นักฆ่าสาวสวยดุ จับพลัดจับผลูข้ามมิติมาปี 1980 พร้อมกับระบบประหลาดบังคับให้เธอแต่งงานกับผู้ช่วยชีวิต นี่มันระบบบ้าอะไรเนี่ย!
ดูเพิ่มเติมสายลมแผ่วเบาพัดผ่านหมู่บ้านเติ้ง อำเภอเจิ้งไห่ มณฑลกวางสี ปีนี้เป็นปีที่ประเทศเริ่มเปิดการค้ากับต่างชาติเป็นครั้งแรก การทำงานแลกแต้มเหมือนสมัยก่อนยังคงมีอยู่ในบางหมู่บ้าน เมื่อชาวชนบทต่างไม่มีความรู้มากพอที่จะเข้าไปทำงานในเมืองเหมือนพวกนักศึกษาที่ถูกส่งมาอยู่ในชนบทเมื่อสิบปีก่อน
ริมแม่น้ำบนภูเขาเติ้งจื่อด้านหลังหมู่บ้านเติ้ง ร่างของซูเมี่ยวจินซึ่งกำลังบาดเจ็บจากคมกระสุนก่อนตกลงจากหน้าผาจื่อซิวสลบไสลอยู่ โดยไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใดแล้ว
ฉางเล่ย นายพรานประจำหมู่บ้านเติ้ง ปีนี้เขาอายุ 29 ปีแล้ว แต่ด้วยที่บ้านมีเพียงพ่อแม่และน้องสาวอยู่ เขาจึงไม่สามารถไปหางานทำในเมืองและปล่อยพวกเขาอยู่กันเองที่หมู่บ้านได้ ฉางเล่ยจึงล่าสัตว์ไปขายในเมืองเป็นอาชีพมานานหลายปี ด้วยครอบครัวที่ยากจนและเขาอยากให้น้องสาวได้เรียนหนังสือ ตนเองจึงไม่ยอมที่จะแต่งงานจนอายุล่วงเลยมาขนาดนี้ อีกทั้งผู้หญิงในหมู่บ้านต่างรังเกียจที่บ้านเขายากจน จึงไม่มีใครยอมรับหมั้นบ้านตระกูลฉาง
เขาขึ้นเขาล่าสัตว์ทุกวันจนเคยชิน วันนี้เขาก็ยังคงเดินทางไปดูกับดักสัตว์ตามที่ต่าง ๆ ซึ่งวางเอาไว้เมื่อวานนี้ กระทั่งยามใกล้เที่ยง ฉางเล่ยเดินไปยังลำธารบนภูเขาเพื่อกินอาหารที่ห่อมาจากบ้านตามปกติ ขณะที่เขากำลังจะไปตักน้ำใส่ขวด ปลายหางตากลับเหลือบไปเห็นร่างคนนอนอยู่ริมแม่น้ำโดยไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย ด้วยความจิตใจดีของฉางเล่ย เขาผละจากริมแม่น้ำที่อยู่ก่อนหน้าและเดินลิ่ว ๆ ไปดูอาการของคนผู้นั้นอย่างรวดเร็ว
ฉางเล่ยเดินไปถึงร่างนั้นในเวลาไม่นาน เขารีบคุกเข่าลงไปและยื่นมือไปดูว่าผู้หญิงตรงหน้านี้ยังหายใจอยู่หรือเปล่า ถึงแม้ฉางเล่ยจะแปลกใจกับเสื้อผ้าที่แปลกประหลาดของผู้หญิงตรงหน้า แต่เขายังคงสำรวจดูว่าเธอบาดเจ็บหนักแค่ไหน
“คุณ! คุณครับ!” ฉางเล่ยเรียกเธอที่ยังคงสลบไสลอยู่ คราบเลือดที่แห้งกรังบนเสื้อหนังที่เธอใส่ทำให้เขากังวล
ซูเมี่ยวจินได้ยินเสียงผู้ชายเรียกเธอ ในหัวของเธอที่กำลังจะพยายามลืมตาขึ้นมองดูว่าใครกำลังเรียกเธออยู่ และตัวเธอเองที่คิดว่าตายไปแล้วทำไมถึงยังมีชีวิตอยู่กันแน่ ขณะที่ซูเมี่ยวจินกำลังจะฝืนลืมตาขึ้นอยู่นั้น เสียงในหัวของเธอกลับดังขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
[ตรวจพบเจ้านายคนใหม่ ยินดีด้วยที่ยังหายใจอยู่ ระบบแต่งงานกับผู้ช่วยชีวิตและทำให้ครอบครัวร่ำรวยพร้อมที่จะบริการคุณแล้ว กรุณาตอบรับหากต้องการรอดชีวิต]
ซูเมี่ยวจินคิดว่านี่มันระบบบ้าอะไรกัน อยู่ ๆ จะให้เธอแต่งงานกับคนที่เพิ่งรู้จักได้ยังไง แต่ด้วยบาดแผลสาหัสที่มีอยู่บนตัว เธอไม่มีทางเลือกหากต้องการมีชีวิตอยู่ต่อไป ซูเมี่ยวจินจึงตอบรับกับระบบในใจ
[ระบบช่วยชีวิตเจ้านายทำงาน!!!]
ซูเมี่ยวจินที่ก่อนหน้านี้ยังไร้เรี่ยวแรงแม้จะลืมตา ตอนนี้เธอกลับรู้สึกว่าร่างกายที่เต็มไปด้วยคมกระสุนกลับดีขึ้นมาก บาดแผลก่อนหน้านี้กลับสมานกันอย่างรวดเร็ว และร่างกายของเธอเหมือนกับมีพลังงานเพิ่มขึ้นไม่น้อย ถึงแม้จะยังคงอ่อนแรงอยู่ แต่เธอรู้สึกว่าพ้นขีดอันตรายแล้ว
“คุณ! คุณครับ! ทำไมเรียกตั้งนานแล้วเธอยังไม่ตื่นนะ หรือว่าเธอจะบาดเจ็บหนัก”
เสียงของฉางเล่ยดังเข้าหูของซูเมี่ยวจินอีกครั้งหลังได้รับการรักษาจากระบบ เธอที่ร่างกายดีขึ้นมากรีบลืมตามองว่าที่สามี ทั้งที่ไม่รู้ว่าทำไมระบบนี่ถึงต้องการให้เธอแต่งงานกับคนที่ช่วยชีวิตเธอตรงหน้า
“อืม… คุณเป็นใคร?” เสียงแหบแห้งของซูเมี่ยวจินดังขึ้นเบา ๆ
“ผมเป็นนายพรานของหมู่บ้าน เห็นคุณสลบอยู่เลยรีบมาดูครับ คุณเป็นยังไงบ้าง”
ฉางเล่ยไม่กล้าแตะต้องตัวผู้หญิงตรงหน้า แววตาที่ดุร้ายของเธอทำให้เขาหวาดหวั่นว่าหากทำสิ่งใดเกินเลยไป เขาอาจถูกเธอทำร้ายได้
“ฉันดีขึ้นมากแล้ว แต่ลุกเองไม่ได้ คุณช่วยหาน้ำมาให้ฉันกินสักหน่อยสิ”
ซูเมี่ยวจินที่ถึงแม้จะได้รับการรักษา แต่ร่างกายของเธอก็ยังไม่กลับมามีเรี่ยวแรงมากพอที่จะช่วยเหลือตัวเองได้ ด้วยเสียงอันแหบแห้ง เธอจึงต้องการกินน้ำสักหน่อยเพื่อให้คุยกับชายร่างใหญ่ตรงหน้าต่อได้อย่างไม่ลำบาก
“ครับ ๆ คุณรอสักครู่ ผมจะไปเอาน้ำให้” ฉางเล่ยลุกขึ้นเดินไปอีกทางไม่ไกลและกรอกน้ำใส่ขวดของเขาจนเต็ม จากนั้นเขานำน้ำมาป้อนให้ซูเมี่ยวจินซึ่งยังคงนอนนิ่งอยู่ริมลำธารอย่างช้า ๆ กระทั่งเธอไม่กินอีก เขาจึงเก็บขวดน้ำ
“ขอบคุณที่ช่วยนะคะ ไม่ทราบว่าที่นี่คือที่ไหน? แล้วตอนนี้วันที่เท่าไหร่”
ซูเมี่ยวจินมองการแต่งตัวของฉางเล่ยที่ดูล้าหลังจึงได้เอ่ยถามขึ้น เธอไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงได้แต่งตัวแบบนี้
“ที่นี่คือภูเขาเติ้งจื่อ หลังหมู่บ้านเติ้งของผม วันนี้วันที่ 20 เดือนสิงหาคม ปี 1980 ครับ”
ซูเมี่ยวจินขมวดคิ้วมุ่นเมื่อได้ยินว่าตอนนี้เป็นปี 1980 เธอไม่คิดว่าตัวเองจะตกลงมาจากหน้าผาในปี 2025 แต่กลับย้อนเวลามาในปีที่ประเทศเพิ่งจะเริ่มการพัฒนาได้ เมื่อคิดอยู่พักใหญ่ ซูเมี่ยวจินจึงเอ่ยปากถามเขาอีกครั้ง
“คุณชื่ออะไร? ฉันชื่อซูเมี่ยวจิน”
“ผมฉางเล่ยครับ คุณพอจะลุกเองไหวไหม?”
“ไม่ไหวค่ะ คุณแต่งงานหรือยัง” ซูเมี่ยวจินรำคาญเสียงระบบในหัวที่คอยบอกให้เธอรีบขอแต่งงานกับผู้ชายตรงหน้าจึงได้ถามขึ้น
“เอ่อ… ยังครับ คุณถามทำไม?” ฉางเล่ยหน้าแดงขึ้นมาเมื่อเห็นใบหน้าสวยดุถามเรื่องส่วนตัวของเขาขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“ฉันกลัวว่าถ้าคุณพาฉันลงจากภูเขา คนอื่นจะหาว่าฉันยั่วยวนคุณน่ะสิคะ”
ซูเมี่ยวจินอ้างเรื่องความเหมาะสมระหว่างชายหญิงเพื่อไม่ให้ไก่ตื่น เธอไม่เคยมีแฟนมาก่อนจึงไม่รู้ว่าต้องทำยังไงให้ผู้ชายตรงหน้าแต่งงานกับเธอ
“อ่า… เป็นผมที่คิดน้อยไป ตอนนี้เลยเที่ยงมามากแล้ว ผมพาคุณกลับบ้านไปให้แม่ช่วยทำแผลให้ดีกว่านะครับ ผมคงต้องแบกคุณลงไป คุณคงไม่ถือสานะครับ”
“ไม่ค่ะ ขอบคุณมากที่ช่วยฉัน ถ้าคุณอยากให้ฉันตอบแทนยังไงก็บอกได้นะคะ”
ซูเมี่ยวจินไม่อยากบอกตรง ๆ ว่าเธอยินดีใช้ร่างกายตอบแทนเขา เพราะกลัวว่าเขาจะระแวงว่าเธอเป็นคนไม่ดี ซูเมี่ยวจินจึงได้แต่บอกอ้อม ๆ
“ไม่เป็นไรครับ เห็นคนบาดเจ็บบนภูเขาแบบนี้ ผมคงปล่อยทิ้งเอาไว้ไม่ได้”
ฉางเล่ยจัดตะกร้าใส่สัตว์ที่ดักได้มาไว้ด้านหน้าของตัวเอง จากนั้นจึงก้มลงไปยกร่างของซูเมี่ยวจินมาพาดหลังและบอกให้เธอกอดคอเขาแน่น ๆ จะได้ไม่ตกลงไปจนได้รับบาดเจ็บซ้ำอีก
ระหว่างทางลงเขา ซูเมี่ยวจินถามเรื่องครอบครัวของฉางเล่ยเพื่อดูว่าเธอจะสามารถอยู่ร่วมกับครอบครัวนี้ได้หรือไม่ ฉางเล่ยผู้แสนซื่อไม่ได้คิดอะไรมาก เขาเล่าให้เธอฟังอย่างมีความสุขถึงครอบครัวสี่คนของเขา และการล่าสัตว์เพื่อเลี้ยงปากท้องรวมทั้งส่งน้องสาวเรียนได้ ทำให้เขาเล่าอย่างภาคภูมิใจในตัวเองมาก
ซูเมี่ยวจินฟังทุกอย่างจากผู้ชายร่างใหญ่ที่แบกเธออยู่ก็รับรู้ได้ว่าครอบครัวนี้เลี้ยงลูกด้วยความรักและซื่อสัตย์จริง ๆ เธอเพิ่งเคยเห็นผู้ชายที่ซื่อตรงขนาดนี้เป็นครั้งแรกในชีวิต ด้วยก่อนหน้านี้เธออยู่ในองค์กรที่ต้องแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน ทำให้เธอต้องพบกับประสบการณ์เฉียดตายในครั้งนี้
“ทำไมคุณถึงยังไม่แต่งงานล่ะ” ซูเมี่ยวจินถามเมื่อรู้ว่าเขาอายุมากกว่าเธอปีเดียว
“ครอบครัวผมยากจน ผู้หญิงที่ไหนจะอยากแต่งงานด้วยล่ะครับ”
“แต่คุณเป็นคนดีและขยันขันแข็งนะ ผู้หญิงพวกนั้นไม่เห็นความดีของคุณเหรอ”
“ในหมู่บ้านไม่มีใครชอบคนจนหรอกนะครับ พ่อกับแม่ผมก็บ่นมาตลอด เพราะกลัวว่าผมจะไม่มีครอบครัวสืบทอดตระกูลต่อไป น่าเสียดายที่ไม่มีใครยินดีแต่งงานกับผม” ฉางเล่ยตอบอย่างไม่คิดมากตามประสาคนซื่อ
เมื่อพวกเขาไปถึงตลาดค้าส่ง ซูเมี่ยวจินกับฉางเล่ยก็ตรงไปที่ร้านเครื่องใช้ไฟฟ้าและซื้อของตามที่คุยกันไว้ก่อนหน้านี้อย่างรวดเร็ว ฉางเล่ยพาคนของร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าเอาของไปเก็บที่รถก่อน ส่วนซูเมี่ยวจินตรงไปที่ร้านขายนาฬิกาเพื่อซื้อของไปเพิ่มให้แม่ฉางฉางเล่ยหลังจากดูคนของร้านเครื่องใช้ไฟฟ้านำสิ่งของขึ้นรถหมดแล้ว เขาก็เดินไปหาซูเมี่ยวจินที่ร้านนาฬิกาตามที่เธอบอกเอาไว้ พอดีกับที่ซูเมี่ยวจินกำลังจ่ายเงินค่านาฬิกาอยู่พอดี ฉางเล่ยจึงรับถุงสินค้าทั้งหมดมาถือไว้เอง“เราไปกินข้าวกันก่อนดีกว่าค่ะ จะได้ไปที่ที่ว่าการเพื่อทำใบขับขี่ต่อ” ซูเมี่ยวจินบอกฉางเล่ยระหว่างที่พวกเขากำลังจะออกจากร้านนาฬิกา“ตกลงครับ เอาตามที่คุณว่าก็ได้” ฉางเล่ยไม่เคยปฏิเสธเรื่องที่ซูเมี่ยวจินต้องการทำทั้งคู่ไปที่ร้านบะหมี่ไม่ไกลนักเพื่อความรวดเร็ว เมื่อเช้าพวกเขากินข้าวกันมาแล้วทำให้ไม่ค่อยหิวสักเท่าไหร่“ภรรยา คุณคิดว่าการสอบใบขับขี
ห้าโมงสิบนาที คนเริ่มเข้าร้านเยอะขึ้นเรื่อย ๆ หลายคนสนใจวิทยุกับพัดลมของร้านที่ราคาไม่แพงอย่างที่พวกเขากังวล ฉางเล่ยที่หาสัญญาณช่องละครเจอแล้วจึงปลีกตัวมาช่วยซูเมี่ยวจินขายของและนำสินค้าใส่กล่องให้ลูกค้าที่ซื้อแล้วลูกค้าหลายคนมานั่งดูละครพร้อมกับพ่อฉางที่นำเก้าอี้มาวางเอาไว้ให้ลูกค้าใกล้ ๆ กับหน้าโต๊ะทีวี ฉางชิงหยูยังชวนหนุ่มสาวโรงงานพูดคุยไปด้วยอย่างไม่ถือตัว ทำให้หลายคนกล้าที่จะนั่งดูละครสนุก ๆ ที่พวกเขาไม่เคยดูมาก่อนลูกค้าที่ซื้อวิทยุไม่สนใจจะนั่งดูละครกับคนอื่น ๆ พวกเขารีบกลับบ้านไปเปิดวิทยุของตัวเองฟังแทนจะสะดวกกว่า ไม่นานนัก พัดลมและวิทยุก็ขายหมด ทำให้ลูกค้าหลายคนต้องสั่งจองและวางมัดจำสั่งสินค้าเอาไว้ก่อน ส่วนทีวีใช่ว่าจะไม่มีคนสนใจ เพียงแต่ราคาของมันสูงเกินไป คนส่วนใหญ่จึงสั่งจองวิทยุแทนซูเมี่ยวจินกับฉางเล่ยช่วยกันทำงาน โดยซูเมี่ยวจินจดชื่อและเงินมัดจำที่ลูกค้าจ่ายไว้ ส่วนฉางเล่ยก็เก็บเงินมัดจำให้ภรรยา กว่าทั้งสองคนจะรับคำสั่งซื้อจากลูกค้าเสร็จ ฟ้าก็มืดลงพร้อมกับที่ละครจ
ฉางเล่ยกับพ่อที่ยกตู้เย็นไปไว้ในครัว พวกเขาลองเสียบปลั๊กดูก็พบว่าตู้เย็นนี้ดีจริง ๆ ถึงแม้ว่าที่นี่จะไม่มีบ่อน้ำแช่อาหารเหมือนบ้านเก่า แต่พอมีตู้เย็นเครื่องนี้แล้ว การเก็บอาหารสดก็ไม่มีปัญหาอีกต่อไป“ลูกสะใภ้ดีกับบ้านเราจริง ๆ นะอาเล่ย ต่อไปแกต้องดูแลเธอให้ดี ๆ ล่ะ” พ่อฉางบอกลูกชาย เขากลัวว่าฉางเล่ยจะไม่รู้วิธีดูแลภรรยา“ผมทราบครับพ่อ เธอดีกับพวกเรามาก ผมจะไม่ทำให้เธอต้องเสียใจแน่ครับ” ฉางเล่ยรับปากพ่อของเขาอย่างหนักแน่น“ลูกคิดได้ก็ดีแล้ว ไปดูทีวีที่เมี่ยวจินซื้อมากันเถอะ พ่อไม่รู้ว่าจะยกไปไว้ที่ไหน”“ผมว่าเราไปถามเมี่ยวจินก่อนดีกว่าไหมครับพ่อ เผื่อว่าเราต้องทำโต๊ะวางขึ้นมาสักตัวหนึ่งจะได้รีบทำกัน ไม้ยังเหลืออีกมาก” ฉางเล่ยบอก“ก็ดีเหมือนกันนะ ไปกันเถอะ” ฉางชิงหยูพยักหน้ารับคำลูกชายสองพ่อลูกออกจากห้องครัวพร้อมกันเพื่อสอบถามซูเมี่ยวจินซึ่
ซูเมี่ยวจินปิดท้ายกระบะอย่างแน่นหนา จากนั้นจึงเดินไปหาร้านอาหารกินก่อนจะไปเดินเลือกซื้อเครื่องครัวให้แม่สามี ระหว่างกินอาหารเธอก็สอบถามพนักงานในร้านว่าร้านขายเครื่องครัวไปทางไหนเพื่อไม่ให้เสียเวลา ใครใช้ให้ตลาดค้าส่งแห่งนี้กว้างมากจนเธอไม่อยากเดินหาเองซูเมี่ยวจินกินข้าวเที่ยงเสร็จในเวลาไม่นาน เธอจ่ายค่าอาหารและเดินออกจากร้านไปทางทิศตะวันออกซึ่งเพิ่งถามมาอย่างรวดเร็ว ไม่นานซูเมี่ยวจินก็มองเห็นร้านค้าหลายร้านที่มีเครื่องครัวหลากหลายอย่างขายอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเตาแก๊ส ถังแก๊ส ตู้เก็บอาหารและถ้วยชาม ซูเมี่ยวจินคิดถึงห้องครัวที่อยู่ติดโกดังก็อยากซื้อตู้เก็บของในครัวให้แม่สามีด้วย เพราะตู้หลังหนึ่งราคาแค่ 150 หยวน และขนาดของมันก็ยังสามารถใส่ท้ายรถที่มีพื้นที่เหลืออยู่ได้ซูเมี่ยวจินเลือกเดินดูอีกสองสามร้าน เธอเห็นว่าราคาไม่ได้ต่างกันมาก ซูเมี่ยวจินจึงเดินกลับไปยังร้านใหญ่ก่อนหน้านี้ เธอเรียกพนักงานขายมานำเตาแก๊สสองหัว ถังแก๊สและตู้เก็บของหลังหนึ่งมาใส่รถเข็นไว้ให้ก่อน ส่วนพวกหม้อ กระทะและเครื่องครัวอื่น ๆ เธอก็เลือก
“ภรรยาขับรถดี ๆ นะครับ ผมเป็นห่วง” ฉางเล่ยเตือน เพราะเขาไม่ได้ไปด้วยจึงห่วงซูเมี่ยวจินมากเป็นพิเศษ“ฉันรู้ค่ะ ฉันจะระวัง คุณอย่ากังวลมากเลยนะคะ” ซูเมี่ยวจินปลอบหลังมื้อค่ำผ่านไป พวกเขาก็แยกย้ายกันไปอาบน้ำพักผ่อน ฉางเซียงจูยังคงนั่งอ่านหนังสือต่อเหมือนเช่นทุกวัน เธอไม่กล้าเกียจคร้าน เพราะเธอเป็นความหวังเดียวในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยของครอบครัวสายวันต่อมา ซูเมี่ยวจินนับเงินในกระเป๋าเพื่อเตรียมเดินทางเข้ามณฑลไปซื้อของกลับมาขายที่ร้าน เสียงระบบเอาแต่รบเร้าให้เธอแลกเปลี่ยนทองที่มันเก็บอยู่เป็นเงินเพิ่มอีกเพื่อใช้ลงทุนค้าขาย เพราะหลังจากที่ซูเมี่ยวจินได้รับโฉนดร้านค้า ระบบก็มอบความสามารถพิเศษให้แก่ซูเมี่ยวจินแล้ว มันอยากให้ซูเมี่ยวจินไปทดลองใช้ความสามารถพิเศษในการซื้อหินหยก น่าเสียดายที่ซูเมี่ยวจินไม่สนใจ[อย่าพูดมากน่า ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา รอให้ฉันจัดการร้านค้าเสร็จก่อน ฉันจะพาฉางเล่ยไปเมืองชายแดนเพื่อซื้อหินหยกเอง]
หลังอาหารมื้อเช้าที่พ่อกับแม่ไปตลาดซึ่งอยู่ไม่ไกลจากร้านค้าซื้อมา ฉางเล่ยกับฉางชิงหยูออกไปที่หมู่บ้านด้วยรถยนต์เพื่อขนไม้มาทำชั้นวาง ซูเมี่ยวจินกับแม่ฉางช่วยกันติดราคานาฬิกาและวางเรียงเอาไว้ในตู้กระจกหน้าร้าน ฉางเซียงจูก่อนออกจากบ้านยังบอกทุกคนว่าเธอจะไปประกาศบอกเพื่อนในโรงเรียนว่าบ้านเธอขายนาฬิการาคาไม่แพง เพราะนาฬิกาแบบใส่ถ่านที่แม่กับพ่อเธอซื้อมานั้นราคาถูกกว่านาฬิกาไขลานที่พี่สะใภ้ซื้อมาเกือบสองเท่า เธอจึงคิดว่าเพื่อนที่มีเงินในโรงเรียนน่าจะสนใจมาซื้อของที่บ้านเธอ ซึ่งพี่สะใภ้บอกว่าถ้าติดราคาเสร็จจะลองเปิดหน้าร้านขายดูก่อนก่อนมื้อเที่ยง ฉางเล่ยกับพ่อฉางก็กลับมาจากไปตัดไม้ พวกเขาช่วยกันขนไม้ลงมาวางที่ลานหลังร้านและล้างมือล้างไม้ไปกินข้าวเที่ยงพร้อมแม่ฉางกับซูเมี่ยวจินที่ตั้งโต๊ะรอมาสักพักแล้ว“ทำไมตัดไม้มาเยอะแบบนี้ล่ะคะ” ซูเมี่ยวจินเห็นกองไม้มากมายเข้าก็อดจะถามไม่ได้“ผมกับพ่อคิดจะทำเก้าอี้เอาไว้ให้ลูกค้านั่งรอในร้านด้วยน่ะครับ” ฉางเล่ยยิ้มตอบ
ความคิดเห็น