พอลืมตาตื่นขึ้น ลู่ซินฟาง ก็พบว่าตัวเองอยู่ในกระท่อมพุพังพร้อมกับลูกแฝด ซินฟางคนเก่าถูกสามีเลวทอดทิ้งอย่างน่าอดสู แต่ซินฟางคนใหม่ไม่ใช่คนที่หงอ รอให้คนอื่นมารังแกง่ายๆ หากชีวิตใหม่ต้องเริ่มจากศูนย์ เช่นนั้นก็มาลองกันสักตั้ง และนางจะใช้ชีวิตในโลกใหม่นี้พร้อมกับเลี้ยงลูกแฝดให้สุขสบายเอง!
Lihat lebih banyakบทที่ 1
ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกแฝด
แคว้นต้าเหลียน
หมู่บ้านกว่างซู เมืองเล่ออัน
ภายในกระท่อมเล็กที่ทรุดโทรมท้ายหมู่บ้าน
“ท่านแม่ ข้าหิวจังเลย ฮึก...”
เสียงเล็กๆ ของเด็กหญิงสะอึกสะอื้น ดังอยู่ข้างกายของหญิงสาว
“เป่าเอ๋อร์ ท่านแม่ป่วยอยู่ ห้ามเอาแต่ใจ”
คราวนี้เป็นเสียงเอ็ดของเด็กชาย
“แต่...แต่ข้าหิวนี่น่า ฮื่อๆ”
“ข้า...ข้าก็หิว ฮึก ฮือ...”
เด็กชายแบกรับความเข้มแข็งในฐานะพี่ชายไม่ไหวแล้วเหมือนกัน พูดประโยคนั้นจบก็ประสานเสียงร้องไห้กับน้องสาว
เสียงร้องไห้ของเด็กทั้งสองช่วยดึงสติของลู่ซินฟาง นางพยายามลืมตาที่หนักอึ้งขึ้น
เมื่อตื่นขึ้นแล้ว ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าคือกระท่อมผุพังที่ทำจากไม้กระดาน มีรอยแตกรอยรั่วหลายจุด มองไปก็เห็นโต๊ะกินข้าวเก่าซอมซ่อได้ทันที ส่วนเด็กน้อยที่กำลังนั่งกอดเข่าร้องไห้อยู่ข้างๆ นี้ อายุน่าจะราวๆ 3-4 ขวบ หน้าตาคล้ายกันอย่างกับแกะ คาดว่าคงเป็นฝาแฝด
ความทรงจำครั้งล่าสุดที่จำได้ สถานที่ที่ลู่ซินฟางอาศัยอยู่คือห้องในอะพาร์ตเม้นต์ย่านกลางเมืองที่เจริญแล้ว
ลู่ซินฟางที่ทำงานหนักติดต่อกันมาเป็นเดือน พอได้วันหยุดก็นอนอย่างเอาเป็นเอาตาย
ไม่คิดว่าความเหนื่อยล้าจากการทำงานหนัก จะทำให้เห็นภาพหลอน
ลู่ซินฟางปิดตาลงแล้วลืมขึ้นมาใหม่ ภาพที่เห็นก็ยังเป็นกระท่อมเก่าพุพังกับเด็กทั้งสองที่ฟุบหน้าร้องไห้จนไหล่สั่นเหมือนเดิม
ทันใดนั้นเอง ความทรงจำของลู่ซินฟาง(อีกคน)ก็วาบเข้ามาในหัว
เด็กชายหญิงที่กำลังร้องไห้อยู่นี้คือลูกแฝดของลู่ซินฟาง เด็กชายคนพี่ชื่อเฉิงเอ๋อร์ (ลู่เฉิง) เด็กหญิงคนน้องชื่อเป่าเอ๋อร์ (ลู่เป่า) ทั้งสองคนอายุ 4 ขวบกับอีก 5 เดือน
เพราะต้องอยู่อย่างอดมื้อกินมื้อ พวกเขาจึงตัวเล็กกว่าเด็กรุ่นเดียวกัน
หลังจากลู่ซินฟางถูกบ้านสามีเตะออกมาพร้อมกับหนังสือหย่า เด็กทั้งสองก็ใช้แซ่ลู่ ซึ่งเป็นแซ่ของแม่
ถึงจะถูกบ้านสามีไล่ออกมาแล้ว ลู่ซินฟางคนเก่าก็มีจิตใจที่เข้มแข็ง นางกลับมาอาศัยที่บ้านเดิมของมารดา บนที่ดินเล็กๆ นางปลูกผักทำสวน หาของป่าประทังชีวิตของตนและลูกๆ
อนิจจัง ผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ร่างกายป่วยกระเซาะกระแซะมานาน พอทรุดไปก็ไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลย และนี่ก็คือเหตุผลที่ลู่ซินฟางจากอีกโลกหนึ่งมาสวมร่างแทน
อย่างไรก็ตาม นางควรทำอะไรสักอย่างเพื่อให้เด็กทั้งสองหยุดร้องไห้
หญิงสาวยื่นมือออกไปตั้งใจจะลูบศีรษะเล็กๆ ที่ฟุบอยู่ข้างกาย ทันใดนั้นก็เห็นว่าแขนของนางทั้งผอมแห้งเหลือแต่กระดูก หนำซ้ำยังอ่อนแรงแทบยกไม่ขึ้น
ร่างกายนี้ทรุดโทรมขนาดไหนกันเนี่ย!
ลู่ซินฟางพยายามตั้งสติ รวบรวมกำลังอีกรอบ ยื่นมือที่สั่นเทาออกไปลูบศีรษะเล็กๆ ของลูกทั้งสองคน
“เป่าเอ๋อร์ เฉิงเอ๋อร์”
เสียงที่แหบแห้งทำให้รู้ว่าร่างกายนี้นอกจากป่วยกมานาน ยังขาดสารอาหารอีกด้วย
เด็กหญิงสะดุ้งโหยง เงยหน้าที่เปื้อนน้ำตามองมารดา
“ท่านแม่!”
พอเป่าเอ๋อร์ตะโกนอย่างนั้น เฉิงเอ๋อร์ก็เงยใบหน้าที่นองน้ำตาขึ้นพรวด ดวงตาไร้เดียงสาของเด็กน้อยมองมารดาด้วยความเป็นห่วง
“ท่านแม่ฟื้นแล้ว!”
แล้วเด็กทั้งสองก็ประสานเสียงร้องไห้อีกรอบ
“แง้...!”
ลู่ซินฟางยิ้มอย่างยากลำบาก
“แม่คงหลับไปนานจนทำให้พวกเจ้ากลัว”
“ข้า...ข้ากลัวมากเลย ฮื่อๆ” เป่าเอ๋อร์โผกอดหญิงสาวที่ยังนอนอยู่
“ฮึกๆ ข้ากลัว...กลัวว่าท่านจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีก” เฉิงเอ๋อร์พูดพลางสะอึกสะอื้น
ลู่ซินฟางน้ำตาคลอเบ้า
ทั้งที่นางมาสวมร่างนี้แทนคนอื่น เป็นแค่คนแปลกหน้า ไม่ได้คลอดเด็กพวกนี้ออกมา ก็ไม่รู้ทำไมถึงได้มีอารมณ์ความรู้สึกร่วมอย่างรุนแรง
“ท่านแม่ ต่อไปห้ามนอนนานๆ เช่นนี้อีกนะ” เฉิงเอ๋อร์ย้ำ
“อืม แม่สัญญา” ลู่ซินฟางรับปากอย่างจริงจัง “ต่อไปแม่จะไม่ทำตัวขี้เกียจ เอาแต่นอนแบบนี้อีกแล้ว แม่สัญญาว่าจะเลี้ยงดูพวกเจ้าอย่างดีด้วย”
เป่าเอ๋อร์ส่ายหน้า แก้มตอบของเด็กน้อยยังคงเต็มไปด้วยคราบน้ำตา “แค่ท่านแม่ไม่ทิ้งพวกเราไปก็พอ”
ตอนถูกบ้านสามีไล่ตะเพิดออกมา พวกเขาทำอย่างกับว่าทั้งสามคนเป็นสัตว์ก็ไม่ปาน ซ้ำยังกล่าวว่าเฉิงเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์ไม่ใช่ลูกในไส้ เด็กๆ อายุใกล้ 5 ขวบ โตพอจะรู้ความแล้ว ย่อมเข้าใจว่าคำพูดเหล่านั้น
ดังนั้นเด็กทั้งสองจึงไม่อยากถูกแม่ทอดทิ้งไปอีกคน
ลู่ซินฟางใช้ศอกยันตัวเองลุกขึ้นนั่งอย่างยากลำบาก ก่อนจะโอบกอดลูกทั้งสอง
“แม่จะไม่ทอดทิ้งพวกเจ้า”
นางให้สัญญา
ทันใดนั้นเอง เสียง ‘จ๊อก...’ ดังมาจากกระเพาะน้อยๆ ของเด็กทั้งสอง
เฉิงเอ๋อร์กับเป่าเอ๋อร์ร้อนรนจนหน้าแดงก่ำ
ลู่ซินฟางหัวเราะเบาๆ เพราะไม่ค่อยมีแรง
“หิวกันแล้วสินะ”
“มะ...ไม่หิว”
เด็กๆ ปฏิเสธทั้งที่แก้มยังแดงก่ำ พวกเขารู้ว่าในบ้านไม่มีอะไรเหลือแล้ว ถ้าบอกว่าหิว ท่านแม่ก็ลำบากออกไปข้างนอกเพื่อหาของมาให้พวกเขากิน ท่านแม่เพิ่งจะฟื้น ร่างกายอ่อนแอ ออกไปตอนนี้ต้องล้มป่วยอีกแน่ๆ
ลู่ซินฟางยิ้มด้วยความเอ็นดูเนื่องจากเดาความคิดของเด็กทั้งสองได้
“แม่นอนนานแล้ว ต้องลุกขึ้นมาเดินสักหน่อย”
“แต่ว่า...”
เจ้าตัวน้อยทั้งสองเกาะแขนผอมแห้งของลู่ซินฟางเหมือนต้องการห้าม
นางยิ้มแล้วบอก “แม่ไม่เป็นอะไรจริงๆ พวกเจ้าช่วยแม่เช็ดโต๊ะได้หรือไม่ เดี๋ยวแม่ออกไปหาอะไรให้พวกเจ้ากิน”
“ท่านแม่ ในครัวไม่มีอะไรเหลือเลย” เฉิงเอ๋อร์บอก
“เฉิงเอ๋อร์ เป่าเอ๋อร์ เชื่อฟังแม่นะ...พวกเจ้าไปเช็ดโต๊ะ แล้วแม่จะเอาของอร่อยๆ มาให้”
หลายวันมานี้ท่านแม่ล้มป่วย เฉิงเอ๋อร์ดูแลในบ้าน รู้ว่าในครัวไม่เหลือแม้แต่ข้าวสารสักเม็ด แล้วท่านแม่จะเอาของกินมาจากไหน
“ไม่ต้องห่วง”
ท่านแม่ทิ้งคำพูดนั้นแล้วลงจากเตียง
หนูน้อยทั้งสองได้แต่มองตามด้วยตาปริบๆ พร้อมรู้สึกถึงความหวังขึ้นมา
ร่างกายอ่อนระโหยโรยแรงของลู่ซินฟางค่อยๆ ก้าวลงจากเตียง พอเท้าแตะพื้นก็รู้สึกเจ็บ นางก้มมองเห็นว่าพื้นขรุขระเป็นหลุม แถมยังไม่สะอาด มีรองเท้าฟางคู่เก่าใกล้ขาดสามคู่อยู่ข้างเท้า คู่หนึ่งของผู้ใหญ่ อีกสองคู่เป็นของเด็ก
นางสวมรองเท้าฟาง แล้วเดินมาหลังบ้าน
ในตู้เก็บวัตถุดิบไม่มีอะไรเหลือเลยจริงๆ ตรงเตาทำอาหารมีฟืนกองเล็กกองหนึ่ง ส่วนพื้นที่เล็กๆ ข้างครัวคือแปลงผัก
ฟิ้ว...
ตอนที่กำลังมองหญ้าที่ขึ้นรกในแปลงผักอยู่นั้น สายลมพัดมาระลอกหนึ่ง จู่ๆ ในใจของนางก็รู้สึกถึงความหดหู่
ไม่คิดเลยว่าชีวิตใหม่นี้ จะต้องเริ่มจากศูนย์อีกครั้ง
ผ่านไปสักพัก ลู่ซินฟางสูดหายใจลึกๆ ทีหนึ่ง สายตาเปลี่ยนเป็นแน่วแน่ขณะคิดว่า...ไม่เป็นไร ก็แค่เริ่มใหม่จะยากสักแค่ไหนกันเชียว!
ตอนพิเศษ (5)จบบริบูรณ์ หลังจากปรับอารมณ์ได้แล้ว จิ้งจอกสาวก็เช็ดน้ำตาบนแก้มจนแห้ง สูดหายใจลึกๆ ทีหนึ่ง ก่อนจะออกจากห้องเพื่อไปขอโทษหลางไป๋ ทว่าทุกครั้งที่นางเข้าใกล้ เขากลับผละหนี แสร้งทำทีเป็นยุ่งง่วนกับงาน ท่าทางแบบนั้นราวกับจงใจหลบหน้านางไม่มีผิด เมื่อตระหนักได้เช่นนั้น เจียงจวีก็น้ำตาซึม รู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก นับวันหัวใจของนางก็ยิ่งปวดแปลบ ท้ายที่สุด นางที่รู้สึกระอายใจเป็นทุนเดิม ยิ่งไม่กล้าสู้หน้าเขา หลายวันต่อมา เจียงจวีเก็บข้าวของ หนีกลับเผ่าจิ้งจอก ณ เผ่าจิ้งจอก ผู้นำเผ่าจิ้งจอกในร่างของชายวัยคนกับจิ้งจอกหนุ่มต่างยืนกอดอกหน้าตาขึงขัง ในขณะที่มองจิ้งจอกสาวกอดเข่าน้ำตาซึม “ตั้งแต่นางกลับมาก็เอาแต่นั่งอมทุกข์ทั้งวันทั้งคืน สงสัยจะเจอแย่ๆ มา หากรู้อย่างนี้ ข้าไม่น่าอนุญาตให้นางออกไปเจอโลกภายนอกเลย เป็นข้าที่ตัดสินใจผิดพลาดเอง” ผู้นำเผ่าพูดกับลูกชาย “ท่านพ่อไม่ได้ตัดสินใจผิดพลาดหรอกขอรับ ให้นางออกไปเผชิญโลกภายนอก นับเป็นประสบการณ์ของนางด้วย” จิ้งจอกหนุ่มกล่าว
ตอนพิเศษ (4) หลังจากเห็นว่าเจียงจวีเหมาะกับตำแหน่งพนักงานขาย หลางไป๋ก็ให้นางทำงานในร้านซินหลินคู่กับห่จือเหมย เพียงไม่กี่อาทิตย์ เจียงจวีก็เป็นพนักงานขายอันดับต้นๆ ของร้าน ด้วยความที่เป็นจิ้งจอกใสซื่อ จึงทำให้ผู้คนชื่นชอบและเอ็นดูไม่น้อย ไม่เว้นแม้แต่หลางไป๋ “ทำงานแค่ไม่กี่อาทิตย์ เจ้าก็ทำกำไรให้ร้านซินหลินไม่น้อย…ทำดีมาก” หลางไป๋เอ่ยชมเจียงจวี พร้อมกับยื่นมือไปลูบศีรษะ ตอนแรก หมาป่าหนุ่มทำไปโดยไม่ได้คิดอะไร แต่พอเห็นจิ้งจอกสาวผงะ ทั้งแก้มนวลเนียนยังขึ้นสีแดงระเรื่อ มือใหญ่ที่กำลังลูบศีรษะของนางพลันชักกลับมา จากนั้นเขาก็หมุนตัวเดินไปตรวจงานแผนกอื่น และไม่พูดไม่จาใดๆ หัวใจของเจียงจวีเต้นระส่ำระส่ายไม่หยุด แม้ยกมือขึ้นลูบหน้าอกพร้อมสูดหายลึกๆ แล้ว หากแต่หัวใจยังคงเต้นแรงเหมือนจะกระเด็นออกมา อย่างไรก็ตาม อาการใจเต้นแรงนี้ ทำให้จิ้งจอกสาวอดรู้สึกกังวลไม่ได้ หมิงฮวาเข้าร้านมาในจังหวะนั้นพอดี นางมองหลางไป๋สลับกับมองเจียงจวี สักครู่ ดวงตาของอสรพิษสาวก็หรี่ลงเล็กน้อย เมื่อเห็นหลางไป๋ขึ้นไปที่ชั้
ตอนพิเศษ (3) วันต่อมา จิ้งจอกสาวหอบห่อผ้ามาที่ฟาร์มอีกครั้ง แต่หนนี้นางมาพร้อมกับพี่ชาย “พวกเจ้าสองพี่น้องจะมาอยู่ที่ฟาร์มด้วยกันหรือ” หลางไป๋สอบถาม การได้คนหน่วยกร้านดีเพิ่ม มีใครบ้างไม่ชอบ ทว่าจิ้งจอกหนุ่มโบกมือแล้วตอบ “ไม่ใช่ขอรับ ข้าแค่มาส่งน้องสาว อีกอย่าง ที่มาวันนี้ก็เพื่อขอร้องท่านให้ช่วยดูแลนางด้วย นางค่อนข้างซื่อน่ะขอรับ” หลางไป๋พยักหน้าเหมือนเข้าใจ หญิงสาวเผ่าจิ้งจอกยิ้มใสซื่อ โค้งศีรษะให้กับหลางไป๋ทีหนึ่ง “จากนี้ข้าต้องขอฝากตัวด้วยเจ้าค่ะ” หลางไป๋หันไปยิ้มให้กับหญิงสาวเผ่าจิ้งจอกพลางตอบว่า “ทางนี้ก็ต้องฝากตัวด้วยเช่นกัน” จากนั้นก็หันไปพูดกับทางพี่ชายด้วยสีหน้าเสียดาย “พูดก็พูดเถอะ เจ้าเองก็หน่วยกร้านดีไม่เบา น่าจะมาอยู่ที่ฟาร์มด้วยกัน” “ความจริงข้าก็อยากมาทำงานที่นี่นะขอรับ แต่เพราะท่านพ่อของพวกเรากำลังป่วย ข้าที่เป็นลูกชาย และยังเป็นว่าที่หัวหน้าเผ่าคนต่อไป ต้องคอยจัดการหลายๆ เรื่อง ตอนนี้ก็เลยออกจากเผ่าไม่ได้” “ถ้ามีอะไรให้ช่วยก็บอกนะ” “ขอบคุณท่านผู
ตอนพิเศษ (2) สถานที่นี้เรียกว่าฟาร์ม มีทั้งสวนผัก สวนผลไม้ ทุ่งดอกไม้ โรงเรือนเพาะต้นกล้า ไหนจะโรงผลิตสารพัดที่เพิ่มขึ้นเหมือนกับดอกเห็ด หนำซ้ำ ยังมีหมู่บ้านของเหล่าสัตว์อสูร ถนนที่ปูด้วยอิฐ ตรงลานกว้างของเมืองก็มีน้ำพุขนาดใหญ่ พวกเขาอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข…น่าอิจฉาและดูน่าสนุกกันจังเลย จิ้งจอกสาวคิด ก่อนจะถอนหายเฮือกออกมาหนึ่ง หญิงสาวชอบความตื่นตาตื่นใจของฟาร์ม ถึงได้แอบมาดูทุกวัน ในตอนที่ลำแสงสีทองสาดเข้ามาในป่ารกทึบ จากนั้นเหล่าสัตว์ก็มีวิวัฒนาการกลายร่างเป็นมนุษย์ ตอนนั้นนางตื่นเต้นมาก กระโดดโลดเต้นรอบป่า ยิ่งค้นพบว่ายังมีสัตว์เผ่าอื่นที่กลายร่างเป็นมนุษย์ นางก็ยิ่งอยากเป็นเพื่อนกับทุกคน เพราะอย่างนั้นตอนที่หมาป่าเพศผู้นามว่าหลางไป๋มาเจรจาขอเป็นพันธมิตรกับเผ่าจิ้งจอก นางอยากให้ท่านพ่อตอบรับการเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับท่านภูต แต่ว่า ท่านพ่อกลับปฏิเสธ แม้ผิดหวังอย่างมาก แต่คำสั่งของผู้นำเผ่าถือเป็นเด็ดขาด เช้าตรู่ของวันนี้ จิ้งจอกสาวก็ยังแอบมาที่ฟาร์ม นางหลบหลังต้นไม้ใหญ่ แ
ตอนพิเศษ (1) ต้นฤดูหนาวของปีนั้น ชุนกับจิ่นเซี่ยได้จัดพิธีแต่งงานแบบเรียบง่าย โดยหลางไป๋เป็นญาติฝ่ายหญิง ส่วนจิ่นเซี่ยนั้น เนื่องจากองครักษ์หนุ่มผู้นี้เป็นเด็กกำพร้า ญาติฝ่ายชายจึงเป็นกงเยียนซู แม้เป็นงานแต่งที่เรียบง่าย แต่เพราะได้ลู่ซินฟางเป็นแม่งาน อาหารสุราจึงขึ้นเต็มโต๊ะตลอดทั้งวันทั้งคืน แขกเหรื่อที่มาร่วมงานล้วนเป็นคนกันเอง งานแต่งของชุนกับองครักษ์หนุ่ม จึงเหมือนกับวันรวมญาติมากกว่าเป็นงานมงคล ลู่ซินฟางอนุญาตให้ชุนหยุดได้เท่าที่ต้องการ หลังเสร็จสิ้นงานแต่ง ทุกคนกลับมาใช้ชีวิตปกติเหมือนเดิม หลายวันหลังจากนั้น อุณหภูมิเริ่มลดต่ำ สายลมหนาวเย็นพัดมาเป็นระลอก ลู่ซินฟางยืนอยู่บนระเบียง มองพวกเด็กๆ วิ่งเล่นกันที่ลานกว้าง “เด็กๆ เนี่ย ไม่รู้จักความหนาวกันเลยหรือไงนะ” ลู่ซินฟางพึมพำด้วยความเอ็นดู “แอร๊…!” ตอนนั้นเอง เสียงเล็กๆ ของจินเอ๋อร์ดังมาจากในเปล ลู่ซินฟางผละสายตาออกจากพวกเฉิงเอ๋อร์ เดินกลับมาหาลูกน้อยที่นอนในเปล จินเอ๋อร์อา
บทที่ 128บทพิเศษ มิติที่สมบูรณ์ และ รักจนแก่เฒ่า (ครึ่งหลัง) จบบริบูรณ์ เมื่อกลับมาจากมิติ ซินหลินก็มาหาลู่ซินฟางที่คฤหาสน์ เจ้าแฝดพอเห็นพี่ชายมาหา ก็วิ่งเข้าไปเกาะแขน กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ “พี่ชายซินหลิน เมื่อกี้พวกเราไปมิติมาด้วย” “พี่ชายซินหลิน พวกเราไปอ่านหนังสือกันเถอะ” ซินหลินส่ายหน้าพร้อมเคาะปลายจมูกน้อยๆ ของเด็กทั้งสองเบาๆ คนละที “พวกเจ้าเรี่ยวแรงเหลือเฟือจริงๆ เลยนะ เพิ่งกลับมาจากมิติไม่ใช่หรือ คิดจะเล่นกันอีกแล้ว?” “ฮะๆ” “คิๆ” เจ้าแฝดหัวเราะชอบใจ ซินหลินยิ้มให้กับน้องๆ ก่อนหันมาบอกลู่ซินฟางว่า “ข้าเพิ่งเอาผักไปให้เหนียงซิ่น นางบอกว่าอากาศน่าจะเริ่มหนาวแล้ว นางว่าจะทำหม้อไฟชุดใหญ่ เลยให้ข้ามาบอกน่ะ” “ขอบใจมาก รอเยียนซูกลับมาแล้วข้าจะพาเด็กๆ ไปที่คฤหาสน์นะ” ลู่ซินฟางตอบกลับ “อืม” “หม้อไฟ” “เย่ หม้อไฟ!” หม้อไฟฝีมือเหนียงซิ่นอร่อยมาก แถมนานๆ ครั้งจะได้สักที พวกเด็กๆ จึงชูแขนร้องด้วยความดีใจ
Komen