
ญาติผู้น้องแต่งเข้าจวนมาในฐานะพระชายารองถือว่าเป็นการป่ายปีนขึ้นสู่ที่สูงได้อย่างงดงาม แต่งเข้ามาไม่เท่าไหร่ครรภ์ของนางก็พลันมีความเคลื่อนไหว ไม่ว่าเฉินเจียวเจียวจะพยายามเก็บงำความรู้สึกมากเพียงใดแต่นางก็ไม่อาจจะรู้สึกดีขึ้นมาได้ แถมญาติผู้น้องผู้มีนามว่าหลินชิงเหมยผู้นี้ยังไม่ใช่คนไร้พิษสงอย่างที่นางเคยเข้าใจ สร้างเรื่องราวเรียกร้องความเห็นอกเห็นใจจากสามีมิได้หยุดหย่อนทำให้เฉินเจียวเจียวไม่เคยได้สบายใจ ชายารองตั้งครรภ์ก่อนนางที่เป็นชายาเอกไม่ว่าจะพยายามระงับอกระงับใจอย่างไรก็เป็นเรื่องที่ยากจะที่นางจะไม่หวั่นไหว เพียงแต่นางยังไม่ทันได้ลงมือทำอันใด ญาติผู้น้องตัวดีของนางก็ยัดเยียดข้อหาอันรุนแรงให้นางก่อนเสียแล้ว นางถูกกล่าวหาว่าวางยาพิษญาติผู้น้องของตนเองจนทำให้ญาติผู้น้องผู้ที่กำลังจะสั่นคลอนตำแหน่งพระชายาเอกของนางต้องสูญเสียลูกในครรภ์ไป
“เจียวเจียว! เจ้าช่างใจดำอำมหิตนักนี่คือลูกคนแรกของข้า แต่เจ้ากลับทำให้เขาต้องตายจากไปเพียงเพราะความริษยาของเจ้า” โซ่วอ๋องเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่พอใจพลางจ้องมองเฉินเจียวเจียวด้วยสายตาโกรธแค้นและชิงชัง
“ขอท่านอ๋องได้โปรดไต่สวนเรื่องนี้อีกครั้งด้วยเพคะ หม่อมฉันขอยืนยันว่าหม่อมฉันคือผู้บริสุทธิ์ ไม่ว่าอย่างไรนางก็เป็นญาติผู้น้องที่หม่อมฉันเคยให้ความเอ็นดูมาโดยตลอด ต่อให้ไม่พอใจในตัวนางอย่างไรหม่อมฉันก็ไม่มีทางใช้วิธีสกปรกเช่นนี้มาจัดการกับนางแน่เพคะ”
“ท่านอ๋อง ท่านอ๋องเพคะอาเหมยเจ็บเหลือเกินเพคะ” เสียงร้องของหลินชิงเหมยที่ดังออกมาจากห้องด้านในทำให้หลี่ไท่หยางหันไปจ้องมองภายในห้องด้วยสายตาเคร่งเครียดแล้วจึงได้หันกลับมามองเฉินเจียวเจียวอีกครั้ง
“สั่งการลงไปพระชายาจากสกุลเฉินมีจิตริษยา ประพฤติตนไม่เหมาะสมตำแหน่งพระชายาให้โบยตีนางสามสิบที สาวใช้ในเรือนของนางคนละสี่สิบทีแล้วกักขังพวกนางให้อยู่แต่ภายในเรือนหลักห้ามผู้ใดออกจากเรือนแม้สักก้าวเดียว หากผู้ใดกล้าฝ่าฝืนก็ให้ลงโบยจนตายไปเสีย” คำสั่งของหลี่ไท่หยางทำให้เฉินเจียวเจียวเจียวจ้องมองเขาอีกครั้งในทันที จริงอยู่ว่าโทษโบยสามสิบครั้งแม้ว่าอาจจะไม่ทำให้ถึงตายและพิการแต่สำหรับคนที่อยู่ในฐานะพระชายาเอกเช่นนางหากถูกโบยตีเช่นนี้แล้ววันหน้านางจะควบคุมผู้อื่นภายในจวนอ๋องแห่งนี้ได้อย่างไร
“ยังไม่รีบลงมืออีก ห้ามออมมืออย่างเด็ดขาด หากข้ารู้ว่าผู้ใดกล้าออมมือ ข้าก็จะลงโทษโบยตีคนผู้นั้นด้วย” คำสั่งของหลี่ไท่หยางทำให้มามาผู้คุมกฎรีบมาควบคุมตัวของเฉินเจียวเจียวเอาไว้แล้วพานางไปที่ลานลงทัณฑ์ในทันที
เฉินเจียวเจียวเม้มปากแน่นยามที่ถูกกดตัวให้นอนลงบนแท่นลงทัณฑ์ เสียงแผ่นไม้โบยตีลงมาทางด้านหลังทำให้นางต้องรีบเม้มปากเอาไว้เพื่อข่มกลั้นความเจ็บปวด ในฐานะคุณหนูใหญ่จากจวนผิงกั๋วกงสกุลเฉินไม่เคยมีสักครั้งที่นางจะได้รับการลงทัณฑ์เช่นนี้ ยิ่งได้หันไปเห็นว่าสาวใช้ข้างกายของตนและบรรดาข้ารับใช้ภายในเรือนต่างก็ถูกโบยตีเช่นกันนางก็เม้มปากเอาไว้แน่น พลางคิดในใจว่าความอัปยศครั้งนี้นางจะต้องทวงคืนอย่างแน่นอน ในเมื่อนางไม่ได้เป็นคนทำไม่ว่าอย่างไรความจริงก็ย่อมต้องปรากฏ เมื่อถึงเวลานั้นสิ่งที่นางจะทำกับหลินชิงเหมยย่อมไม่ใช่แค่เพียงการโบยตีเป็นแน่
“พระชายา พระชายาเพคะ!” เสียงร้องเรียกของตงผิงทำให้สติอันรางเลือนของนางพลันแจ่มชัดขึ้น ความปวดแปลบเบื้องล่างทำให้นางรีบก้มลงไปมอง ลานลงทัณฑ์ที่ปกคลุมด้วยหิมะในยามนี้เต็มไปด้วยเลือดซึ่งปริมาณเช่นนี้ย่อมไม่ใช่เพราะบาดแผลจากการโบยตีเป็นแน่ เฉินเจียวเจียวเม้มปากแน่นแล้วเอ่ยออกมาเสียงเบา
“ไปตามหมอหลวงมา ไปตามหมอหลวงมาให้ข้า” นี่คือคำสั่งสุดท้ายก่อนที่นางจะหมดสติไป
“ทำอย่างไรดี ยามนี้พระชายายังไม่ได้สติเลย” เสียงของตงผิงสาวใช้รุ่นใหญ่ข้างกายของนางที่ติดตามมาจากจวนผิงกั๋วกงเอ่ยขึ้นด้วยความร้อนใจและสั่นเครือ
“ข้าส่งคนไปตามหมอหลวงแล้ว บรรดามามาผู้ลงทัณฑ์ก็รีบส่งคนไปแจ้งท่านอ๋องแล้วเช่นกัน แต่ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใดเนิ่นนานขนาดนี้แล้วยังไม่มีผู้ใดมาเลย” เสียงของตงชิงสาวใช้อีกที่ดังขึ้นทำให้นางอยากจะลืมตาขึ้นมาแล้วเอ่ยถ้อยคำบางอย่างเพื่อสั่งการแต่ก็ไม่อาจจะทำได้ สุดท้ายเสียงร่ำไห้และเสียงพูดคุยของสาวใช้คนสนิทก็พลันจางหายไปเรื่อยๆ ท่ามกลางสติอันพร่าเลือนและความเจ็บปวดที่ได้รับเฉินเจียวเจียวได้แต่ร่ำร้องอยู่ในใจว่า
‘ไม่นะ! ข้าคงจะไม่ตายจากไปง่ายๆ เช่นนี้กระมัง’ แล้วสติของนางก็ดับมืดไป เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้งนางก็กลับมาอยู่ในช่วงเวลาที่นางยังไม่ถึงวัยปักปิ่นอีกครั้ง
เฉินเจียวเจียวได้แต่พรั่งพรูลมหายใจอันเย็นยะเยือกออกมา ยามนี้นางมีอายุเพียง 14 ปี ยังอยู่ในการดูแลของฮูหยินผู้เฒ่าจวนสกุลเฉิน ส่วนบิดาของนางผิงกั๋วกงผู้มีนามว่าเฉินเซียวในยามนี้ยังคงประจำชายแดนทางเหนือและยังไม่มีกำหนดกลับ ท่านอาของนางเองก็เช่นกัน ยามนี้ในบ้านของนางมีเพียงนาง ฮูหยินผู้เฒ่าผู้เป็นย่า มารดาเลี้ยง ครอบครัวของบ้านรองและบ้านสามที่อาศัยอยู่ในจวนผิงกั๋วกงแห่งนี้
"นี่ไม่ใช่ความฝันและข้ายังไม่ตาย" เฉินเจียวเจียวพึมพำออกมาพลางยื่นมือออกไปนอกหน้าต่างเพื่อสัมผัสกับเกล็ดหิมะที่กำลังโปรยปรายลงมาด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
เช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อรู้ว่าเฉินเจียวเจียวและเฉินเจียวเหม่ยจะออกไปพบสหายเฉินเจียวมี่ก็ขอติดตามไปด้วยอย่างกระตือรือร้น เมื่อทั้งเฉินเจียวเจียวและเฉินเจียวเหม่ยรับปากว่าจะช่วยกันดูแลน้องสาวอย่างดี หวงซื่อจึงไม่ได้เหนี่ยวรั้งบุตรสาวเอาไว้ นอกจากจะกำชับว่าให้เชื่อฟังพี่สาวและห้ามซุกซนแล้วนางก็ไม่คิดจะเอ่ยวาจาเหนี่ยวรั้งอันใดอีก ด้วยรู้ดีว่าทั้งเฉินเจียวเจียวและเฉินเจียวเหม่ยเป็นเด็กรู้ความย่อมดูแลน้องเล็กอย่างเฉินเจียวมี่ได้อย่างแน่นอนเมื่อไปถึงหอหลิงฟางคนขององค์หญิงเก้าหลี่ถังหรูก็มารอพวกนางอยู่ก่อนแล้ว สามสาวสกุลเฉินถูกพาไปที่ห้องรับรองพิเศษที่องค์หญิงเก้าจองเอาไว้ซึ่งในห้องรับรองพิเศษแห่งนั้นมีองค์หญิงเก้าและหวังฮุ่ยหลิงนั่งรออยู่ก่อนหน้านี้แล้ว“ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใด ทุกครั้งที่นัดกันทั้งเจียวเจียวและเจียวเหม่ยมักจะมาถึงสถานที่นัดหมายเป็นคนสุดท้ายเสมอ” องค์หญิงเก้าเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าเบื่อหน่ายแต่หวังฮุ่ยหลิงกลับเอ่ยวาจาแก้ตัวให้สหายด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม“จวนของพวกนางอยู่ไกลจากที่นี่ย่อมต้องมาถึงช้ากว่าเป็นธรรมดา”“แน่นอนว่านอกจากจากจวนจะอยู่ไกลแล้ว ย่อมต้องเป็นเพราะวันนี้พวกข้าพาน้องเล็
กว่าจะถึงเทศกาลหยวนเซียวยังต้องผ่านเทศกาลฉลองปีใหม่ไปเสียก่อน เฉียวซื่อจึงยังไม่ได้เอ่ยเรื่องนี้กับเฉินเจียวเจียว แม้ว่าจวนผิงกั๋วกงจะต้องฉลองเทศกาลกันอย่างเงียบเหงาอยู่บ้างเพราะปีนี้บุรุษภายในจวนล้วนยังอยู่ที่หัวเมืองชายแดนแต่ก็ยังคงมีบรรยากาศของความเป็นมงคลเฉินเจียวเจียว เฉินเจียวเหม่ยและเฉินเจียวมีช่วยกันปักผ้าเพื่อมอบเป็นของขวัญให้แก่ผู้อาวุโสภายในจวน ส่วนบ่าวไพร่ก็ล้วนได้รับเงินทองและเครื่องประดับจากเจ้านายเพื่อเป็นของขวัญในวันขึ้นปีใหม่กันอย่างถ้วนหน้า สิ่งที่ทำให้ผู้คนภายในจวนมีความสุขมากที่สุดก็คือจดหมายที่มาจากชายแดนทางเหนือ ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มออกมาอย่างปลาบปลื้มใจเมื่อรู้ว่าบุตรชายและหลานชายของนางยังคงปลอดภัยและมีความเป็นอยู่ที่ดีเฉินเจียวเจียวมองบรรยากาศที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของคนทั้งจวนด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มเช่นเดียวกัน คืนส่งท้ายปีพวกนางล้วนแล้วแต่แต่งกายกันอย่างดงามมากเป็นพิเศษเพื่อกินอาหารร่วมกันและนั่งพูดคุยกันเพื่อรอส่งท้ายปี เสียงประทัดและดอกไม้ไฟดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทั้งตรอกสุ่ยอัน เฉินเจียวเจียวออกไปยืนมองท้องฟ้าที่ประดับประดาไปด้วยดอกไม้ไฟด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
มารดาเลี้ยงคิดเช่นไรเฉินเจียวเจียวไม่อาจจะรู้ได้ แต่สิ่งที่รู้ก็คือชีวิตในช่วงนี้ของนางนับว่ามีความสุขมากทีเดียว ได้ย้อนกลับมาเกิดใหม่ในร่างของตนเอง ได้แก้ไขความผิดพลาดที่เคยเกิดในชีวิตของชาติก่อนและที่สำคัญได้กลับมาปรนนิบัติฮูหยินผู้เฒ่าอีกครั้ง แม้จะรู้ว่าไม่ว่านางจะทำอย่างไรก็ไม่อาจจะทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ารอดพ้นจากความแก่ชราและความตาย แต่สิ่งที่นางทำได้ก็คือคอยปรนนิบัติพัดวีและทำให้ผู้อาวุโสของนางมีความสุขมากที่สุดเท่าที่นางจะสามารถทำได้“เหตุใดช่วงนี้มารดาเลี้ยงของเจ้าจึงได้เข้าวังบ่อยครั้งขึ้น” เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยถามเช่นนี้เฉินเจียวเจียวก็ส่ายหน้า“ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกันเจ้าค่ะ” เฉินเจียวเจียวเอ่ยตอบอย่างไม่ได้ใส่ใจเท่าใดนัก ไม่ว่าอย่างไรนางก็เคยเตือนเฉียวซื่อไปแล้วว่าแต่ละตำหนักของบรรดาพระสนมน่าจะมีคนของฝ่าบาทซุกซ่อนอยู่ มารดาเลี้ยงของนางไม่ใช่คนโง่ย่อมจะสามารถหลีกเลี่ยงการทำให้ฝ่าบาทไม่พึงพอพระทัยได้ทั้งคำพูดและการกระทำอยู่แล้วแน่นอนว่าทางด้านเฉียวซื่อที่เข้าออกวังบ่อยครั้งขึ้นย่อมจะต้องระมัดระวังทุกคำพูดและการกระทำของตนเองเป็นอย่างดี ช่วงนี้นางเข้าวังบ่อยขึ้นก็แค่เพียงอยากสานสั
เมื่อสาวน้อยสกุลเฉินทั้งสามไปถึงโถงกลางก็พบว่าแขกที่มาไม่ได้มีแค่เพียงคนสกุลหยวนแต่กลับมีองค์รัชทายาทนั่งดื่มนำ้ชาด้วยท่าทีสงบนิ่งอีกฝั่งหนึ่งด้วย เฉินเจียวเจียวนิ่งงันไปครู่หนึ่งแต่เฉินเจียวเหม่ยกลับรีบรั้งนางให้ก้าวเท้าเข้าไปในห้องโถงพร้อมกัน“ถวายพระพรองค์รัชทายาทเพคะ” ทั้งสามคารวะพร้อมกันอย่างงดงาม องค์รัชทายาทเงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มออกมา“พวกเจ้าไม่ต้องมากพิธี” เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้พวกนางก็ก้มหน้าลงแล้วหันไปคารวะฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหยวนและหยวนอี้ด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ภาพสตรีรุ่นเยาว์ทั้งสามที่รู้มารยาทและงดงามสมวัยทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหยวนอดยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจไม่ได้ ส่วนหยวนอี้นั้นเขาไม่กล้ามองสตรีทั้งสามเท่าใดนักไม่ว่าอย่างไรการเข้ามาในเรือนชั้นในของผู้อื่นเช่นนี้ก็ออกจะเป็นเรื่องที่ขัดต่อธรรมเนียมมากเกินพอแล้ว เพียงแต่เมื่อเด็กสาวทั้งสาวเดินไปนั่งลงข้างกายของผู้อาวุโสของตนเองแล้ว เขาก็อดจ้องมองไปทางข้างกายของฮูหยินสามของสกุลเฉินครู่หนึ่งไม่ได้สีหน้าที่ทั้งขัดเขินและพึงพอใจของหยวนอี้ไม่ได้รอดพ้นไปจากการสังเกตของฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหยวนและองค์รัชทายาทหลี่ไท่หลง สองยายหลานหันไปสบตากันครู่หนึ่
หลังจากนั้นเพียงหนึ่งสัปดาห์ฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหยวนก็พาหยวนอี้ที่ยังไม่หายดีมาเป็นแขกของจวนผิงกั๋วกง เนื่องจากบุรุษภายในจวนล้วนอยู่ในกองทัพทั้งหมดอีกทั้งยังรู้ถึงเจตนาของทางฝั่งสกุลหยวนแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าจึงรับแขกจากสกุลหยวนที่โถงกลางของเรือนชั้นใน โดยมีฮูหยินและลูกสะใภ้ทั้งสามคอยช่วยนางต้อนรับแขก“เจียวเหม่ย ควบคุมสติอารมณ์แล้วออกมาจากหลังพุ่มไม้เดี๋ยวนี้เลย” เฉินเจียวเจียวเอ่ยกับญาติผู้น้องของตนด้วยน้ำเสียงเย็นชา“จะทำอย่างไรดี เขาจะต้องเข้าใจว่าข้าคือสตรีอัปลักษณ์ที่อยู่ในรูปผู้นั้นเป็นแน่” เฉินเจียวเหม่ยเอ่ยออกมาอย่างไม่สบายใจโดยไม่คิดจะสนใจถ้อยคำตักเตือนของเฉินเจียวเจียวเลยสักนิด“ก่อนหน้านี้ท่านก็เคยเล่าให้ข้าฟังว่าเขาเห็นใบหน้าของท่านแล้วมิใช่หรือ ท่านบอกกับข้าเองว่าเขาถูกท่านลากตัวออกจากรถม้าแล้วโยนให้ผู้คุ้มกันของจวนเรา” เมื่อเฉินเจียวมี่เอ่ยเช่นนี้เฉินเจียวเหม่ยก็หันไปขึงตาใส่เฉินเจียวมี่ด้วยสายตาไม่พอใจอย่าเต็มที่“เจ้าอย่าได้เอ่ยถึงเรื่องนั้นอีก ข้ายังคิดเสียดายอยู่เลยว่าในยามนั้นข้าน่าจะอ่อนโยนอีกสักนิด เอ่ยวาจาดีๆ กับเขาสักประโยคสองประโยค” เมื่อเฉินเจียวเหม่ยเอ่ยเช่นนี้ทั้ง
ทางฝังองค์รัชทายาทหลี่ไท่หลง หลังจากที่รู้ว่าญาติผู้พี่ต่างสกุลพ้นขีดอันตรายแล้วเขาพลันวางใจลง ส่วนฮูหยินผู้เฒ่าสกุลหยวนนั้นเมื่อเห็นว่าหลานชายคนโตของนางอยู่ในมือของหมอหลวงแล้วนางก็วางใจลงได้ อันที่จริงนางวางใจตั้งแต่ตอนที่เห็นเฉินเจียวเจียวโรยยาห้ามเลือดลงไปบนบาดแผลแผลแล้ว ท่าทีสงบเยือกเย็นและการอธิบายด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเชื่อมั่นของเด็กสาวผู้นั้นทำให้จิตใจอันเคร่งเครียดของนางพลอยผ่อนคลายไปด้วย ยิ่งเมื่อได้เห็นว่าองค์รัชทายาทติดตามมาเพื่อปกป้องคุ้มครองนางและหลานชาย ความเชื่อมั่นในความปลอดภัยก็ยิ่งมีมากขึ้นไปอีกฮูหยินผู้เฒ่าสำรวจห้องโถงของเรือนหลังใหญ่ที่ตั้งอยู่ใกล้กับอุทยานหลวงด้วยความสนใจ เรือนแห่งนี้แม้ว่าจะตกแต่งอย่างเรียบง่ายแต่กลับใช้แต่ของดีและมีราคา นางหันไปจ้องมองหลานชายผู้สูงศักดิ์ของตนเองอีกครั้งแล้วจึงได้แต่ทอดถอนใจออกมา“องค์รัชทายาท พระองค์ทรงปลูกเรือนเอาไว้ข้างนอกเช่นนี้ไม่รู้ว่าฝ่าบาททรงรู้เรื่องนี้หรือไม่” เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยเช่นนี้เขาก็หันไปส่งยิ้มให้แก่นางแล้วเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม“ย่อมไม่รู้อยู่แล้ว แต่ท่านยายไม่ต้องกังวลต่อให้ทรงรู้เรื่องนี้ก็แ
ความคิดเห็น