พี่ชายถูกสังหาร มารดาถูกวางยาพิษ ตัวนางเองถูกบังคับให้แต่งงานกับคนเสเพล และเพื่อช่วยให้มารดาฟื้นจึงจำยอมแต่งกับคนเสเพลคนนั้น หลังจากคืนนั้นที่นางเมาแล้ว....เขาทั้งคืน สามีเสเพลก็เปลี่ยนไป เรื่องนี้มาในแนวดราม่าโรแมนติก นางเอกมีปัญหาชีวิตครอบครัว ได้แต่งงานกับพระเอก ต่างคนต่างไม่เต็มใจแต่ง แต่มีเหตุการณ์ให้มาโบ๊ะบ๊ะกัน ปมไม่เยอะมาก จบสุขนิยมค่ะ
View Moreมือเรียวบางบิดผ้าในอ่างสัมฤทธิ์จนหมาด แล้วเช็ดทำความสะอาดเนื้อตัวมารดาที่นอนไร้สติบนเตียงเก่า รอบห้องเต็มไปด้วยกลิ่นอับชื้น ผนังผุพัง กระทั่งหลังคาก็เริ่มมีรอยรั่ว
ที่นี่คือเรือนท้ายจวนของตระกูลลู่ เป็นสถานที่ไว้ลงโทษคนกระทำความผิด
เสียงประตูเปิดออกอย่างแผ่วเบา ลู่ผิงถิงหันไปมองเห็นบุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งหยุดยืนอยู่หน้าประตู
หัวคิ้วทั้งสองของบุรุษผู้นั้นย่นเข้าหากัน ผ่านไปครู่ใหญ่จึงก้าวขาเข้ามาในห้อง แล้วหยุดฝีเท้าลงตรงกลางห้องที่เก่าและทรุดโทรมแห่งนี้
เขามองไปยังสตรีที่นอนอยู่บนเตียงด้วยสีหน้ายากจะคาดเดาความรู้สึก
ลู่ผิงถิงหรี่ตาลงเล็กน้อย มองบิดาที่หยุดอยู่กับที่ด้วยความรู้สึกหลากหลาย หนึ่งปีมานี้บิดาไม่เคยมาเหยียบเรือนท้ายจวนเลย วันนี้เขามาได้ถือเป็นสัญญาณที่ดี?
ความดีใจทำให้มุมปากของลู่ผิงถิงยกขึ้นอย่างไม่รู้ตัว นัยน์ตาแวววับทอประกายด้วยความสุข “ท่านพ่อมาเยี่ยมท่านแม่รึเจ้าคะ”
“....” ลู่หงเวินยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย วันนี้ที่เขามาที่นี่ไม่ได้คิดจะมาเยี่ยมเยียนฮูหยิน ที่ประพฤติตัวให้เขาผิดหวังอย่างยิ่งคนนั้น
เมื่อบุตรสาวเอ่ยปากถามคำถามนี้ขึ้นมา เขาก็ยิ่งรู้สึกเสียใจและย้อนคิดไปถึงเหตุการณ์นั้น เหตุใดนางถึงใจร้ายทำร้ายบุตรชายคนเล็กของเขากับฮูหยินรองได้ลงคอ
ลู่หงเวินถอนหายใจเบา ๆ แล้วเอ่ยในสิ่งที่ตนต้องการกับบุตรสาว “ถิงเอ๋อร์อีกสามวันเจ้าต้องเข้าพิธีแต่งงาน” เป็นบุตรชายคนรองลู่หงปินที่มาขอร้องเขาหว่านล้อมบุตรสาว
ความตื่นเต้นดีใจเมื่อครู่ถูกคำพูดของบิดาเหยียบย่ำจมดิน มือที่กำลังเช็ดแขนให้มารดาหยุดชะงัก ริมฝีปากบางเม้มเข้าหากันช้อนตาขึ้นมองบิดา
“ท่านพ่อ…ข้ายังไม่อยากออกเรือนหากข้าไปแล้วใครจะดูแล...”
“แต่ข้าตกลงกับทางนั้นไปแล้ว จะกลับคำคงไม่ได้เจ้าจะขัดคำสั่งข้ารึไง” ไม่รอให้บุตรสาวเอ่ยจบ ลู่หงเวินก็เอ่ยแทรกด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด ลมหายใจของเขาหนักหน่วงจนหน้าอกกระเพื่อมขึ้นลง ยกมือชี้หน้าบุตรสาวนิ้วสั่นระริก
สายตาของบุตรสาวมองมาอย่างเย็นชา เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายจะไม่ยินยอมทำตามโดยง่าย ลู่หงเวินจึงปรับอารมณ์ที่ฉุนเฉียวให้เบาลง ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้ว เขาจึงคิดหาวิธีให้บุตรสาวยอมตอบรับแต่โดยดี และมีทางเดียวที่นางจะยอมทำตามโดยไม่ปริปาก
ลู่หงเวินกระตุกมุมปากเอ่ยด้วยน้ำเสียงของคนที่เหนือกว่า “ถิงเอ๋อร์เจ้าคิดดูให้ดี...หากเจ้าตกลง พ่อจะให้หมอเก่ง ๆ มารักษาอาการป่วยของแม่เจ้า แต่ถ้าเจ้าไม่ตกลงแม่ของเจ้าก็คงถูกส่งให้ทางการ นางป่วยมานานขนาดนี้คงทนการสอบสวนจากทางการไม่ไหวแน่”
ป่วยหรือ? ท่านแม่ถูกพิษท่านพ่อเองก็รู้ นี่จะบีบคั้นกันเกินไปแล้ว คนผู้นี้ยังเป็นบิดาของนางอยู่จริงหรือ
หัวใจของลู่ผิงถิงบีบแน่น ความรู้สึกตอนนี้อัดอั้นจนอยากระเบิดอารมณ์ออกมา ตั้งแต่มารดาล้มป่วย บ่อยครั้งนักที่ถูกบิดาลงโทษโดยไร้ความผิด ซึ่งเขาไม่เคยสอบถามที่มาที่ไป หูเบาเชื่อฮูหยินรองของตนเสมอ
วันนี้หากนางดื้อรั้นคงมิพ้นต้องถูกกักบริเวณอย่างเข้มงวด
ในห้องเงียบเชียบจนได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกัน ดวงตากลมโตปราดมองใบหน้าซีดเซียวของมารดา ด้วยแววตาอ่อนโยน ก่อนจะตวัดสายตาคู่งามมาสบประสานเข้ากับสายตาดุดันของผู้เป็นบิดา
หัวใจลู่ผิงถิงหนาวสะท้านกับแววตาแบบนั้นของบิดา นางถอนสายตากลับอย่างรวดเร็ว มิเช่นนั้นหัวใจนางคงเจ็บปวดไร้ที่สิ้นสุด สายตาที่บิดามองมากดดันข่มขู่ ราวกับกำลังบอกนางว่า ถ้าเจ้าไม่ตอบตกลงอย่าหวังว่าแม่ของเจ้าจะได้มีชีวิตอยู่บนโลกนี้อีกต่อไป
ใช่ แววตาท่านพ่อหมายความว่าอย่างนั้น
ลู่ผิงถิงกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ ปลายมือที่กำผ้าผืนบางเย็นยะเยือกจับจิต หัวใจราวกับมีแผลเหวอะหวะมันเหน็บหนาวราวถูกเกล็ดหิมะกัดกร่อนมานาน
รู้ดีว่าครั้งนี้ไม่อาจปฏิเสธได้ เพราะถ้าไม่ยอมทำตามคำสั่ง สุดท้ายบิดาก็จะไม่ใช้ไม้อ่อนอย่างการพูดคุยแบบนี้อีก
เขาคงจะส่งมารดาไปให้ทางการ และถ้าเป็นเช่นนั้นมารดาอาจจะไม่มีชีวิตรอดกลับมา และไม่มีวันทวงความยุติธรรมให้ตัวเองได้อีก
ดังนั้นต้องยอมตกลงแต่งไปก่อน แล้วค่อยหาทางออกอีกครั้งในวันข้างหน้า เพื่อมารดาแล้วนางยอมแต่ง
สักวันหนึ่งนางจะหาหลักฐานมาคืนความยุติธรรมให้มารดา รวมไปถึงสาเหตุการตายของพี่ชายใหญ่ด้วย
ลู่ผิงถิงยิ้มน้อย ๆ แล้วเอ่ยอย่างถ่อมตน “ท่านพ่อจะรับปากลูกได้รึไม่…ว่าท่านแม่ต้องหายดี”
“ย่อมได้อยู่แล้ว เพียงเจ้ายอมแต่งงาน พ่อรับปากเจ้าได้ทุกอย่าง”
ผ้าสีขาวในมือถูกกำแน่น ลู่ผิงถิงหลุบตาลงต่ำ ซ่อนน้ำตาแห่งความน้อยเนื้อต่ำใจไว้
ก่อนหน้านี้เป็นคุณหนูที่แสนจะสุขสบาย เสื้อผ้าอาภรณ์ถูกประเคนมาให้เลือกก่อนใคร สิ่งใดอยากได้ไม่อยากได้พูดคำเดียว ท่านย่าไม่เคยขัดใจ พี่น้องรักใคร่กลมเกลียวช่วยเหลือกัน ไม่มีการทะเลาะเบาะแว้ง
ใครจะคิดทุกอย่างเปลี่ยนไปหมดหลังจากท่านย่าจากโลกนี้ไปไม่ถึงปี พี่ชายใหญ่ก็เสียชีวิต ท่านแม่ยังจะมาถูกพิษอีก
คุณหนูที่แสนจะสุขสบายมาทั้งชีวิต ต้องย้ายมาดูแลมารดาในเรือนที่เก่าซอมซ่อเพียงลำพัง
ลู่ผิงถิงสูดหายใจเข้าลึก สบสายตาข่มขู่ของบิดา แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงมั่นคงแต่สั่นเครือ “เช่นนั้นลูกก็ตกลงเจ้าค่ะ แต่สินเดิมของท่านแม่ ท่านพ่อต้องยกให้เป็นสินเดิมของลูกทั้งหมด”
“ดี...ดีเหลือเกิน เรื่องพวกนั้นมันแน่นอนอยู่แล้ว ของแม่เจ้าก็คือของเจ้า” ลู่หงเวินหัวเราะออกมาเสียงดัง หลังได้คำตอบที่พอใจก็หมุนตัวเดินออกไปจากเรือนหลังเล็กท้ายจวนทันที
เสียงหัวเราะของบิดาดังสะท้อนก้องอยู่ในหู น้ำตาที่ทำท่าจะไหลออกมาถูกเก็บกลืนอัดแน่นฝังใจ
มือบางยื่นไปจับมือมารดามากุมไว้ “ท่านแม่เจ้าคะลูกจะหาหลักฐานมาลบล้างความผิดท่านให้ได้ ลูกมั่นใจว่าท่านไม่ได้สังหารหงอี้” นางออกแรงบีบที่มือมารดาเล็กน้อย
มือเรียวเล็กกุมมือมารดาราวสองก้านธูป จากนั้นก็ทอดถอนใจ นางรอให้มารดาฟื้นมานานถึงหนึ่งปีเต็ม แต่ก็ยังไม่มีวี่แววนั้นให้เห็นเลย
มารดายังนอนนิ่งไร้สติ มีเพียงลมหายใจสม่ำเสมอนั้น ที่ทำให้อุ่นใจ และทำให้รู้ว่ามารดายังอยู่กับนาง
ลู่ผิงถิงห่มผ้าให้มารดาจนมิดคอ ก่อนจะเดินไปนั่งที่โต๊ะหนังสือริมหน้าต่าง เปิดตำราแพทย์ออกมาอ่าน
อาการของมารดาเกิดจากพิษเหมันต์หลับใหล นางแอบพาหมอชรามาตรวจให้จึงรู้
ทุกคนในจวนบอกว่า ท่านแม่ดื่มยาพิษนี้ฆ่าตัวตายแต่นางไม่เชื่อ
“ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้านี่น่าสนใจจริง ๆ”อู่เหยียนผละออกจากร่างหอมกรุ่น เล่นสนุกก็ควรเล่นให้พอประมาณ “พูดคุยมานานแล้วข้ายังไม่รู้จักชื่อเจ้าเลย”“ข้าชื่อลู่ผิงถิง เป็นบุตรสาวของ...”“ข้าถามเพียงชื่อเจ้าไม่ได้ถามโคตรเหง้าตระกูลเจ้า”“....”อู่เหยียนเอ็นดูคนตัวเล็กที่มีสีหน้าเหลอหลา “ไปนั่ง กินข้าวแล้วค่อยคุย”“ไม่เป็นไร ท่านหมอเทวดาข้าไม่หิวแล้ว” ลู่ผิงถิงเอ่ยอย่างนอบน้อม หมอเทวดาเหยียนพูดมาเช่นนั้นใครจะกล้ากินลงอีก“เพิ่งนึกได้รึ ว่าไม่ควรกินของคนแปลกหน้า เมื่อครู่ไม่เห็นเจ้าจะกลัวเช่นนี้เลย” อู่เหยียนอดไม่ได้ที่จะเย้าแหย่เขานั่งลงคีบอาหารเข้าปากแล้วเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย ล่อตาล่อใจสตรีตรงหน้า “ไม่กินจริงหรือ อร่อยมากเลยนะ”ลู่ผิงถิงกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ทว่านางไม่อยากผิดคำพูด นางบอกว่าไม่กินก็คือไม่กินแล้ว ถึงแม้ลำไส้ของนางจะเรียกร้องหาอาหารก็เถอะ“หมอเทวดาเหยียน ท่านจะไปรักษาท่านแม่ข้าได้หรือไม่” ลู่ผิงถิงเอ่ยถามเสียงแผ่ว“รักษานะได้อยู่ แต่...วันนี้เจ้ามาร่ำสุราเป็นเพื่อนข้า สักสามไหเป็นไง”“....”ยิ่งเห็นสตรีคนนั้นยืนทื่ออยู่กับที่ไม่ขยับ และไม่ตอบคำถาม ทั้งยังมองมาด้วยความคาดหวัง เขายิ่งนึกส
หอเฟิ่งหวงเนืองแน่นไปด้วยผู้คน ลู่ผิงถิงไปที่ชั้นสองดังเช่นสามวันก่อน นางมองหาผู้ดูแลจากนั้นจึงเข้าไปสอบถาม “ผู้ดูแล วันนี้หมอเทวดาเหยียนจะมายามใด”“แม่นางอยากรู้ข้อมูลก็ต้องจ่ายเงินขอรับ”ลู่ผิงถิงไม่อยากจ่ายเงินซ้ำซ้อนนางจึงเอ่ยหลอกล่อเอาข้อมูลจากผู้ดูแล “ข้าเป็นแขกที่หมอเทวดานัดไว้ เจ้าเสียมารยาทกับข้าเช่นนี้ใช้ได้รึ”ใบหน้างามเชิดขึ้นอย่างถือดี“ข้าน้อยขออภัยขอรับ เช่นนั้นแม่นางไปรอที่ชั้นสามห้องผกามาศ ข้าน้อยจะนำทางท่านไป”“ไม่ต้อง...เจ้าทำงานของเจ้าไปเถิด ข้ามีขาเดินไปเองได้” ลู่ผิงถิงแสร้งเปล่งเสียงไม่พอใจออกมาเมื่อหันหลังให้ผู้ดูแลมุมปากได้รูปก็ยกขึ้นอย่างเจ้าเล่ห์ ครั้งนี้ข้อมูลแน่นโดยไม่ต้องเปลืองเงินสักแดงเดียวลู่ผิงถิงขึ้นไปชั้นสามนางนั่งรออยู่ตรงระเบียง ฝั่งตรงข้ามกับห้องผกามาศ รอหมอเทวดาเหยียนมาถึงจะแสร้งวิ่งหนีอะไรบางอย่าง แล้วบังเอิญไปชนเขา พอได้รับบาดเจ็บจากนั้นเขาก็จะพานางไปรักษาในห้องเท่านี้ก็สามารถพูดคุยเรื่องการรักษาท่านแม่กับเขาได้แล้วสายลมอ่อน ๆ พัดมาพร้อมกลิ่นของดอกหอมหมื่นลี้ ลู่ผิงถิงสูดดมกลิ่นหอมสดชื่นนั้น เนื่องด้วยเมื่อคืนนางอดหลับอดนอนดูแลมารดา เมื่อไ
ครานี้ผู้ที่มารินสุราเป็นนางกำนัลตัวน้อย ไม่รู้ว่านางประหม่าหรืออย่างไร จึงทำสุราหกราดอาภรณ์ของมู่เซียวเซ่อจนเปียกปอน “ขออภัยท่านอ๋อง หม่อมฉันไม่ได้ตั้งใจ หม่อมฉันสมควรตายเพคะ ท่านอ๋องโปรดอภัยด้วย”นางคุกเข่าคำนับซ้ำแล้วซ้ำเล่า เซียวเซ่อคร้านจะใส่ใจนางกำนัลตัวเล็กจึงลุกขึ้นยืน “เสด็จพี่ กระหม่อมขอตัวไปเปลี่ยนอาภรณ์”“อืม เราก็จะไปสุขาเช่นกัน” ฮ่องเต้หนุ่มเอ่ยห้องจัดเลี้ยงกว้างขวาง เหลือเพียงจี้ฮองเฮานั่งอยู่ลำพัง จิตใจสั่นไหวเมื่อพบกับมู่เซียวเซ่ออีกครั้ง ความรักที่ถูกกดลึกไว้ในอก และความทรงจำเก่า ๆ ได้เอ่อล้นขึ้นมาวันนั้นนางจำได้ดี เป็นงานเลี้ยงต้อนรับชัยชนะของท่านพ่อ และเป็นวันที่นางพลาดพลั้งอย่างไม่รู้ตัว ตื่นมาอีกทีก็มีฝ่าบาทนอนอยู่ด้านข้าง เราทั้งสองไร้เสื้อผ้าอาภรณ์ ผู้คนจำนวนมากพบเห็นเรื่องนี้ทำให้จี้ฝู่หลิงไม่มีหน้าไปพบเจออดีตคนรักอีก ยอมอภิเษกกับฝ่าบาททั้งที่ใจไร้รักเริ่มแรกฝ่าบาทเอาอกเอาใจ ทำดีกับจี้ฝู่หลิงทุกอย่าง ทว่า...วันคืนดี ๆ ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อบิดาของนางถูกสังหารในสนามรบ เขาก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เป็นเหมือนสัตว์ป่าดุร้าย ทรมานนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนนาง
สามวันผ่านไป ลู่ผิงถิงยังดูแลมารดาอยู่จวนตระกูลลู่ พวกบิดายังไม่กลับมาได้ยินว่าพากันออกไปท่องเที่ยวทิศประจิม และดูทำเลการค้าเพื่อขยายกิจการร้านเสื้อผ้าลู่ผิงถิงเดินไปที่เรือนใหญ่พบกับบ่าวที่เฆี่ยนพี่เสี่ยวซีเข้าพอดี จึงเรียกให้เข้ามาช่วยทำความสะอาดในห้องโถง พอบ่าวคนนั้นทำเสร็จออกไป คุณหนูใหญ่อย่างนางก็โวยวายว่าปิ่นปักผมหาย บอกให้บ่าวในเรือนช่วยกันตามหา ปรากฏว่าอยู่ที่ห้องของบ่าวที่เฆี่ยนพี่เสี่ยวซีไม่ได้ใส่ร้ายบ่าวคนนั้น เพียงแต่ใช้ปิ่นราคาหนึ่งร้อยตำลึงล่อตาล่อใจ หากนางไม่หยิบไปลู่ผิงถิงก็ไม่อาจลงโทษได้ แต่ครั้งนี้นางหยิบไปจึงหนีไม่พ้น เฆี่ยนพี่เสี่ยวซีไปกี่ครั้งต้องถูกเอาคืนเป็นสองเท่า ไม่ยอมให้พี่เสี่ยวซีเจ็บปวดคนเดียวแน่ ส่วนลู่ไป๋อิง รอก่อนเถอะจะจับตีให้ก้นลายเลยหนึ่งปีมานี้คงเรียนรู้กับฮูหยินรองมาก จึงเปลี่ยนไปเช่นนี้เมื่อก่อนน่ารักเชื่อฟัง หลังจากนางย้ายมาเรือนท้ายจวนน้องสาวก็เปลี่ยนไป ไม่รู้ว่าที่ผ่านมาน้องสาวเสแสร้ง หรือเป็นแบบนี้มานานแล้วจัดการบ่าวคนนั้นเสร็จก็เข้าไปในห้องบิดา ค้นหาหลักฐานเกี่ยวกับคดีของพี่ชายใหญ่มีอยู่วันหนึ่ง ลู่ผิงถิงบังเอิญได้ยินบิดาคุยกับพี่ชายคนรอ
คนมาใหม่สวมหน้ากากสีทองพาดเฉียงครึ่งหน้า อาภรณ์สีน้ำเงินโบกสะบัดยามลอยตัวลงมา ฝีเท้าแตะพื้นแผ่วเบาบ่งบอกว่าเป็นยอดฝีมือผู้หนึ่ง“บาดเจ็บตรงไหนรึไม่” เขามองสำรวจเด็กน้อยตรงหน้า เมื่อเห็นว่ามีเพียงร่องรอยฟกช้ำก็ถอนสายตากลับ“นี่ท่าน” ลู่ผิงถิงจำเขาได้ นางเคยพบเจอคนผู้นี้ยามไปเก็บสมุนไพรที่หุบเขาหลังจวน ตอนนั้นเขาบาดเจ็บสาหัสนางช่วยใส่ยาให้เขา และพาเขาไปหลบในที่ปลอดภัย นางดูแลจนเขาฟื้น จำได้ว่าวันนั้นกลับจวนผิดเวลา ถูกบิดากักบริเวณให้อยู่แค่เรือนท้ายจวนถึงครึ่งเดือน“เจอกันอีกแล้วนะเด็กน้อย” ชายหนุ่มที่สวมหน้ากากทักทายสตรีตัวเล็กตรงหน้า “ไปหาที่หลบให้ดี พี่ชายจะโชว์ความร้ายกาจให้เจ้าดู”เขาเริ่มต่อสู้กับคนชั่ว เพียงไม่กี่กระบวนท่าชายที่สวมหน้ากากก็กดบุรุษชุดดำไว้บนพื้น เขาใช้เชือกมัดมือมัดเท้าบุรุษชุดดำ แล้วลากออกไปทิ้งไว้ในห้องเก็บฟืน“ขอบคุณมาก” ลู่ผิงถิงเอ่ยขอบคุณเมื่อพี่ชายหน้ากากทองกลับเข้ามาในห้อง“ขอบคุณเพียงคำพูดจะนับอะไรได้ ไม่สู้เจ้า...ขอบคุณเป็นอย่างอื่น” ชายหนุ่มแย้มยิ้มอย่างมีเลศนัยลู่ผิงถิงไม่สนใจเขา ขอบคุณนางก็ขอบคุณไปแล้ว นางมองร่างไร้วิญญาณของพี่เสี่ยวซี ดวงตากลมโตแดงก่
ลู่ผิงถิงมีน้ำตาซึมออกมาทางหางตา เสียดายที่ไม่อาจเอาคนผิดที่อยู่เบื้องหลัง การทำร้ายพี่ชายใหญ่มาลงโทษได้ กลับเป็นนางที่ต้องตายก่อนศัตรู ดวงตากลมโตหลับตารอรับความเจ็บปวดจากปลายมีด ทว่านางกลับไม่รับรู้ถึงความเจ็บนั้น ไหล่ทั้งสองถูกสองมือเล็กกำแน่น ลู่ผิงถิงลืมตาขึ้นมา เห็นพี่เสี่ยวซีที่ไม่รู้ว่ามาตอนไหน ยืนบังปลายมีดไว้ให้นาง ร่างของพี่เสี่ยวซีค่อย ๆ ทรุดลงพื้น ยามเสี่ยวซีรู้สึกตัวขึ้นมา ก็เห็นว่าคุณหนูของนางตกอยู่ในอันตรายพอดี จึงพยุงร่างที่เจ็บระบมลุกขึ้นมาอย่างยากลำบาก ตะเกียกตะกายมาขวางปลายมีดสั้น ที่กำลังแทงลงบนผิวหนังคุณหนูไว้ได้ ในวินาทีสุดท้าย นางไม่เสียดายชีวิต ขอเพียงคุณหนูมีชีวิตอยู่ ทำในสิ่งที่คุณหนูอยากทำ นางรู้ตัวเองดีว่าบาดเจ็บครั้งนี้ ตัวเองไม่อาจรอดพ้นความตายได้ จึงใช้ร่างกายที่เหลือลมหายใจสุดท้ายนี้ ช่วยชีวิตคุณหนูของนาง “คุณหนู” เสียงเรียกแผ่วเบาปานกระซิบ ลู่ผิงถิงรู้สึกหัวใจขาดเลือดไหลเวียน นางรีบย่อตัวลงประคองพี่เสี่ยวซีไว้ในอ้อมกอด มือที่ประคองแผ่นหลังเต็มไปด้วยของเหลวสีแดงเข้ม น้ำตาลู่ผิงถิงไหลพราก หัวใจราวกับถูกเข็มทิ่มแทงซ้ำแล้วซ้ำเล่า “พี่เสี่ยวซีข้า.
Comments