’มู่หนิงชิง‘จารชนระดับเพชรและนักจารกรรมมือฉกาจ มีความสามารถพิเศษตั้งแต่เกิด ที่บังเอิญได้หยกโบราณอายุนับพันปีมาครอบครอง ตื่นมาก็พบว่าตนทะลุมิติมาอยู่ในร่างเด็กสาวที่ครอบครัวอัตคัดขัดสน น้องทั้งสองคนผอมโซจนน่าสงสาร ขณะกำลังทำงานสร้างตัว จู่ๆก็มีท่านอ๋องจอมกวนเข้ามาพัวพันในชีวิต ตามติดนางหนึบ แถมร่างนี้ยังมีความลับซ่อนไว้! ปริศนาที่ต้องหาคำตอบรอนางอยู่!
ดูเพิ่มเติมบทที่ 1 มู่หนิงชิงทะลุมิติ
“ท่านแม่ เมื่อไหร่พี่ใหญ่จะตื่นหรือเจ้าคะ ฮึก อันเอ๋อร์เป็นห่วงพี่ใหญ่เจ้าค่ะ พี่ใหญ่หลับไปสองวันแล้วนะเจ้าคะ ฮืออ” "เดี๋ยวพี่ใหญ่ก็ตื่น หยุดร้องไห้เถิดนะเด็กดี แม่จะไปตักน้ำเสียหน่อย ลูกอยู่เฝ้าพี่ใหญ่ดีๆ นะ" เสียงสะอึกสะอื้นของเด็กผู้หญิง และเสียงตอบรับจากผู้เป็นมารดา ปลุกให้มู่หนิงชิงตื่นจากห้วงนิทราแสนหวาน เธอจำได้ว่าไม่ได้เปิดทีวีหรือคอมพิวเตอร์ทิ้งไว้ก่อนเข้านอน แล้วเสียงเด็กมาจากไหนกัน หรือว่าแม่บ้านของเธอแอบพาหลานมาด้วยเพราะคิดว่าเธอไม่อยู่ห้องวันนี้ ใช้ไม่ได้จริงๆ เห็นทีต้องคุยกับป้าฮงให้รู้เรื่อง มู่หนิงชิงมุ่นคิ้วอย่างหงุดหงิด เพราะถูกรบกวนจนตื่นก่อนเสียงนาฬิกาปลุก เธอต้องการจะลืมตา ทว่ากลับเปิดเปลือกตาไม่ขึ้น จู่ๆ อาการปวดศีรษะรุนแรงจนแทบหมดสติเข้าจู่โจมในฉับพลัน ภาพความทรงจำของหญิงสาวอายุราวสิบห้าปีปรากฏขึ้นในหัว เรื่องราวและเหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิตหลั่งไหลต่อเนื่องยาวนาน เปรียบได้ดั่งซีรีส์เรื่องหนึ่ง การถ่ายทอดเรื่องราวและอาการปวดศีรษะของมู่หนิงชิง กินเวลากว่าสองชั่วโมง ท้ายที่สุดความรู้สึกทรมานแสนสาหัสก็หยุดลง มู่หนิงชิงหอบหายใจถี่ เหงื่อเม็ดเล็กผุดพราวทั่วกรอบหน้า เธอสามารถลืมตาขึ้นได้ในที่สุด ภาพแรกที่เห็น คือหลังคาเก่าทรุดโทรม คานของเพดานทำขึ้นจากไม้และมีหญ้าแห้งมุงทับไว้ สภาพคล้ายจะพังมิพังแหล่ เรียวคิ้วงามมุ่นเข้าหากัน ความรู้สึกเจ็บปลาบเด่นชัดที่ท้ายทอย พิสูจน์ให้เธอรู้ว่านี่ไม่ใช่ความฝัน มู่หนิงชิงยกมือขึ้นมาสัมผัสท้ายทอยด้านซ้ายที่กำลังปวดตุบๆ ปลายนิ้วคลำเจอก้อนบวมขนาดไข่ไก่เบอร์หนึ่ง “อ๊ะ เจ็บชะมัด!” “พี่ใหญ่ตื่นแล้ว! “เสียงเล็กตื่นเต้นของเด็กผู้หญิงดังขึ้นข้างหู มู่หนิงชิงรีบหันไปมอง สายตาสบเข้ากับใบหน้าเล็กเท่าฝ่ามือกอบ ซึ่งเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาของเด็กหญิงคนหนึ่ง ครั้นดวงตาสองคู่สบประสาน อาการหวาดผวาพลันเกิดขึ้นกับมู่หนิงชิง “กรี๊ดด ผะ ผีหลอก ผีเด็กหลอก! ฉันกลัวผี อย่ามาหลอกมาหลอนกันเลย! แล้วจะทำบุญกรวดน้ำไปให้” มู่หนิงชิงกรีดร้องสุดเสียง ลุกพรวดขึ้นมานั่ง ขยับถอยกรูดจนแผ่นหลังติดข้างฝา สีหน้าท่าทางตื่นตระหนกสุดชีวิต "กรี๊ดดดดดด" เจ้าตัวเล็กเองก็ตกใจเสียงกรี๊ดของพี่สาว นางเลยกรี๊ดตามผงะถอยหลังก้นจ้ำเบ้า ทว่าก็ได้สติกลับคืนมาอย่างรวดเร็ว “ท่านแม่ พี่ใหญ่ฟื้นแล้วเจ้าค่าาา” เด็กหญิงตัวน้อยที่ถูกเข้าใจว่าเป็นผี ขยับปากส่งเสียงเรียกมารดาด้วยความดีใจ ใบหน้าเล็กหันมาหามู่หนิงชิงที่นั่งชันเข่าขดตัวหลังชนฝา กลอกตาไปมาสำรวจสภาพแวดล้อมรอบกาย “พี่ใหญ่พูดจาแปลกประหลาดจริงๆ ด้วย กลางวันแสกๆ จะมีผีได้อย่างไร ต้องรอให้มืดก่อนเจ้าค่ะ พี่ใหญ่ยังเจ็บตรงไหนอยู่รึเปล่า อันเอ๋อร์จะได้ไปบอกท่านแม่ให้ เสียงท่านแหบมากเลย เดี๋ยวอันเอ๋อร์ไปรินน้ำมาให้นะเจ้าคะ” เจ้าตัวน้อยดีอกดีใจที่ในที่สุดพี่สาวก็ตื่นขึ้น ริมฝีปากจิ้มลิ้มเอ่ยวาจาฉะฉานเป็นชุด เดินไปรินน้ำจากกาใส่ถ้วยดินเผาที่วางอยู่บนโต๊ะไม้เก่าๆ ใกล้หน้าต่าง และนำมายื่นให้พี่สาวด้วยรอยยิ้มน่ารัก ความจริงปีนี้มู่หนิงอันอายุหกหนาวแล้ว เพียงแต่ร่างกายของเด็กหญิงแคระแกร็นกว่าปกติเพราะขาดสารอาหาร ทว่าเจ้าตัวน้อยกลับรู้ความนัก ทั้งมีความจำดีมาก นางยังคงจดจำเรื่องที่ท่านหมอหูบอกกับบิดามารดาว่า “หากชิงเอ๋อร์ฟื้นขึ้นมาแล้วมีอาการสับสน หรือจำอะไรไม่ได้ก็อย่าพึ่งตื่นตกใจไป นี่เป็นอาการซึ่งพบได้บ่อย ในคนที่ได้รับความกระทบกระเทือนบริเวณศีรษะอย่างรุนแรง” มู่หนิงชิงที่เวลานี้ใจเย็นลง เพราะเริ่มตระหนักถึงสภาพการณ์ตรงหน้า เธอมองชามใส่น้ำในมือเด็กหญิงอย่างกระหาย พลันตัดสินใจทดลองบางสิ่งด้วยการเอ่ยเรียกชื่ออีกฝ่ายก่อนรับน้ำมาดื่ม “น้องชื่อมู่หนิงอัน?” เสียงแหบแห้งแตกระแหงมิต่างจากเป็ดเทศเอ่ยถามเด็กหญิง มู่หนิงอัน เป็นชื่อที่ปรากฏอยู่ในภาพความทรงจำที่ได้เห็นเมื่อสักครู่ก่อนจะสติแตก “เจ้าค่ะ ชื่อของอันเอ๋อร์คือ มู่หนิงอัน ส่วนพี่ใหญ่ชื่อมู่หนิงชิง พี่รองชื่อมู่หนิงเฉิง” เด็กหญิงตอบกลับอย่างฉะฉาน คำตอบจากปากเด็กน้อยตรงหน้า ช่วยไขข้อข้องใจของมู่หนิงชิงให้กระจ่างชัด เธอตบเข่าฉาดสีหน้ามั่นอกมั่นใจ นั่นปะไร! เป็นอย่างที่สงสัยจริงๆ ตัวเธอทะลุมิติมาเหมือนอย่างในนิยายหลายเรื่องที่เคยอ่าน! แม่เจ้า! นี่มันออกจะเหลือเชื่อเกินไปแล้ว! ปาฏิหาริย์จากจินตนาการของนักเขียนนิยายมีอยู่จริง อะเมซิ่งสุดๆ!! มือผอมบางยกขึ้นมาทาบอกด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ พลันฉุกคิดบางสิ่งขึ้นมาได้ หรือว่าเป็นเพราะอิทธิฤทธิ์จากจี้หยกเหอเถียนสีแดง อายุเป็นพันปีที่ใส่นอนเพราะความเห่อชิ้นนั้น อย่าบอกนะว่าเธอเจอเข้ากับอภินิหารจากของโบราณ! หากเป็นอย่างที่คาดจริงก็เรียกว่าเจอแจ็คพ็อตเลยนะเนี่ย! มิน่าในตำราเก่าๆ ถึงมีคำกล่าวเตือนว่า ‘วัตถุโบราณยิ่งเก่ายิ่งลึกลับ บางชิ้นอาจมีคำสาปหรืออาถรรพ์ติดมา ขอให้ระวังเอาไว้' นี่แหละหนาที่เขาว่า ไม่เชื่อแต่อย่าลบหลู่ มู่หนิงชิงคิดเองตอบเองอยู่ในใจ เมื่อตั้งสมมุติฐานขึ้นมาได้ สีหน้าเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นครุ่นคิด ตกลงว่าตัวเธอทะลุมิติมาเฉยๆ หรือว่าตายไปแล้วเลยทะลุมิติมากันล่ะเนี่ย?! เมื่อคืนนี้ก่อนนอนก็ไม่ได้อ่านนิยายซักหน้า แล้วเธอทะลุมิติมาอยู่ในนิยายเรื่องไหนกัน หลายปีที่ผ่านมาอ่านไปหลายสิบเรื่องซะด้วย แล้วใครมันจะไปจดจำเนื้อหาของนิยายทุกเรื่องได้หมดกันเล่า เล่นอ่านไปซะหลายเรื่อง หลายแนวขนาดนั้น... แล้วถ้าเกิดว่าเธอไม่ได้อยู่ในนิยายล่ะ?? โอ้ย! สับสนมึนงง คิดไม่ออก…ฮืออ เวรกรรมของคนสวยจริงๆ!! อยู่ดีๆ ก็งานเข้าแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย เพราะถูกความสับสนที่หาคำตอบไม่ได้ถาโถมความคิด มู่หนิงชิงเลยเริ่มทึ้งหัวตนเอง มู่หนิงอันนั่งอ้าปากหวอ เอียงคอมองพี่สาวที่บ่นพึมพำอยู่คนเดียวก่อนหน้านี้ และเปลี่ยนมาทึ้งหัวตัวเองตาปริบๆ หัวคิ้วเล็กของเด็กหญิงเริ่มมุ่นเข้ากันบ้าง “ท่านแม่เจ้าคะ…พี่ใหญ่ปวดหัวเจ้าค่าาา ดึงผมตัวเองใหญ่แล้ว” ร่างเล็กวางชามใส่น้ำลงกับเตียง ตะโกนเสียงดังขณะวิ่งดุ๊กดิ๊กออกไปตามมารดา “…” มู่หนิงชิง “เด็กคนนี้ท่าทางฉลาดใช้ได้เลยนะเนี่ย” เธอหยุดทึ้งหัวตัวเองเพราะเริ่มรู้สึกเจ็บหนังหัว เอื้อมมือไปหยิบชามใส่น้ำมาดื่มด้วยความกระหาย "อึ้ก อึ้ก อ้าว หมดซะล่ะยังดื่มไม่พอเลย" เธอขยับตัวเพื่อจะลุกไปรินน้ำมาดื่มเพิ่ม ทว่าร่างกายเกิดโงนเงนจนต้องลงไปนั่งบนเตียงอีกรอบ "โอ้ย ไม่มีแรง ทำไมขาแข้งอ่อนแบบนี้" เธอรีบก้มสำรวจร่างกายตนเอง จึงเห็นว่าแขนขาเล็กมาก ผอมจนแทบเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูก "โอ้โห ผอมมาก ผอมยังกับตะเกียบแน่ะ เฮ้อ! ทะลุมิติมารับบทชีวิตรันทดสินะ ชิงชิง”บทที่ 13 เส้นทางชีวิตใหม่ /2 วันเปิดร้านผู้คนต่างให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก พวกเขาได้รับแจกถั่วเคลือบน้ำตาลเสริมพลังปราณในกายเป็นสินค้าแนะนำ ทีแรกก็ไม่มีใครเชื่อว่า เพียงแค่ขนมขบเคี้ยวจะช่วยเสริมพลังธาตุในกายได้อย่างไร รวี่เยว่จึงมอบลูกกวาดเสริมพลังของแต่ละธาตุให้แต่ละคนลองกินดู “ลูกกวาดอัคคีที่ท่านลุงเพิ่งกินเข้าไป จะช่วยให้ปราณธาตุไฟของท่านแข็งแกร่งขึ้นสองส่วนในทันที และคงอยู่ครึ่งชั่วยามเจ้าค่ะ ท่านสามารถทดสอบพลังได้ทันที” รวี่เยว่ยืนเอามือไพล่หลัง บรรยายสรรพคุณสินค้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทว่าน้ำเสียงที่เปล่งออกมากลับทรงพลังกึกก้องจนหลายคนไม่กล้าพูดแทรก ครั้นชายวัยกลางคน ที่เพิ่งกินลูกกวาดสำหรับเสริมพลังธาตุไฟเข้าไป เริ่มต้นเดินพลังดูตามคำแนะนำ ฟึ่บ!! พลังธาตุไฟในมือของเขาแข็งแกร่งขึ้นสองส่วนในพริบตา ตามสรรพคุณที่กล่าวมาจริงๆ! “โอ้ พลังธาตุของข้าแข็งแกร่งขึ้นจริงๆด้วย ยอดเยี่ยมจริงๆ แม่หนูเจ้าขายราคาเท่าไหร่ข้าขอเหมาหมด!” ชายวัยกลางคนผู้มีพลังธาตุไฟ รีบควักถุงเงินออกจากมาแหวนยื่นให้รวี่เยว่ “เจ้าจะเหมาหมดคนเดียวได้อย่างไร! ข้าเองก็อยากได้เหมือนกัน” ชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ด้า
บทที่ 13 เส้นทางชีวิตใหม่ /1 เมืองเทียนหวง เมืองหลวงอาณาจักรอู๋ซาง จวนเสนาธิการทหาร จดหมายจากแดนไกลลุกไหม้อยู่ในเตากำยาน กลางโถงรับรองของเรือนฟาหยาง ฮูหยินผู้เฒ่า เหวินกุ้ยเหริน มารดาของหวังเหลียง และมีศักดิ์เป็นป้าของ เหวินไป๋เหลียน ทอดมองหลานสาวคนโปรดที่เกิดจากเหวินไป๋เหลียนอย่างมาดหมาย ปีนี้หวังลู่เสียนอายุเก้าหนาว เด็กหญิงเกิดหลังหวังลี่ถิงเพียงหนึ่งเดือน จากที่เคยเป็นเพียงบุตรีของอนุ เวลานี้เด็กหญิงคือบุตรีของฮูหยินเอกอย่างสมบูรณ์ "เสียนเอ๋อร์ อีกไม่กี่วันเจ้าก็ต้องเดินทางไปสำนักเพลิงจักรพรรดิแล้ว เตรียมตัวพร้อมรึยัง" ผู้เป็นย่าเอ่ยถามด้วยสุ้มเสียงอ่อนโยน หวังลู่เสียนหน้าตาพริ้มเพราตั้งแต่เด็ก ฉายแววว่าจะเติบโตขึ้นเป็นหญิงงามเหมือนมารดา อีกทั้งเปี่ยมด้วยพรสวรรค์ อายุเพียงเก้าหนาวระดับตบะอยู่ที่หนิงชี่ขั้นปลายแล้ว สตรีสายเลือดตระกูลเหวินต่างหากที่สมควรมีชะตาหงส์ ไม่ใช่เด็กอีกคนตามคำทำนายของหอพยากรณ์!! "เสียนเอ๋อร์เตรียมตัวพร้อมแล้วเจ้าค่ะท่านย่า แต่ว่า…เสียนเอ๋อร์ไม่อยากจากท่านย่าไปเลย" เด็กหญิงในชุดผ้าไหมเนื้อดีสีชมพูอ่อนหวาน เอ่ยวาจาฉอเลาะเอาใจหญิงชรา ใบหน้าเล็กถูไ
บทที่ 12 การเปลี่ยนแปลง /2 ในโกดังเก็บสินค้าทางทิศตะวันตกของเมืองลวี่เฟิง ร่างเล็กของเด็กหญิงมีสภาพสะบักสะบอม ถูกจับมัดมือมัดเท้า ปากเล็กมีผ้ายัดไว้ ข้างกายมีชายชุดดำยืนคุมเชิงอยู่สองคน เผยคังก้าวเข้ามาในโกดัง พิศมองเด็กหญิงตรงหน้าด้วยสายตายากคาดเดา "อั่น เอ้าเอือง อ่วย อ้า อ้วย (ท่านเจ้าเมืองช่วยข้าด้วย)" เด็กหญิงส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือ เมื่อเห็นว่าใครก้าวเข้ามาในโกดัง ใบหน้าเล็กเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา “เอาผ้าอุดปากนางออก” เผยคังสั่งองครักษ์ หลังนั่งลงบนเก้าอี้ที่จัดเตรียมไว้เป็นที่เรียบร้อย ครั้นปราศจากผ้าอุดปาก เด็กหญิงก็รีบส่งเสียงขอความช่วยเหลือจากเจ้าเมืองลวี่เฟิงทันที "ท่านเจ้าเมืองเจ้าคะ ช่วยข้าด้วย มีคนใจร้ายจับข้ามาเจ้าค่ะ" ทว่าคนฟังกลับปรายตามองร่างเล็กอย่างเย็นชา "ข้าคงช่วยอะไรเจ้าไม่ได้หรอกนะแม่หนู เพราะข้าเองก็ได้รับคำสั่งมาอีกที" แววตาของรวี่เยว่เข้มขึ้นเมื่อได้ยินถ้อยคำจากปากเผยคัง นอกจากชายวัยกลางคนตรงหน้ายังมีใครที่ต้องการชีวิตของนางอีกหรือ "มีคนสั่งท่านเจ้าเมืองมาอย่างนั้นหรือเจ้าคะ! ใครหรือเจ้าคะ ไม่แน่ว่าอาจมีการเข้าใจผิดก็เป็นได้…ข้าเป็นแ
บทที่ 12 การเปลี่ยนแปลง /1 ชายชุดดำทั้งสองแทบไม่เชื่อสายตา เด็กหญิงตรงหน้ามีธาตุมืด! หรือแท้จริงแล้ว นางคือเผ่ามนุษย์สายเลือดมารสวรรค์ชั้นสูงของตำหนักเทวาอนธการ!! หากเป็นอย่างที่คิด พูดได้คำเดียวว่า ซวยแล้ว! ซวยทั้งพวกเขาและผู้ว่าจ้าง ในมหาพิภพทงเทียนถึงได้มีคำกล่าวไว้ว่า หาเรื่องใครก็หาไป แต่อย่าริอาจไปหาเรื่องคนตำหนักเทวาอนธการ! และอย่าไปยุยั่วคนตำหนักเทพอนันต์ ขนาดราชวงศ์ของทั้งสี่อาณาจักร ยังไม่มีใครกล้าแตะต้องพวกเขา!!! ความหวาดผวาจู่โจมจิตใจของนักฆ่าที่ยังรอดชีวิต เด็กหญิงตรงหน้าอายุเพียงเก้าหนาว ทว่าระดับตบะสูงถึงเจี๋ยตันขั้นกลาง แต่สิ่งที่น่าหวาดหวั่นกว่า คืออัคคีนิลกาฬในมือของนางต่างหาก!! การถูกช่วงชิงและควบคุมจิตวิญญาณ คือสิ่งที่นักบำเพ็ญเกรงกลัวเป็นที่สุด พวกเขามิอาจไปผุดไปเกิด แต่กลายเป็นวิญญาณรับใช้ของผู้ที่ช่วงชิงออกมาได้ และหากวิญญาณไม่ได้รับการปลดปล่อย ก็จะกลายเป็นทาสรับใช้ไปชั่วกัปชั่วกัลป์…ทรมานยิ่งกว่าตกนรก! “ข้าบอก ข้ายอมบอกแล้ว แต่ได้โปรดอย่าช่วงชิงจิตวิญญาณของข้าเลย” นักฆ่าอีกคนรีบส่งเสียงปากคอสั่น “จะ เจ้าเมืองเผยคังขอรับคุณหนู ที่ว่าจ้างพวกเราให้
บทที่ 11 ของขวัญจากอาจารย์ /2 วาจาของเด็กหญิงทำคนฟังขอบตาร้อนผ่าว คุณหนูของพวกนางช่างคนเป็นจิตใจงดงามและกตัญญูอย่างยิ่ง ช่างน่าเสียดายที่รองแม่ทัพเยว่หนิงลี่จากไปเร็วเหลือเกิน หวังว่าวิญญาณของนางที่อยู่บนสวรรค์จะมองเห็นและภูมิใจในตัวบุตรสาว ในขณะที่ทั้งสามกำลังยืนมองร้านที่ปิดประกาศว่าปล่อยให้เช่าอยู่นั้น บุรุษคนหนึ่งซึ่งเคยพบพวกนางอยู่สองสามครั้ง บังเอิญเดินผ่านมาแถวนั้นพอดี เขาจดจำได้อย่างแม่นยำว่าสาวใช้หน้าแฉล้มนางนั้นคือชุนอิ่ง และหญิงวัยกลางคนร่างท้วมที่มีไฝเหนือริมฝีปากด้านซ้ายคือแม่นมชุน ครั้นมองไปยังเด็กหญิงและได้เห็นใบหน้าเล็กของนาง ซึ่งเวลานี้ปราศจากปานสีชาดรูปเปลวเพลิงก็ตกตะลึง ไม่กี่เดือนก่อนตอนที่เขามาส่งจดหมายจากเมืองหลวงให้นาง เด็กหญิงยังดูอัปลักษณ์เพราะปานนั่นอยู่เลย ไยตอนนี้ถึงได้… และในชั่วขณะนั้นเอง "นั่นรวี่เยว่นี่ รวี่เยว่! เจ้านั่นเอง มาทำอะไรตรงนี้หรือ" เด็กหญิงที่ดูอายุมากกว่ารวี่เยว่สองสามปี ก้าวมาหาร่างเล็กอย่างดีใจ นางคือหนึ่งในผู้เข้าแข่งขันอิสระ ที่ตกรอบไปในรอบที่สาม และนางก็เป็นหนึ่งในผู้เข้าแข่งขัน ที่นั่งอยู่บนอัฒจันทร์เดียวกันกับรวี่เยว่ หลัง
บทที่ 11 ของขวัญจากอาจารย์ /1 เผยคังบดกรามดังกรอด หันมาตวาดบุตรชายคนเล็กอย่างอย่างฉุนเฉียว "หุบปาก! หากมิใช่เพราะเจ้าพ่ายแพ้คู่แข่งที่ตบะอ่อนด้อยกว่า จนทำให้ตระกูลเผยขายหน้า! มีหรือพี่ชายของเจ้าจะลงมือ! ต่อไปห้ามพูดถึงเรื่องนี้อีก ตั้งใจฝึกฝนให้มากกว่านี้ เข้าใจหรือไม่!" แม้ว่าความจริงตัวเขารู้สึกอับอาย และเจ็บแค้นไม่น้อยไปกว่าบุตรชาย ทว่าจำเป็นต้องอดกลั้น ฝืนกลืนโทสะทั้งหมดลงท้อง ด้วยเพราะผู้ที่ทำร้ายเผยหลงจนบาดเจ็บสาหัส คือคนของไท่จื่อแห่งตำหนักเทพอนันต์ ที่แม้แต่ฮ่องเต้ยังต้องไว้หน้าอยู่หลายส่วน ตัวเขาเป็นเพียงเจ้าเมืองจึงมิอาจล่วงเกินอีกฝ่าย ยิ่งคิดยิ่งแค้นใจจนแทบจะกระอักเลือด! ผู้เป็นบิดาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก้าวมานั่งยังโต๊ะน้ำชากลางห้อง เอ่ยเรียกบุตรชายที่ยืนก้มหน้าเม้มปากแน่นอยู่ข้างมารดา ซึ่งเวลานี้กำลังได้รับการพัดวีจากสาวใช้หลังจากลมจับไปอีกรอบ "หู่เอ๋อร์มานี่ นั่งลง ข้าอยากรู้ว่าเด็กผู้หญิงที่ประลองชนะเจ้าวันนี้ เป็นใครมาจากไหน ใช่ศิษย์ของสำนักกระบี่จันทราหรือเปล่า" "นะ นาง นางเป็นผู้สมัครอิสระจากข้างนอกขอรับท่านพ่อ ส่วนเรื่องที่นางเป็นใครมาจากไหน ลูกเองก็ไม่ทราบ"
ความคิดเห็น