มารดาเลี้ยงจับนางแต่งงานกับอ๋องพิการแทนน้องสาวนางก็ยอม สามียังประกาศรักมั่นสตรีอีกคนนางก็ยอม แต่ใครให้ความกล้าพวกเขามารังแกนางกัน? แค้นนี้ย่อมส่งมอบคืน ในเมื่ออยู่กันดีๆไม่ได้ ก็ต้องย่อยยับกันไปข้าง!
View Moreบทนำ
ภายในห้องอันมืดมิด มีเพียงแสงจันทร์สีเงินจากภายนอกสาดส่องเข้ามากระทบลงบนเงาร่างของคนสองคนที่อยู่กลางห้อง
คนผู้หนึ่งยืนสูงตระหง่าน เพียงแค่แผ่นหลังก็ดูสง่างาม
หากแต่อีกคนกลับนั่งอยู่กับพื้น แขนขาล้วนถูกพันธนาการไว้ทั้งหมด กอปรกับผมที่หลุดลุ่ยปกปิดหน้าตา ช่างต่างกันราวฟ้ากับเหว
ปลายดาบแผ่ไอเย็นจรดลงข้างแก้มของนักโทษ ปาดปอยผมบางส่วนที่ปรกใบหน้าของคนเบื้องล่างอยู่ให้ร่วงหล่นลงสู่พื้นอย่างไม่สนใจ ตามติดมาด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบดุจสายธารในเหมันต์ฤดูเอ่ยถามออกไปว่า
"เจ้าเป็นใคร" เงาวาววับของดาบที่สะท้อนอยู่ในความมืดยิ่งทำให้บรรยากาศในห้องเย็นยะเยือกลงกว่าเดิม
"แม้แต่ยามนี้ ความจำของท่านอ๋องก็เลอะเลือนเสียแล้ว" สิ้นเสียงที่ตอบกลับมา ปลายประโยคก็ยังเจือด้วยการหัวเราะแผ่วเบาตบท้าย ประหนึ่งว่าไอเย็นจากดาบที่นาบอยู่ข้างแก้มมิได้ทำให้นางรู้สึกรู้สาอันใด
"บอกมา" การเอื้อนเอ่ยของอีกฝ่ายยังคงเชื่องช้าเหมือนเคย หากแต่ปลายดาบกลับยิ่งแนบสนิทชิดผิวขาวราวหิมะของนางมากขึ้นกว่าเก่า
มิรู้ว่าผู้ถูกถามมองเห็นถึงเจตนาในการวางดาบอย่างชัดเจนตั้งแต่แรกอยู่แล้วหรือไม่ รึไม่คิดเกรงกลัวกันแน่ นางถึงได้เอ่ยตอบเขาไปว่า
"ท่านอ๋อง... ผู้อื่นกล่าวว่าท่านช่างน่าสงสาร เป็นถึงเทพแห่งสงครามแต่กลับโชคร้ายขาพิการ มิหนำซ้ำส่วนนั้นก็มิทำงาน เรื่องนี้ถูกพูดถึงในวงสนทนากี่รอบต่อกี่รอบ ข้าฟังจนหูแทบไร้ความรู้สึกไปแล้ว ยามนี้ หากเรื่องที่ท่านหลง ๆ ลืม ๆ ถูกเปิดเผยออกไปอีก ชาวบ้านจะมิเวทนาอาดูรท่านกว่าเดิมหรือไร" ความกระจ่างในน้ำเสียงของนางยังคงเด่นชัด ชัดเสียยิ่งกว่าการมองเห็นสภาพภายในห้องมืด ๆ แห่งนี้เสียอีก
"เจ้า!" สุดท้ายคนที่ใจเย็นอย่างเขาก็มิอาจทนไหว เผลอตวาดออกมา ตัวเขาสั่งคนมัดนางไว้ก็แล้ว ล่ามโซ่ก็แล้ว แต่ก็มิวายมีเรื่องให้หงุดหงิดใจอีก เพียงเพราะต้องเหลือปากให้นางตอบคำถาม ยามนี้ถึงได้หัวเสียเพราะคำพูดของนางเข้าให้แล้ว
ทว่าเหนือสิ่งอื่นใด คำตอบที่มอบกลับมาอีกคราก็ทำให้สรรพสิ่งรอบกายเงียบงันลงกว่าเดิม
"พี่ลี่หยาง ข้าก็คือ 'เจียงเยี่ยนฟาง' ชายารองของท่านอย่างไรเล่าเพคะ บุตรสาวคนโตของอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้าย..."
"..." มือที่ถือดาบอยู่พลันกำแน่นขึ้นอีกนิด หวังว่าสัมผัสในมือจะย้ำเตือนสติ มิให้เขาใช้อารมณ์ชั่ววูบสังหารนางทิ้งไปเสียตอนนี้ "เจ้าไม่ใช่!"
แม้ดวงหน้าของนางที่ถูกแสงจันทร์ลอดผ่านเส้นผมไปกระทบ มองดูอย่างไรก็รู้ว่ากำลังเยาะเย้ยเขาอย่างออกนอกหน้า แถมยังดูไม่สนแม้ว่าตนกำลังจะตายก็ตาม ทว่าสตรีที่บอกว่าตนคือเจียงเยี่ยนฟางกลับเอ่ยเรียกเขาด้วยน้ำเสียงเว้าวอน "ท่านพี่... ท่านลืมข้าได้อย่างไรเพ..."
แต่ไม่ทันได้ให้ผู้อื่นหยอกเย้าเล่นจนจบ ปลายดาบก็เปลี่ยนมาเชยคางของเจียงเยี่ยนฟางขึ้น จนนางต้องจำยอม เชิดหน้าตามขึ้นไป นำพาให้ปากที่กำลังเอ่ยวาจาต้องหุบลงทันที
จังหวะนั้น รอยยิ้มเย้ยหยันพลันปรากฏบนมุมปากของท่านอ๋องผู้อยู่เหนือกว่าสตรีใต้เท้าของตน เพียงแต่มันก็คงอยู่ได้ไม่นาน เพราะสิ่งที่นางกระทำต่อมากลับยิ่งเหนือความคาดหมาย
เมื่อรอยยิ้มของสตรีที่นั่งอยู่พลันกระตุกขึ้นตามคนที่ยืนกดตาลงต่ำมองดูตนเอง นางเบี่ยงหน้าหลบไม่ให้คมของดาบสัมผัสโดนใบหน้า อย่างไรเสียสตรีก็รักใบหน้ายิ่งชีพ นางเองก็ไม่ต่าง แต่พอหลบพ้นแล้วเจียงเยี่ยนฟางก็เอาคอพาดลงไปบนดาบอีกรอบ เพื่อให้ดาบบาดผิวบนลำคอของตนแทน
ตายเพราะดาบปาดคอนางรับได้ แต่ตายศพไม่สวย... นางรับไม่ได้!
มือใหญ่แทบจะดึงดาบออกมาเกือบไม่ทัน เซียวลี่หยางเซถอยหลังไปถึงสองก้าวด้วยความตกใจในความบ้าบิ่นของนาง เขารู้ว่านางประหลาด รู้ว่าเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย แต่ไม่คิดว่าจะถึงขั้นเสียสติ หรือคนที่ส่งนางมา ก็หวังให้นางสละชีพตนเองอยู่แล้วหากทำงานมิสำเร็จ นางเลยไม่สู้ตายเสียเดี๋ยวนี้ ดีกว่าถูกเขาจับทรมานสอบปากคำให้คลายความจริงออกมา
จังหวะนั้น เสียงหัวเราะก็ดังออกมาจากร่างบางที่ถูกมัดมือไขว้หลังนั่งอยู่บนพื้น ผมยาวสยายตกลงมาราวกับภูตผี
ความหนาวเย็นรอบกายกอปรกับเสียงหัวเราะแปลกประหลาดก็ทำให้อีกคนในห้องที่หลบอยู่ในเงามืดถึงขั้นขมวดคิ้ว ก่อนเดินเข้ามาประชิดเจ้านายของตนเพื่อหวังจะถามว่าจะเอายังไงต่อ
ฉับพลันนั้นที่เจียงเยี่ยนฟางเงยหน้าขี้นมา นางก็ยกยิ้มหวานยียวนจ้องมองท่านอ๋องผู้สูงศักดิ์ หยาดเลือดสีแดงสดค่อย ๆ แทรกซึมออกมาจากบาดแผลบนลำคอ สีชาดของเลือดช่างตัดกับผิวขาวซีดนั้นอย่างชัดเจน เมื่อสบเข้ากับนัยน์ตาไม่พอใจของสามี นางก็หัวเราะเสียงเย็นออกมาอีกระลอกหนึ่ง
ตัวท่านอ๋องที่สบตากับนางอยู่ก็จ้องมองนางด้วยใบหน้าสงสัย 'เจ็บขนาดนั้นแต่กลับยังหัวเราะออกมาได้ นาง... เสียสติไปแล้วหรือไร!'
ครั้นเมื่อหัวเราะจนพอใจแล้ว เจียงเยี่ยนฟางก็หอบหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง เอ่ยกับเขาด้วยเสียงหวานอย่างที่ไม่เคยเอ่ยมาก่อน แต่คนฟังย่อมรู้แน่ว่านางกำลังกวนประสาทเขาอยู่
"ตัดใจสังหารมิลงหรือเพคะ หรือทรงมีใจให้หม่อมฉันไปแล้ว"
"ประสาท!" เขาสบถอย่างหาได้ยาก สะบัดกายเตรียมจะจากไป "ทรมานนาง เค้นคำตอบมาให้ข้า!"
ประตูห้องมืดถูกเปิดออกแล้ว แสงจากด้านนอกที่ลอดผ่านเข้ามา ก็นำพาให้เห็นดวงตาไร้ความรู้สึกของนักโทษบนพื้นได้อย่างชัดเจน ใบหน้าที่กำลังยิ้มให้สวามีของตนเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นเรียบเฉย ยิ่งบวกกับสภาพผมเผ้าที่ดูไม่ต่างจากขอทานของนาง ผู้ใดที่ได้พบเห็น หากไม่รู้เรื่องราวมาก่อนก็คงคิดว่านางคือวิญญาณร้ายที่ถูกจับขังก็ไม่ปาน
"พ่ะย่ะค่ะ!" เหล่าองครักษ์ด้านนอกรับคำ แต่มิทันได้เดินเข้ามาด้านในก็ต้องรีบหันกลับไปสนใจร่างของเจ้านายที่ทรุดลงกะทันหันแทน
"ท่านอ๋อง!"
มือของเซียวลี่หยางที่ยังคงถือดาบอยู่ก็พลันปักดาบทิ่มลงดิน ใช้ประคองร่างที่เจ็บปวดอย่างกะทันหันไว้ได้ทันพอดี ทำให้เขาไม่ล้มลงไป หากแต่เลือดคลั่งที่กลั้นไว้ได้ในตอนแรก สุดท้ายก็ไหลออกมาที่มุมปาก ขับเน้นให้ดวงตาที่แผ่ไอสังหารออกมาวาวโรจน์ขึ้นกว่าเดิม ราวกับมีเปลวเพลิงสุมอยู่ด้านใน มือใหญ่อีกข้างที่ยังว่าง ก็ยกห้ามคนของตนไว้ ไม่ให้มาประคองตัวเอง
ทว่าความเจ็บปวดกลับรุนแรงขึ้นอีกทบเท่าพันทวี จนแขนขาอ่อนแรง ร่างพลันทรุดลงไปกับพื้นในท่าคุกเข่าด้วยการฝืนทนอย่างสุดความสามารถแล้ว
"ท่านอ๋อง!" เหล่าองครักษ์ต่างร้องเรียกด้วยความตกใจอีกระรอก
ชินอ๋องแห่งแคว้นเฉิงที่กำลังจะไร้สติก็หันกลับไปมองด้านหลัง หวังใช้แรงเฮือกสุดท้ายก่อนจะทนไม่ไหวเพื่อบอกถึงต้นเหตุของเรื่อง
ทว่า... ด้านหลังที่เคยมีสตรีเสียสติผู้นั้นนั่งคุกเข่าอยู่พร้อมกับเชือกที่มัดตัวและโซ่ตรวนที่ขา บัดนี้กลับว่างเปล่า ร้างไร้คน! ภายในห้องหลงเหลือเพียงกลิ่นเลือดเจือจางในอากาศบ่งบอกว่าเขาไม่ได้คิดไปเอง เรื่องที่เมื่อครู่นางยังอยู่ตรงนั้น และหากไม่เห็นว่า ยังคงมีโซ่ที่ถูกถอดออกวางไว้อยู่ข้างปอยผมที่ถูกตัดขาดของนาง บัดนี้คงพานคิดไปแล้วว่าสตรีนางนั้นอาจเป็นผีสางจริง!
"นักโทษหายไปไหนแล้ว!" เติ้งอู๋ที่เดินตามเซียวลี่หยางออกมาตะโกนเสียงดังลั่น พลางนั่งลงประคองเจ้านายไว้ "ค้นหาให้ทั่ว อย่าให้นางหนีได้!"
อันนี้เป็นแค่บทเปิดเรื่อง ไม่มีความเกี่ยวข้อกับต้นเรื่องนะคะ
เจียงเยี่ยนฟางคร้านจะพูดมาก นางเดินมากระชากแขนของหงเปาไปนั่งตรงที่นางบอก นึกย้อนไปหลายสิบปีที่ผ่านมา ตั้งแต่มาอยู่ ณ ที่แห่งนี้นางพูดมากที่สุดแล้ว ปกติวัน ๆ หนึ่งนางเอ่ยออกมาแทบจะนับคำได้เลย ยามนี้จึงเริ่มอารมณ์เสียขึ้นมาเมื่อต้องพูดหลายรอบเกินไปหงเปาที่ถูกกดไหล่ให้นั่งลงบนเก้าอี้ก็ตัวแข็งเกร็ง ก้นแทบจะระบมเพราะแรงกระแทก แต่กลับไม่กล้าร้องออกมาแม้ครึ่งคำ เพิ่งเคยเห็นสตรีที่ทำท่าทางไม่พอใจเขาถึงขนาดนี้เป็นครั้งแรก แม้เขาจะบอกว่าตนเป็นบ่าวของชินอ๋อง แต่เบื้องหลังเขาเองก็ไม่ใช่ครอบครัวธรรมดา เป็นถึงตระกูลที่ร่ำรวยอันดับต้น ๆ ของแคว้นเฉิงตระกูลของเขาดูแลเรื่องการค้าขายระหว่างแคว้นมาตั้งแต่รุ่นก่อน ตัวเขาถึงได้เข้าไปเป็นสหายร่วมเรียนกับเหล่าองค์ชาย ด้วยเพราะฮ่องเต้พระองค์ก่อนต้องการอำนาจของตระกูลเขา บิดาจึงก็ได้รับเกียรติไม่ต่างกับขุนนางราชสำนัก เป็นที่เชิดหน้าชูตาในแวดวงการค้าไม่น้อย ทำให้เหล่าสตรีไม่ว่าจะเป็นชาวบ้านทั่วไป หรือคุณหนูจากตระกูลสูงศักดิ์ก็ยังต้องเคารพเขาอยู่แปดส่วน แต่คุณหนูใหญ่เจียงผู้นี้กลับแสดงความไม่พอใจอย่างออกนอกหน้าเพียงเพราะเขาไม่ยอมทำตามที่นางสั่งเนี่ยนะ?!"เลิกขึ
5 พิสูจน์อีกกี่ครา รอดไปอีกกี่หน"พระชายาเจียง เหตุใดถึงออกมานอกจวนไม่บอกผู้ใดพ่ะย่ะค่ะ" หงเปามองดูคุณหนูใหญ่เจียงที่แต่งเข้ามายังไม่พ้นสามวันก็ทำให้เขามีเรื่องปวดหัวไปแล้วสี่ครั้งอย่างจนปัญญา"ถ้าบอกแล้ว ท่านอ๋องจะให้ออกมา?" เจียงเยี่ยนฟางหัวเราะแผ่วเบาเมื่อเห็นสีหน้าของหงเปาที่ดูตกใจกับการย้อนถามของนาง ก่อนจะเดินนำหน้าผ่านตัวเขาไป "เป็นเจ้าไม่ใช่รึ ที่บอกไม่ให้เดินเพ่นพ่านในจวน ข้าเลยออกมาเดินข้างนอกแทน เวลานี้ต่อให้ผิดหรือไม่ ก็ยังไม่ดีพอในสายตาของพวกเจ้าอยู่ดี"หงเปาเม้มปากแน่น ที่นางกล่าวมาก็ไม่ผิดแม้ครึ่งคำ และในตอนที่มัวแต่คิดเรื่องที่นางพูดออกมาเมื่อครู่อยู่ สตรีผู้นั้นเพียงหนึ่งลมหายใจก็ทิ้งห่างไปเขาหลายก้าวแล้ว พาให้เขาเร่งเท้าต้องเดินตามจนน่าหงุดหงิดใจ "นั่นก็เป็นเพราะพระชายาทำกิริยาไม่สำรวม ท่านอ๋องถึงให้พระชายาประทับอยู่ที่เรือนด้านหลังเป็นการลงโทษ เหตุใดจึงไม่อยู่อย่างสงบเสงี่ยม"สงบเสงี่ยม? เจียงเยี่ยนฟางได้ยินแล้วก็เค้นเสียงเย็นในใจ เป็นแค่คนรับใช้ข้างกายท่านอ๋อง แต่กล้าพูดกับนางด้วยคำคำนี้? "ท่านอ๋องของเจ้าสั่งให้ข้าอยู่เรือนเก่าทรุดโทรม ไม่มีคนมาทำความสะอาด ข้าไม่เคย
ดังเสียจนเจียงเยี่ยนฟางยังตกใจไปด้วย นางกำลังสนุกอยู่เลย อยากรู้ว่าใครจะวางเงินเดิมพันมากที่สุด และพวกเขาจะคาดเดาว่านางจะอยู่ได้นานเท่าไรกันบ้าง ส่วนเวลาในใจของนางนั้น ย่อมไม่เกินสองเดือนอย่างแน่นอน!"หลีหมิ่น เจ้าเป็นอะไรของเจ้ากัน!" ห้องด้านข้างเริ่มโวยวายขึ้นมาอีกครั้ง ตามมาด้วยเสียงลากเก้าอี้เหมือนคนกำลังจะลุกขึ้น"นี่! หลีหมิ่น!"เจียงเยี่ยนฟางที่นั่งสงบนิ่งมาตั้งนานถึงกลับชะงักค้าง มือที่ถือจอกชาจะยกดื่มพลันรีบวางลงที่เดิม ก่อนหยิบจดหมายในสาบเสื้อออกมาดู หน้าซองจดหมายเขียนไว้ว่า 'พี่หลีหมิ่น' นิ้วเรียวจิกซองจดหมายแน่น ตัดสินใจลุกขึ้นทันทีค่าห้องในครั้งนี้ ไม่คุ้มค่าเท่าไรแล้ว!เมื่อเดินพ้นประตูห้องออกมานางยังคงได้ยินเสียงบ่นของคนในห้องตามมาไม่หยุด ส่วนด้านหน้าของนางเวลานี้ก็คือบุรุษร่างสูงในชุดสีน้ำเงินเข้มที่สะท้อนแสงไฟในหอน้ำชาจนมันเลื่อม ยิ่งยามที่อีกฝ่ายเร่งรีบเดินด้วยความเร็วเพราะไม่พอใจจะรีบจากไป ก็ทำให้เนื้อผ้าขยับไปมาอย่างพลิ้วไหว พาให้คนดูสูงส่ง เพียงแค่แผ่นหลังก็พานให้ผู้คนหลงใหลได้แล้วเวลาเดียวกันนั้น เจียงเยี่ยนฟางที่เคยนึกภูมิใจว่าตนเองขายาว เดินไวกว่าสตรีนางอื่น
"อะแฮ่ม" เถ้าแก่กระแอมไอ ด้วยนิสัยเดิมขี้คุยโวโอ้อวด การที่คุยแบบนี้ก็แสดงให้เห็นว่าตนนั้นเป็นร้านผ้าขึ้นชื่อที่เหล่าสนมชื่นชอบผ้าร้านเขาขนาดไหน ทำให้หลงลืมไปแล้วว่าแม่นางตรงหน้ากำลังรีบร้อนอยู่ "ระหว่างทางคนของพระสนมที่นำทางให้ข้าก็ดันปวดท้องเข้าห้องน้ำ จึงให้ข้ายืนรอก่อน แต่ขันทีผู้ดูแลวังในที่ผ่านมาพอดีก็กลับเข้าใจผิด เขาเจอข้าเข้าและคิดว่าข้านำผ้าอีกส่วนมาส่งตามวันที่ได้นัดหมายกัน ข้าเองก็เข้าใจผิดไปในตอนแรก คิดว่าเขาจะนำทางข้าเอาผ้าไปเก็บในคลังของพระสนมพระนางนั้น แต่เขากลับพาไปที่คลังเก็บผ้าของของวังหลวงแทน สิ่งที่ข้าเจอในห้องเก็บผ้าของวังหลวงก็คือผ้าจากแคว้นจ้าว! ผู้ดูแลเห็นข้ามองอย่างสนใจก็ยิ้มเยาะข้า! เหอะ! ก็ข้าไม่เคยเห็นนี่... ""..." เจียงเยี่ยนฟางจ้องมองนิ่ง เขาคิดจะออกนอกเรื่องอีกแล้ว? เถ้าแก่ถูกสายตาด่าแทนการพูดส่งมาถึง ก็รีบกระแอมไอกลบเกลื่อน กลับเข้าเรื่องสำคัญต่อ "อะแฮ่ม ขันทีผู้ดูแลก็เลยบอกว่า แคว้นจ้าวเพิ่งนำมาส่งมอบเป็นของบรรณาการเมื่อหกวันก่อน แต่เหมือนฮ่องเต้ดูจะไม่ทรงชอบสีและลวดลาย จึงให้จัดไว้ในคลังผ้าสำหรับตัดเย็บให้คนในวังทั่วไป..." เถ้าแก่มองซ้ายมองขวาเหม
4 สูงส่งแล้วอย่างไร ผู้คนก็นินทาเหมือนเดิมในยามที่จวนชินอ๋องยังคงวุ่นวายกับการที่หัวมังกรของบ้านถูกวางยาพิษ เจียงเยี่ยนฟางกลับหนีออกไปนอกจวนทางกำแพงฝั่งด้านหลังของเรือนไม้ตั้งแต่เช้าตรู่ ด้วยประตูของจวนทั้งด้านหน้าและด้านหลังถูกคนเฝ้าอยู่ตลอดเวลา นางจึงต้องหาเส้นทางอื่นแทน สุดท้ายก็พบว่ากำแพงหลังเรือนไม้ของตนเองช่างเหมาะจะใช้ปีนออกไปพอดี และด้วยชุดของนางเป็นชุดของสตรีในพื้นที่ราบนิยมใส่ขี่ม้ากัน ดังนั้นการปีนกำแพงก็ไม่ใช่เรื่องยากสถานที่ซึ่งนางแวะไปที่แรกคือร้านสมุนไพร ไม่นานหลังจากเข้าไปก็กลับออกมา ก่อนจะแวะไปที่ร้านผ้ากลางตลาดต่อ"เถ้าแก่" เจียงเยี่ยนฟางเอ่ยเรียกผู้ที่กำลังหันหลังอยู่"แม่..." เถ้าแก่เมื่อหันมาก็ลังเล เสียงที่เขาได้ยินก่อนหันกลับมาต้อนรับลูกค้านั้นเป็นเสียงของสตรีไม่ผิดแน่นอน แม้หันมาแล้วจะตกใจกับเสื้อผ้าที่อีกฝ่ายสวม กอปรกับความสูงที่หากมองผิวเผินก็คงจะนึกว่าบุรุษเพศ จึงทำให้เขาชะงักไปในตอนแรก แต่เขาเป็นเจ้าของร้านค้าผ้ามาเกือบสามสิบปี ย่อมรู้ว่าชุดแบบนี้คือชุดของสตรีในพื้นที่ราบอันห่างไกล จึงรีบเอ่ยอย่างกระตือรือร้นกับอีกฝ่ายว่า "แม่นาง ท่านต้องการผ้าไปตัดชุดหรื
อีกฝั่งหนึ่งจูหลิงที่ขยับกายหลบไปข้างเสาอีกนิดก็เอ่ยขึ้นว่า "ดูเหมือนนางจะรู้ตัวว่าพวกเรามาแอบดูอยู่เลยนะเพคะพระชายา""ไกลขนาดนี้แถมเรายังอยู่ในที่มืด นางไม่น่าจะมองเห็น" กู่เยว่ชิงเข้าใจถูกแล้ว เจียงเยี่ยนฟางมิได้มองเห็นพวกนางชัดขนาดนั้น เพียงแค่คาดเดาจากเงาร่างเลือนรางก็เท่านั้น"แล้วเหตุใดนางถึงยังไม่โดนจับไปขังคุกอีก มิใช่ว่าท่านอ๋องทรงแน่ใจแล้วหรือเพคะ ว่าเป็นนางที่วางยา""บิดาของนางเป็นถึงขุนนางฝ่ายซ้าย ต่อให้ท่านอ๋องคาดการณ์ว่านางอาจเป็นคนของฮ่องเต้ส่งมา แล้วอยากจับนางโยนออกไปเสียเดี๋ยวนี้ก็คงเป็นเรื่องที่เกินกำลัง ตัวนางมีคนหนุน หลังถึงขนาดนั้น คงไม่อาจทำอะไรบุ่มบ่าม" กู่เยว่ชิงเอ่ยวาจานุ่มนวล ทว่าดวงตากลับเต็มไปด้วยความไม่พอใจ มือที่แอบซ่อนไว้ในแขนเสื้อก็บีบเข้าหากันแน่นเพื่อระบายอารมณ์ นึกน้อยใจในโชคชะตาของตนเอง เพียงเพราะชาติกำเนิดของนางต้อยต่ำ หาไม่แล้วยามนี้นางคงได้ขึ้นเป็นพระชายาเอกไปนานแล้วสองปีก่อนที่ตบแต่งเข้ามา ท่านอ๋องยืนยันหนักแน่นว่าจะรับนางเป็นพระชายาเอกและจะไม่ตบแต่งผู้ใดอีก หากแต่ไทเฮาและฮ่องเต้ทรงเห็นพ้องต้องกันว่า ครอบครัวของนางเป็นเพียงแค่สามัญชนที่เพิ่งได
Comments