เพียงเพราะหนี้สินห้าอีแปะที่ไม่ตั้งใจก่อในวัยเยาว์ ชีวิตเฉินเซียงหรงวุ่นวาย ถูกจวิ้นหวังจ๋างจื่อจอมเจ้าเล่ห์ตามติด! จวิ้นหวังจ๋างจื่อ 'หลี่ตือหลิน' ผู้นี้ ออกรบติดพันอยู่ที่ชายแดนตั้งแต่ยังอายุได้ไม่เท่าไหร่ ผ่านมาหลายปีเพิ่งจะได้กลับตำหนัก กลับไม่กตัญญูดูแลปรนนิบัติมารดา ไม่ท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ ไม่จัดงานเลี้ยงหรือเข้าร่วมงานรื่นเริง ไม่หาความสงบ ไม่หาความสำราญ แต่ละวันกลับเอาแต่สรรหาวิธีการมากวนใจลูกหนี้อย่างนางไม่หยุดหย่อน ครั้นจะคืนห้าอีแปะนั่นให้ดีๆ ก็ไม่ยอม กลับอ้างว่า “ต่อให้เจ้ามอบให้ข้าสักห้าพันตำลึง ก็ยังไม่ใช่ห้าอีแปะนั้นที่ข้าจ่ายออกไปอยู่ดี” ทั้งยังดันทุรังจะแต่งงานกับนางให้ได้ด้วย เรื่องบ้าอะไรกัน? แบบนี้ก็ได้หรือ?!
view moreเทศกาลชมบุปผาวันนี้อากาศดี ดอกไม้งาม สายน้ำเย็นใส ทว่าเฉินเซียงหรงกลับไม่เหลือแก่ใจจะชื่นชมธรรมชาติใดใดอีกแล้ว
นับตั้งแต่เกิดมา นางไม่เคยต้องพบความกดดันมากเท่านี้!
ยามนี้ นาง ในฐานะ ‘สตรีที่งดงามที่สุด และทรงภูมิที่สุด’ ทั้งยังอาจเรียกได้ว่าเป็น ‘สาวงามรุ่นเยาว์ที่สูงส่งและน่าจับตามองเป็นที่สุด’ ยืนอยู่กลางลานกว้างเพียงลำพัง สายตาคนมากมายต่างจับจ้อง
ไท่โฮ่วส่งยิ้มให้นางไม่หยุด หวงโฮ่วเองก็ชื่นชมนางอย่างชัดเจน ทั้งชื่นชมและชมชอบถึงขั้นเมตตาถอดปิ่นหงส์ทองคำล้ำค่าจากเกสาประทานให้ เหล่าสตรีบรรดาศักดิ์ บรรดาองค์ชายและท่านชาย ต่างมองมาที่นาง นัยน์ตาเปล่งประกายวาววับ!
เซียงหรงฝืนรักษารอยยิ้มงดงามบนใบหน้า ทว่าในใจได้แต่ตะโกนว่า
แย่แล้ว!
โฮ...!!! นางสมควรเก็บงำความสามารถ วางตัวโง่งม และปล่อยให้ผู้อื่นรุมประนามต่อไปต่างหากถึงจะถูก!
ยามนี้นางเองก็โตมากแล้ว วัยสิบห้าสิบหกขวบปี นับว่าเป็นสตรีที่อยู่ในช่วงอายุทองคำของการแต่งงานออกเรือนชัดๆ
ทว่านางไม่อยากแต่งงานออกเรือน! นางอยาก ‘ถูกกักตัวไว้ในจวนเฉินกั๋วกง’ ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเรื่อยไปตามประสานางต่างหาก!
การแต่งงานออกเรือนมีสามีไม่เห็นจะมีสิ่งใดดีเลยสักนิด
มารดาของนาง เซียงเหลียนจวิ้นจู แม้จะมีสายเลือดราชวงศ์สกุลหลี่ เป็นถึงน้องสาวของจวิ้นหวังเถี่ยเม่าจื่อเพียงหนึ่งเดียวของเทียนจินเรา แม้จะได้แต่งงานกับคนที่รักปักใจและรักนางยิ่ง ทว่าไม่นานนักท่านพ่อก็ยังรับอนุเข้าจวนพร้อมกันถึงสามคนไม่ใช่หรือ ท่านแม่ของนางแม้หน้าชื่นกลับอกตรม สุขภาพทรุดโทรมลงทุกวัน ต่อมาก็ถึงกับคลอดบุตรเสียชีวิต ตลอดชีวิตการแต่งงานของมารดา เบื้องบนเชื่อฟังแม่สามี เบื้องล่างต้องคอยดูแลสตรีคนอื่นๆ ของสามีและบุตรชายบุตรสาวของพวกนาง ต่อให้ไม่เคยปริปากบ่น ท่านแม่ที่ต้องอดทนมากมายถึงเพียงนั้นที่ไหนเลยจะครองเรือนอย่างเป็นสุข
นางไม่ต้องการเป็นเช่นท่านแม่และสตรีอีกหลายต่อหลายคนที่ต้องเผชิญชะตากรรมเช่นนี้...นางไม่ยินยอม!
เดิมทีครั้งนั้นในอดีต ถูกกล่าวหาว่าแปดเปื้อนราคีคาวตั้งแต่ยังเยาว์ ก็อุตส่าห์คิดว่าการมีข่าวเล่าลือเสียหายติดตัวเช่นนั้นจะช่วยให้รอดพ้นจากเรื่องโลกีย์ธุลีแดง...
คาดไม่ถึงว่าต่อให้ข้าอยู่เฉยๆ อยู่นิ่งๆ ในจวนเหมือนคนตาย ผู้อื่นกลับไม่ยอมปล่อยข้า!
เซียงหรงอยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา
เหตุใด...เหตุใดเรื่องราวจึงได้เลยเถิดมาไกลถึงขั้นนี้กันแน่นะ ไม่ใช่ว่านับตั้งแต่คืนนั้นเมื่อราวสิบกว่าปีก่อน นางก็ใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังเป็นอย่างดีมาตลอดมิใช่หรือ
หรือที่แล้วมานางล้วนคิดและตัดสินใจผิดพลาด อดทนใช้ชีวิตขลาดเขลาอย่างไร้ประโยชน์ ซ้ำยังหูตาคับแคบโง่เง่า แต่กลับหลงตัวเอง ละเมอเพ้อพกว่าตนเองเฉลียวฉลาดปราดเปรื่องเพียงเพราะท่านอาจารย์ผู้เฒ่าผู้ทรงภูมิ และท่านป้าสะใภ้ของนาง คอยชื่นชมเช่นนั้น
ถูกแล้ว เรื่องราวชีวิตนางผิดพลาดไป...หากจะนับกันตามตรง ก็คงนับได้ว่าทุกอย่างเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อสิบกว่าปีก่อน...ตอนที่นางสูญเสียมารดาที่คอยรักถนอม คอยปกป้องคุ้มภัย...แล้วต่อมาก็โดนจวิ้นหวังจ๋างจื่อเจ้าเล่ห์ร้ายกาจบางคนเล่นเล่ห์!
หลี่จือหลิน!!! กับแค่เงินเพียงห้าอีแปะ ท่านเป็นถึงทายาทผู้สืบทอดของจวิ้นหวัง ตำหนักจวิ้นหวังทิศบูรพาที่ไหนจะขาดแคลนเงินแค่เพียงห้าอีแปะ เหตุใดกระทั่งยามนี้ ท่านก็ยังไม่ยอมละเว้นข้า!
ย้อนเวลา! ไม่ใช่ว่าในนิยายที่เหล่าบัณฑิตตกยากเขียนขายอยู่นอกจวนกั๋วกง มีเรื่องพรรค์นี้อยู่เต็มไปหมดไม่ใช่หรือ ต่อให้กล่าวว่าเรื่องราวเหล่านั้นเป็นเพียงเรื่องเล่าจากจินตนาการของผู้แต่ง ทว่าหากไม่มีไฟที่ไหนเลยจะมีควัน...
ตอนนี้เฉินเซียงหรงสติกระเจิดกระเจิงจนอยากให้เรื่องราวในนิยายเหล่านั้นเกิดขึ้นกับตนเองแล้ว
ข้าอยากย้อนเวลา!
เทพเซียนเจ้าขา ท่านแม่ บรรพบุรุษ พระโพธิสัตว์! ข้าประพฤติตนเป็นเด็กดีมาตลอดไม่ใช่หรือ ตอนนี้ข้าอยากย้อนเวลา!
ถูกแล้ว ถ้าเรื่องย้อนเวลามีอยู่จริง นางจะขอย้อนเวลากลับไปตั้งแต่ตอนนั้นในเมื่อราวสิบกว่าปีก่อน นับตั้งแต่ตอนที่ท่านแม่เจ็บครรภ์คลอดน้องชายสามกลางดึกคืนนั้นเลย!
ยามรุ่งอรุณแรกของวันใหม่ แสงแดดอ่อนๆ สาดส่องลอดเข้ามาผ่านปากถ้ำ เสียงนกร้องแว่วดังจากบนยอดไม้ ช่วยเสริมให้บรรยากาศดูเงียบสงบ แต่ภายในถ้ำเล็กๆ นั้นกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลายที่ปะทุอยู่ในใจคนทั้งสองเฉินเซียงหรงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาพร้อมความเจ็บปวดที่แล่นแปลบไปทั้งร่างเพียงนางขยับตัวเล็กน้อย ความเจ็บและเมื่อยล้าเนื้อตัว รวมถึงความปวดร้าวจากสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ทำให้นางข่มความเจ็บใจเอาไว้แทบไม่ไหว น้ำตาพลันเอ่อคลอเบ้าอีกครั้งหลี่จือหลินที่นอนตะแคงร่างหันหน้าเข้าหานางกลับอยู่อย่างเงียบๆ ใบหน้าหล่อเหลาที่มักประดับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์กลับดูซีดเซียวและเต็มไปด้วยความสำนึกผิด แววตาของเขาดูหม่นแสงราวกับแบกรับทุกความผิดบาปบนโลกนี้ไว้ "เจ้าเจ็บมากหรือไม่?" เสียงของเขาแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงเซียงหรงเบือนหน้าหนี ไม่อยากมองหน้าเขาอีกแม้แต่น้อยนางกัดริมฝีปากแน่น พยายามลุกขึ้นด้วยตนเอง แต่เพียงแค่ขยับตัวเพียงนิด กลางกายที่ยังคงทั้งบวมทั้งแดงก็ส่งความเจ็บปวดจนต้องทรุดฮวบลงไปอีกครั้งหลี่จือหลินรีบประคองนางไว้ เขากุมมือนางเบาๆ แต่เซียงหรงกลับสะบั
หลี่จือหลินนิ่งไปครู่หนึ่ง ดวงตาของเขาฉายแววความเจ็บปวดและสับสน ก่อนที่เขาจะถอนหายใจยาว ปล่อยนางให้เป็นอิสระ รู้สึกได้ถึงความชื้นแฉะที่อก…พอเดาได้ว่ารอยกระบี่ฟันซึ่งได้จากการร่วมต่อสู้กับกลุ่มนักฆ่าที่หานชิงเยว่ส่งมาสังหาร ‘ตงหลิน’ องครักษ์ที่เขาวางตัวให้คอยติดตามคุ้มกัน เฉินเซียงหรงในที่แจ้ง ปริแยกเพราะแรงผลักของนางเมื่อครู่“เจ้าไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด เฉินเซียงหรง” เสียงของเขาอ่อนลงเล็กน้อย “สำหรับข้า สัมพันธ์ระหว่างเราจะไม่ใช่และไม่มีทางเป็นสิ่งที่ทำเพื่อตัดความสัมพันธ์ แต่เป็นสิ่งที่ข้าหวังจะทำเพื่อให้เราสองคนผูกพันกันตลอดไป”เซียงหรงบอกอย่างปลดปลง “ท่านต่างหากที่ไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด เรื่องนั้นก็ช่างเถอะ สำหรับข้า ขอเพียงไม่ต้องแต่งงาน หากท่านเพียงอยากได้ร่างกาย ท่านก็เอามันไปเถิด”ขอเพียงไม่ต้องแต่งงาน...อย่างนั้นหรือ?เพียงเพื่อหลีกเลี่ยงเขา ต่อให้ต้องพลีกายให้ชายอื่น นางก็ไม่สนใจแม้จะต้องขึ้นเตียงกับเขา นางก็ยังดื้อด้านไม่ยอมแต่ง!หลี่จือหลินมองสตรีตรงหน้าด้วยแววตาเจ็บ
“เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนแบบไหนกันแน่ เฉินเซียงหรง” เสียงของเขาสั่นเล็กน้อยด้วยความโกรธ “เจ้าจะพลีกายให้คนที่ไม่รู้จัก ไม่สนว่าจะเป็นใคร เพียงเพราะต้องการหนีการแต่งงานงั้นหรือ?!”เซียงหรงกัดริมฝีปาก นางหลบสายตาเขา รู้ดีว่าคำพูดของตนเองอาจจะดูไร้ยางอาย แต่ในสถานการณ์นี้ นางมองไม่เห็นทางเลือกอื่นใดอย่างน้อยคนผู้นี้ก็ไม่ใช่คนเลวร้าย เดินทางร่วมกันมานานหลายวัน เขาไม่เคยฉวยโอกาส ไม่ใช้กำลังบังคับข่มเหง ย่อมจะต้องเป็นผู้มีคุณธรรมและมีเกียรติมีศักดิ์ศรีผู้หนึ่ง ซ้ำยังเป็นสหายกับผู้มีพระคุณที่ช่วยเหลือพี่ซู่ซิน ของนางเอาไว้ ในตอนที่นางจากไป นางย่อมสามารถฝากฝังพี่ซู่ซินของนางให้พวกเขาดูแล อีกทั้ง…“ชีวิตนี้ของข้าเป็นท่านช่วยไว้ถึงสองครั้ง” หากนับเรื่องที่เขายังเป็นคนช่วยพานางที่เหนื่อยจนหมดสติไปพักและรักษาให้ในกระท่อมร้าง ก็ไม่ใช่เพียงสองครั้ง แต่เป็นสาม...ตอนนั้น หากไม่ได้เขามาช่วยไว้ นางอาจกลายเป็นซากร่างเย็นชืดไร้ลมหายใจที่ฝูงสัตว์รุมกัดแทะไปนานแล้วก็เป็นได้ไม่แน่ว่ายามนี้อาจไม่เหลือแม้กระทั่งเศษกระดูกแล้วด้วยซ้ำ
ไม่ทันที่นางจะได้ขยับตัว ตงหยางที่รัดท่อนแขนตัวเองเอาไว้อย่างแน่นหนาก็ก้มลงดูดที่แผลของตนเอง ดูดแล้วก็พ่นเลือดสีคล้ำเข้มออกมา ดูด แล้วก็พ่นเลือดสีคล้ำเข้มออกมา ทำวนซ้ำอยู่อย่างนี้จนเลือดที่ดูดออกมาจากปากแผลเป็นสีแดงสด ถึงยอมหยุดมือเขาปล่อยให้สายรัดเอวที่รัดท่อนแขนอยู่ค่อยๆ คลายออกเอง กระถดเข้าไปนั่งชิดผนัง ก่อนถอนหายใจออกมาตงหยางเหลียวมองซากงูตัวนั้นอีกครั้ง ก่อนจะตวัดสายตามองเฉินเซียงหรง เอ่ยอย่างหัวเสีย“ดีเหลือเกิน ข้าบอกให้อยู่นิ่งๆ เจ้าก็รีบขยับตัวทันที!”“ก็ข้านึกว่า...” นางละอายเกินกว่าจะกล้าพูดต่อเขาช่วยชีวิตนาง...อีกเป็นครั้งที่สอง นางกลับคิดว่าเขาจะฉวยโอกาสใช้กำลังข่มเหงรังแก ทำเรื่องที่นาง...ไม่ยินยอม...“คุณหนูเฉิน ข้าบอกเจ้าแล้ว ข้าไม่มีความจำเป็นต้องบังคับข่มเหงสตรีที่ไม่เต็มใจ” เขาแค่นหัวเราะ ก่อนกล่าวต่อไป “ทว่าเป็นเช่นนี้จะดีหรือ หากร่วมทางกันไปเรื่อยๆ แล้ววันหนึ่งข้าเกิดดื่มสุราเมามายจนขาดสติเล่า เจ้าจะทำอย่างไร เจ้าจะยังกล้าติดตาม ‘รับใช้’ ข้าอีกหรือ ข้าว่าเจ้ายอมกลั
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เร็วจนเซียงหรงเองยังอดตกใจไม่ได้คืนหนึ่ง ขณะหลบฝนอยู่ในถ้ำเล็กๆ ตงหยางจุดไฟให้แสงสว่าง อากาศในถ้ำเย็นชื้น และเสื้อผ้าของพวกเขาเปียกชื้นจนต้องพาดไว้ใกล้กองไฟ เซียงหรงนั่งกอดเข่าห่างออกไปเล็กน้อย ดวงตาของนางมองเปลวไฟนิ่งราวกับตกอยู่ในห้วงภวังค์กระทั่งตงหยางมองนางด้วยสายตาขบขัน ก่อนจะเอ่ยขึ้น “เจ้าเคยคิดบ้างไหม ว่าแม้จะหนีการแต่งงาน แต่ในที่สุดเจ้าก็ต้องหาสามีอยู่ดี” เขาเอ่ยเสียงเบาเช่นเดิม “คุณหนูเฉิน เจ้ากล่าวว่าต้องการแน่ใจว่าจะสามารถส่งจดหมายถึงมือบิดาและพี่ชายที่อยู่ต่างเมือง จะทำเพียงส่งจดหมายบอกล่าวเล่าความ ไม่พบพวกเขา เจ้ามีพ่อและพี่ชายกลับคิดหนีหน้า เจ้าบอกว่ามีคู่หมั้น แต่ก็ไม่ปรารถนาที่จะแต่งงานกับคู่หมั้นผู้นั้น กลับมุ่งหมายออกบวชละกิเลสเสียมากกว่า ช่างไม่รู้เสียเลยว่าต่อให้เจ้าจะโกนผมโกนคิ้ว บุรุษที่ได้พบเห็นเจ้า พูดคุยกับเจ้า พวกเขาไหนเลยจะลืมเลือนเจ้าได้ลง เจ้าคิดว่าหากได้ออกบวช จะสามารถใช้ชีวิตอย่างสงบได้จริงหรือ” เซียงหรงเงยหน้าขึ้นมองเขา สีหน้าของนางเย็นชา “ก็ยังดีกว่ามีสามี&rdquo
ยามบ่ายคล้อย แดดร่ม ลมตก เป็นช่วงเวลาที่เซียงหรงรู้สึกสบายเนื้อสบายตัวที่สุดในช่วงวัน พื้นอารมณ์จึงค่อนข้างดีทว่าอารมณ์ดีๆ ของนาง กลับถูกทำลายลงด้วยเสียงเฉยชาที่ดังขึ้นทำลายความเงียบ“เป็นเช่นไรล่ะ คุณหนูเฉิน ใช้ชีวิตแบบนี้สนุกดีหรือไม่ ไม่ต้องมีคนคอยรับใช้ ไม่ต้องมีที่นอนอุ่นๆ ไม่ต้องกินอาหารดีๆ ใช้สองขาเดินทาง ร่อนเร่พเนจร ค่ำไหนนอนนั่น” นั่นประไร! นางรู้ว่าเขาคงอดทนไม่ว่านางได้ไม่ถึงครึ่งชั่วยามหรอก ยิ่งในตอนที่นางกำลังมี ‘ช่วงเวลาดีๆ’ รู้สึกสบายเนื้อสบายตัวเช่นนี้ยิ่งแล้วใหญ่!เดินทางร่วมกันมาจนถึงตอนนี้ นางแทบจะนับเวลาที่เขาจะเอ่ยปากเหน็บแนมนางได้แม่นยำแล้ว!นางชำเลืองมองเขาด้วยสายตาขุ่นมัว “ไม่เห็นจะลำบากอะไร” นางตอบเสียงเรียบพลางรวบชายเสื้อที่ปลิวเพราะลมเย็นตงหยางหันมามองนาง หัวคิ้วของเขายกขึ้นเล็กน้อย “อ้อ เช่นนี้ไม่ลำบาก” เขาหัวเราะในลำคอ “เจ้านี่ช่างเป็นสตรีที่ดื้อดึงยิ่งนัก เจ้าอยากมีชีวิตแบบนี้ไปจนตายเช่นนั้นหรือ”นางหยุดเดิน หันไปสบตาเข
Mga Comments