ใครเลยจะรู้ว่างานอดิเรกของ ‘อัลวาโร อัลทาซา’ ทายาทมหาเศรษฐีพ่อค้าอาวุธสงครามแห่งโมร็อกโก ก็คือการเป็นโจรสลัด ออกจี้ปล้น อาละวาดจนชื่อเสียงกระฉ่อนไปทั่วทั้งคาบสมุทร แต่เป้าหมายของชายหนุ่มไม่ใช่ทรัพย์สินเงินทองหรือชีวิตคน หากเป็นผู้หญิง โดยเฉพาะหญิงสาวพรหมจรรย์ที่กล้าหาญพอจะขัดขืนความต้องการอันเร่าร้อนของเขา ‘หม่อมราชวงศ์หญิงอนามิกา’ ไม่เคยคิดว่าการล่องเรือสำราญในทะเลแคริบเบียนเพื่อพักผ่อนหลังสำเร็จการศึกษา จะกลายเป็นฝันร้าย เมื่อเธอต้องตกเป็นเชลยอยู่ในเงื้อมมือของโจรสลัดจอมหื่น มิหนำซ้ำยังปากเสียผิดกับหน้าตาที่หล่อเหลาจนแทบเคลิ้ม ทางเดียวที่เธอจะรอดพ้นจากการตกเป็นทาสบำเรอบนเตียงของเขา นั่นก็คือการคว้ามีดปอกผลไม้ แล้วแทงเขาให้ตายคามือ
View Moreภายในห้องนอนชั้นสี่ของแมนชั่นบนถนนพิกคาดิลลี กรุงลอนดอน... เสียงกรี๊งกร๊างซึ่งดังอยู่นานร่วมสามนาทีก็ปลุกให้เจ้าของร่างสะโอดสะองในชุดนอนผ้าซาตินสีสด คืบคลานจากอีกฟากของเตียงนอนขนาดใหญ่ เพื่อไปให้ถึงโทรศัพท์รูปทรงคลาสสิก สไตล์ยุค 60’s บนโต๊ะเล็กๆ ที่ตั้งอยู่อีกด้านหนึ่งเธอคว้าหูโทรศัพท์ขึ้นมารับสายด้วยเสียงงัวเงียและหงุดหงิด
ถึงจะเป็นเวลาเกือบบ่ายโมงแล้ว แต่พิษสงจากวิสกี้ที่ดื่มเข้าไปเป็นจำนวนมากเมื่อคืนนี้ ทำให้สาวใหญ่ผู้มีวัยย่างเข้าห้าสิบสองปีแทบไม่อยากขยับตัวแม้แต่น้อย
“สวัสดีครับ ขออนุญาตเรียนสายคุณนายชาร์ลสตันครับ...” เสียงในสายกล่าวทักทายอย่างนอบน้อม โรสจำได้ทันทีว่าเป็นเสียงของเฮอร์แมน พ่อบ้านของ เคนเน็ธ ชาร์ลสตัน มหาเศรษฐีนักธุรกิจ ผู้เป็นพ่อสามีของเธอ
“เฮอร์แมน...” เธอพยายามควบคุมอารมณ์ไม่ให้เผลอโวยวาย อาละวาดใส่อีกฝ่าย “โทรมาหาฉันแต่เช้า มีอะไรหรือเปล่า...”
“ผมมีข่าวไม่สู้ดีจะแจ้งให้ทราบน่ะครับ...” ได้ยินคำว่า ‘โทรมาแต่เช้า’ พ่อบ้านวัยชราถึงกับต้องหยิบนาฬิกาพกในกระเป๋าเสื้อขึ้นมาดูด้วยความไม่แน่ใจ แต่ก็ไม่คิดจะทักท้วงอะไร “เอ่อ... เมื่อคืนนี้นายท่านมีอาการโรคหัวใจกำเริบอ่อนๆ ...”
“คุณพ่อหัวใจวายอีกแล้วเหรอ!” โรสรีบลุกขึ้นจากเตียง โพล่งถามด้วยสีหน้าแตกตื่น อาการเมาค้างที่มีอยู่แทบจะหายไปเป็นปลิดทิ้ง
“ผมให้วิลเลียมกับสกอตต์ช่วยกันพาท่านไปส่งโรงพยาบาลแล้วครับ ตอนนี้โรงพยาบาลที่เฮสติงส์ก็ส่งตัวท่านเข้าไปดูแลที่ลอนดอนเรียบร้อยแล้ว คงไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง...” เขาหมายถึงเมืองเฮสติงส์ซึ่งอยู่ห่างไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของลอนดอนประมาณหกสิบไมล์ ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของคฤหาสน์ชาร์ลสตันที่เคนเน็ธพักอาศัยอยู่
“ขอบใจมากมากนะเฮอร์แมน เดี๋ยวฉันจะรีบอาบน้ำแต่งตัวไปเยี่ยมท่านเดี๋ยวนี้แหละ” เธอบอกเสียงร้อนรน
“นายท่านกำชับผมว่าไม่ให้แจ้งคุณนาย กลัวจะเป็นห่วง... แต่ผมคิดว่าคุณนายอาจพอมีเวลาไปดูแลท่านแทนผมบ้างน่ะครับ เอ่อ...”
“ฉันเข้าใจ... ดีแล้วที่แกโทรมาบอก” โรสรีบตัดบท
“ถ้าอย่างนั้น... ผมไม่รบกวนคุณนายแล้วล่ะครับ”
“สวัสดี เฮอร์แมน”
“สวัสดีครับ คุณนาย”
สาวใหญ่ชาวจีนยังยกหูรออยู่จนกระทั่งแน่ใจว่าพ่อบ้านผู้ซื่อสัตย์วางสายไปแล้ว เธอจึงกระแทกหูโทรศัพท์ลงไปบนแป้นวางสีทองเสียงดังโครม
พอครุ่นคิดถึงสุขภาพที่ดูจะย่ำแย่ลงทุกวัน ของ เคนเน็ธ ชาร์ลสตัน สีหน้าของโรสก็เต็มไปด้วยความวิตกกังวล ในระยะเวลาห้าปีที่ผ่านมา พ่อสามีของเธอมีอาการโรคหัวใจกำเริบมาแล้วถึงสามครั้ง นั่นหมายความว่า เป็นไปได้อย่างมากที่มหาเศรษฐีเฒ่าจะเสียชีวิตในเร็ววัน
แน่นอน... โรสไม่ได้เป็นห่วงเป็นใยเรื่องความเป็นความตายของเคนเน็ธหรอก แต่เธอเป็นห่วงเงินทองและผลประโยชน์ที่จะหายไปพร้อมกับการตายของเขาต่างหาก...
สิบเจ็ดปีก่อน หลังจากที่เธอรู้ว่าเคนเน็ธตั้งใจจะตัดอัลเบิร์ต สามีของเธอ ออกจากกองมรดก ทั้งคู่จึงได้วางแผนลักพาตัวเจโคบี บุตรชายแท้ๆ ที่อยู่ในความดูแลของพ่อสามี หวังจะเรียกค่าไถ่และกำจัดไปจากโลกนี้ เพื่อให้อัลเบิร์ตกลายเป็นทายาทตามกฎหมายเพียงคนเดียว
แต่ระหว่างนั้น ทั้งอัลเบิร์ต เจโคบี และนรินนทร์นารถ พี่เลี้ยงชาวไทยของเด็กชาย กลับหายสาบสูญไปไม่เหลือแม้แต่ร่องรอย ทำให้ทุกอย่างที่โรสวาดหวังเอาไว้แทบจะพังพินาศ ดีที่เคนเน็ธเกิดความเห็นใจ และหันมาดูแลความเป็นอยู่ของเธออย่างดี ในฐานะของลูกสะใภ้ม่าย ไม่ว่าจะเป็นการไถ่ถอนแมนชั่นหลังนี้ซึ่งติดจำนองอยู่ แล้วโอนให้เป็นชื่อของเธอ รวมถึงค่าใช้จ่ายรายสัปดาห์ที่ถึงแม้จะคิดเป็นเงินแค่เดือนละไม่กี่หมื่นปอนด์ แต่มันก็ช่วยยืดชีวิตอันแสนสุขสบายของสาวใหญ่ให้ยาวนานขึ้นอีกหน่อย หลังจากเงินค่าไถ่ตัวเจโคบีจำนวนหนึ่งล้านปอนด์ที่เธอเก็บซ่อนไว้เริ่มร่อยหรอลงไป
โรสรู้ดีว่า แมนชั่นมูลค่ากว่าสิบล้านปอนด์หลังนี้คือมรดกเพียงอย่างเดียวที่พ่อสามีมอบให้เธอ เคนเน็ธอาจจะใจดี ทำพินัยกรรมให้เธอได้รับเงินสดอีกสักก้อนหนึ่งหลังจากที่เขาตาย แต่มันคงไม่มากเท่าที่เธอต้องการอย่างแน่นอน
ตลอดเวลาที่ผ่านมา มหาเศรษฐีเฒ่ายังคงเชื่อมั่นว่าหลานชายของเขายังมีชีวิตอยู่ที่ไหนสักแห่ง และชื่อของผู้รับมรดกส่วนใหญ่ในพินัยกรรมฉบับล่าสุดของเคนเน็ธก็ยังเป็นชื่อของ เจโคบี ชาร์ลสตัน อยู่นั่นหมายความว่าวันใดก็ตามที่ชายชราเสียชีวิตลง สำนักงานกองทุนที่เขาก่อตั้งขึ้นเพื่อปกป้องและดูแลทรัพย์สินของเขาก็จะเข้ามาควบคุมทุกอย่างทันที แล้วเธอก็จะไม่ได้อะไรเลย นอกจากเศษเงินที่สำนักงานกองทุนของเคนเน็ธเจียดมาให้ใช้เป็นรายเดือนไม่ต่างจากทุกวันนี้
ในช่วงที่เกิดเรื่องราวขึ้น โรสเคยคิดจะแจ้งความให้เจโคบีเป็นบุคคลสูญหาย ให้ทางกฎหมายตีความว่าบุตรชายของเธอเสียชีวิตไปแล้วหลังจากครบเจ็ดปีนับตั้งแต่หายสาบสูญ เพื่อที่เธอจะได้กลายเป็นทายาทตามกฎหมายของพ่อสามีไปโดยปริยาย...
ทว่าในพินัยกรรมกลับระบุอย่างชัดเจนว่าทุกอย่างที่เคนเน็ธยกให้เจโคบีจะตกเป็นสาธารณะสมบัติและองค์กรการกุศลต่างๆ ทันที หากพบหลักฐานว่าเจโคบีเสียชีวิตไปแล้ว หรือไม่ปรากฏตัวภายในระยะเวลายี่สิบปีนับตั้งแต่วันที่ชายชราตาย... เธอจึงไม่มีทางทำอะไรกับเรื่องนี้ได้เลย...
ดวงตายาวรีหรี่ลงอย่างใช้ความคิด...
นี่เธอจะทำอย่างไรดี ถ้าไอ้แก่หนังเหนียวนั่นเกิดใจเสาะขึ้นมาภายในปีสองปีนี้ เธอก็หมดโอกาสครอบครองทุกอย่างของมันแน่ๆ...
แล้วจู่ๆ แม่ม่ายชาวจีนก็นึกถึงความคิดบ้าๆ ที่บังเอิญแวบขึ้นมาในสมองตอนที่เธอแวะไปดื่มเหล้าในย่านไชนาทาวน์เมื่อไม่กี่วันก่อน....
ก็ได้!... ในเมื่อเคนเน็ธต้องการยกทรัพย์สมบัติให้คนตายนักล่ะก็... เธอก็จะปลุกผีไอ้เด็กเวรเจโคบีให้ฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง คอยดูก็แล้วกัน...
เสียงเคาะประตูของซาคาเรียในตอนพลบค่ำบอกให้รู้ว่าถึงเวลาอาหารค่ำแล้ว หลังจากอาศัยอยู่ในเรือซีเซอร์เพนต์มาหลายวัน หญิงสาวก็เริ่มเคยชินจนไม่คิดจะใส่ใจต่อการปรากฏตัวของบริกรประจำตัว เธอเพียงแค่เหลือบตาไปมองขณะที่ชายหนุ่มเดินผ่านปลายเตียงไป แทบจะไม่ขยับตัวเสียด้วยซ้ำ แต่วันนี้อนามิกาก็ต้องรู้สึกประหลาดใจเมื่อพบว่าซาคาเรียไม่ได้ถือถาดใบใหญ่เข้ามาในห้องเหมือนทุกครั้ง เขาแค่เข้ามาเก็บถ้วยชามใช้แล้วบนโต๊ะอาหารเพียงเท่านั้นอย่าบอกว่ากัปตันบ้านั่นแกล้งลงโทษเธอเรื่องเมื่อตอนเย็นด้วยการให้อดข้าวอดน้ำนะ...“เอ่อ...” ครั้นจะเอ่ยปากถามขึ้นมา หม่อมราชวงศ์หญิงก็ห้ามใจตัวเองเอาไว้เสียก่อน...เรื่องอะไรจะยอมเสียหน้าล่ะ... ไม่ให้กินเธอก็ไม่ง้อหรอก...“หิวข้าวหรือยัง มาดมัวแซลล์” ซาคาเรียหันมาถามราวกับรู้ทันความคิดเธอ อนามิกาส่ายหน้าปฏิเสธ ทั้งที่ในกระเพาะอาหารรู้สึกแสบร้อนจนแทบจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว “กัปตันบอกให้เธออาบน้ำแต่งตัว... เสร็จแล้วจะให้คนมารับไปกินข้าว...” เขาบอกต่อด้วยสำเนียงแปร่งๆ ไม่ต่างจากทุกครั้ง“หมายความว่ายังไงคะ” หญิงสาวขมวดคิ้ว นึกฉงน“ที่ระเบียงท้ายเรือจัดโต๊ะเอาไว้... คืนนี้เธอไปกินที่น
ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง เขาไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องจิตวิทยาเกี่ยวกับผู้หญิงก็จริง แต่ท่าทีและคำพูดของหญิงสาวก็พอจะบอกอะไรให้เขารู้อยู่บ้าง“เป็นของฝากสำหรับแม่... เป็นคนไทยเหมือนกับเธอนั่นแหละ”“คนไทยเหรอคะ” หม่อมราชวงศ์หญิงเบิกตากว้าง คุณเป็นลูกครึ่งไทยอย่างนั้นเหรอ”“ไม่ใช่... นีนาเป็นเหมือนแม่ของฉัน เธอเลี้ยงดูฉันมาตั้งแต่เด็ก...”“แล้วพ่อแม่แท้ๆ ของคุณล่ะ”คิ้วของอัลวาโรขมวดมุ่นอย่างไม่ชอบใจ เขาเคยคิดว่าตัวเองสนุกกับนิสัยช่างต่อปากต่อคำของอนามิกา แต่เวลานี้เขารู้สึกว่าเธอพูดมากจนเขาชักจะเกลียดน้ำหน้าเสียแล้วสิ...อัลวาโรเติบโตขึ้นมาโดยมีอัลเฟรโดเป็นบิดาเพียงคนเดียวที่เขารู้จัก ชายหนุ่มจดจำเรื่องราวในวัยเด็กได้ไม่มากนัก และนรินทร์นารถก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องประเทศอังกฤษหรือเรื่องบิดามารดาแท้ๆ ของเขาอีกเลย บางครั้งที่เขาลืมตัวเอ่ยถามกับเธอ หญิงสาวก็จะมีท่าทางเศร้าซึมไป และอัลเฟรโดก็จะโกรธเขามาก มันจึงกลายเป็นเรื่องต้องห้ามซึ่งเขาไม่อยากพูดถึงแม้แต่น้อย“ตายไปหมดแล้ว ฉันมีแค่นีนากับอัลเฟรโดเท่านั้นที่เป็นพ่อแม่”น้ำเสียงและสีหน้าของคนตรงหน้าบอกให้รู้ว่าอนามิกากำลังเปิดหีบแพนโดราโดยไม่ตั
คาซาบลังกาเป็นเมืองท่าที่สำคัญของโมร็อกโก เพราะนอกจากจะเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดแล้ว มันยังเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของประเทศอีกด้วยเรือซีเซอร์เพนต์เข้าจอดยังท่าเทียบของสโมสรเรือสำราญ นอติก เดอ ลา มารีน รอยัล ยอชต์คลับ ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศเหนือของตัวเมือง บริเวณติดกันกับท่าเรือขนส่งสินค้าขนาดยักษ์ที่กินอาณาเขตตลอดแนวชายฝั่งเป็นระยะทางเกือบสองไมล์อัลวาโรนำเธอลงจากเรือและเดินไปขึ้นรถลิมูซีนที่จอดรอให้บริการอยู่ด้านหน้าสโมสร ก่อนจะสั่งให้คนขับพาทั้งสองไปส่งยังแหล่งจับจ่ายสินค้าภายในตัวเมืองอนามิกาค่อนข้างแปลกใจที่พบว่าเมืองแห่งความรักอันแสนโรแมนติกแห่งนี้ ช่างแตกต่างไปจากภาพในความคิดของเธอเหลือเกิน เพราะปัจจุบัน สภาพความเจริญทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมได้เปลี่ยนคาซาบลังกาให้เต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่องและผู้คน ดูไม่แตกต่างไปจากเมืองใหญ่ของประเทศต่างๆ ในทวีปยุโรปไม่ช้าความตื่นเต้นดีใจที่มีอยู่ลึกๆ ก็ค่อยๆ กลายเป็นความผิดหวัง... สิ่งเดียวที่พอจะปลอบประโลมความรู้สึกของหญิงสาวได้บ้างก็มีเพียงภาพหอคอยสูงสีขาวทรงสี่เหลี่ยมของมัสยิดกษัตริย์ฮัสซัน ที่ 2 ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ริมชายฝั่งมหาสมุทร
นับตั้งแต่อัลวาโรเดินผลุนผลันออกไปในตอนเย็นเมื่อวาน เป็นเวลาเกือบยี่สิบสี่ชั่วโมงแล้วที่เขาไม่ได้กลับเข้ามาเหยียบห้องพักของเธออีก หม่อมราชวงศ์หญิงอนามิกาควรจะโล่งใจที่ไม่ต้องทนเจอผู้ชายหลงตัวเอง แถมยังคิดจะเอารัดเอาเปรียบเธออย่างนั้น แต่พอไม่ได้เห็นหน้าเขานานๆ หญิงสาวกลับรู้สึกเงียบเหงาและว้าเหว่อย่างบอกไม่ถูกตามปกติแล้ว เธอมีพวงพะยอมเป็นเพื่อนคอยอยู่ใกล้ชิดเกือบตลอดเวลา แต่ในเวลานี้คนเดียวที่เธอพอจะพูดคุยด้วยได้ก็เหลือเพียงแค่ซาคาเรีย ชายหนุ่มซึ่งมีหน้าที่คอยส่งอาหารให้วันละสามมื้อ แล้วเขาเองก็ไม่ค่อยจะยอมพูดอะไรกับเธอด้วยอนามิกากลิ้งตัวไปมาอยู่บนเตียงนอนนานเกือบชั่วโมง กว่าจะลุกขึ้นมานั่ง แล้วพบว่าเรือซีเซอร์เพนต์กำลังแล่นเข้าใกล้ชายฝั่ง... ทีแรกหญิงสาวยังคิดว่ามันเป็นเพียงภาพหลอน ต้องขยี้ตาอยู่หลายครั้งจึงมั่นใจว่าสถานที่ที่เธอมองเห็นตรงหน้าก็คือเมืองท่าที่เคยงดงามที่สุดของชายฝั่งแอฟริกาตะวันตก เท่าที่เธอเคยรู้จักจากหนังสือนำเที่ยวและโปสการ์ดต่างๆ ในร้านหนังสือที่ฝรั่งเศสไม่ผิดแน่ๆ... ที่นี่ก็คือคาซาบลังกา หรือ ‘บ้านสีขาว’ ตามความหมายชื่อภาษาสเปนของมัน...เธอมาถึงโมร็อกโกแล้วหรื
วินาทีนั้นหัวใจของเธอเต้นถี่รัวจวนเจียนจะหลุดออกมาจากหน้าอก สองขาที่ยืนอยู่เหมือนจะอ่อนแรงจนแทบทรุดลงไปนั่งกับพื้น กลิ่นลมหายใจสะอาดสดชื่น ผสมผสานกับกลิ่นอาฟเตอร์เชฟที่ติดค้างอยู่บนใบหน้า และกลิ่นอายเฉพาะตัวของผู้ชาย มอมเมาให้สมองของเธอปั่นป่วนราวกับพายุหม่อมราชวงศ์หญิงก็รู้สึกหวิวๆ ในช่องท้อง สลับกับอาการเสียวแปลบปลาบคล้ายคนเป็นเหน็บชาเวลาใกล้จะหาย มันเป็นอาการที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับเธอมาก่อน แล้วมันก็ทำให้เธอเกือบโผเข้าไปซบแผ่นอกกว้างตรงหน้าโดยไม่รู้ตัว“คุณมันบ้า... หลงตัวเอง...” อนามิการีบหลับตาลง ข่มสติตัวเองพร้อมๆ กับพยายามควบคุมลมหายใจที่กระชั้นถี่ให้สงบลง ไม่มีเสียงตอบจากกัปตันหนุ่ม มีเพียงสัมผัสอุ่นๆ นุ่มละมุนที่แตะลงบนเปลือกตาของเธอเบาๆ...“เธอจะยอมฉัน...” เสียงอัลวาโรยังคงเป็นเสียงกระซิบทันทีที่ได้ยินคำพูดของเขา หม่อมราชวงศ์หญิงก็ต้องลืมตาโพลง กัดริมฝีปากตัวเองแล้วจ้องเขม็งเข้าไปในแววตาของเขา...เธอเป็นราชนิกุลที่สืบทอดศักดิ์ศรีและสายเลือดมาจากบรรพบุรุษผู้สูงส่ง...เธอจะไม่ยอมหวั่นไหวไปกับอารมณ์หรือถ้อยคำปลุกปั่นใดๆ เป็นอันขาดคิดแล้วก็รีบผลักร่างกัปตันหนุ่มเต็มแรงจนเขาเซถอย
ดวงตาของหม่อมราชวงศ์อนามิกายังจับจ้องอยู่ที่โคมไฟแก้วเจียระไนบนเพดานกลางห้องเหมือนเมื่อหลายนาทีก่อน ตลอดเวลาที่นั่งอยู่ตามลำพังในห้องขังอันหรูหรา ในใจก็คอยครุ่นคิดถึงเหตุผลที่เธอต้องกลายมาเป็นเชลยอยู่บนเรือโจรสลัดลำนี้หญิงสาวเลิกกังวลถึงเรื่องความปลอดภัยของตัวเองนานแล้ว เพราะหากกัปตันอัลวาโรคนนั้นคิดจะทำร้ายเธอจริงๆ ล่ะก็ เธอคงไม่รอดมาจนถึงตอนนี้ เพียงแต่ยังไม่เข้าใจว่าชายหนุ่มต้องการอะไรกันแน่เสียงปลดล็อกไฟฟ้าที่ประตูห้องทำให้อนามิกาตื่นตัวขึ้นมาอีกครั้ง แม้จะไม่นึกกลัวเขาอีก แต่ตราบใดที่เธอกับพวงพะยอมยังถูกขังอยู่ที่นี่ หญิงสาวก็ยังวางใจอะไรไม่ได้มาก อนามิกาจึงรีบลุกขึ้นจากเตียงแล้วหันไปมองตามสัญชาตญาณทันที และพบว่าผู้ที่ปรากฏตัวขึ้นที่ประตูห้องก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นคนที่กำลังวนเวียนอยู่ในความคิดของเธอนั่นเอง“ตื่นแล้วเหรอ...” อัลวาโรเริ่มต้นบทสนทนาด้วยประโยคที่พอจะคิดออก แต่พอพูดไปแล้วกลับต้องขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิดตัวเองที่ถามอะไรโง่ๆ ออกไป“คุณคิดว่าวันๆ ฉันจะนอนตั้งแต่เช้ายันค่ำเลยเหรอคะ”“ก็ไม่แน่หรอก... เธออาจจะอยากต้อนรับฉันด้วยการนอนรอบนเตียงก็ได้นี่” กัปตันหนุ่มเหน็บกลั
Comments