LOGIN"หลี่หยางเฉิงองค์ชายแคว้นต้าหยาง ผู้เปี่ยมด้วยคุณธรรม ถูกวางไว้เป็นไท่จื่อในอนาคตอันใกล้ ใชคชะตาเล่นตลก มารดาถูกใส่ความฐานคิดกบฏจนถูกประหาร สิบสองปีแห่งการลวงโลก แฝงกายเป็นเพียงคนไร้ชื่อ รอวันทวงแค้น
View Moreแคว้นต้าหยาง รัชสมัยหลงเต๋อปีที่แปด ยามเว่ยที่ท้องฟ้าควรทอประกายด้วยแสงแห่งรุ่งอรุณ บัดนี้กลับมีเมฆครึ้ม สีดำทะมึนแผ่ปกคลุมทั่วหล้า สายลมเย็นยะเยือกพัดโหมกระหน่ำราวสวรรค์พิโรธ กวาดเอาใบไม้แห้งปลิวว่อนราวกับวิญญาณแค้นทวงความเป็นธรรม เสียงฟ้าร้องคำรามกึกก้อง เสมือนเสียงโกรธเกรี้ยวของสวรรค์ ตามมาด้วยอัสนีบาตที่ฉายแสงสว่างวูบไหวไปทั่วทั้งฟ้า เหล่าขันทีนางกำนัลต่างหาชายคาหลบซ่อนความพิโรธจากสวรรค์ มีเพียงองค์ชายรองหลี่หยางเฉิง วัยสิบปีที่ยังคุกเข่าอยู่หน้าตำหนักเฉวียนชิง ดวงตาสิ้นหวังยังจ้องมองไปยังประตูพระตำหนักไม่ละไปไหน
“องค์ชาย~ ลุกขึ้นเถิดพ่ะย่ะค่ะ หากพระองค์ทรงประชวร เหล่าบ่าวไพร่ทั้งตำหนักต้องเดือดร้อนแน่” เจากงกง ขันทีข้างกายฮ่องเต้ พยายามหว่านล้อมให้องค์ชายยอมถอยด้วยความจนใจ
“เสด็จพ่อ! เสด็จแม่ถูกใส่ความ โปรดไต่สวนใหม่ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
หยางเฉิงไม่สนใจเจากงกง ยังคงร้องอ้อนวอนฮ่องเต้ที่อยู่ในตำหนัก เสียงหน้าผากที่กระทบพื้นครั้งแล้วครั้งเล่าทำขันทีเฒ่าสุดจะเวทนา
“องค์ชายหยุดเถอะพ่ะย่ะค่ะ พระโลหิตไหลมากแล้ว” ขันทีน้อยนั่งร้องห่มร้องไห้ห้ามผู้เป็นนายท่ามกลางสายฝน
“เสด็จพ่อทรงเมตตาด้วย เสด็จพ่อทรงเมตตาด้วย”
หยางเฉิงไม่สนใจเสียงรอบข้าง เสียงเดียวที่เขาอยากได้ยินในตอนนี้คือเสียงของเจ้าของตำหนักเฉวียนชิง ไม่นานเจ้ากรมอาญาก็อัญเชิญราชโองการออกมา ดวงตาของขุนนางวัยชราจ้องมองเด็กหนุ่มที่ยังคุกเข่า แววตาเต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ หยางเฉิงเงยหน้ามองขุนนางตรงหน้า แววตาที่เขาเห็นนั้นคาดเดาได้ไม่ยากว่าไม่ใช่ข่าวดี
“ราชโองการฮ่องเต้ หวงกุ้ยเฟยแซ่ฟู่ นามหรงเยว่ คิดการกบฏ สืบข่าวต้าหยางให้แคว้นต้าเหลียง หวงกุ้ยเฟยละอายใจ รับสารภาพ ด้วยความดีเก่าก่อนร่วมปราบกบฏ ละเว้นการประหาร ทรงพระราชทานเหล้าหนึ่งจอกเป็นรางวัล ขันทีนางกำนัลประทานผ้าขาวคนละหนึ่งผืน”
สิ้นเสียงประกาศ อัสนีบาตก็พาดผ่านท้องฟ้าเสียงดังลั่น ดวงตาของหยางเฉิงเบิกกว้าง ก่อนจะรีบวิ่งไปยังตำหนักเยว่ฮวา ในเวลาเช่นนี้ เด็กหนุ่มเช่นเขาคุกเข่าอ้อนวอนผู้คนมากมาย แต่ไม่มีผู้ใดยอมยื่นมือเข้าช่วย แม้ทุกคนรู้อยู่เต็มอกว่ามารดาของเขาถูกใส่ความ แต่ทุกคนพร้อมที่จะเห็นนางต้องสิ้นใจ
ตำหนักเยว่ฮวาเกิดโกลาหลครั้งใหญ่ เหล่าขันทีนางกำนัลวิ่งหนีตายเอาตัวรอด บ้างก็รับผ้าขาวเดินเข้าห้องแต่โดยดี ประตูตำหนักเปิดอยู่เบื้องหน้า ทว่าทหารมากมายกลับขวางไม่ให้องค์ชายรองเช่นเขาได้ก้าวผ่าน
“ปล่อยข้า! ปล่อยข้านะ เสด็จแม่! เสด็จแม่!” น้ำตาบุรุษไหลอาบแก้ม องค์ชายรองที่เคยเข้มแข็งองอาจมาตั้งแต่วัยเยาว์ นี่คือครั้งแรกที่เหล่าข้าราชบริพารได้เห็นน้ำพระเนตรของบุรุษวัยเยาว์ผู้นี้
“ปล่อยข้า!”
แม้จะแข็งแกร่งเพียงใด ทว่าเขายังเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่พละกำลังไม่อาจเทียบเท่าทหารหลายสิบคนได้ ดวงตาแดงก่ำจ้องมองไปในห้องบรรทมของมารดาที่ถูกปิดสนิท ในวาระสุดท้ายของชีวิตพระนาง โอรสเช่นเขาไม่ได้เอ่ยลา ไม่ได้อยู่ส่งเสด็จเสียด้วยซ้ำ เพียงไม่นาน เสียงร้องห่มร้องไห้จากในตำหนักก็ดังขึ้น พร้อมกับหัวใจของหยางเฉิงที่แหลกสลาย
“เสด็จแม่!!”
เสียงตะโกนลั่นสุดกำลังในครั้งนี้ไม่ได้ถูกขวางโดยเหล่าทหาร หยางเฉิงในวัยเยาว์วิ่งถลาเข้าไปยังห้องบรรทม บัดนี้ร่างของมารดานอนแน่นิ่งอยู่บนแท่นบรรทม หรงเยว่ฉลองพระองค์ด้วยอาภรณ์เช่นบุรุษ ดั่งชุดแรกที่นางได้พบกับฮ่องเต้ ในมือยังกุมปิ่นหยกที่เขามอบให้นางในวันที่ขอให้นางมาเป็นคู่ชีวิต เหล่านางกำนัลข้างกายของหรงเยว่ถูกทหารลากออกไปจนหมด หลังจากที่พวกนางทำหน้าที่ส่งเสด็จหวงกุ้ยเฟยเป็นครั้งสุดท้าย
“เสด็จแม่ฟื้นสิพ่ะย่ะค่ะ~ ไหนท่านเคยสัญญากับลูกไว้ว่าวันเกิดลูกปีนี้ ท่านจะพาข้ากลับไปหาท่านตา กลับไปบ้านเกิดที่เขาอู่ถง ท่านฟื้นสิ!” น้ำตาบุรุษที่หลั่งไหล แม้เป็นเพียงเด็กทว่าก็บ่งบอกได้ถึงความเจ็บปวด เพียงไม่นานก้อนโลหิตกลางอกก็ไหลจุกที่ลำคอ ก่อนที่หยางเฉิงจะกระอักเลือดออกมา
“องค์ชาย! องค์ชาย!” กัวเจียงเฟิง ขันทีน้อยข้างกายลนลานเข้ามาประคองก่อนที่ดวงตาของหยางเฉิงจะค่อย ๆ ปิดลง
สามวันนับจากการจากไปของหวงกุ้ยเฟย
ภายในตำหนักหานเยวี่ย บุรุษในชุดคลุมมังกรยังคงนั่งอยู่ข้างเตียงโอรส สายพระเนตรเจือไปด้วยความห่วงใย ดั่งที่ไม่เคยมีให้ผู้ใดมาก่อน ยกเว้นหรงเยว่ ยังทอดมองหยางเฉิงไม่วางตา
“หรงเอ๋อร์ ข้าผิดสัญญาต่อเจ้าแล้ว… เพียงแค่เจ้าสิ้นใจ หยางเฉิงก็สิ้นสติ ไม่ฟื้นตื่น”
ฮ่องเต้หลี่เทียนอี้ตรัสพึมพำเพียงลำพัง มีเพียงเจากงกงเท่านั้นที่รู้ว่า เหตุใดฮ่องเต้ถึงยอมสั่งประหารพระชายาที่รักสุดหัวใจ
“ฝ่าบาท ถึงเวลาว่าราชการเช้าแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เจากงกงทูลเสียงเบา
“ข้าไม่อยากเห็นหน้าคนพวกนั้น… คนที่บีบบังคับให้ข้าต้องปล่อยหรงเยว่ไป ครานี้ก็คงจะบีบให้ข้าละทิ้งหยางเฉิงเป็นแน่” น้ำเสียงของฮ่องเต้แฝงความเจ็บแค้นไม่น้อย แม้จะตรัสเช่นนั้น แต่ฐานะฮ่องเต้แห่งแคว้นต้าหยาง ก็ยังต้องเสด็จว่าราชการเช่นเดิม
ไม่นาน หยางเฉิงก็ค่อย ๆ ปรือตาตื่นจากหลับใหลนับสามวัน หมอหลวงรีบเข้ามาตรวจพระอาการอย่างเร่งด่วน
“เสด็จแม่ข้าเล่า?”
เหล่าหมอหลวงต่างหยุดชะงักเมื่อไม่อาจตอบคำถามขององค์ชายได้
“องค์ชายทรงหลับไปสามวัน พระศพของหวงกุ้ยเฟยถูกฝังที่สุสานหลวงแล้วพ่ะย่ะค่ะ” หมอหลวงหลิว หัวหน้าหมอหลวง กล่าวบอกความจริงกับองค์ชายรอง
หยางเฉิงนอนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะเสียงดังลั่นจนเหล่าหมอหลวงตกใจ ทว่าหมอหลวงหลิวกลับยืนนิ่งไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ดวงตาสีนิลของหยางเฉิงเต็มไปด้วยความรู้สึกแตกสลาย น้ำตาที่ควรจะพรั่งพรู กลับแห้งเหือดจนผิดปกติ
“ท่านหมอหลิว ดูจากพระอาการแล้ว ข้าว่าองค์ชายคงป่วยด้วยโรคทางใจ หากปล่อยไปเช่นนี้ เกรงว่า...” หนึ่งในหมอหลวงไม่กล้าเอ่ยต่อ
“เกรงว่าองค์ชายรองคงจะกลายเป็นคนบ้าแล้ว” หมอหลวงอีกคนกล่าวเสียงเบา
เสียงหัวเราะ พร้อมเสียงเรียกหามารดาไม่ขาดปากของหยางเฉิง ดังทั่วตำหนักอยู่ราวหนึ่งชั่วยาม ก่อนจะสงบลงด้วยฤทธิ์ยาสงบใจของหมอหลวง ฮ่องเต้ได้แต่จ้องมองโอรสด้วยความปวดใจ
“หมอหลิว ลูกข้าเป็นอันใดกันแน่” บัดนี้ในห้องบรรทมหยางเฉิง เหลือเพียงฮ่องเต้ และหมอหลวงหลิวเท่านั้น
“เกรงว่าองค์ชายรองจะทรงป่วยเพราะใจสลาย หากจิตใจไม่เข้มแข็ง เกรงว่าพระองค์จะต้องกลายเป็นคนบ้าแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“อย่างไรเจ้าก็ต้องรักษาลูกข้าให้หาย เขาคือสิ่งเดียวที่หรงเยว่เหลือไว้ให้ข้า” ฮ่องเต้หลี่เทียนอี้กำพระหัตถ์แน่น
“พระองค์ไม่คิดว่านี่จะดีกับองค์ชายรองหรอกหรือพ่ะย่ะค่ะ… เป็นคนบ้า อย่างน้อยก็จะได้ไม่ต้องถูกคนพวกนั้นคิดสังหารอีก” หลิวซื่ออัน ผู้เป็นคนจากเขาอู่ถงเช่นเดียวกับฟู่หรงเยว่ เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ด้วยเขาเองก็ห่วงใยโอรสองค์นี้ของฮ่องเต้ ยิ่งกว่าโอรสองค์อื่น ๆ
“แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่หรงเยว่ต้องการ” ฮ่องเต้หันไปจ้องมองบุรุษผู้นั้น ที่เป็นดั่งสหายเก่า บุรุษที่ยอมละทิ้งบ้านเกิดเพื่อมาเป็นหมอหลวง
ไม่นาน หยางเฉิงก็รู้สึกตัวอีกครั้ง แต่ครานี้กลับไม่มีทีท่าโวยวาย ดวงตาแห่งความโกรธแค้น จ้องมองบิดาอย่างไม่ปิดบัง
“ข้ารู้ว่าเจ้าเกลียดข้า พ่อเองก็เจ็บปวดไม่ต่างกับเจ้า แต่นี่คือหนทางที่แม่เจ้าเลือกแล้ว” หลี่เทียนอี้เอ่ยกับเด็กหนุ่มที่ยังนอนอยู่บนเตียง
“ท่านหมายความว่าอย่างไร?”
ฮ่องเต้ไม่ได้ตอบคำถามของโอรส แต่ยื่นจดหมายของหรงเยว่ให้เขาแทน
“นี่คือคำอธิบายจากแม่ของเจ้า”
หยางเฉิงรีบคว้าจดหมายนั้นลุกขึ้นอ่าน ลายมือนั้นเป็นของมารดาเขาไม่ผิดแน่ แต่เนื้อความด้านในกลับทำให้เขาอยากปฏิเสธ
ผู้เป็นมารดาเขียนว่า นางป่วยด้วยโรคที่แม้แต่หมอหลิวก็ไม่อาจรักษาได้ นางอดทนกับความเจ็บปวดมานานหลายปี ครานี้จึงยอมรับโทษเป็นไส้ศึก หวังตำแหน่งฮองเฮาเมื่อแคว้นต้าเหลียงยึดแคว้นต้าหยางได้ เพื่อไม่ให้ขุนนางเหล่านั้นกล่าวหาฮ่องเต้ ว่าหลงมัวเมาอิสตรี และเพื่อให้คนเหล่านั้นยอมปล่อยหยางเฉิง รวมถึงไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับทุกคนบนเขาอู่ถง
เมื่ออ่านจบ มือของหยางเฉิงพลันไร้เรี่ยวแรง ทั้งร่างสั่นเทา ดวงตาแดงก่ำ จ้องมองสลับระหว่างฮ่องเต้กับหมอหลวง
“เสด็จแม่ประชวร… ทำไมข้าถึงไม่รู้”
“เพราะหวงกุ้ยเฟยไม่อยากให้องค์ชายเป็นทุกข์พ่ะย่ะค่ะ” หมอหลวงหลิวทูลตอบแทนฮ่องเต้ ที่บัดนี้ก็ทรงอารมณ์ไม่มั่นคงเช่นกัน
“แล้วเสด็จพ่อจะปล่อยให้คนที่มันใส่ความเสด็จแม่ ต้องอยู่อย่างมีสุขเช่นนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ!” หยางเฉิงจ้องมองบิดาด้วยความขุ่นเคือง แม้มารดาของเขาจะยินยอมกระทำเช่นนั้นเอง แต่ฝ่าบาทผู้เป็นสามีของนางจะนิ่งดูดายได้เช่นนี้หรือ
“หากเจ้าคิดอยากแก้แค้น ตัวเจ้าต้องมีกำลัง หากเจ้าคิดจะทวงความเป็นธรรมให้มารดา ตัวเจ้าต้องแข็งแกร่งกว่านี้” หลี่เทียนอี้จ้องมองโอรสองค์รอง ราวกับเห็นตัวเองในอดีต
หลี่หยางเฉิงทนเห็นนางเสียใจไม่ได้อีก มือแกร่งกุมมือนางไว้แน่น ก่อนจะหันไปหากู้เผยอี้ “พอเท่านี้เถิด เจ้ากลับไปก่อน” กู้เผยอี้ก็มีความคิดไม่ต่างกัน เขาย่อมรู้ว่าเรื่องนี้สะเทือนใจนางมากเพียงใด เขาจึงเตรียมลุกขึ้นจะจากไป “หม่อมฉันอยากรู้เรื่องราวทั้งหมด” เสียงสั่นเครือเอ่ยขัดการกระทำของบุรุษทั้งสอง แววตาดื้อรั้นมองหลี่หยางเฉิงสลับกับกู้เผยอี้ “เจ้าเล่ามาทั้งหมด” นางหันมาสั่งกู้เผยอี้ ทั้งที่ตัวนางเองก็ไม่รู้ว่าตนจะรับเรื่องราวต่อจากนี้ได้หรือไม่ กู้เผยอี้มองไปยังหยางเฉิงที่พยักหน้าให้ตน แล้วจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้กับนางได้รับรู้ “ท่านแม่กระหม่อมกับใต้เท้าซูมีใจให้กันตั้งแต่ก่อนที่เขาจะเข้ามาสอบจอหงวนในเมืองหลวง ตอนนั้นทั้งสองมีสัมพันธ์ลึกซึ้งโดยไม่บอกผู้อาวุโสของทั้งสองตระกูล เมื่อใต้เท้าซูสอบได้จอหงวน มารดาก็คลอดกระหม่อมพอดี ท่านตากระหม่อมทนอับอายไม่ไหวจนล้มป่วย สุดท้ายก็ตายจากไป ทิ้งให้ท่านแม่เลี้ยงดูกระหม่อมเพียงลำพัง นางเคยพากระหม่อมดั้นด้นมาพบใต้เท้าซูที่เรือน ตอนนั้นกระหม่อมอายุ
ฮ่องเต้เทียนอี้เหลือบมองโอรสที่ยังนิ่งเฉย ทว่าความซุกซนในแววตากลับหายไป ในใจเขาก็รู้ทันทีว่าเรื่องนี้เป็นหลี่หยางเฉิง ที่วางหมากไว้แล้ว ครึ่งปีที่คิดว่าโอรสของเขายังคงนิ่งเฉยเรื่องมารดา ที่แท้โอรสคนรองของตนกลับเดินหมากอย่างเงียบ ๆ แม้แต่ตระกูลเหรินก็ยังตกเป็นหมากของฉินอ๋อง “ได้! หลางหลานจิ้นรับราชโองการ!” ฮ่องเต้นั่งตัวตรงพร้อมประกาศเสียงดัง หลางหลานจิ้น ไม่อาจรอช้า รีบออกมาหน้าบัลลังก์คุกเข่ารับราชโองการอีกครั้ง “ข้าฮ่องเต้หลี่เทียนอี้ สั่งให้เจ้ากรมอาญาหลางหลานจิ้น รื้อคดีกบฏหวงกุ้ยเฟยฟู่หรงเยว่ขึ้นมาใหม่ คืนความเป็นธรรมให้ผู้บริสุทธิ์!” สิ้นดำรัสของฮ่องเต้ ขุนนางเกือบครึ่งราชสำนักต่างมีทีท่ารนลาน ใบหน้าซีดเผือดจนเห็นได้ชัด เกือบครึ่งวันที่เหล่าขุนนางและผู้เกี่ยวข้องถูกกักตัวรอฟังการตัดสินคดีที่ท้องพระโรง เมื่อทุกอย่างจบลงทุกคนก็ทยอยออกจากวังหลวง กู้เผยอี้ ที่กำลังยืนรอพบฉินอ๋องอยู่หน้าวัง กลับต้องเผชิญหน้ากับซูจิ้งซวน เสียก่อน บุรุษหนุ่มเพียงทำเป็นมองไม่เห็น ใบหน้างามดั่งหยกนิ่งเฉยไร้อารมณ์
คำพูดของหลินซือเหยียนไม่มีผู้ใดเชื่อ ในเมื่อลายมือนั้นถูกเทียบกับอักษรที่นางเคยเขียนแล้วว่าเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน “หลักฐานเป็นที่ประจักษ์เช่นนี้ เจ้ายังกล้าปฏิเสธอีกหรือ! ต่อหน้าฮ่องเต้เจ้าไม่กลัวหัวหลุดจากบ่าหรืออย่างไร!” หลางหลานจิ้นตวาดนักโทษเสียงดังลั่น “อ่าน!” ฮ่องเต้ตรัสเสียงดัง หลางหลานจิ้นหันไปค้อมกายรับคำสั่งจากฮ่องเต้ ก่อนอ่านเนื้อหาจดหมายเสียงดังให้ได้ยินทั่วท้องพระโรง “เฉินกู้เฉียง เจ้าจงเขียนจดหมายลับการติดต่อระหว่างอ๋องต้าเหลียงกับคนตระกูลเหริน ให้จวิ้นอ๋องและครอบครัวได้รับโทษโดยเร็ว เมื่อข้าได้ขึ้นเป็นฮูหยินเอกตระกูลซู จะตอบแทนเจ้าอย่างงาม” เสียงอื้ออึงดังทั่วท้องพระโรง ซูจิ้งซวนไม่กล้าแม้แต่เงยหน้ามองคนตระกูลเหริน ต่างจากบุรุษตระกูลเหรินทั้งสามที่ต่างโกรธแค้นสตรีชั่วช้าผู้นี้เป็นอย่างมาก หากไม่อยู่ต่อหน้าพระพักตร์ เกรงว่าหลินซือเหยียนคงสิ้นลมหายใจไปนานแล้ว ซูอวี้หนิงแม้รู้มาก่อน ทว่าเมื่อได้ยินเนื้อความในจดหมาย นางก็ไม่อาจกลั้นน้ำตาแห่งความโกรธแค้นได้ แลความรู้สึกสงสารมารดา
หลังจากปล่อยให้คนตระกูลหลินกลัดกลุ้มมานาน กรมอาญาก็เปิดไต่สวนคดีของถูเอ้อกัง ขุนนางปลายแถวของสำนักศึกษาหลวง เนื่องจากคดีนี้เกี่ยวพันกับจวิ้นอ๋อง ขุนนางขั้นหนึ่งของราชสำนัก อีกทั้งยังเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการบุกเบิกราชวงศ์ร่วมกับอดีตฮ่องเต้ เป็นอาจารย์ของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน และยังเป็นบิดาของพระชายาในยามที่ฮ่องเต้ยังดำรงตำแหน่งไท่จื่อ ฮ่องเต้จึงทรงมีพระบัญชาให้มีการไต่สวนขึ้นภายในท้องพระโรง โดยมีขุนนางใหญ่แห่งราชสำนักเข้าร่วมรับฟังคำตัดสิน ซูอวี้หนิงได้รับพระราชานุญาตให้เข้าร่วมรับฟังและเป็นพยานในคดีนี้ ส่วนหลี่หยางเฉิง ซึ่งตามปกติไม่มีเหตุผลจำเป็นต้องเข้าร่วม เนื่องจากเขาเป็นเพียงคนบ้านสติฟั่นเฟือน คำให้การจึงไร้น้ำหนัก ทว่าครั้งนี้เขากลับดื้อรั้นเข้าร่วม โดยอ้างว่าตนเคยถูกลอบสังหารขณะพักรักษาตัวอยู่ที่อำเภอไป่เหอ แท้จริงแล้วเขาเพียงต้องการมาอยู่เคียงข้างซูอวี้หนิงเท่านั้น ภายในท้องพระโรง ฮ่องเต้ประทับเหนือบัลลังก์มังกร เบื้องหน้าคือ หลางหลานจิ้น เจ้ากรมอาญาเป็นผู้ดำเนินการตัดสินคดี โดยมีขุนนางน้อยใหญ่ยืนเรียงรายสองฟาก เหล่าองค์ชายตั้งแต่อายุสิบชัน
เหรินชิงหยูคุกเข่าลงกับพื้นอีกครั้ง โดยมีบุตรชายทั้งสองคุกเข่าตามบิดาอย่างไม่เอ่ยวาจา ชายชรารู้สึกทั้งซาบซึ้งและละอายใจ ตระกูลเหรินสามารถรอดมาได้ก็แน่นอนว่าเพราะความช่วยเหลือของฉินอ๋อง ทว่าครั้นเมื่อสิบสองปีก่อน พวกเขากลับนิ่งเฉย ปล่อยให้หวงกุ้ยเฟยต้องถูกประหารอย่างไม่เป็นธรรม “กระหม่อมขอบพระทัยท่านอ๋องที่ทรงเมตตาช่วยเหลือพ่ะย่ะค่ะ” หยางเฉิงยังคงยกชาขึ้นดื่ม สีหน้าเรียบนิ่งไร้อารมณ์ ดวงตาเยือกเย็นที่เก็บงำความรู้สึกมานานนับสิบสองปีค่อย ๆ เหลือบมองบุรุษที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้า “ข้าไม่ได้ต้องการคำขอบคุณจากตระกูลเหริน” เสียงทุ้มเย็นเฉียบเอ่ยขึ้น เหรินชิงหยูที่ผ่านประสบการณ์มานานหลายปีพอคาดเดาได้ถึงสิ่งที่ชายหนุ่มต้องการ แต่กระนั้นก็ได้แต่ภาวนาให้ตนเองคาดเดาผิด “ท่านอ๋องโปรดรับสั่งเถิดพ่ะย่ะค่ะ” ชายชราเอ่ยอย่างจำนน ด้วยครั้งเมื่อถูกเนรเทศ เขาเคยร้องขอฉินอ๋องให้ช่วยเหลือตระกูลเหริน แม้กระทั่งตราประจำตระกูลก็ยังยกให้แก่ฝ่ายนั้นไป “หึ! ข้าว่าจวิ้นอ๋องรู้อยู่แล้วล่ะ” หลี่หยางเฉิงหัวเราะในลำคอ พ
ซูอวี้หนิงคล้ายฝันไป นางไม่นึกฝันว่าบุรุษตรงหน้านี้จะมีใจให้นาง ชั่วขณะหนึ่งร่างกายของนางจึงแข็งทื่อ “แล้วเจ้าเล่า มีใจให้ข้าบ้างหรือไม่?” หลี่หยางเฉิงที่สัมผัสได้ว่าหญิงสาวในอ้อมกอดนิ่งงันไป จึงถามด้วยความไม่แน่ใจ อวี้หนิงไม่รู้จะตอบเขาเช่นไร นางห่วงใยเขาตั้งแต่ยังเป็นเพียงเด็กน้อย และจนถึงตอนนี้ความรู้สึกนั้นก็ไม่เคยจางหาย นางปรารถนาให้เขามีความสุข แม้ต้องแลกด้วยชีวิตของตนก็มิใส่ใจ ทว่านางคิดว่านั่นคือความห่วงใยเช่นน้องสาวมีต่อพี่ชาย ทั้งความรู้สึกของนางที่มีต่อฉู่อ๋องก็แตกต่างจากที่มีให้ฉินอ๋อง ร่างบางจึงไม่ได้มั่นใจนัก หากแต่ในใจนางรู้ดีว่าหยางเฉิงสำคัญยิ่งกว่าผู้ใด และนั่นเป็นความจริง “หม่อมฉัน ยังไม่อาจตอบพระองค์ได้ ว่าความรู้สึกที่มีต่อท่านอ๋องตอนนี้คือความรักฉันชายหญิงหรือไม่ แต่หม่อมฉันยืนยันได้ว่าท่านอ๋องสำคัญกับหม่อมฉันยิ่งกว่าผู้ใด ท่านอ๋องจะให้เวลาหม่อมฉันได้หรือไม่เพคะ” นางเอ่ยเสียงเบา หยางเฉิงเมื่อได้ยินเช่นนั้น แม้ในใจจะผิดหวังอยู่บ้าง แต่เขาก็เข้าใจนางดี ในเมื่อตลอดเวลาที่ผ่านม






Comments