มารดาเลี้ยงจับนางแต่งงานกับอ๋องพิการแทนน้องสาวนางก็ยอม สามียังประกาศรักมั่นสตรีอีกคนนางก็ยอม แต่ใครให้ความกล้าพวกเขามารังแกนางกัน? แค้นนี้ย่อมส่งมอบคืน ในเมื่ออยู่กันดีๆไม่ได้ ก็ต้องย่อยยับกันไปข้าง!
View Moreบทนำ
ภายในห้องอันมืดมิด มีเพียงแสงจันทร์สีเงินจากภายนอกสาดส่องเข้ามากระทบลงบนเงาร่างของคนสองคนที่อยู่กลางห้อง
คนผู้หนึ่งยืนสูงตระหง่าน เพียงแค่แผ่นหลังก็ดูสง่างาม
หากแต่อีกคนกลับนั่งอยู่กับพื้น แขนขาล้วนถูกพันธนาการไว้ทั้งหมด กอปรกับผมที่หลุดลุ่ยปกปิดหน้าตา ช่างต่างกันราวฟ้ากับเหว
ปลายดาบแผ่ไอเย็นจรดลงข้างแก้มของนักโทษ ปาดปอยผมบางส่วนที่ปรกใบหน้าของคนเบื้องล่างอยู่ให้ร่วงหล่นลงสู่พื้นอย่างไม่สนใจ ตามติดมาด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบดุจสายธารในเหมันต์ฤดูเอ่ยถามออกไปว่า
"เจ้าเป็นใคร" เงาวาววับของดาบที่สะท้อนอยู่ในความมืดยิ่งทำให้บรรยากาศในห้องเย็นยะเยือกลงกว่าเดิม
"แม้แต่ยามนี้ ความจำของท่านอ๋องก็เลอะเลือนเสียแล้ว" สิ้นเสียงที่ตอบกลับมา ปลายประโยคก็ยังเจือด้วยการหัวเราะแผ่วเบาตบท้าย ประหนึ่งว่าไอเย็นจากดาบที่นาบอยู่ข้างแก้มมิได้ทำให้นางรู้สึกรู้สาอันใด
"บอกมา" การเอื้อนเอ่ยของอีกฝ่ายยังคงเชื่องช้าเหมือนเคย หากแต่ปลายดาบกลับยิ่งแนบสนิทชิดผิวขาวราวหิมะของนางมากขึ้นกว่าเก่า
มิรู้ว่าผู้ถูกถามมองเห็นถึงเจตนาในการวางดาบอย่างชัดเจนตั้งแต่แรกอยู่แล้วหรือไม่ รึไม่คิดเกรงกลัวกันแน่ นางถึงได้เอ่ยตอบเขาไปว่า
"ท่านอ๋อง... ผู้อื่นกล่าวว่าท่านช่างน่าสงสาร เป็นถึงเทพแห่งสงครามแต่กลับโชคร้ายขาพิการ มิหนำซ้ำส่วนนั้นก็มิทำงาน เรื่องนี้ถูกพูดถึงในวงสนทนากี่รอบต่อกี่รอบ ข้าฟังจนหูแทบไร้ความรู้สึกไปแล้ว ยามนี้ หากเรื่องที่ท่านหลง ๆ ลืม ๆ ถูกเปิดเผยออกไปอีก ชาวบ้านจะมิเวทนาอาดูรท่านกว่าเดิมหรือไร" ความกระจ่างในน้ำเสียงของนางยังคงเด่นชัด ชัดเสียยิ่งกว่าการมองเห็นสภาพภายในห้องมืด ๆ แห่งนี้เสียอีก
"เจ้า!" สุดท้ายคนที่ใจเย็นอย่างเขาก็มิอาจทนไหว เผลอตวาดออกมา ตัวเขาสั่งคนมัดนางไว้ก็แล้ว ล่ามโซ่ก็แล้ว แต่ก็มิวายมีเรื่องให้หงุดหงิดใจอีก เพียงเพราะต้องเหลือปากให้นางตอบคำถาม ยามนี้ถึงได้หัวเสียเพราะคำพูดของนางเข้าให้แล้ว
ทว่าเหนือสิ่งอื่นใด คำตอบที่มอบกลับมาอีกคราก็ทำให้สรรพสิ่งรอบกายเงียบงันลงกว่าเดิม
"พี่ลี่หยาง ข้าก็คือ 'เจียงเยี่ยนฟาง' ชายารองของท่านอย่างไรเล่าเพคะ บุตรสาวคนโตของอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้าย..."
"..." มือที่ถือดาบอยู่พลันกำแน่นขึ้นอีกนิด หวังว่าสัมผัสในมือจะย้ำเตือนสติ มิให้เขาใช้อารมณ์ชั่ววูบสังหารนางทิ้งไปเสียตอนนี้ "เจ้าไม่ใช่!"
แม้ดวงหน้าของนางที่ถูกแสงจันทร์ลอดผ่านเส้นผมไปกระทบ มองดูอย่างไรก็รู้ว่ากำลังเยาะเย้ยเขาอย่างออกนอกหน้า แถมยังดูไม่สนแม้ว่าตนกำลังจะตายก็ตาม ทว่าสตรีที่บอกว่าตนคือเจียงเยี่ยนฟางกลับเอ่ยเรียกเขาด้วยน้ำเสียงเว้าวอน "ท่านพี่... ท่านลืมข้าได้อย่างไรเพ..."
แต่ไม่ทันได้ให้ผู้อื่นหยอกเย้าเล่นจนจบ ปลายดาบก็เปลี่ยนมาเชยคางของเจียงเยี่ยนฟางขึ้น จนนางต้องจำยอม เชิดหน้าตามขึ้นไป นำพาให้ปากที่กำลังเอ่ยวาจาต้องหุบลงทันที
จังหวะนั้น รอยยิ้มเย้ยหยันพลันปรากฏบนมุมปากของท่านอ๋องผู้อยู่เหนือกว่าสตรีใต้เท้าของตน เพียงแต่มันก็คงอยู่ได้ไม่นาน เพราะสิ่งที่นางกระทำต่อมากลับยิ่งเหนือความคาดหมาย
เมื่อรอยยิ้มของสตรีที่นั่งอยู่พลันกระตุกขึ้นตามคนที่ยืนกดตาลงต่ำมองดูตนเอง นางเบี่ยงหน้าหลบไม่ให้คมของดาบสัมผัสโดนใบหน้า อย่างไรเสียสตรีก็รักใบหน้ายิ่งชีพ นางเองก็ไม่ต่าง แต่พอหลบพ้นแล้วเจียงเยี่ยนฟางก็เอาคอพาดลงไปบนดาบอีกรอบ เพื่อให้ดาบบาดผิวบนลำคอของตนแทน
ตายเพราะดาบปาดคอนางรับได้ แต่ตายศพไม่สวย... นางรับไม่ได้!
มือใหญ่แทบจะดึงดาบออกมาเกือบไม่ทัน เซียวลี่หยางเซถอยหลังไปถึงสองก้าวด้วยความตกใจในความบ้าบิ่นของนาง เขารู้ว่านางประหลาด รู้ว่าเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย แต่ไม่คิดว่าจะถึงขั้นเสียสติ หรือคนที่ส่งนางมา ก็หวังให้นางสละชีพตนเองอยู่แล้วหากทำงานมิสำเร็จ นางเลยไม่สู้ตายเสียเดี๋ยวนี้ ดีกว่าถูกเขาจับทรมานสอบปากคำให้คลายความจริงออกมา
จังหวะนั้น เสียงหัวเราะก็ดังออกมาจากร่างบางที่ถูกมัดมือไขว้หลังนั่งอยู่บนพื้น ผมยาวสยายตกลงมาราวกับภูตผี
ความหนาวเย็นรอบกายกอปรกับเสียงหัวเราะแปลกประหลาดก็ทำให้อีกคนในห้องที่หลบอยู่ในเงามืดถึงขั้นขมวดคิ้ว ก่อนเดินเข้ามาประชิดเจ้านายของตนเพื่อหวังจะถามว่าจะเอายังไงต่อ
ฉับพลันนั้นที่เจียงเยี่ยนฟางเงยหน้าขี้นมา นางก็ยกยิ้มหวานยียวนจ้องมองท่านอ๋องผู้สูงศักดิ์ หยาดเลือดสีแดงสดค่อย ๆ แทรกซึมออกมาจากบาดแผลบนลำคอ สีชาดของเลือดช่างตัดกับผิวขาวซีดนั้นอย่างชัดเจน เมื่อสบเข้ากับนัยน์ตาไม่พอใจของสามี นางก็หัวเราะเสียงเย็นออกมาอีกระลอกหนึ่ง
ตัวท่านอ๋องที่สบตากับนางอยู่ก็จ้องมองนางด้วยใบหน้าสงสัย 'เจ็บขนาดนั้นแต่กลับยังหัวเราะออกมาได้ นาง... เสียสติไปแล้วหรือไร!'
ครั้นเมื่อหัวเราะจนพอใจแล้ว เจียงเยี่ยนฟางก็หอบหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง เอ่ยกับเขาด้วยเสียงหวานอย่างที่ไม่เคยเอ่ยมาก่อน แต่คนฟังย่อมรู้แน่ว่านางกำลังกวนประสาทเขาอยู่
"ตัดใจสังหารมิลงหรือเพคะ หรือทรงมีใจให้หม่อมฉันไปแล้ว"
"ประสาท!" เขาสบถอย่างหาได้ยาก สะบัดกายเตรียมจะจากไป "ทรมานนาง เค้นคำตอบมาให้ข้า!"
ประตูห้องมืดถูกเปิดออกแล้ว แสงจากด้านนอกที่ลอดผ่านเข้ามา ก็นำพาให้เห็นดวงตาไร้ความรู้สึกของนักโทษบนพื้นได้อย่างชัดเจน ใบหน้าที่กำลังยิ้มให้สวามีของตนเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นเรียบเฉย ยิ่งบวกกับสภาพผมเผ้าที่ดูไม่ต่างจากขอทานของนาง ผู้ใดที่ได้พบเห็น หากไม่รู้เรื่องราวมาก่อนก็คงคิดว่านางคือวิญญาณร้ายที่ถูกจับขังก็ไม่ปาน
"พ่ะย่ะค่ะ!" เหล่าองครักษ์ด้านนอกรับคำ แต่มิทันได้เดินเข้ามาด้านในก็ต้องรีบหันกลับไปสนใจร่างของเจ้านายที่ทรุดลงกะทันหันแทน
"ท่านอ๋อง!"
มือของเซียวลี่หยางที่ยังคงถือดาบอยู่ก็พลันปักดาบทิ่มลงดิน ใช้ประคองร่างที่เจ็บปวดอย่างกะทันหันไว้ได้ทันพอดี ทำให้เขาไม่ล้มลงไป หากแต่เลือดคลั่งที่กลั้นไว้ได้ในตอนแรก สุดท้ายก็ไหลออกมาที่มุมปาก ขับเน้นให้ดวงตาที่แผ่ไอสังหารออกมาวาวโรจน์ขึ้นกว่าเดิม ราวกับมีเปลวเพลิงสุมอยู่ด้านใน มือใหญ่อีกข้างที่ยังว่าง ก็ยกห้ามคนของตนไว้ ไม่ให้มาประคองตัวเอง
ทว่าความเจ็บปวดกลับรุนแรงขึ้นอีกทบเท่าพันทวี จนแขนขาอ่อนแรง ร่างพลันทรุดลงไปกับพื้นในท่าคุกเข่าด้วยการฝืนทนอย่างสุดความสามารถแล้ว
"ท่านอ๋อง!" เหล่าองครักษ์ต่างร้องเรียกด้วยความตกใจอีกระรอก
ชินอ๋องแห่งแคว้นเฉิงที่กำลังจะไร้สติก็หันกลับไปมองด้านหลัง หวังใช้แรงเฮือกสุดท้ายก่อนจะทนไม่ไหวเพื่อบอกถึงต้นเหตุของเรื่อง
ทว่า... ด้านหลังที่เคยมีสตรีเสียสติผู้นั้นนั่งคุกเข่าอยู่พร้อมกับเชือกที่มัดตัวและโซ่ตรวนที่ขา บัดนี้กลับว่างเปล่า ร้างไร้คน! ภายในห้องหลงเหลือเพียงกลิ่นเลือดเจือจางในอากาศบ่งบอกว่าเขาไม่ได้คิดไปเอง เรื่องที่เมื่อครู่นางยังอยู่ตรงนั้น และหากไม่เห็นว่า ยังคงมีโซ่ที่ถูกถอดออกวางไว้อยู่ข้างปอยผมที่ถูกตัดขาดของนาง บัดนี้คงพานคิดไปแล้วว่าสตรีนางนั้นอาจเป็นผีสางจริง!
"นักโทษหายไปไหนแล้ว!" เติ้งอู๋ที่เดินตามเซียวลี่หยางออกมาตะโกนเสียงดังลั่น พลางนั่งลงประคองเจ้านายไว้ "ค้นหาให้ทั่ว อย่าให้นางหนีได้!"
อันนี้เป็นแค่บทเปิดเรื่อง ไม่มีความเกี่ยวข้อกับต้นเรื่องนะคะ
"..." สาวใช้พอมองตามคนผู้นั้นแล้วก็เงยหน้ามองคนด้านบนต่อ ปากก็อ้าพะงาบ พ่นออกมาได้เพียงแค่ลม ไร้เสียงเอื้อนเอ่ย มือตบ ๆ ที่คอตนเองด้วยความลนลาน"..." เจียงเยี่ยนฟางพอแน่ใจแล้วว่านางจะยอมบอกจริง ๆ มิได้จะเรียกคนมาช่วยอีก จึงยกมือทาบไปที่ข้างลำคอของอีกฝ่าย ก่อนดึงบางอย่างที่ใช้ปักคอของสาวใช้ออกให้ทันทีที่มือเรียวยาวผละออกไป สาวใช้ก็ส่งเสียงเหมือนสูดลมหายใจเข้าคอแรง ๆ ออกมาให้ได้ยิน พอรับรู้ได้ว่าตนเองได้เสียงคืนแล้ว นางก็รีบเอ่ยว่า "เหยียน นางคือฉือเหยียน!""..." เจียงเยี่ยนฟางรู้สึกผิดหวังกับคำตอบ แต่ก็ไม่ได้แสดงสีหน้าใด ๆ ออกมา เพียงมองดูคนที่กำลังยกมือทาบลำคอตนเองไปมาพร้อมน้ำตานองหน้า"นาง นางเพิ่งเสียคนรักไป ฮึก ...คนรักของนางคือคนที่ไปรับคุณหนูใหญ่กลับมา แต่เขากลับหายตัวไป"สาวใช้ยกมือปาดน้ำตา นางอยู่ที่นี่มาก็ค่อนข้างนาน มีแต่คนนับถือนางเป็นคนใหญ่คนโตในกลุ่มสาวใช้ ไม่เคยถูกกระทำแบบนี้มาก่อน จึงตกใจไม่น้อย ทว่าหากไม่พูดก็กลัวคนตรงหน้าจะพรากเสียงนางไปอีก นางเล่าไปก็ยังสะอื้นไปว่า "แถมก่อนหน้านี้บุตร... บุตรสาวของนางก็มาด่วนจากไปเพราะตกเลือด ฮึก นางจึงไม่เหลือใคร... สติดีบ้างไม่ดีบ้
เดินทางราวครึ่งชั่วยามก็มาถึงจวนตระกูลเจียงแล้ว ไม่รู้ว่าเจียงเยี่ยนฟางจำต้องขอบคุณบ้านเดิมหรือไม่ ที่ยอมส่งรถม้าสมฐานะมาให้อีกทั้งนางยังรู้อยู่แล้วว่า พ่อบ้านโจวได้นำคนติดตามมาด้วยสองคน คนหนึ่งขับรถม้าให้ ทว่าอีกคนได้หายไปตั้งแต่นางก้าวขาขึ้นรถม้ามาแล้ว แถมระหว่างทางคนขับรถม้าก็แสนใจเย็น พานางขับช้าเสียยิ่งกว่าเดิน ดูก็รู้ว่ากำลังถ่วงเวลารอให้บ่าวอีกคนไปแจ้งฮูหยินเจียงว่า ท่านอ๋องไม่ได้มาด้วยกันกับนางเมื่อเดินลงมาจากรถม้าได้ไม่ถึงสิบก้าว เจียงเยี่ยนฟางก็หันไปพูดกับพ่อบ้านโจวว่า "พ่อบ้านโจว เหมือนข้าจะลืมของไว้ที่รถม้า เป็นขนมที่ข้าตื่นมาทำเพื่อนำมามอบให้ท่านแม่โดยเฉพาะ รบกวนท่านเดินกลับไปเอาให้หน่อยได้หรือไม่ พอดีข้ารู้สึกไม่ค่อยสบาย ต้องมีเจินเจินคอยช่วยประคอง จึงไม่สะดวกที่จะใช้นางไปหยิบให้""..." พ่อบ้านโจวลังเล แต่ตอนที่เห็นคุณหนูใหญ่เจียงเดินลงมาจากรถม้า ข้างกายก็มีสาวใช้คอยประคองอยู่ก่อนแล้ว แถมนางยังดูหน้าซีดเซียวเสียงสั่น อีกอย่างก่อนวันมงคลก็เคยได้เห็นนางถูกฮูหยินเจียงข่มเหงรังแกมาแล้วกับตา เจ้าตัวก็ได้นั่งให้อีกฝ่ายรังแก ไม่ได้ตอบโต้แม้สักนิด ดูท่าแล้วเวลานี้นางคงไม่ได้โก
บทที่ 7พลิกผันตามสถานการณ์รุ่งเช้ามาเยือน วันที่ควรถึงก็มาถึงเสียที"คนของจวนตระกูลเจียงมารอรับแล้วเพคะ" เจินเจินเดินกลับเข้ามารายงานในเรือนไม้ หลังจากมีสาวใช้นางหนึ่งมาแจ้งว่าคนของตระกูลเจียงได้มารอรับอยู่ที่หน้าจวนแล้ว"เป็นผู้ใด""เป็นพ่อบ้านโจวเพคะ"เจียงเยี่ยนฟางเค้นเสียงเย็นขึ้นจมูก หัวเราะให้กับความน่าสงสารของใครบางคน "เจียงเยี่ยนฟางหนอเจียงเยี่ยนฟาง..." ซ้ำยังเอ่ยรำพึงรำพันเสียงเบากับตัวเองเวลาแบบนี้ปกติต้องให้ญาติฝ่ายหญิงที่เป็นบุรุษมาเชิญตัวนาง แต่ตระกูลเจียงมีเพียงบุตรสาว ไร้บุตรชายสืบสกุล ดังนั้นเจียงเยี่ยนฟางจึงเหลือเพียงบิดาที่ควรอยู่ทำหน้าที่นี้ ทว่าคนผู้นั้นกลับส่งพ่อบ้านโจวมาแทน ยามนี้คงไปเฝ้าอยู่ที่ราชสำนัก เอาการงานมาอ้างบังหน้าเป็นแน่ เพราะนอกเหนือจากเหตุผลนี้แล้ว ก็ไม่มีเหตุผลไหนจะสามารถหลบโทษพ้นได้อีก"ท่านอ๋องของเจ้าเล่า...""..." เจินเจินก้มหน้าลงต่ำ ส่ายหัวไปมาแผ่วเบา การกลับบ้านเดิมพร้อมสามีนั้นสำคัญมากนัก หากสามีไม่ได้กลับด้วยก็เหมือนเป็นการหยามเกียรติตระกูลของฝ่ายหญิง และเป็นเชิงปฏิเสธภรรยาของตนเอง อีกทั้งเรื่องเมื่อคืน เจินเจินก็ได้เห็นแล้วว่าพระชายาของ
ด้วยความที่กู่เยว่ชิงยืนบังมือของคุณหนูใหญ่เจียงอยู่ หงเปาจึงมองไม่เห็นว่าหยกในมือของเจ้าตัวเป็นของจริงหรือของปลอม อีกทั้งบริเวณเรือนเก่าทรุดโทรมแห่งนี้ก็มีคบไฟแค่ตรงหน้าเรือนเท่านั้นและเสียงของกำไลหยกที่ตกกระทบพื้นเมื่อครู่ ก็ช่างแตกต่างจากเสียงกำไลหยกของคุณหนูใหญ่เจียงที่แตกไปเมื่อคราก่อนมากนัก จึงรู้ว่าคุณหนูใหญ่เจียงไม่ได้โกหก ทว่า...คำพูดพวกนั้นกล่าวกับกู่เยว่ชิงหรือกล่าวกับเจ้านายของเขากันแน่ เรื่องนี้มีเพียงคนพูดเท่านั้นที่รู้ต่อจากนั้นเจียงเยี่ยนฟางก็รับปิ่นสีทองในมือเจินเจินมาใส่ในกล่องไม้ไว้แทน "แต่กล่องไม้นี่เป็นของจริงแน่นอน พระชายากู่ รบกวนฝากทิ้งด้วย ของของท่าน ข้าไม่ต้องการ" ครั้นพูดเสร็จเจียงเยี่ยนฟางก็กระแทกกล่องไม้ไปให้อีกฝ่ายรับไว้ ดวงตามองผ่านศีรษะของกู่เยว่ชิงไปด้านหลัง สบตาเข้ากับคนที่นั่งหน้านิ่งแต่มือกำพนักพิงแขนแน่น ก่อนจะดึงสายตากลับมา ก้มลงไปกระซิบเสียงเบากับคนตรงหน้าที่ยืนถือกล่องไม้ตัวสั่นว่า "ฝากความคิดถึง ถึงบิดาของท่านด้วย หวังว่าขุนนางกู่จะสุขภาพแข็งแรง""เจ้า!!!" กู่เยว่ชิงตกใจผงะถอยหลัง เซไปหลายก้าวจนจูหลิงต้องเข้ามาช่วยประคอง ในขณะที่กำลังจะออกปาก
เวลานี้สีหน้าของกู่เยว่ชิงซีดเผือดลงพานดูไม่ได้ แม้แต่แสงของคบไฟที่สาดกระทบใบหน้าจนเป็นสีส้มนวลตา ก็มิอาจทำให้ใบหน้าของนางดูมีสีสันขึ้นมาได้แม้แต่น้อย กู่เยว่ชิงไหนเลยจะคาดเดาได้ว่าเรื่องราวจะถูกพลิกมาในทางนี้ และไม่รู้ว่าสาวรับใช้ผู้นี้ที่ตนให้เป็นคนถือปิ่นไว้จะซ่อนปิ่นไว้อย่างดีก่อนมาที่นี่หรือไม่ เพราะก็ไม่มีใครคาดคิดว่าเจียงเยี่ยนฟางจะให้คนของตนมาค้นผู้อื่นก่อนเข้าไปในเรือนและยิ่งไม่อาจคาดเดาได้ว่าหม่าเจินจะค้นเพียงสองคนก็เจอกับดักที่ตนแอบซ่อนเข้าแล้ว นางพาสาวใช้มาเกือบยี่สิบคน แต่หม่าเจินกลับเดาถูกได้อย่างแม่นยำในเวลาอันสั้น ไม่ทันได้รอให้นางได้คิดหาทางออก นางก็ใกล้ตกม้าตายแล้ว!"หยุดนะ! ปล่อยข้า" สาวใช้นางนั้นพยายามผลักหม่าเจินออก แต่ไม่รู้หม่าเจินไปเอาแรงมาจากไหน นางสู้ไม่ไหวเลย"น้องหญิง กำไลนั้นอาจแค่เหมือนของเจ้าก็ได้ คงเป็นของที่ทำขึ้นมาเลียนแบบเท่านั้น" กู่เยว่ชิงพยายามห้ามเสียงของตนเองไม่ให้สั่น แต่ใครที่รับใช้นางมาสักพักก็คงจะมองออกได้อย่างง่ายดายว่านางกำลังตื่นกลัว"พี่หญิงกู่ ท่านก็ช่างเข้าข้างคนของตนจนเกินเหตุ กำไลนั้นเป็นหยกหายากที่มีสามสีในชิ้นเดียว ต่อให้ทำเลียนแบ
คราแรกที่เห็นเพียงใบหน้าด้านข้างก็ทำให้เจินเจินตกใจมากพอแล้ว แต่เมื่อได้เห็นเต็มดวงหน้าก็ยิ่งมอบความประหลาดใจให้นางมากกว่าเก่า หากแต่ในช่วงจังหวะนั้น ใบหน้าสวยสะคราญดุจดั่งเทพเซียนลงมาจุติบนโลกมนุษย์ของอีกฝ่ายก็ค่อย ๆ บวมขึ้น บวมขึ้น... ก่อนจะปูดโปนไร้รูปแบบ จนดูคล้ายเจ้านายคนเดิมของนาง!'เรียกได้ทั้งวี่ทั้งวัน มีเรื่องอันใดอีก!'ครั้นน้ำเสียงติดจะหงุดหงิดดังออกมาจากผู้ที่นั่งอยู่ เจินเจินก็กระจ่างแจ้งแล้ว 'พระชายา เหตุใดใบหน้าของท่าน...'เจียงเยี่ยนฟางกัดขนมเข้าไปอีกคำ หาได้ใส่ใจใบหน้าตื่นตระหนกของสาวใช้ไม่ '...ไม่เคยเห็นคนแพ้ถั่วหรือไร' กระทั่งอีกฝ่ายเดินมาแย่งขนมจากในมือไป แล้วฟาดขนมลงตะกร้าอย่างไม่ใยดี แถมยังคว้าตะกร้าไปถือไว้ในมือ ขยับเท้าถอยกรูไปไกล นางถึงได้ให้ความสนใจอีกฝ่ายขึ้นมา 'ดีใจจนเสียสติไปแล้ว?' เจียงเยี่ยนฟางเคี้ยวขนมคำสุดท้ายเสร็จก็พูดออกไปเช่นนั้น'พระชายา ทรงรู้แต่แรกว่าแพ้ แต่ก็ยังจะกิน...ท่าน ท่าน''ปกติข้าก็กินถั่วตอนเช้าทุกวันอยู่แล้ว' เจียงเยี่ยนฟางไม่คิดจะสั่งให้เจินเจินเอาขนมมาคืน เพราะรู้สึกว่าหน้าบวมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงยกน้ำชาขึ้นมาจิบและเช็ดปากเช็ดมือ
Comments